วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2557

พระยาเวห์ หรือพระยะโฮวา


พระเยโฮวาห์ 

พระยาเวห์ หรือพระยะโฮวา เป็นพระนามของพระเจ้าองค์สูงสุดที่ปรากฏในพระคัมภีร์ไบเบิล ภาคภาษาฮีบรูหรือที่พระศาสนจักรเรียกว่าพันธสัญญาเดิม ในพระคัมภีร์ฉบับแปลในภาษาไทยเล่มเก่านั้นปรากฏพระนามนี้อยู่มากทีเดียว ในคัมภีร์ดั้งเดิมเขียนด้วยอักษร 4 ตัวแต่เนื่องจากอักษร 4ตัว (ยฮวฮ.) นั้นผู้เขียนไม่ได้ใส่สระไว้ทำให้การออกเสียงที่ถูกต้องจึงถูกถ่ายทอดต่อกันมาโดยการพูด พระคัมภีร์ดังเดิมหรือต้นฉบับนั้นมีปรากฏพระนามนี้หลายพันครั้งหรือแม้แต่ในฉบับภาษาไทยเล่มเก่าๆยังปรากฏพระนามนี้อยู่ การแปลในยุคต่อๆมาได้ตัดพระนามนี้ทิ้งแล้วเปลี่ยนเป็นคำพระเจ้าแทนถ้ายังมีปรากฏอยู่บ้างจะสะกดว่าพระยาเวห์ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Yaweh ยาเวห์ คือพระนามของพระเจ้าองค์สูงสุดซึ่งปรากฏในพระคัมภีร์ไบเบิล แต่ถึงอย่างไรก็ตามในต้นฉบับดั้งเดิมนั้นปรากฏพระนามนี้ประมาณ 7 พันครั้ง* ความหมาย : ในภาษาฮีบรู ยาเวห์ แปลว่า ผู้ทรงบันดาลให้เป็น ซึ่งก็คือ พระองค์ทรงฤทธิ์ที่จะเป็นอะไรก็ได้ตามพระประสงค์ของพระองค์


ความเป็นลักษณะ : พระองค์มีคุณลักษณะที่เด่นหลายประการ เช่น ความรัก,อำนาจ,ยุติธรรม,สติปัญญา ฯลฯ
ราชกิจของพระเจ้า : ตามบันทึกในพระคัมภีร์ ไบเบิล ในหนังสือปฐมกาล
- 1:1 กล่าวว่า เมื่อเดิม พระเจ้าได้ทรงเนรมิตสร้างฟ้าและดิน
- ข้อ 11 กล่าวว่า ได้ทรงให้มีต้นไม้เกิดผลต่าง ฯ เกิดขึ้น
- ข้อ 16 พระองค์สร้างดวงสว่างไว้ 2 ดวง ดวงใหญ่รักษาวัน ดวงเล็กรักษาคืน
- ข้อ 20 ทรงสร้างฝูงสัตว์ให้มีอยู่ในน้ำ
- ข้อ 24 ทรงสร้างฝูงสัตว์ให้เกิดขึ้นที่แผ่นดิน
- ข้อ 27 ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นให้เป็นชายและหญิง
- บท 2:8 พระองค์ได้ทรงสร้างสวนเอเดนให้เป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์คู่แรก คืออาดัมและเอวา

