วันเสาร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ใครคือผู้เขียนหนังสือทั้งหลายในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล?


ใครคือผู้เขียนหนังสือทั้งหลายในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล?

คำตอบ: ในที่สุด นอกเหนือจากมนุษย์ผู้เขียนดังกล่าวข้างต้น พระคัมภีร์เขียนขึ้นโดยพระเจ้า.

2 ทิโมธี 3:16 บอกเราว่าพระคัมภีร์ถูก "ปล่อยลมหายใจออก" โดยพระเจ้า “ พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม “ พระเจ้าทรงดูแลกำกับมนุษย์ผู้เขียนพระคัมภีร์ เพื่อว่าในการใช้รูปแบบการเขียนและบุคลิกภาพ ของเขาเอง พวกเขายังคงบันทึกแน่นอนสิ่งที่พระเจ้าทรงตั้งเป้าหมาย พระคัมภีร์ไม่ได้ถูกบอกให้เขียนตามพระเจ้า แต่มันก็รับแนวทางที่ถูกต้องสมบูรณ์และได้รับการดลใจทั้งหมดโดยพระองค์

พูดตามประสามนุษย์ พระคัมภีร์ถูกเขียนขึ้นโดยคนประมาณ 40 คนที่มีภูมิหลังแตกต่างกันในระยะเวลามากกว่า 1500 ปี

อิสยาห์เป็นผู้พยากรณ์ เอสราเป็นปุโรหิต มัทธิวเป็นคนเก็บภาษี ยอห์นเป็นชาวประมง เปาโลเป็นนักเย็บเต้นท์ขาย โมเสสเป็นคนเลี้ยงแกะ ลูกาเป็นนายแพทย์

แม้ว่ามีกลุ่มนักเขียนต่างๆ กันจับปากกาเขียนเมื่อ 15 ศตวรรษที่แล้ว พระคัมภีร์ไม่ได้ขัดแย้งกันเอง และไม่ได้มีความผิดพลาดใดๆ ผู้เขียนต่างเสนอมุมมองที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาทั้งหมดประกาศยอมรับพระเจ้าองค์เที่ยงแท้องค์เดียว และเช่นเดียวกับหนทางไปสู่ความรอด ----พระเยซูคริสต์ (ยอห์น14.6 กิจการ 4.12)

หนังสือสองสามเล่มในพระคัมภีร์ตั้งชื่อเฉพาะตามผู้เขียนหนังสือนั้น นี่เป็นชื่อหนังสือพระคัมภีร์ เรียกตามชื่อของนักเขียน โดยนักวิชาการหลักพระคัมภีร์ส่วนใหญ่สันนิษฐาน พร้อมกับประมาณวันเวลาที่ทำการเขียน :

ปฐมกาล อพยพ เลวีนิติ กันดารวิถี เฉลยธรรมบัญญัติ โดยโมเสส – ค.ศ. 1400

โยชูวา โดยโยชูวา - 1350 ก่อนคริสต์กาล

ผู้วินิจฉัย รูธ 1ซามูเอล , 2 ซามูเอล โดยซามูเอล บางส่วน โดย นาธาน และ กาด – 1000-900 ปีก.ค.ศ.

1 พงศ์กษัตริย์ 2 พงศ์กษัตริย์ โดย เยเรมีย์ - 600 ปี ก.ค.ศ.

1 พงศาวดาร 2 พงศาวดาร เอสรา เนหะมีย์ โดย เอสรา – 450 ปีก.ค.ศ.

เอสเธอร์ โดย โมระเดคาย - 400 ก.ค.ศ.

โยบ โดย โยบ แต่นี่ไม่แน่นอน มีคำแนะนำว่าอาจเป็นโมเสส หรือ อีลิฮู - 1400 ปี ก.ค.ศ.

บทเพลงสดุดี โดยผู้เขียนหลายคนต่างกัน ส่วนใหญ่คือ ดาวิด – 1000 ปี– 400 ปีก.ค.ศ.

สุภาษิต , ปัญญาจารย์ และ บทเพลงของโซโลมอน โดยโซโลมอน – 900 ปี ก.ค.ศ.

อิสยาห์ โดย อิสยาห์ - 700 ปี ก.ค.ศ.

เยเรมีย์และ บทเพลงคร่ำครวญ โดย เยเรมีย์ - 600 ปี ก.ค.ศ.

เอเสเคียล โดย เอเสเคียล - 550 ปี ก.ค.ศ.

ดาเนียลโดย ดาเนียล- 550 ปี ก.ค.ศ.

โฮเชยา โดย โฮเชยา - 750 ปี ก.ค.ศ.

โยเอล โดยโยเอล - 850 ปี ก.ค.ศ.

อาโมส โดยอาโมส - 750 ปี ก.ค.ศ.

โอบาดีห์ โดย โอบาดีห์ - 600 ปี ก.ค.ศ.

โยนาห์โดย โยนาห์- 700 ปี ก.ค.ศ.

มีคาห์ โดย มีคาห์ - 700 ปี ก.

นาฮูม โดย นาฮูม - 650 ปี ก.ค.ศ.

ฮาบากุกโดย ฮาบากุก - 600 ปี ก.ค.ศ.

