วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

ธรรมบัญญัติคืออะไร




ธรรมบัญญัติคืออะไร
ทั้ง ๆ ที่นักบุญเปาโลกล่าวว่า “พระคริสตเจ้าคือจุดจบของธรรมบัญญัติ” (รม 10:4) แต่ทำไมพระเยซูเจ้าเองจึงบอกว่าธรรมบัญญัติจะคงอยู่ทุกตัวอักษรตราบใดที่ฟ้าและดินยังไม่สูญสิ้นไป

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เมื่อพูดถึง “ธรรมบัญญัติ” (The Law) ชาวยิวหมายถึง 4 อย่างคือ

1.    บัญญัติสิบประการ

2.    หนังสือพระธรรมเก่าห้าเล่มแรกที่เรียกกันว่า ปัญจบรรพ (Pentateuch)

3.    ใช้ในสำนวน The Law and the Prophets เพื่อหมายถึงพระคัมภีร์ทั้งครบ (ขณะนั้นคือ Old Testament เท่านั้น)

4.    ธรรมประเพณี (Oral and Scribal Law)

สิ่งที่ทั้งพระเยซูเจ้าและนักบุญเปาโลต่างประณามคือธรรมบัญญัติตามความหมายสุดท้าย
เราจะพบว่าในพระธรรมเก่ามีกฎระเบียบอยู่น้อยมาก แม้บัญญัติสิบประการเองก็ไม่ใช่กฎระเบียบ แต่เป็นเพียงหลักการกว้าง ๆ อันยิ่งใหญ่ที่แต่ละคนจะต้องตีความและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตของตน โดยอาศัยคำแนะนำหรือการดลใจของพระเจ้า

แต่ชาวยิวสมัยหลังเห็นว่าลำพังหลักการเท่านี้ไม่เพียงพอ พวกธรรมาจารย์จึงพยายามดึงกฎเกณฑ์หยุมหยิมมากมายจากหลักการข้างต้น เพื่อให้ครอบคลุมสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตมนุษย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

กฎเกณฑ์หยุมหยิมที่พวกธรรมาจารย์พยายามคิดค้นขึ้นมานี่แหละเรียกว่า “ธรรมประเพณี”

ยกตัวอย่างเช่น บัญญัติสิบประการกำหนดเป็นหลักการไว้ว่า “จงทำวันสับบาโตให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ และห้ามทำงานในวันสับบาโต”

ปัญหาของพวกธรรมาจารย์ก็คือ “อะไรคืองาน ?”  พวกเขาจึงต้องระดมความคิดและเวลามากมายเพื่อช่วยกันกำหนดกฎเกณฑ์ว่าด้วย “งาน”

ประการแรก งานคือ “การแบกของ” แต่ปัญหาต่อมาคือ “ของอะไรบ้างที่แบกได้หรือไม่ได้ ?” พวกเขาก็ได้กฎเกณฑ์ออกมาว่า สิ่งที่แบกได้ในวันสับบาโตคือ อาหารที่มีน้ำหนักเท่ามะเดื่อแห้งหนึ่งผล เหล้าองุ่นไม่เกินหนึ่งถ้วย น้ำนมหนึ่งอึก น้ำจำนวนพอผสมยาป้ายตา กระดาษพอเขียนประกาศหนึ่งใบ หมึกพอเขียนอักษรสองตัว ต้นอ้อพอทำปากกาหนึ่งด้าม ฯลฯ  พวกเขาใช้เวลายาวนานเพื่อถกเถียงกันว่าในวันสับบาโตจะเคลื่อนตะเกียง จะอุ้มเด็กทารก จะใส่ฟันปลอม ขาเทียม เข็มกลัดผม หรือผมปลอมได้หรือไม่  หรือแม้แต่ช่างตัดเสื้อที่ลืมเข็มติดไว้กับเสื้อจะเป็นบาปหรือไม่ ?