baanjomyut.com

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

พระวิญญาณบริสุทธิ์คือใคร

พระวิญญาณบริสุทธิ์คือใคร

ถาม:  “พระวิญญาณบริสุทธิ์คือใคร หรือเป็นอะไร? ฉันเคยอ่านเจอในเว็บไซต์ของคุณหลายครั้งแล้ว”
เราตอบ:  พระวิญญาณบริสุทธิ์คือ พระเจ้าผู้ซึ่งเสด็จมาสถิตอยู่กับสาวกผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ หลังจากที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายและเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว (กิจการ บทที่2) พระเยซูได้ตรัสกับเหล่าอัครสาวกว่า...
“เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะทรงประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อพระองค์จะได้อยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นพระองค์และไม่รู้จักพระองค์ ท่านทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับท่านและจะประทับอยู่ในท่าน เราจะไม่ละทิ้งท่านทั้งหลายไว้ให้เปล่าเปลี่ยว เราจะมาหาท่าน” (ยอห์น14:16-18)
พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่คลุมเครือ หรือเป็นเพียงเงาของสิ่งที่ไม่มีจับต้องไม่ได้ หรือเป็นเพียงพลังงานที่ไม่มีตัวตน แต่ทรงเป็นพระเจ้าที่เท่าเทียมกับพระเจ้าพระบิดาและพระเจ้าพระบุตรในทุกทาง พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นสถานะที่สามของพระเจ้า(ในตรีเอกานุภาพ) พระเยซูตรัสกับพวกอัครสาวกว่า....
พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้ แล้วตรัสกับเขาว่า "ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้วเหตุฉะนั้น เจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่เเหละ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค" (มัทธิว 28:18- 20)
พระเจ้าทรงมีสามสถานภาพคือ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรและพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระลักษณะทั้งหลายของพระเจ้าเมื่อกล่าวถึงพระบิดาและพระบุตร ก็เป็นของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างเท่าเทียมกันทุกประการ เมื่อผู้หนึ่งผู้ใดได้บังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณโดยการเชื่อวางใจและต้อนรับพระเยซูเข้ามาในชีวิต (ยอห์น1:12-13, ยอห์น3:3-21) พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในบุคคลผู้นั้นโดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1โครินธ์3:16) พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมีพระสติปัญญา (1โครินธ์2:11) ทรงมีอารมณ์ความรู้สึก (โรม15:30) และทรงมีเจตนารมณ์ (1โครินธ์12:11) บทบาทเบื้องต้นของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือ เป็น “พยาน” ของพระเยซูคริสต์ (ยอห์น15:26, 16:14) พระองค์ตรัสภายในจิตใจของมนุษย์ให้รู้ถึงความจริงของพระเยซูคริสต์ พระองค์ยังทรงเป็นเหมือนพระอาจารย์ของคริสเตียนทุกคน (1โครินธ์2:9-14) พระองค์ทรงเปิดเผยถึงน้ำพระทัยและความจริงของพระเจ้าแก่คริสเตียน ทุกคนดังที่พระเยซูตรัสแก่เหล่าสาวกว่า...
“แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระบิดาทรงใช้มาในนามของเรานั้น จะทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว” (ยอห์น14:26)
“เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น” (ยอห์น16:13)
พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้สถิตอยู่ในชีวิตของทุกคนที่เชื่อในพระเยซูเพื่อที่จะทรงสร้างพระลักษณะของพระองค์ขึ้นในชีวิตของผู้เชื่อเหล่านั้น ในแบบที่เราไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดประทานความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปราณี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน ให้แก่เรา (กาลาเทีย5:22-23) พระองค์ทรงขอให้เราพึ่งพาในพระองค์ เพื่อให้ทรงสร้างลักษณะนิสัยเหล่านี้ขึ้นในชีวิตของเรา แทนที่จะเป็นตัวเราเองที่พยายามจะรัก มีความอดทนและความปรานีต่อผู้อื่น ดังนั้น คริสเตียนได้รับการบอกกล่าวให้ดำเนินชีวิตโดยพระวิญญาณ (กาลาเทีย5:25) และเปี่ยมล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (เอเฟซัส5:18) และพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ประทานฤทธิ์เดชให้แก่คริสเตียนในการทำงานรับใช้พระเจ้าในหน้าที่ต่างๆ ซึ่งช่วยทำให้เกิดการเติบโตขึ้นฝ่ายจิตวิญญาณท่ามกลางพวกเขาอีกด้วย (โรม12, 1โครินธ์:12, เอเฟซัส 4)
พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังทรงทำงานในชีวิตของผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียนด้วยเช่นกัน พระองค์ทรงกระทำให้มนุษย์สำนึกถึงความจริงในจิตใจของเขาที่ว่า เราทุกคนเป็นคนบาปซึ่ง ต้องการอภัยโทษบาป และการที่พระเยซูทรงเป็นผู้ชอบธรรมอย่างไร คือที่พระองค์ทรงยอมสิ้นพระชนม์แทนเราเพื่อไถ่โทษความผิดบาปของเรา และการที่พระเจ้าจะทรงพิพากษาโลกและคนที่ไม่ได้รู้จักกับพระองค์ในวันหนึ่ง (ยอห์น16:8-11) พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสในจิตใจและความคิดของเรา ทรงเรียกให้เรากลับใจและหันหน้าเข้าหาพระเจ้าเพื่อรับการอภัยโทษและรับชีวิตใหม่ในพระองค์

ขอบคุณข้อมูลจากเพจ everythaistudent.com

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2557

พระตรีเอกภาพ คืออะไร

holy trinity-1
พระตรีเอกภาพ : สามพระบุคคล

พระเจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียวและไม่มีที่สิ้นสุด แต่พระองค์ไม่ทรงอยู่โดดเดี่ยว เหตุว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก พระองค์จึงทรงเป็นสามพระบุคคลซึ่งรักกันและกัน

    ในพระเจ้าหนึ่งเดียว พระบิดา คือ พระผู้ให้ พระบุตร คือ พระผู้ทรงรับพระบิดา และมอบชีวิตตนให้แก่พระบิดา เพื่อโมทนาพระคุณพระองค์ พระจิต คือ พระผู้เป็นความสัมพันธ์ และความรักระหว่างพระบิดาและพระบุตร ทั้งสามพระบุคคลที่แตกต่างกันทรงเป็นหนึ่งเดียว ทรงเป็นความรักที่พิเศษจำเพาะทรงเป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว ในโลกที่พระองค์ทรงสร้าง ทั้งสามพระบุคคลทรงกระทำการร่วมกัน ทั้งนี้เพราะความรักของพระองค์เป็นหนึ่งเดียวพิเศษจำเพาะ

    อนึ่งการกระทำของพระเจ้าหนึ่งเดียว ทรงแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางบุคลิกภาพของพระบุคคลทั้งสาม พระบิดาทรงให้ชีวิตและทรงสร้าง และทั้งสามพระบุคคลทรงสร้างร่วมกัน พระบุตรไถ่กู้บุตรของพระเจ้า และทั้งสามพระบุคคลทรงไถ่กู้มนุษยชาติร่วมกัน พระจิตผู้ทรงเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพระบิดาและพระบุตร ทรงรวบรวมมนุษย์ทุกคนไว้ในพระศาสนจักรหนึ่งเดียว และทั้งสามพระบุคคลทรงรวบรวมพระศาสนจักร



ข้อความจากพระคัมภีร์ : “ในพระคริสตเจ้า ท่านทั้งหลายก็เช่นกัน กำลังถูกก่อสร้างร่วมกันขึ้นเป็นที่ประทับของพระเจ้าเดชะพระจิตเจ้า” (อฟ 2:22)


บทภาวนา : พระสิริรุ่งโรจน์แด่พระบิดา และพระบุตร และพระจิต เหมือนในปฐมกาล บัดนี้ และตลอดนิรันดร อาแมน



    • อะไรคือรหัสธรรมของพระเจ้าหนึ่งเดียว?

    - รหัสธรรมของพระเจ้า คือทรงเป็นความรัก หนึ่งเดียว ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ไม่ทรงอยู่โดดเดี่ยว

    • อะไรคือรหัสธรรมของพระตรีเอกภาพ?