เศฟันยาห์ โดย เศฟันยาห์ - 650 ปี ก.ค.ศ.

ฮักกัย โดย ฮักกัย - 520 ปี ก.ค.ศ.

เศคาริยาห์ โดย เศคาริยาห์ - 500 ปี ก.ค.ศ.

มาลาคี โดย มาลาคี - 430 ปี ก.ค.ศ.

มัทธิวโดย มัทธิว - ค.ศ. 55

มาระโกโดยมาระโก - ค.ศ. 50

ลูกา โดย ลูกา- ค.ศ. 60

ยอห์น โดย ยอห์น - ค.ศ. 90

พระธรรมกิจการ โดย ลูกา- ค.ศ. 65

โรม 1โครินธ์ 2โครินธ์ กาลาเทีย เอเฟซัส ฟีลิป โคโลสี 1เธสะโลนิกา 2 เธสะโลนิกา ,

1 ทิโมธี 2 ทิโมธี ติตัส ฟิเลโมนโ ดยเปาโล - ค.ศ 50-70

ฮีบรู โดย ผู้เขียนไม่ทราบชื่อ ส่วนใหญ่โดยเปาโล ลูกา บารนาบัส หรือ อปอลโล - ค.ศ 65

ยากอบโดย ยากอบ - ค.ศ. 45

1 เปโตร และ 2 เปโตร โดยเปโตร - ค.ศ. 60

1 ยอห์น 2 ยอห์น, 3 ยอห์น โดย ยอห์น - ค.ศ. 90

ยูดาโดย ยูดา- ค.ศ. 60

วิวรณ์ โดยยอห์น - ค.ศ. 90 

วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557

มี​ปัจจัย​อะไร​บ้าง​ที่​จะ​ช่วย​เรา​ให้​เข้าใจ​คัมภีร์​ไบเบิล?




มี​ปัจจัย​อะไร​บ้าง​ที่​จะ​ช่วย​เรา​ให้​เข้าใจ​คัมภีร์​ไบเบิล?


คำ​ตอบ​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล

คัมภีร์​ไบเบิล​บอก​ให้​รู้​ว่า​คุณ​ต้อง​ทำ​อะไร​เพื่อ​จะ​เข้าใจ​พระ​คัมภีร์ ไม่​ว่า​คุณ​มี​ภูมิหลัง​อย่าง​ไร ข่าวสาร​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล “ไม่​ใช่​สิ่ง​ที่​เหลือ​บ่า​กว่า​แรง​หรือ​เกิน​เอื้อม​สำหรับ [คุณ]”—พระ​บัญญัติ 30:11พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย

ปัจจัย​ที่​ช่วย​ให้​เข้าใจ​คัมภีร์​ไบเบิล

  1. มีเจตคติที่ถูกต้อง ให้​ยอม​รับ​ว่า​คัมภีร์​ไบเบิล​เป็น​พระ​คำ​ของ​พระเจ้า จง​ถ่อม​ใจ​เพราะ​พระเจ้า​เกลียด​คน​เย่อหยิ่ง (1 เทสซาโลนิเก 2:13; ยาโกโบ 4:6) อย่าง​ไร​ก็​ตาม อย่า​เชื่อ​แบบ​งมงาย พระเจ้า​ต้องการ​ให้​คุณ “ใช้​เหตุ​ผล”—โรม 12:1, 2
  2. อธิษฐานขอสติปัญญา สุภาษิต 3:5 บอก​ว่า “อย่า​พึ่ง​ใน​ความ​เข้าใจ​ของ​ตน​เอง” แทน​ที่​จะ​ทำ​อย่าง​นั้น “ให้​เขา​ทูล​ขอ [สติ​ปัญญา​จาก] พระเจ้า​ต่อ ๆ ไป” เพื่อ​จะ​เข้าใจ​คัมภีร์​ไบเบิล—ยากอบ 1:5
  3. ศึกษาอย่างสม่ำเสมอ คุณ​จะ​ได้​รับ​ประโยชน์​มาก​ที่​สุด​ถ้า​คุณ​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​เป็น​ประจำ ไม่​ใช่​ศึกษา​เป็น​ครั้ง​คราว—ยะโฮซูอะ 1:8
  4. ศึกษาเป็นเรื่อง ๆ การ​ตรวจ​สอบ​ดู​ว่า​คัมภีร์​ไบเบิล​พูด​ถึง​เรื่อง​ใด​เรื่อง​หนึ่ง​อย่าง​ไร​เป็น​วิธี​ที่​ดี​ที่​จะ​ช่วย​คุณ​ให้​เข้าใจ​คำ​สอน​ใน​พระ​คัมภีร์ ให้​เริ่ม​กับ “คำ​สอน​พื้น​ฐาน” จาก​นั้น​ก็​พยายาม​ศึกษา​ค้นคว้า​เรื่อง​ที่​ลึกซึ้ง​กว่า (ฮีบรู 6:1, 2) เมื่อ​ทำ​อย่าง​นี้​คุณ​จะ​สามารถ​ผูก​โยง​ข้อ​คัมภีร์​หนึ่ง​กับ​อีก​ข้อ​หนึ่ง และ​เห็น​ว่า​ข้อ​ต่าง ๆ ใน​พระ​คัมภีร์​อธิบาย​ตัว​มัน​เอง แม้​แต่​ข้อ​ที่ “เข้าใจ​ยาก”—2 เปโตร 3:16
  5. ขอความช่วยเหลือ คัมภีร์​ไบเบิล​สนับสนุน​เรา​ให้​ยอม​รับ​ความ​ช่วยเหลือ​จาก​คน​ที่​เข้าใจ​คำ​สอน​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล (กิจการ 8:30, 31) พยาน​พระ​ยะโฮวา​เสนอ​การ​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​ฟรี พวก​เขา​อ้างอิง​ข้อ​คัมภีร์​ต่าง ๆ เพื่อ​ช่วย​ให้​คน​อื่น​เข้าใจ​ว่า​คัมภีร์​ไบเบิล​สอน​อะไร​จริง ๆ เช่น​เดียว​กับ​คริสเตียน​รุ่น​แรก—กิจการ 17:2, 3