ประการที่สอง งานคือ “การเขียน” การเขียนที่ถือว่าผิดคือ เขียนมากกว่าสองตัวอักษร ถ้าเกินสองตัวอักษรแต่เขียนด้วยวัสดุที่ไม่ก่อให้เกิดรอยถาวรเช่น เขียนด้วยของเหลวสีดำ น้ำผลไม้ หรือเขียนบนฝุ่นหรือทราย เหล่านี้ไม่ถือว่าผิด  ถ้าเขียนบนกำแพงที่มีมุมติดกันหรือเขียนบนสมุดบัญชีสองหน้าชนิดที่ทำให้อ่านพร้อมกันได้ก็ถือว่าผิด แต่ถ้าต้องเดินไปดูกำแพงอีกด้านหรือพลิกสมุดไปอีกหน้าหนึ่งจึงจะอ่านได้ความ แบบนี้ถือว่าไม่ผิด
ประการที่สาม งานคือ “การรักษา” อนุญาตให้กระทำได้เมื่อมีอันตรายถึงแก่ชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเกิดกับหู คอ และจมูก แต่ทั้งนี้อนุญาตให้ทำได้เพียงเพื่อไม่ให้อาการเลวร้ายลงเท่านั้น ห้ามทำการใด ๆ เพื่อให้อาการนั้นดีขึ้น

นี่คือตัวอย่างอันน้อยนิดของผลงานของบรรดาธรรมาจารย์  ช้ำร้ายยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งเรียกว่าพวกฟารีสีซึ่งแปลว่า “ผู้ที่แยกตัวออกมา” พวกเขาเพียรพยายามจะปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านี้อย่างเคร่งครัดและครบถ้วนทุกกระบวบความ

ประมาณกลางศตวรรษที่ 3 ธรรมประเพณีเหล่านี้ได้รับการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เรียกว่า Mishnah มีความหนาประมาณ 800 หน้า และประมาณศตวรรษที่ 5 ก็มีผู้รวบรวมคำอธิบายกฎระเบียบต่าง ๆ ในหนังสือ Mishnah เป็นเล่มเรียกว่า Talmud

Talmud ของกรุงเยรูซาเล็มประกอบด้วยหนังสือ 12 เล่มพิมพ์  และ Talmud ของกรุงบาบิโลนประกอบด้วยหนังสือ 60 เล่มพิมพ์

แก่นแท้ของธรรมบัญญัติ
หลักการอันยิ่งใหญ่ประการหนึ่งคือ “มนุษย์ต้องพยายามแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง และเมื่อพบแล้วเขาต้องทุ่มเทอุทิศตนตลอดชีวิตเพื่อปฏิบัติตามน้ำพระทัยนั้น”  พวกธรรมาจารย์และฟารีสีทำถูกที่พยายามแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า และยิ่งถูกเข้าไปใหญ่เมื่อพยายามอุทิศตนปฏิบัติตามน้ำพระทัยนั้น  แต่พวกเขาผิดที่ดันไปพบน้ำพระทัยในกฎระเบียบมากมายที่สร้างขึ้นด้วยน้ำมือของพวกเขาเอง
   
ถ้าเช่นนั้นอะไรคือแก่นแท้ของน้ำพระทัยของพระเจ้า ?  อะไรคือแก่นแท้ของธรรมบัญญัติ ?

เมื่อพิจารณาบัญญัติสิบประการอย่างใกล้ชิด เราจะพบว่าแก่นแท้ของธรรมบัญญัติทุกข้อสรุปได้เพียงคำเดียวคือ “เคารพ” (Respect)

เราต้องเคารพยำเกรงพระเจ้าและพระนามของพระองค์  เราต้องเคารพยำเกรงวันของพระเจ้า

เราต้องเคารพพ่อแม่  ชีวิต  ความเป็นบุคคลของตนเอง  ทรัพย์สิน  ความจริงและชื่อเสียงของผู้อื่น  และสุดท้ายเราต้องเคารพตัวเองเพื่อว่าความปรารถนาผิด ๆ จะได้ไม่เป็นนายเหนือเรา