    - รหัสธรรมของพระตรีเอกภาพ คือทรงเป็นความรักที่เป็นหนึ่งเดียวพิเศษจำเพาะ ไม่มีที่สิ้นสุด ระหว่างสามพระบุคคลในพระเจ้าหนึ่งเดียว

    • ใครคือสามพระบุคคลในพระตรีเอกภาพ?

    - พระบิดา คือ     พระผู้สร้างและให้ชีวิต
    - พระบุตร คือ     พระผู้ทรงรับความรักของพระบิดา และมอบชีวิตตนให้แก่พระบิดา 
    - พระจิต คือ     พระผู้เป็นความสัมพันธ์ และความรักระหว่างพระบิดาและพระบุตร


รหัสธรรมยิ่งใหญ่สามประการ
    พระเยซูเจ้าและพระจิตเจ้าทรงเผยแสดงให้เรารู้แจ้งในสัจจะที่สำคัญยิ่งต่อความสุขของพระเจ้าและของมนุษย์ สัจจะที่กล่าวนี้คือรหัสธรรมอันเป็นแสงสว่างในชีวิตคริสตชน รหัสธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าอื่นหมดเกี่ยวข้องโดยตรงกับพระเจ้าและมนุษย์ เป็นรหัสธรรมในองค์พระเจ้าผู้เป็นความรัก มีทั้งหมดสามประการด้วยกันคือ :

    พระตรีเอกภาพ : มีพระเจ้าหนึ่งเดียวในสามพระบุคคล
    การถือกำเนิดของพระเยซูเจ้า : พระเจ้าทรงถือกำเนิดเป็นมนุษย์
    การไถ่บาป : พระเจ้าทรงไถ่กู้มนุษยชาติ
    เมื่อเราเชื่อในรหัสธรรมสามประการนี้ เราก็เป็นคริสตชนเที่ยงแท้ และได้รับคำมั่นสัญญาว่า เรามีส่วนในชีวิตและความบรมสุขของพระเจ้า

ข้อความจากพระคัมภีร์ : พระองค์ทรงตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมล้ำลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่านทั้งหลายรู้” (มธ 13:11)

บทภาวนา : พระเจ้าข้า ความรักของพระองค์คือรหัสธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่าอื่นหมดข้าพเจ้ารักพระองค์

อะไรคือรหัสธรรมที่ยิ่งใหญ่สามประการ?
รหัสธรรมที่ยิ่งใหญ่สามประการคือ

พระตรีเอกภาพ
การถือกำเนิดของพระเยซูเจ้า
และการไถ่กู้มนุษยชาติ

พระตรีเอกภาพ (The Trinity)
ธรรมล้ำลึกของพระเจ้าองค์เดียวในสามพระบุคคล
คือท่อธารของการเป็นหนึ่งเดียวและความสนิทสัมพันธ์ทั้งหลาย
 สัญลักษณ์ที่เด่นชัดที่สุดของคริสต์ศาสนาก็คือพระตรีเอกภาพ ทั้งในแง่นามธรรมและเครื่องหมายแสดงทางคณิตศาสตร์ พระตรีเอกภาพหมายถึงการเป็นหนึ่งเดียวของทั้งสามพระบุคคล คือ พระบิดา พระบุตร และพระจิต ในรูปแบบของ สามเป็นหนึ่ง จากคำๆนี้ก็เกิดการเท่าเทียมที่เป็นทั้ง พระธรรมล้ำลึกและที่ไม่อาจจะเข้าใจได้ ของ 3=1 และ 1=3 แม้จะมีลักษณะเฉพาะตัว พระเจ้าก็ทรงเป็นสามพระบุคคลที่ไม่แยกจากกัน เป็นข้อเสนอที่ไม่ต้องพิสูจน์ที่ไม่อาจอธิบายได้นี้ อันเป็นการเริ่มต้นและการสิ้นสุดของทุกสิ่งก็ไม่ได้อธิบายอะไรเลย และเรื่องของสามเป็นหนึ่งเดียวอย่างที่สุดนี้สัมผัสเรา