สิ่ง​ที่​เรา​ไม่​จำเป็น​ต้อง​มี

  1. การศึกษาสูงหรือเป็นคนเฉลียวฉลาด อัครสาวก 12 คน​ของ​พระ​เยซู​เข้าใจ​พระ​คัมภีร์​และ​สอน​ความ​รู้​ใน​พระ​คัมภีร์​แก่​คน​อื่น แม้​บาง​คน​มอง​ว่า​เหล่า​อัครสาวก “เป็น​สามัญ​ชน​ที่​เรียน​มา​น้อย”—กิจการ 4:13
  2. เงิน คุณ​สามารถ​เรียน​รู้​สิ่ง​ที่​คัมภีร์​ไบเบิล​สอน​โดย​ไม่​ต้อง​เสีย​ค่า​ใช้​จ่าย​ใด ๆ พระ​เยซู​บอก​สาวก​ของ​พระองค์​ว่า “พวก​เจ้า​ได้​รับ​เปล่า ๆ จง​ให้​เปล่า ๆ”—มัทธิว 10:8
www.jw.org

วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2557

พระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าจริงหรือไม่?

พระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าจริงหรือไม่?
คำตอบ: คำตอบของเราสำหรับคำถามนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นตัวกำหนดว่าเรามีมุมมองต่อพระคัมภีร์อย่างไร และพระคัมภีร์มีความสำคัญต่อชีวิตของเราอย่างไรเท่านั้น แต่จะมีผลต่อชีวิตของเราตลอดไปด้วย หากพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าอย่างแน่นอนแล้ว เราควรจะต้องหวงแหน ศึกษา เชื่อฟัง และ เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องวางใจในพระคัมภีร์ หากพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าแล้ว การปฏิเสธพระคัมภีร์คือการปฏิเสธพระเจ้านั่นเอง


ความเป็นจริงที่ว่าพระเจ้าทรงมอบพระคัมภีร์ให้กับเรา คือ พยานหลักฐานและการแสดงถึงความรักของพระองค์ต่อเรา คำว่า “การเปิดเผยสำแดง” มีความหมายง่าย ๆ ว่า พระเจ้าทรงสื่อให้มนุษย์รู้ว่าพระองค์ทรงมีพระลักษณะอย่างไร และเราจะสามารถมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ได้อย่างไร มีบางอย่างที่เราไม่อาจจะรู้ได้เลยหากพระองค์ทรงไม่เปิดเผยสำแดงผ่านทางพระคัมภีร์ให้เราได้รู้ แม้ว่าการเปิดเผยทีละเล็กละน้อยจะใช้เวลาประมาณ1500 ปี แต่ตลอดมา พระคัมภีร์นั้นมีทุกอย่างที่มนุษย์ต้องการรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเสมอ เพื่อให้เราได้มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์ หากพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้าอย่างแน่นอนแล้ว มันจะต้องเป็นสิทธิอำนาจสูงสุดที่เราต้องยึดถือในทุกกรณีที่เกี่ยวกับความเชื่อ การปฏิบัติทางศาสนา และ คุณธรรม

คำถามที่เราต้องถามตัวเอง คือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่แค่หนังสือดี ๆ เล่มหนึ่งเท่านั้น? อะไรคือเอกลักษณ์ของพระคัมภีร์ที่ทำให้พระคัมภีร์แตกต่างจากหนังสืออื่น ๆ ที่เกี่ยวกับศาสนา เท่าที่เคยได้มีการเขียนขึ้นมา? มีหลักฐานอะไรบ้างที่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง? นี่เป็นคำถามที่เราต้องพิจารณาหากเราต้องการค้นหาอย่างจริงจัง ตามคำยืนยันว่ามันคือพระวจนะล้วน ๆ ของพระเจ้าที่ได้ถูกเขียนขึ้นมาโดยได้รับการดลใจจากพระองค์, และเพียงพอสำหรับความเชื่อและการปฏิบัติในทุกแง่มุม

