วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ทำไมพระเยซูถึงรักเด็ก


ผู้ที่ถ่อมใจมีหัวใจเชื่อฟังแบบเด็ก แผ่นดินสวรรค์ก็จะเป็นของคนเหล่านั้น

พระเยซูทรงเปิดโอกาสให้เด็กๆ เข้ามาหาพระองค์เพราะทรงเห็นคุณค่าเด็ก และต้องการให้สาวกของพระองค์เปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ เพราะพวกสาวกมองว่าเด็กๆ รบกวนเวลาของพระองค์ แต่พระองค์กลับเห็นความสำคัญของการให้เวลาแก่เด็ก แม้พระองค์จะมีภารกิจที่ต้องทำมากมายก็ตาม การให้เวลาแก่เด็กเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยกว่าสิ่งอื่นๆ

เราทุกคนจึงควรเห็นคุณค่าของเด็กอย่างจริงจัง อย่ามองเด็กเป็นเด็ก มีคำสุภาษิตที่ว่า "อย่าคบเด็กสร้างบ้าน" ทำให้ผู้ใหญ่จึงมองเด็กทำตัวไร้สาระ แต่ถ้าบ้านขาดเด็กก็ไม่มีสีสัน เพราะเด็กจะทำให้เรามีรอยยิ้มเสมอ เมื่อเราเห็นความสามารถที่พวกเขาแสดงออกมา

เราควรจะต้องมีเวลาการแสดงความสามารถให้กับพวกเขาแสดง ไม่อย่างนั้นความสามารถของเขาจะถูกละเลย และนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกที่ควร เมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่น เช่น เด็กที่ไปเขียนฝาผนังที่สาธารณะ หรือ ไปแข่งรถ เป็นเด็กแว้นซ์บอย และสก๊อยเกิร์ล สร้างปัญหาในสังคม
ในครอบครัวของเราควรต้องให้เวลาและสร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณของเด็กด้วย ในชุมชน ในคริสตจักรและในทุกส่วนต้องจัดสรรคนที่ดีมีคุณภาพเพื่อสร้างเด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของอาณาจักรพระเจ้า

พระเยซูคริสต์ใช้เด็กเป็นตัวอย่างในการสอนพวกสาวกให้มีความเชื่อและถ่อมใจเรียนรู้จากเด็ก เพราะผู้ที่ถ่อมใจมีหัวใจเชื่อฟังแบบเด็ก แผ่นดินสวรรค์ก็จะเป็นของคนเหล่านั้น

แท้จริงเด็กมีสิ่งดีมากมายที่เราสามารถเลียนแบบได้ เราไม่ควรเป็นผู้ใหญ่ที่หยิ่ง ไม่รับฟังหรือยอมรับสิ่งที่ดีจากผู้ที่อายุน้อยกว่า

ผู้นำสามารถเรียนรู้สิ่งดีจากผู้ที่อยู่ในการอภิบาลของตนได้เช่นกัน อย่าคิดว่าเราอาบน้ำร้อนมาก่อน รับบัพติศมาในน้ำมาก่อนพวกเขา

ในปัจจุบันคนรุ่นใหม่มีความคิดความอ่านที่ดี เราควรจะเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นและนำสิ่งที่ดีของเขามาปรับใช้ได้

ในปีใหม่นี้ขอพระเจ้าทรงช่วยเราให้มีความคิดแบบผู้ใหญ่ ที่มีความรับผิดชอบ และมีหัวใจแบบเด็กๆที่เชื่อฟังพระองค์ ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

พระคัมภีร์ตอนนี้ได้บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ ที่ผู้ปกครองนำเด็กมาหาพระเยซูเพื่อให้พระองค์วางมืออวยพรเด็ก แต่สาวกกีดกันไม่ให้มาหาพระเยซูเพราะเกรงว่าจะมารบกวนพระองค์ พระเยซูทรงไม่พอพระทัยที่สาวกมีทัศนคติในเรื่องของเด็กไม่ถูกต้อง พระองค์จึงทรงสอนให้ผู้ใหญ่ให้เรียนรู้จากเด็ก โดยปรับมุมมองใหม่ให้โดยมีความคิดแบบผู้ใหญ่ หัวใจแบบเด็กๆ

เราควรจะมองเด็กแบบพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้ให้สิ่งที่ดีแก่เด็ก(ข้อ 16) นั่นคือ พระองค์ทรงอุ้มให้ความใกล้ชิดที่สุด และทรงวางมือให้พรอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

เด็กควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากผู้ใหญ่ ถ้าเด็กได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เขาก็จะมีรากฐานชีวิตที่ดีที่สุดและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีที่สุด สิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากพระคัมภีร์ตอนนี้  

คำสอนของพระเยซูคริสต์ในมาระโกบทที่10:13-16


13 ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ทรงถูกต้องตัวเด็กนั้น แต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามไว้

14 เมื่อพระเยซูทรงเห็นดังนั้นก็ไม่พอพระทัย จึงตรัสแก่เหล่าสาวกว่า "จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น

15 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับแผ่นดินของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินนั้นไม่ได้"

16 แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กเล็กๆเหล่านั้นวางพระหัตถ์บนเขา แล้วทรงอวยพรให้

“พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้”  
เป็นธรรมเนียมของพ่อแม่ชาวยิวที่จะนำเด็กมาให้รับบีผู้มีชื่อเสียงอวยพรเนื่องในโอกาสครอบรอบวันเกิด 1 ขวบ
   แต่สถานการณ์ในขณะนั้นคือ พระเยซูเจ้ากำลังมุ่งหน้าลงใต้สู่แคว้นยูเดีย โดยมีการทรมานและความตายบนไม้กางเขนรอคอยพระองค์อยู่เบื้องหน้า
แน่นอนว่าพระองค์ทรงเครียดและเต็มไปด้วยความกดดัน  พวกอัครสาวกเองก็ทราบดีและพยายามปกป้องพระองค์จากสิ่งกวนใจต่าง ๆ นานา จนถึงขั้นต้องดุพ่อแม่เด็กในครั้งนี้
    แต่พระองค์กลับตรัสว่า “ปล่อยให้เด็กเล็ก ๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย” (ข้อ 14) แล้วทรงอุ้มและอวยพรเด็กเหล่านั้น
    ช่างเป็นภาพและเสียงที่น่าประทับใจสักเพียงใด !!!
    เด็กเล็ก ๆ มีคุณลักษณะอะไรหรือ พระเยซูเจ้าจึงรักและให้ความสำคัญมากถึงกับตรัสว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้” ?
    1.    เด็กมีความสุภาพ  จริงอยู่มีเด็กบางคนชอบแสดงออก แต่ก็มีจำนวนน้อยและส่วนใหญ่เป็นเพราะการอบรมหรือได้เห็นแบบอย่างผิด ๆ จากผู้ใหญ่
         โดยทั่วไปเด็กไม่ชอบออกงาน ไม่ชอบเด่น ไม่ชอบออกหน้า แต่ชอบหลบอยู่หลังผู้ใหญ่  นั่นเป็นเพราะพวกเขายังไม่รู้จักความหยิ่งจองหอง ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือชื่อเสียงเกียรติยศ
        และที่สำคัญคือ พวกเขายังไม่รู้จักค้นพบ “ความสำคัญของตนเอง” !
    2.    เด็กมีความนบนอบ ภายนอก เด็กอาจดูเหมือนซุกซน ดื้อดึง แต่จริง ๆ แล้วสัญชาติญาณของเด็กคือความนบนอบ  เหตุผลคือเด็กยังไม่รู้จักหยิ่งจองหองจนไม่ยอมขึ้นกับผู้อื่นแบบไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งรังแต่จะทำให้ตัวเองแยกจากพ่อแม่ เพื่อน ๆ หรือแม้แต่พระเจ้า
    3.    เด็กมีความวางใจ เห็นได้จาก
        3.1 เด็กยอมรับผู้ที่เหนือกว่า  เพราะพวกเขาตระหนักดีว่าตนด้อยปัญญา ช่วยเหลือตนเองไม่ได้  จึงยอมรับและวางใจผู้ที่รู้มากกว่า มีความสามารถมากกว่า ดังเช่นพ่อแม่ และครูบาอาจารย์ เป็นต้น
        3.2 เด็กไว้ใจคนอื่นแม้แต่คนแปลกหน้า ซึ่งหลายครั้งนำไปสู่การล่อลวงและอาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อตัวเด็กเอง
         กระนั้นก็ตาม ความวางใจของเด็กยังเป็นสิ่งที่น่ารักและไม่ควรมีผู้ใดฉกฉวยโอกาสจากความน่ารักนี้.... เพราะเด็ก “เชื่อในความดีของคนอื่นเสมอ” !
    4.    เด็กไม่จดจำความผิด เพราะเด็กไม่รู้จักสะสมความขมขื่นและความเคียดแค้น  แม้เมื่อเด็กได้รับการปฏิบัติอย่างอยุติธรรม เขาก็ลืม...
         ลืมจนไม่คิดว่าต้องให้อภัย !

 ความรักของพระเยซูที่มีต่อเด็กๆ ตอนที่ผู้คนไม่ได้ใส่ใจเป็นคำเตือนที่ดีเยี่ยมมาก เป็นการเตือนให้เห็นความรักของพระเจ้าในสิ่งที่โลกมักจะละเมิดหรือทอดทิ้ง พระองค์เรียกเรามาให้รักคนที่ไม่มีใครรัก คนที่ถูกลืม คนที่ถูกทำร้ายและถูกทอดทิ้ง ทำไมน่ะหรือ? เพราะอิสราเอลก็เป็นแบบนั้นตอนอยู่ในอียิปต์ และเป็นสิ่งที่ทำให้พระเยซูอยู่ที่กางเขน และนั่นคือสิ่งที่เราเป็น หากเราไม่ได้รับพระคุณ (โรม 5:6-11) เราจะอ้างได้อย่างไรว่าเรารู้จักความรอด ถ้าเราไม่แบ่งปันกับผู้อื่นที่ต้องการพระคุณ? เราจะอ้างได้อย่างไรว่าเราเป็นลูกศิษย์ของพระเยซู ถ้าเราไม่แสดงความรักต่อผู้ที่โลกไม่สนใจ

คำอธิษฐาน
พระบิดา ข้าพระองค์อยากจะมีความเป็นพ่อแม่มากขึ้นเช่นเดียวกับพระองค์ — เป็นพ่อแม่ที่แสดงความบริสุทธิ์และมีความรักให้กับลูกๆ ของตัวเอง และเป็นพ่อแม่ผู้อ่อนโยน สำหรับเด็กๆ ที่ถูกลืม ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์ไม่เพียงแต่จะตื่นตัวเมื่อรู้เกี่ยวกับเด็กที่ถูกละเลยหรือการละเมิดเด็กในโลกนี้ แต่ขอที่จะทรงให้ข้าพระองค์ลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการอวยพรเด็กๆ เหล่านั้น อธิษฐานในพระนามของพระเยซู ผู้ที่รักเด็กๆ ทุกคน อาเมน

KC Love GOD



ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...