    พระตรีเอกภาพที่เป็นนามธรรมนี้ได้รับการอธิบายแบบที่มองเห็นได้ด้วยสัญลักษณ์ทางเรขาคณิตที่เป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ซึ่งมักจะอยู่เหนือพระแท่น ศิลปะแบบบารอค ทั้งสามมุมและทั้งสามด้านเท่ากันแต่รวมเป็นแผ่นเดียว มีดวงตาอยู่ตรงกลางซึ่งหมายความว่าพระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นทุกสิ่ง – แต่ว่าตาดวงเดียวนี้มีพลัง ไม่ส่งเสริมให้คิดถึงสายตาแห่งความรักเลยแต่กลับชวนให้คิดถึงมโนธรรมที่หวาดกลัวซึ่งมีอยู่ในกาอินตามความคิดของวิกเตอร์ ฮิวโก
    คำว่า “ตรีเอกภาพ” ทำให้เราพูดถึงพระเจ้าองค์เดียวในสามพระเจ้า (Beings) ตามคำสอนของทั้งสามศาสนาที่เชื่อถึงลัทธิเอกเทวนิยม (monotheism เอกเทวนิยม) อันได้แก่ศาสนายิว คริสตศาสนาและศาสนาอิสลามนั้นพระเจ้าต้องเป็นองค์เดียว เหตุว่าถ้ามีมากกว่าองค์เดียวก็จะเป็นเครื่องหมายแสดงถึงการขาดคุณสมบัติหรือความอ่อนแอ ถ้ามีพระเจ้าหลายองค์ก็จะมาลงเอยที่การเป็นปรปักษ์กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังที่ได้ปรากฏชัดแล้วในเทพนิยายของชาวกรีกและชาวโรมัน เนื่องจากคริสต์ศาสนาได้รับมรดกความคิดเรื่องการนับถือพระเจ้าองค์เดียวจากศาสนายิวจึงคิดว่าพระเจ้าองค์เดียว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าประทับอยู่โดดเดี่ยว สิ่งแรกและที่สำคัญที่สุดก็คือความรักที่ทรงมอยู่ภายในพระองค์และแผ่สู่สิ่งสร้างทั้งหมดของพระองค์ธรรมล้ำลึกของพระเจ้าก็คือธรรมล้ำลึกแห่งความรักซึ่งกันและกัน แห่งการสร้าง ประสบการณ์ชีวิตประจำวันของเราทำให้เราเข้าใจง่ายขึ้นว่าพ่อเป็นใคร ลูกเป็นใคร ตลอดจนลมหายใจแห่งความรักด้วย ในฐานะที่พระเจ้าทรงเป็นบ่อเกิดของทุกสิ่ง พระองค์มิได้ทรงกักพระองค์ท่านเองไว้ภายใน ในเวลาเดียวกันทรงเป็นพระบิดาที่เต็มไปด้วยความรัก อ่อนโยน พระบุตรทรงเป็นแก้วตาของพระองค์และพระจิตเจ้าแห่งความรักซึ่งทรงเป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างสามพระบุคคล
    พันธสัญญาเดิมซึ่งทั้งชาวยิวและคริสตชนบูชาเป็นพระวาจาของพระเจ้านั้นได้เผยแสดงให้เห็นถึงความเป็นบิดาที่มีเทวภาพอยู่แล้ว ท่านประกาศกโฮเชยากล่าวถ้อยคำที่น่าทึ่งเหล่านี้ว่า “เราสอนให้อิสราเอลเดินได้” อุ้มเขาไว้ในอ้อมแขนแสนสุขี แต่เขาไม่ยอมรับรู้อยู่เช่นนี้ เราหวังดีดูแลเขาเฝ้าห่วงใย เราโอบเขาด้วยรักประจักษ์จิต อุ้มเขาชิดแนบแก้มแย้มยิ้มให้ เราเลี้ยงดูแลเขาอย่างเอาใจ อยู่ชิดใกล้เคียงกันมั่นรักจริง” (ฮชย.11:3-4) ท่านประกาศกอิสยาห์ยังได้เสริมอีกว่าความรักฉันบิดานี้ยังรวมเอาความอ่อนโยนของมารดาเข้าอีกด้วย “แม่ทั่วหน้าลืมลูกได้อย่างไรเล่า เขาไม่รักบุตรแนบชิดสนิทเนา ที่ตนคลอดมานั้นหรือฉันใด ถึงแม้ว่าแม่ลืมลูกเคยผูกจิต กลับครวญคิดแปรผันหันหนีได้ แต่ตัวเราพระเจ้าเฝ้าใส่ใจ เราจะไม่ลืมเจ้าเนานิจกาล” (อสย.49:15) พระเอกบุตรของพระองค์เสด็จมาเพื่อเผยแสดงว่า พระบิดานั้นเต็มไปด้วยความรักอ่อนโยน ซึ่งความรักนิรันดร์ของพระองค์นั้นจะเห็นได้ทั่วไปในพระธรรมใหม่(๑) แรกสุดกับพระแม่มารีย์ซึ่งจะทรงเป็นพระมารดาของพระผู้ไถ่ ที่ซึ่งอัครทูตสวรรค์คาเบรียลได้เผยแสดงพระธรรมล้ำลึกของพระเจ้าเดียวในสามพระบุคคล การปฏิสนธินิรมลของพระบุตรผู้ทรงสรรพานุภาพเป็นงานของพระบุคคลที่สามในพระตรีเอกภาพคือพระจิตเจ้าแห่งความรัก ดังนั้น เหตุการณ์ที่อัครทูตสวรรค์คาเบรียลมาแจ้งสารแก่พระนางมารีย์ได้เผยแสดงถึงกับพระตรีเอกภาพแห่งความรัก (๒)
    พระวรสารตามคำเล่าของนักบุญยอห์นอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพระคริสต์กับพระบิดา ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกัน ตามแผนการของพระเจ้านั้นเราควรมีส่วนร่วมกับพระจิตเจ้าในการเป็นหนึ่งเดียวระหว่างพระบิดาและพระบุตร (๓) เพราะเหตุนี้เองที่จดหมายของนักบุญเปาโลจึงเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับพระตรีเอกภาพ ดังตัวอย่างของการทักทายต่อไปนี้ “ขอพระหรรษทานของพระเยซูคริสต์องค์ พระผู้เป็นเจ้า ขอความรักของพระเจ้าและความสนิทสัมพันธ์ของพระจิตเจ้า สถิตอยู่กับทุกท่านเทอญ” (2คร.13:13)