ไม่ต้องมีอะไรให้สงสัยเลยว่าพระคัมภีร์ยืนยันแน่นอนว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า การยืนยันนี้เห็นได้ชัดเจนจากข้อพระคัมภีร์เช่น 2 ทิโมธี 3:15-17 “… และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีฤทธิ์สอนท่านให้ได้ปัญญาถึงความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในเรื่องความชอบธรรม”

เพื่อที่จะตอบคำถามเหล่านี้ได้ เราต้องดูหลักฐานทั้งภายในและภายนอกที่บอกว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้่า หลักฐานภายในคือสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องภายในสำหรับพระคัมภีร์เองที่เป็นพยานถึงต้นกำเนิดที่มาจากพระเจ้า หนึ่งในหลักฐานต้น ๆ ที่บ่งชี้ว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าโดยแท้จริงปรากฏอยู่ในความสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกันของพระคัมภีร์ ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์จะประกอบด้วยหนังสือถึงหกสิบหกเล่ม เขียนจากสามทวีป จากสามภาษา ภายใต้ช่วงเวลาถึง 1500 ปี โดยผู้เขียนมากกว่า 40 คน (จากหลายพื้นเพ) พระคัมภีร์ยังคงดำรงค์ไว้ซึ่งความสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ขัดแย้งกันเลย ความสอดคล้องนี้คือเอกลักษณ์ที่ทำให้พระคัมภีร์แตกต่างไปจากหนังสือฉบับอื่น ๆ และคือประจักษ์ฺพยานถึงต้นกำเนิดของถ้อยคำ ซึ่งมาจากการดลใจของพระองค์ ให้มนุษย์บันทึกไว้่โดยไม่มีอะไรแปลกปลอมอยู่เลย

ประจักษ์พยานภายในอีกประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าโดยแท้จริง คือ คำพยากรณ์อย่างละเอียดที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าต่าง ๆ ของพระคัมภีร์ พระคัมภีร์บันทึกคำพยากรณ์เป็นร้อย ๆ ที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับอนาคตของบรรดาประชาชาติต่าง ๆ รวมถึงประชาชาติอิสราเอล, เมืองบางเมือง, อนาคตของมนุษย์, และ การเสด็จมาของผู้หนึ่งผู้จะทรงเป็นพระเมษสิยาห์, พระผู้ช่วยให้รอดของชนชาติที่ไม่เพียงแต่ชนชาติิอิสราเอลเท่านั้น แต่ของทุกคนที่เชื่อในพระองค์ด้วย ไม่เหมือนกับคำพยากรณ์ในหนังสือเกี่ยวกับศาสนาเล่มอื่น ๆ หรือคำพยากรณ์ของนอสตราดามุส, คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์มีรายละเอียดชัดเจนและไม่เคยไม่เกิดขึ้่น แค่ในพันธสัญญาเดิมอย่างเดียว พระคัมภีร์มีคำพยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์กว่าสามร้อยคำพยากรณ์ มันไม่เพียงแต่กล่าวล่วงหน้าว่าพระองค์จะทรงมาบังเกิดที่ไหน กับครอบคร้วไหน แต่ยังบอกว่าพระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์อย่างไร และจะทรงฟื้นคืนพระชนม์ภายในสามวันอีกด้วย ไม่มีคำอธิบายใดที่สามารถบอกได้ว่า ทำไมคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์จึงสำเร็จเป็นจริง นอกจากจะบอกว่า เพราะมันมีต้นกำเนิดมาจากพระเจ้า ไม่มีหนังสือทางด้านศาสนาเล่มไหนที่มีคำพยากรณ์อย่างละเอียด เหมือนพระคัมภีร์มี

ประจักษ์พยานภายในประการที่สามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของพระคัมภีร์ว่ามาจากพระเจ้าอย่างแท้จริง คือ สิทธิำำอำนาจและพลังที่เป็นเอกลักษณ์ ถึงแม้ว่าประจักษ์พยานนี้จะเป็นรูปธรรมน้อยกว่าสองพยานแรก แต่มัีนก็ทรงพลังไม่น้อยกว่ากันในการชี้ให้เห็นว่าพระคัมภีึร์มีต้นกำเนิดมาจากพระเ้จ้า พระคัมภีร์มีสิทธิอำนาจที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนหนังสือเล่มไหนทั้งสิ้น สิทธิอำนาจและพลังนี้เห็นได้ชัดเจนจากการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผู้คนนับไม่ถ้วนที่ได้อ่านพระคัมภีร์ ผู้ที่ติดยาได้รับการบำบัดรักษา, ผู้ที่เล่นรักร่วมเพศได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ, คนที่ย่ำแย่, คนที่ขาดความรับผิดชอบต่อครอบครัว ได้รับการเปลี่ยนแปลง, อาชญากรใจหินได้รับการเปลี่ยนแปลง, คนบาปไ้ด้รับการว่ากล่าวตักเตือน, และความเกลียดชังถูกเปลี่ยนเป็นความรัก โดยการอ่านพระคัมภีร์ พระคัมภีร์มีพลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้คนได้ เพราะพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้า