กล่าวง่าย ๆ คือ เราต้องเคารพยำเกรง (Reverence) พระเจ้า และเคารพ (Respect) เพื่อนมนุษย์รวมถึงตัวเองด้วย

นี่คือแก่นแท้และเป็นพื้นฐานของธรรมบัญญัติตลอดจนกฎหมายทั้งปวง

เมื่อพระเยซูเจ้าทรงตรัสว่า “จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติ แต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์” พระองค์จึงต้องการบอกเราว่า ความเคารพยำเกรงและความเคารพที่เป็นพื้นฐานของบัญญัติสิบประการนั้นจะไม่มีวันสูญสิ้นไป



และพระองค์เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ก็เพื่อแสดงให้เราเห็นว่า “ความเคารพยำเกรงต่อพระเจ้า และความเคารพต่อมนุษย์” ที่สมบูรณ์นั้นเป็นอย่างไร

พระเยซูเจ้าต้องการสอนอะไร ?
1.    อดีตและปัจจุบันมีความต่อเนื่องกัน
บางคนชอบตำหนิอดีตที่ผิดพลาดแล้วพยายามลืมหรือสลัดมันทิ้งไป  แต่ถ้าเราทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเรากำลังต่อสู้กับอดีต และเมื่อเราต่อสู้กับอดีตเราก็จะไม่มีอนาคต !  เพราะปัจจุบันนั้นเติบโตมาจากอดีต และอนาคตก็เติบโตมาจากปัจจุบัน

นี่คือเหตุผลว่าทำไมพระเยซูเจ้าจึงมิได้ลบล้างธรรมบัญญัติในอดีตแม้แต่ตัวอักษรหรือจุดเดียว

ก่อนจะมีพระวรสารจำเป็นต้องมีธรรมบัญญัติก่อนเพื่อว่าเรามนุษย์จะได้สามารถแยกความแตกต่างระหว่างถูกกับผิด  รู้จักบาป  รู้จักความอ่อนแอ และเรียนรู้ว่าเราต้องการพระเจ้าพร้อมกับความช่วยเหลือของพระองค์

2.    การดำเนินชีวิตคริสตชนไม่ใช่เรื่องง่าย
บางคนอ้างว่าเมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาก็เป็นอันสิ้นสุดของธรรมบัญญัติ ต่อจากนี้ไปเขาจะดำเนินชีวิตอย่างไรก็ได้

ไม่ใช่เลย !



เพราะพระเยซูเจ้าทรงเตือนเราว่า “ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้วท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย”

พวกธรรมาจารย์และฟาริสีดำเนินชีวิตโดยมีบทบัญญัติต่าง ๆ เป็นทั้งแรงผลักดันและเป็นทั้งแรงจูงใจ

แต่แรงผลักดันและแรงจูงใจของการดำเนินชีวิตแบบคริสตชนคือ “ความรัก”

พระเจ้าทรงรักมนุษย์จนยอมส่งพระบุตรแต่องค์เดียวมาช่วยให้มนุษย์พ้นบาป  มนุษย์จึงพยายามตอบแทนบุญคุณนี้ด้วยความรักเช่นกัน

เป็นไปได้ว่าเราอาจไม่เคยละเมิดกฎหมาย ไม่เคยถูกตำรวจจับ ซึ่งแปลได้ว่าเราอาจถือตามบทบัญญัติหรือกฎหมายต่าง ๆ ได้ครบ

แต่กับความรัก เราไม่อาจพูดได้เลยว่าเราแสดงความรักพอแล้ว.....

ถ้าเรารักใครสักคน ต่อให้เอาดวงจันทร์มาประเคนให้ได้ เราก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ

นี่คือพันธะผูกพันอันยิ่งใหญ่ของความรักที่มีเหนือกฎหมายอันมีข้อจำกัด

ความชอบธรรมของเราจึงต้องดีกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสี
kamsonbkk.com




พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ อ่านมัทธิว 8:1 ถึง 11:1 ​    25 และพวกสาวกมาปลุกพระองค์ ทูลว่า “องค์พร...