    ชาวเราได้รับการล้างในความรักที่รวมสามพระบุคคลให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ศีลศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกประกอบในพระนามของพระบิดา พระบุตรและพระจิต นั้นต่างได้รับการยอมรับโดยคริสต์ศาสนาทั้งสามนิกาย (คาทอลิก ออร์ธอดอกซ์และโปรเตสแตนท์) ความรักหรือมิตรภาพนั้นเป็นอารมณ์ที่เราทำให้มีเอกภาพแบบถาวรกับคนอื่น แต่ละคนยังไม่หลอมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างเต็มที่ ในฐานะที่พระตรีเอกภาพทรงเป็นผู้นำเราเข้าสู่ความรักของพระเจ้า พระตรีเอกภาพทรงเสนออย่างที่สมบูรณ์ที่สุดของการรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแก่เราเพราะว่าทั้งสามพระบุคคลทรงเป็นสาระเดียวกัน แต่มีข้อแตกต่างกัน
    มีตัวอย่างมากมายเกี่ยวกับพระตรีเอกภาพในศิลปะแบบคริสต์ ในทางตรงกันข้ามชาวยิวกับชาวมุสลิม ในความเคารพอย่างสูงสุดของพวกเขา ปฏิเสธที่จะบรรยายถึงพระเจ้า – นี่เป็นความหมายของพระบัญญัติที่พระยาเวห์ทรงประทานแก่โมเสสบนภูเขาซีนาย (๔) – ส่วนชาวคาทอลิกและออร์ธอดอกซ์ คริสตชนคิดว่าเป็นการถูกต้องที่จะสร้างภาพลักษณ์ของพระเจ้า เนื่องด้วยธรรมล้ำลึกแห่งการมาบังเกิดรับธรรมชาติมนุษย์ เนื่องจากพระบุคคลองค์หนึ่งในพระตรีเอกภาพทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ จึงบรรยายถึงพระองค์เป็นมนุษย์ในภาพวาดหรือรูปแกะสลัก ตัวอย่างง่ายๆแบบนี้ได้ปรากฏแล้วในคริสตศาสนา ระยะแรก เช่นเดียวกันได้มีบรรยายถึงพระจิตเจ้า ซึ่งทรงแสดงองค์ในรูปแบบของนกพิราบด้วย ไม่มีใครเคยเห็นพระบิดา ซึ่งทรงเป็น “ต้นกำเนิด” ของพระเจ้า
    ภาพแสดงพระตรีเอกภาพที่ดึกดำบรรพ์ที่สุด เห็นจะได้แก่ภาพของการรับพิธีล้างของพระคริสต์ “เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นจากน้ำ ทันใดนั้นก็ทรงเห็นท้องฟ้าถูกแหวกออกและพระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือพระองค์ดุจรูปนกพิราบและมีเสียงจากฟากฟ้ากล่าวว่า “เจ้าเป็นบุตรสุดที่รักของเราเป็นที่โปรดปรานของเรา” (มก 1:10-12)
ภาพที่สืบทอดมาจากดึกดำบรรพ์ คือรูปพระหัตถ์ของพระบิดาออกจากก้อนเมฆเพื่อ ชี้ถึงพระบุตร ซึ่งทรงมีรูปนกพิราบสัญลักษณ์พระจิตเจ้าอยู่เหนือพระบุตร
    ต่อมาอีกนานจึงได้มีการวาดรูปชายผู้สูงอายุที่มีผมดกและหนวดเครายาว บางรูปก็สวมมงกุฏด้วย เป็นพระบิดาที่ทรงช่วยยกกางเขนซึ่งพระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ในขณะที่นกพิราบบินอยู่เหนือพระเศียรทั้งสอง
    เหตุการณ์หนึ่งในเรื่องราวของอับราฮัม นับตั้งแต่พระศาสนจักรเริ่มแรกแล้ว ที่บ่อยครั้งใช้เป็นการบ่งบอกถึงธรรมล้ำลึกแห่งพระตรีเอกภาพ อันได้แก่ ภาพที่ทูตสวรรค์สามท่านมาเยี่ยมอับราฮัม ซึ่งตามความในพระคัมภีร์นั้นบางครั้งก็เป็นเอกพจน์บางครั้งก็เป็นพหูพจน์ (ปฐก 1:1-15) ตามธรรมเนียมของคริสต์ศาสนามักจะคิดว่าเป็นการวาดภาพถึง เรื่องพระตรีเอกภาพ ตั้งแต่ศตวรรษที่ห้ามาแล้วจะพบภาพหินประดับ (Mosaics) ในพระวิหารพระแม่มารีย์ที่กรุงโรม (Santa Maria Maggiore) ซึ่งถูกสร้างขึ้นตาม พระบัญชาของพระสันตะปาปาซิกตุสที่ 3 และยังพบเห็นที่ราเวนนา (Ravenna) อีกด้วย รูปวาดไอคอน เกี่ยวกับพระตรีเอกภาพที่มีชื่อเสียงของฤาษีอันไดร รูแบลฟ์เป็นที่คุ้นเคยกัน แต่ความจริงแล้วเป็นภาพของทูตสวรรค์สามองค์ที่มาเยี่ยมอับราฮัม ท่านทั้งสามนั่งเป็นวงกลมเพื่อแสดงออกถึงความรักที่ทรงมีต่อกันและในตรงกลางวงกลมนี้มีลูกแกะตัวหนึ่งนอนอยู่ตรงกลางโต๊ะ-แท่นที่พวกท่านนั่งล้อมวงอยู่ พวกเราก็สามารถที่จะเข้าไปอยู่ในวงแห่งความรักนี้ได้โดยร่วมในการถวายมิสซาบูชาขอบพระคุณ ซึ่งบันดาลให้เราเข้าถึงความรักอันสูงส่งที่แสดงออกโดยพระคริสต์พระผู้ไถ่บนกางเขน
    ความจริงแล้ว บทภาวนาในพิธีมิสซา จบด้วยข้อความเกี่ยวกับพระตรีเอกภาพซึ่งเผยแสดงถึงความหมายทั้งหมดของธรรมล้ำลึกในศาสนาคริสต์ว่า “อาศัยพระคริสตเจ้า พร้อมกับพระคริสตเจ้าและในพระคริสตเจ้า ข้าแต่พระบิดาผู้ทรงสรรพานุภาพ พระองค์ทรงพระสิริรุ่งโรจน์กับพระจิตตลอดนิรันดร” ทุกคนตอบรับพร้อมกันว่า “อาแมน” (ภาษาฮีบรู แปลว่า จริง แน่นอน)