นอกจากหลักฐานภายในแล้ว ยังมีหลักฐานภายนอกอีกหลายอย่างที่แสดงให้เห็นว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง หนึ่งในหลักฐานเหล่านั้นคือ สถานที่ทางประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์กล่าวถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ไว้อย่างละเอียด ดังนั้น ความเป็นจริงและความถูกต้อง ต้องได้รับการยืนยัน เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในประวัติศาตร์อื่น ๆ จากหลักฐานต่าง ๆ ทางโบราณคดี และ ที่มีบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ ได้รับการพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าว่าถูกต้องและเป็นความจริง อันที่จริงหลักฐานทางโบราณคดี และ หลักฐานที่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ที่สนับสนุนพระคัมภีร์ ทำให้พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ ความจริงที่ว่าพระคัมภีร์ได้บันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ ไว้อย่างถูกต้องและตามความเป็นจริง มัีนจึงเป็นหลักฐานที่ดีที่สุดที่ชี้ให้เห็นถึงความถูกต้องแม่นยำของพระคัมภีร์ เมื่อพูดถึงหัวข้่อเกี่ยวกับศาสนาและกฎบัญญัติ นั้นทำให้การอ้างว่าพระคัีมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้ามีน้ำ้หนักมากยิ่งขึ้น

หลักฐานภายนอกอีกชิ้นหนึ่งที่บ่งชี้ว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง คือ ความสัตย์สุจริตของผู้เขียน ดังที่กล่าวไว้แล้ว พระเจ้าทรงใช้มนุษย์ทุกอาชีพ ทุกสถานภาพ บันทึกพระวจนะของพระองค์ที่ีมีต่อเรา เมื่อศึกษาชีวิตของคนเหล่านี้ เราจะเห็นว่าไม่มีเหตุผลใด ๆ เลยที่ทำให้เราคิดว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่คนซื่อสัตย์และจริงใจ เมื่อเราศึกษาประวัติของพวกเขา และความเป็นจริงที่ว่าพวกเขาุึถึงกับยอมตาย (อย่างเจ็บปวดทรมานเป็นส่วนใหญ่) เพื่อสิ่งที่เขาเชื่อ ทำให้เราเห็นชัดเจนทันทีว่าคนธรรมดา ๆ แต่สัตย์ซื่อเหล่านี้เชื่อแน่นอนว่าพระเจ้าได้ตรัสกับพวกเขา ผู้เขียนพันธสัญญาใหม่ และผู้เชื่อเป็นร้อย (1 โครินธ์ 15:6) รู้ความจริงเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาประกาศ เพราะพวกเขาได้เห็นและได้ใช้เวลาอยู่กับพระเยซูคริสต์ หลังจากที่พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย การได้เห็นพระคริสต์ผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์กับตา มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในพวกเขา จากการที่ต้องหลบซ่อนด้วยความกลัว กลายเป็นการเต็มใจที่จะตายเพื่อประกาศข่้าวประเสริฐที่พระเจ้าืทรงเปิดเผยสำแดงกับพวกเขา
ชีวิตและความตายของพวกเขาเป็นพยานถึงความเป็นจริงที่ว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าโดยแท้จริง

ประจักษ์พยานภายนอกชิ้นสุดท้ายที่ยืนยันว่าพระคัมภีร์คืิอพระวจนะที่แท้จริงของพระเจ้า คือ การที่ไม่มีใครสามารถทำลายพระคัมภีร์ได้ เพราะความสำคัญของพระคัมภีร์ และ เพราะพระคัมภีร์ยืินยันว่ามันเป็นพระวจนะของพระเ้จ้า พระคัมภีร์จึงถูกโจมตีอย่างรุนแรงหลายครั้ง และ ได้มีการพยายามทำลายพระคัมภีร์มากกว่าหนังสือเล่มใดในประวัติศาสตร์ จากจักรพรรดิ์โรมันในยุคต้น ๆ เช่น ดิโอคลีเชียน มาถึงผู้นำลัทธิคอมมิวนิสต์ จนถึงผู้ที่ไม่เชื่อหรือไม่แน่ใจว่าพระเจ้ามีจริงในปัจจุบัน พระคัมภีร์ยืนหยัดมั่นคงผ่านทุกยุคทุกสมัย และยังคงเป็นหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์อย่างกว้างขวางในปัจจุบัน