(๑)    “ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรเพียงพระองค์เดียว ผู้สถิตอยู่ในพระอุระของพระบิดานั้น ได้ทรงเปิดเผยให้เราทราบ” (ยน.1:18)
(๒)    “พระจิตจะเสด็จมาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระเจ้าสูงสุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนั้นบุตรที่เกิดมาจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ และจะรับพระนามว่า พระบุตรของพระเจ้า” (ลก.1:35)
(๓)    ยน.17:20-21 (loc.cit)

(๔)    “เจ้าไม่ต้องทำรูปเคารพไว้สำหรับตัวไม่ว่าจะเป็นรูปคนหรือรูปสัตว์ที่อยู่ในท้องฟ้าหรือในโลก....” (อพย.20:4)

kamsonbkk.com

วันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2557

พระเจ้าทรงดำรงอยู่จริงหรือ?

พระเจ้าทรงดำรงอยู่จริงหรือ?

พระเจ้าทรงดำรงอยู่จริงหรือไม่? เหตุผลต่างๆที่ชัดเจน ตรงไปตรงมา ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่นำเสนอเพื่อการพิจารณาว่า มีพระเจ้าอยู่จริงๆ

โดย มาริลิน แอดัมสัน
คุณอาจเป็นคนหนึ่งใช่ไหม ที่อยากจะให้ใครสักคนมาแสดงหลักฐาน เกี่ยวกับการมีอยู่จริงของพระเจ้าสักครั้งหนึ่ง โดยที่ไม่มีการกดดัน หรือใช้คำพูดที่ว่า “คุณจำเป็นต้องเชื่อ” เอาละ นี่คือความพยายาม ที่จะให้เหตุผลบางอย่างซึ่งจะบอกว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริงๆ
แต่ก่อนอื่นคุณต้องตระหนักว่า ถ้าใครก็ตามที่คัดค้านความเชื่อที่ว่า มีความเป็นไปได้ว่ามีพระเจ้าอยู่จริงๆแล้วละก็ เมื่อนั้นหลักฐานต่างๆ ที่ถูกเสนอเกี่ยวด้วยเรื่องนี้ ก็จะมีผู้ที่หาเหตุผลอื่นๆเพื่อมาลบล้างหลักฐานต่างๆนั้นเสีย มันเหมือนกับผู้ปฏิเสธ ที่จะเชื่อว่า มีคนไปเดินบนดวงจันทร์มาแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของคนผู้นั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายของนักบินอวกาศที่ได้เดินบนดวงจันทร์ การสัมภาษณ์นักบินอวกาศ หรือ ก้อนหินที่เก็บมาจากดวงจันทร์ก็ดี… หลักฐานทุกอย่างไม่มีคุณค่าอะไรสำหรับคน ผู้นั้น เพราะเขาได้สรุปเอาเองเรียบร้อยแล้วว่าไม่มีใครสามารถเดินทางไปดวงจันทร์ได้
เมื่อมาถึงเรื่องความเป็นไปได้ในการดำรงอยู่ของพระเจ้า พระคัมภีร์ได้บอกเอาไว้ว่า มีบางคนที่เห็นหลักฐานอย่างพอเพียงแล้ว แต่เขาได้บีบคั้นความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า1 ในทางกลับกัน สำหรับผู้คนที่ต้องการรู้จักพระเจ้า หากพระองค์นั้นมีจริง พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเรา เมื่อเจ้าจะแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจ”2ก่อนที่คุณจะเริ่มมองหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องการดำรงอยู่ของพระเจ้า ให้ถามตัวคุณเองว่า “ถ้าพระเจ้ามีอยู่จริง ฉันอยากจะรู้จักกับพระองค์ไหม”? ที่นี้ให้เรามาดูเหตุผลต่างๆที่ว่ากัน

1. พระเจ้าทรงดำรงอยู่จริงหรือ? ความซับซ้อนของโลกเราชี้ให้เห็นถึง นักออกแบบผู้สุขุมรอบคอบ ที่ไม่ใช่แค่สร้างจักรวาลของเราเท่านั้น แต่ยังทำให้มันสามารถดำรงอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้