ตลอดมา ผู้ที่ไม่เชื่อถือความจริงใด ๆ ทั้งสิ้นถือว่าพระคัมภีร์คือเทพนิยาย แต่นักโบราณคดียืนยันว่าพระคัมภีร์คือประวัติศาสตร์ ผู้ต่อต้านโจมตีว่าคำสอนในพระคัมภีร์เป็นเรื่องโบราณและล้าสมัย แต่แนวความคิดทางด้านศีลธรรม กฎบัญญัติ และคำสอน ได้มีผลกระทบทางด้านดีต่อสังคมและวัฒนธรรมทั่วโลก ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์ยังคงถูกต่อต้านโดยนักวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา และการเมือง แต่พระคัมภีร์ก็ยังเป็นความจริงและยังใช้ได้ในปัจจุบันอยู่นั่นเอง ดังที่ได้เป็นมาแล้วตั้งแต่ที่พระคัมภีร์ได้ถูกเขียนขึ้นมา พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิต วัฒนธรรม นับไม่ถ้วนมาแล้วตลอดระยะเวลา 2000 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าผู้ัต่อต้านจะพยายามโจมตี ทำลาย หรือ ทำให้พระคัมภีร์เสียชื่อเสียงอย่างไร มันก็ยังคงยืนหยัดอยู่อย่างมั่นคง เคยเป็นความจริงอย่างไรก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ ยังใช้การได้หลังถูกโจมตีอย่างไรก็ยังคงเป็นเช่นนั้นอยู่ ไม่ว่ามันจะถูกพยายามทำให้บิดเบือน โจมตี หรือทำลาย ความถูกต้องแม่นยำที่ยังคงถูกรักษาไว้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าโดยแท้จริง เราไม่ควรประหลาดใจเลยว่า ทำไม ไม่ว่าพระคัมภีร์จะถูกโจมตีอย่างไร มันก็ยัีงคงผ่านพ้นมาได้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือสะทกสะท้าน เหนือสิ่งอื่นใด พระเยซูตรัสว่า “ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย” (มาระโก 13:31) หลังจากที่ได้ดูหลักฐานแล้ว
เราสามารถพูดได้อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า “ใช่แล้ว พระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าอย่างแน่นอน.”

www.gotquestions.org

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557

พระคัมภีร์คืออะไร?


คำถาม: พระคัมภีร์คืออะไร?

คำตอบ: 
พระคัมภีร์เป็นการเปิดเผยแบบก้าวหน้า

คำตอบ: คำว่า “พระคัมภีร์”มาจากภาษาละตินและ ภาษากรีก หมายถึง " หนังสือ " เป็นชื่อที่ เหมาะสม เพราะว่าพระคัมภีร์เป็นหนังสือสำหรับทุก คน ตลอดเวลา

มันเป็นหนังสือที่ไม่เหมือนใครในระดับชั้นนั้นเอง

พระคัมภีร์ประกอบด้วยหนังสือหกสิบหกเล่มที่แตกต่างกัน

เหล่านี้รวมถึงหนังสือกฎหมาย เช่น เลวีนิติ และ เฉลยธรรมบัญญัติ ; หนังสือ ประวัติศาสตร์ เช่น เอษรา และกิจการ หนังสือ บทกวี เช่น บทเพลงสดุดี และ ปัญญาจารย์ ; หนังสือคำพยากรณ์ เช่น อิสยาห์ และ วิวรณ์ หนังสือชีวประวัติ เช่น มัทธิวและ ยอห์น และ จดหมายของอัครทูต (จดหมายเป็นทางการ ) เช่น ทิตัส และ ฮีบรู

ผู้เขียน ผู้เขียนที่แตกต่างกันประมาณ 40 คนมีส่วนร่วมในการเขียนพระคัมภีร์ ซึ่งถูกเขียนในช่วงประมาณ 1500 ปีที่ผ่านมา

ผู้เขียนได้แก่ กษัตริย์ ชาวประมง ปุโรหิต ข้าราชการ เกษตรกร ผู้เลี้ยงแกะและ แพทย์

จาก ความหลากหลาย ทั้งหมดนี้ มาร่วมสามัคคีที่น่าทึ่ง โดยมีรูปแบบที่เรียงรอยเหมือนกันตลอด

ความเป็นอันเดียวกันของพระคัมภีร์เนื่องจากความจริงที่ว่าในท้ายที่สุดก็มีพระผู้เขียนองค์เดียวคือ พระเจ้า

พระคัมภีร์เป็น "ลมหายใจของพระเจ้า"

16 พระคัมภีร์ ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม 

บรรดาคนผู้เขียนสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเขาเขียน และผลลัพธ์คือพระคำที่สมบูรณ์แบบและบริสุทธิ์ของพระเจ้า

Psalm บทเพลงสดุดี12:6 6 

6 พระดำรัสของพระเจ้า เป็นพระดำรัสที่บริสุทธิ์ เป็นเหมือนเงินหลอมให้บริสุทธิ์ใน เตาไฟบนแผ่นดินแล้วถึงเจ็ดครั้ง 

21 เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความคิดในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจเขา 

การแบ่งแยก พระคัมภีร์ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักคือพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่

กล่าวโดยสรุป พันธสัญญาเดิมเป็นเรื่องราวของประเทศและพันธสัญญาใหม่เป็นเรื่องราวของคน

ประเทศเป็นวิธีการที่จะนำมนุษย์----พระเยซูคริสต์----เข้ามาในโลก

พันธสัญญาเดิมอธิบายถึงการก่อตั้งและการรักษาชนชาติอิสราเอล

พระเจ้าทรงสัญญาที่จะใช้อิสราเอลเพื่ออวยพรให้คนทั้งโลก

2 เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร 

3 เราจะอำนวยพรแก่คนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า” 

เมื่ออิสราเอลได้รับการก่อตั้งขึ้นเป็นประเทศ พระเจ้าทรงยกครอบครัวหนึ่งภายในประเทศ เพื่อทรงเทพระพรผ่านมาทางครอบครัวของดาวิด

3 “ข้าพระองค์ได้กระทำพันธสัญญากับผู้ที่ถูกเลือกของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้ปฏิญาณกับดาวิดผู้รับใช้ของเราว่า 