ตัวอย่างเกี่ยวกับการออกแบบของพระเจ้ามีอยู่มากมาย อาจจะไม่รู้จบด้วยซ้ำไป แต่นี่เป็นพียงบางส่วนเท่านั้น
ดาวโลก…ขนาดของมันสมบูรณ์เหมาะเจาะ ขนาดของโลกกับแรงโน้มถ่วงที่สอดคล้องกัน ดึงดูดชั้นบรรยากาศบางๆ รอบๆ ซึ่งประกอบด้วยก๊าซไนโตรเจนและออกซิเจนเป็นส่วนใหญ่ ชั้นบรรยากาศที่ว่านี้มีระยะทางวัดจากเปลือกโลกออกไปแค่ ประมาณ 50 ไมล์เท่านั้น ถ้าหากขนาดของโลกเล็กกว่าที่เป็นอยู่ ชั้นบรรยากาศดังกล่าว ก็จะไม่เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นเหมือนกับดาวพุธ หรือถ้าโลกมีขนาดใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ ชั้นบรรยากาศก็จะประกอบไปด้วยก๊าซไฮโดรเจนอิสระ ซึ่งเหมือนกับดาวพฤหัสบดี3 ดาวโลกเป็นพื้นพิภพเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่เราทราบ ว่ามีชั้นบรรยากาศซึ่งมีการผสมผสานอย่างเหมาะสมของก๊าซต่างๆ ที่ช่วยให้ พืช สัตว์และมนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
-ดาวโลก ถูกวางตำแหน่งให้อยู่ในระยะห่างที่เหมาะสมกับดวงอาทิตย์ อุณหภูมิที่เราอยู่กันสามารถเปลี่ยนแปลงประมาณแบบคร่าวๆได้ -30 ถึง 120 องศาฟาเรนไฮด์ ถ้าโลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์แม้สักนิดเดียวเราทุกคนก็จะหนาวตาย หรือถ้าเข้าใกล้อีกสักนิดหนึ่ง เราก็จะถูกแผดเผา แม้แค่การเปลี่ยนตำแหน่งของโลกจากดวงอาทิตย์เพียงน้อยนิดเท่านั้น ชีวิตบนโลกนี้ก็จะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ดาวโลกยังคงรักษาระยะห่างของมันจากดวงอาทิตย์อย่างสมบูรณ์ถึงแม้ว่ามันจะหมุนรอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วเกือบ 67,000 ไมล์ต่อชั่วโมง ก็ตาม และนอกจากนี้มันยังหมุนด้วยแกนของมันเอง ซึ่งทำให้พื้นผิวของโลกทั้งหมดได้รับความอบอุ่นและความเย็นอย่างเหมาะสมทุกๆวัน
และดวงจันทร์ของเราก็มีขนาดและระยะห่างที่เหมาะสมจากโลกสำหรับแรงดึงดูดของมัน ดวงจันทร์ได้สร้างกระแสน้ำขึ้น น้ำลง และการไหลเวียนที่สำคัญของมหาสมุทร เพื่อที่น้ำในมหาสมุทรจะไม่หยุดกองนิ่งอยู่ และที่มหาสมุทรขนาดใหญ่ของเราจะถูกควบคุมเอาไว้ไม่ให้มันเอ่อล้นข้ามทวีปได้4
น้ำ…ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตสักชนิดเดียวที่จะอยู่รอดได้โดยปราศจากมัน พืช สัตว์ และมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ในร่างกาย (ประมาณสองในสามของร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยน้ำ) คุณจะได้เห็นว่าทำไมคุณลักษณะของน้ำจึงเหมาะสมอย่างไม่มีสิ่งใดเหมือน ต่อสิ่งมีชีวิต
น้ำมีจุดเดือดและจุดเยือกแข็งที่ไม่ธรรมดา น้ำทำให้เราสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบขึ้นๆลงๆ ได้ ในขณะที่อุณหภูมิของร่างกายยังคงที่อยู่ที่ 98.6 องศาฟาเรนไฮด์ (37 องศาเซลเซียส)
-น้ำเป็นตัวทำละลายที่เป็นสากล คุณสมบัติเช่นนี้ของน้ำหมายถึงว่า สารเคมี แร่ธาตุ หรือสารอาหารต่างๆสามารถถูกนำไปสู่ส่วนต่างๆ ทั่วร่างกายได้และสามารถเข้าไปสู่เส้นเลือดที่เล็กที่สุดได้ด้วย5
น้ำยังมีสภาพที่เป็นกลางทางเคมี มันจึงไม่เปลี่ยนแปลงสสาร ที่มันนำไปสู่ร่างกาย มันจึงสามารถนำอาหาร ยา แร่ธาตุต่างๆ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้
น้ำมีแรงตึงผิวแบบพิเศษ น้ำในพืชจึงสามารถที่จะไหลย้อนขึ้นต้านแรงดึงดูดของโลกได้ เพื่อที่จะนำน้ำที่ให้ชีวิตและสารอาหารไปสู่ยอดของต้นไม้ แม้แต่ต้นไม้ที่สูงที่สุดก็ตาม
น้ำกลายเป็นน้ำแข็งจากด้านบนสู่ด้านล่างแล้วก็ลอยไป ดังนั้นปลาจึงสามารถมีชีวิตอยู่ได้ในช่วงฤดูหนาว
น้ำ ถึง 97 เปอร์เซ็นต์ของโลกนี้อยู่ในมหาสมุทร แต่บนโลกเรานี้มีระบบที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อที่จะนำเกลือออกจากน้ำ และก็ส่งน้ำนั้นไปทั่วๆผืนโลก การระเหย คือการนำน้ำออกจากมหาสมุทร ทิ้งเกลือเอาไว้และทำให้ไอน้ำนั้นจับตัวเป็นเมฆซึ่งเคลื่อนที่ได้ง่ายโดยลม เพื่อที่จะกระจายน้ำไปทั่วๆผืนแผ่นดิน สำหรับ พืช สัตว์และผู้คน มันเป็นระบบของการทำให้บริสุทธิ์และการจัดหาเสบียง ซึ่งช่วยให้สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ดำรงอยู่ มันเป็นระบบของการรีไซเคิลและการนำกลับมาใช้ใหม่ ของน้ำ6
สมองของมนุษย์…มีการประมวลข้อมูลจำนวนมากมายอย่างน่าอัศจรรย์ใจในเวลาพร้อมๆกัน สมองของคุณนำข้อมูลเกี่ยวกับสี และวัตถุที่คุณเห็นทั้งหมด อุณหภูมิรอบๆตัวคุณ แรงกดของเท้าของคุณกับพื้น เสียงต่างๆรอบตัวคุณ ความแห้งที่ปากของคุณ หรือแม้แต่ผิวสัมผัสของคีย์บอร์ดของคุณ สมองของคุณรับรู้และประมวลอารมณ์ความรู้สึก ความคิดและความทรงจำทั้งหมดของคุณเอาไว้ ในเวลาเดียวกันสมองของคุณก็ยัง รู้ความเป็นไปของการทำงานของร่างกายของคุณอีกด้วย อย่างเช่น รูปแบบการหายใจ การเคลื่อนไหวของ หนังตา ความหิว และการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่มือทั้งสองของคุณ
-สมองของมนุษย์มีการประมวลผลมากกว่าหนึ่งล้านข้อมูลต่อวินาที7 สมองของคุณชั่งน้ำหนักความสำคัญของข้อมูลเหล่านี้ และกรองเอา ข้อมูลที่ไม่ค่อยสำคัญออกไป หน้าที่ในการคัดกรองเช่นนี้ คือสิ่งที่ทำ ให้คุณสามารถที่จะมุ่งความสนใจและกระทำการอย่างมีประสิทธิภาพ ในโลกของคุณได้ สมองที่ต้องจัดการกับข้อมูลที่มากกว่าหนึ่งล้าน ข้อมูลต่อวินาที ในขณะเดียวกันก็ประเมินความสำคัญของข้อมูลเหล่านั้น เพื่อที่คุณจะสามารถลงมือกระทำการตามข้อมูลที่มีความสำคัญได้ สมองทำหน้าที่ของมันต่างจากอวัยวะอื่น มันมีความฉลาด ความสามารถ ที่จะใช้เหตุผล สร้างความรู้สึกต่างๆ มีความฝันและการวางแผน มีการลงมือ ปฏิบัติการ และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
ดวงตา…สามารถแยกแยะสีต่างๆได้ถึงเจ็ดล้านสี มันมีการปรับความคมชัดโดยอัตโนมัติและและรับข้อมูลต่างๆได้ถึง 1.5 ล้านข้อมูลในเวลาเดียวกัน อย่างน่าอัศจรรย์ใจ8 ทฤษฎีวิวัฒนาการมุ่งความสนใจไปที่เรื่องการผ่าเหล่า การเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง และการเปลี่ยนแปลงภายในของสิ่งมีชีวิต แต่ทฤษฎีนี้เพียงอย่างเดียวก็ยังไม่สามารถให้คำตอบของแหล่งที่มาเบื้องต้นของดวงตาและสมองของมนุษย์ได้ นั่นคือเรื่องการเริ่มต้นของสิ่งที่มีชีวิตจากวัตถุที่ไม่มีชีวิต