4 'ข้าพระองค์จะสถาปนาเชื้อสายของเจ้าไว้เป็นนิตย์ และจะสร้างบัลลังก์ของเจ้าไว้ทุกชั่ว ชาติพันธุ์' 

จากนั้นสืบสายจากครอบครัวของดาวิด บุคคลหนึ่งตามพระสัญญาจะทรงนำพระพรมาดังที่ทรงสัญญา

1 จะมีหน่อแตกออกมาจากตอแห่งเจสซี จะมีกิ่งงอกออกมาจากรากทั้งหลาย ของเขา 

2 และพระวิญญาณของพระเจ้าจะอยู่บนท่านนั้น คือวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ วิญญาณแห่งการวินิจฉัยและอานุภาพ วิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระเจ้า 

3 ความพึงใจของท่านก็ในความยำเกรงพระเจ้า ท่านจะไม่พิพากษาตามซึ่งตาท่านเห็น หรือตัดสินตามซึ่งหูท่านได้ยิน 

4 แต่ท่านจะพิพากษาคนจนด้วยความชอบธรรม และตัดสินเผื่อผู้มีใจถ่อมแห่งแผ่นดินโลกด้วยความเที่ยงธรรม ท่านจะตีโลกด้วยตะบองแห่งปากของท่าน และท่านจะประหารคนอธรรมด้วยลมแห่งริมฝีปากของท่าน 

5 ความชอบธรรมจะเป็นผ้าคาดเอวของท่าน และความสัตย์สุจริตจะเป็นผ้าคาดบั้นเอวของท่าน 

6 สุนัขป่าจะอยู่กับลูกแกะ และเสือดาวจะนอนอยู่กับลูกแพะ ลูกโคกับสิงห์หนุ่มจะหากินอยู่ด้วยกัน และเด็กเล็กๆจะนำมันไป 

7 แม่โคกับหมีจะกินด้วยกัน ลูกของมันก็จะนอนอยู่ด้วยกัน

และสิงห์จะกินฟางเหมือนวัวผู้ 

8 และทารกกินนมจะเล่นอยู่ที่ปากรูงูเห่า และเด็กที่หย่านมจะเอามือวางบนรังของงูทับทาง 

9 สัตว์เหล่านั้นจะไม่ทำให้เจ็บหรือจะทำลาย ทั่วภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา เพราะว่าแผ่นดินโลก จะเต็มไปด้วยความรู้เรื่องของพระเจ้า ดั่งน้ำปกคลุมทะเลอยู่นั้น 

10 ในวันนั้น รากแห่งเจสซี ซึ่งตั้งขึ้นเป็นเครื่องหมายแก่ชนชาติทั้งหลาย จะเป็นที่แสวงหาของบรรดาประชาชาติ และที่พำนักของท่านจะรุ่งโรจน์ 

พันธสัญญาใหม่ให้รายละเอียดการเสด็จมาของบุคคลหนึ่งตามพระสัญญา

พระนามของพระองค์คือพระเยซูและทรงทำให้คำทำนายของพันธสัญญาเดิมสำเร็จครบบริบูรณ์ ทรงมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ทรงสิ้นพระชนม์และทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและทรงฟื้นจากความตาย

ทรงเป็นคนกลาง พระเยซูทรงเป็นคนกลางที่สำคัญในพระคัมภีร์---หนังสือทั้งหมดเป็นจริงเกี่ยวกับพระองค์

พันธสัญญาเดิมทำนายการเสด็จมาของพระองค์ และตั้งเวทีสำหรับการเข้าสู่โลกของพระองค์

พันธสัญญาใหม่อธิบายการเสด็จมาและภารกิจของพระองค์เพื่อนำความรอดมาสู่โลกแห่งความบาป

พระเยซูทรงเป็นยิ่งกว่าบุคคลทางประวัติศาสตร์ในความเป็นจริงทรงเป็นคนยิ่งกว่าคนธรรมดา

ทรงเป็นพระเจ้าฝ่ายเนื้อหนัง และการเสด็จมาของพระองค์เป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก

พระเจ้าทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อที่จะทำให้เรามีเห็นภาพชัดเจนและเข้าใจว่าทรงเป็นผู้ใด

พระเจ้าทรงพระลักษณะอย่างไร พระองค์ทรงเป็นเหมือนพระเยซู พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าในร่างมนุษย์

14 พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา

9 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับท่านนานถึงเพียงนี้และท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า 'ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเห็น' 

บทสรุปโดยย่อของพระคัมภีร์ พระเจ้าได้ทรงสร้าง มนุษย์และทรงวางเขาไว้ ในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ แต่คนกบฏต่อพระเจ้า และตกต่ำลงจากสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้เขาเป็น

พระเจ้าทรงให้โลกตกอยู่ภายใต้คำแช่งสาปเพราะบาป แต่ทรงวางแผนเพื่อปฏิบัติการเรียกคืนมนุษยชาติ และสรรพสิ่งทั้งหมดที่ทรงสร้างไปถึงพระสิริดั้งเดิม

ในฐานะที่เป็น ส่วนหนึ่งของแผนการไถ่บาปของพระองค์ พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมออกจากบาบิโลนไปเข้าใน คานาอัน (ประมาณ 2000 ปี กคศ)

พระเจ้าได้ทรงสัญญากับอับราฮัม อิสอัคลูกชายของเขา และยาโคบ หลานชายของเขา (ที่เรียกว่า อิสราเอล) ว่าพระองค์จะทรงประทานพรให้โลกผ่าน ลูกหลานของ พวกเขา

ครอบครัว ของอิสราเอลได้อพยพจาก คานาอันไปยังอียิปต์ ที่นั่นพวกเขาเติบโตมากขึ้นเป็น ประเทศ

ราวปี 1400 ปี กคศ พระเจ้าได้ทรงนำลูกหลานของอิสราเอลออกจากอียิปต์ภายใต้การนำทางของโมเสส และทรงประทานให้พวกเขามีแผ่นดินเป็นของตัวเองตามพระสัญญาคือคะนาอัน

โดยทางโมเสส พระเจ้าทรงประทานบทบัญญัติและกระทำพันธสัญญา( สัตย์สาบาน ) กับพวกเขา

ถ้าพวกเขาจะยังคงซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า และไม่ติดตามการไหว้รูปเคารพของประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ แล้วพวกเขาก็เจริญรุ่งเรือง

ถ้าพวกเขา ได้ละทิ้ง พระเจ้า และติดตามรูปเคารพแล้ว พระเจ้าจะทรงทำลายชนชาติของเขา

ประมาณ 400 ปีต่อมา ในช่วงรัชสมัย ของดาวิดและโซโลมอนลูกชายของเขา อิสราเอลได้รับการ ทำให้เป็นปึกแผ่นเป็นราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจ

พระเจ้าได้ทรงสัญญากับดาวิด และโซโลมอนว่าลูกหลานคนหนึ่งของพวกเขาจะเสด็จมาปกครอง เป็นกษัตริย์องค์นิรันดร์

หลังจากรัชสมัย ของโซโลมอน ประเทศ อิสราเอลถูกแบ่งแยกออก

ชนสิบเผ่าไปทางทิศเหนือ มีชื่อเรียกว่า " อิสราเอล " และพวกเขาดำรงอยู่เป็นเวลาประมาณ 200 ปี ก่อนที่ พระเจ้าทรงพิพากษาลงโทษพวกเขาเรื่องการไหว้รูปเคารพ

อัสซีเรียยึดเอาอิสราเอลเป็นเชลย ประมาณ 721 ก่อนคริสตกาล

ชนสองเผ่าในภาคใต้ ถูกเรียกว่า " ยูดาห์ " และพวกเขา ดำรงอยู่ไม่นาน แต่ในที่สุด พวกเขาก็หันออกจากพระเจ้า บาบิโลนจับพวกเขา เป็นเชลย ประมาณ 600 ปี ก่อนคริสต์กาล

ประมาณ 70 ปีต่อมา พระเจ้าทรงนำเชลยที่หลงเหลือกลับเข้ามาในดินแดนบ้านเกิด เยรูซาเล็ม เมืองหลวง ได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่ประมาณ 444 ปี กคศ และอีกครั้งที่อิสราเอลได้จัดตั้งประเทศเป็นเอกลักษณ์ของชาติ ดังนั้นยุคพันธสัญญาเดิมก็จบลง

ประมาณ 400 ปีต่อมา พันธสัญญาใหม่มีเรื่องการบังเกิดของพระเยซูคริสต์ ในเบธเลเฮม

พระเยซูทรงเป็นลูกหลานแห่งพันธสัญญาที่ทรงทำกับอับราฮัมและดาวิด บุคคลหนึ่งที่มากระทำให้ แผนการของพระเจ้าเพื่อไถ่บาปมนุษย์และการฟื้นคืนสรรพสิ่งสำเร็จลงได้

พระเยซูทรงสัตย์ซื่อและทรงเสร็จสิ้นภารกิจของพระองค์ พระองค์ทรงพลีพระชนม์ไถ่บาป และทรงฟื้นคืนพระชนม์จากตาย

การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เป็นรากฐานสำหรับ พันธสัญญาใหม่ ( สัตย์สาบาน ) ต่อโลก

ทุกคนที่ มีความเชื่อ ในพระเยซู จะรอดจากบาปและมีชีวิตนิรันดร์


หลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ พระเยซูทรงส่งสาวกของพระองค์ไปเผยแพร่ข่าวชีวิตของพระองค์ และฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่ช่วยให้รอด

สาวกของพระเยซูได้ไปทุกทิศทางเผยแพร่ข่าวประเสริฐของพระเยซูและความรอด

พวกเขาได้เดินทางผ่านเอเชียไมเนอร์ กรีซ และ ทั่วจักรวรรดิโรมัน

พันธสัญญาใหม่จบลงด้วยคำทำนายเรื่องการเสด็จกลับมาของพระเยซู เพื่อทรงพิพากษาชาวโลกที่ไม่เชื่อและทรงปลดปล่อยสรรพสิ่งที่ทรงสร้างให้พ้นจากคำแช่งสาป 



www.gotquestions.org

ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...