2. พระเจ้าทรงดำรงอยู่จริงหรือ? จักรวาลมีจุดเริ่มต้น—อะไรทำให้มันเกิดขึ้นเช่นนั้นได้

-พวกนักวิทยาศาสตร์ดูเหมือนจะมีความเชื่ออย่างจริงจังว่า จักรวาลเริ่มต้นขึ้นจากการระเบิดครั้งใหญ่ของพลังงานและแสงสว่าง ซึ่งปัจจุบัน เราเรียกมันว่า บิ๊กแบง(Big Bang) สิ่งนี้คือการเริ่มต้นเพียงครั้งเดียวของ สิ่งต่างๆที่ปรากฎอยู่ ไม่ว่าจะเป็น จุดเริ่มของอวกาศ หรือแม้แต่การเริ่มต้นครั้งแรกของเวลา
นักวิทยาศาสตร์ด้านอวกาศ ชื่อ โรเบิร์ต แจสโตร คนที่กล่าวถึงตนเองว่า เป็นพวกแอ็กนอสติค (พวกที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะพิสูจน์ว่ามีพระเจ้าหรือไม่—ผู้แปล) ได้พูดเอาไว้ว่า “เมล็ดของทุกสิ่งซึ่งได้เกิดขึ้นมาในจักรวาลนั้น ถูกปลูกขึ้นในชั่วขณะแรกนั้น ดาวทุกดวง พื้นพิภพทุกแห่ง และสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในจักรวาลได้บังเกิดขึ้นมา เป็นผลของเหตุการณ์ต่างๆซึ่งถูกตั้งขึ้นไว้ให้มีการเปลี่ยนแปลงของมันในขณะที่มีการระเบิดของดวงดาว... จักรวาลก็เกิดขึ้นเดี๋ยวนั้นและเราก็ไม่สามารถค้นหาได้ว่า อะไรทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น...”9
สตีเว่น เวนเบิร์ก ซึ่งได้รับรางวัล โนเบล laureate สาขาฟิสิกส์ กล่าวว่า ในขณะที่มีการระเบิดนั้น “ความร้อนของจักรวาลนั้นประมาณหนึ่งแสนล้านองศาเซลเซียส... และจักรวาลนั้นเต็มไปด้วยแสงสว่าง”10
จักรวาลไม่ได้ดำรงอยู่มาก่อนตลอดเวลา มันมีจุดเริ่มต้น... อะไรทำให้มันเกิดขึ้น? นักวิทยาศาสตร์เองก็ไม่มีคำอธิบายว่าการระเบิดอย่างทันทีทันใดของแสงสว่างและวัตถุนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

3. พระเจ้าทรงดำรงอยู่จริงหรือ? การดำเนินไปของจักรวาลอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติที่กำหนดเอาไว้อย่างมีรูปแบบ ทำไมจึงต้องเป็นเช่นนั้น

มีหลายอย่างในชีวิตที่ดูเหมือนว่ามันจะไม่แน่นอน แต่ลองดูสิ่งที่มันคงเดิมที่เราสามารถวางใจได้ในทุกๆวัน เช่น แรงดึงดูดของโลกที่มันคงที่ตลอดเวลา กาแฟในแก้วที่เมื่อเราวางทิ้งเอาไว้บนเคาท์เตอร์ก็จะเย็นชืด โลกหมุนรอบตัวเอง 24 ชม. เหมือนเดิม และความเร็วแสงก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป--ในโลกนี้ หรือในกาแล็กซี่ที่อยู่ห่างจากเราออกไป
-เราสามารถแยกแยะถึงกฎธรรมชาติที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างไร? ทำไมจักรวาลนี้มันจึงมีระบบระเบียบของมัน ทำไมมันจึงคงที่ เชื่อถือได้เช่นนี้?
“นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่เองก็แปลกใจกับกับสิ่งที่น่าประหลาดเช่นนี้ มันดูไม่มีเหตุผลที่ว่าจักรวาลนั้นจำเป็นต้องเชื่อฟังกฎต่างๆเช่นนี้ นี่ขนาดว่ายังไม่นับกฎที่อ้างอิงได้ในทางคณิตศาสตร์เข้าไปเลยด้วยซ้ำ ความงุนงงสงสัยนี้เกิดขึ้นเมื่อระลึกได้ถึงความจริงที่ว่า จักรวาลไม่จำเป็นจะต้องมีการปฏิบัติตัวของมันเช่นนั้น มันดูจะง่ายกว่าที่จะจินตนาการถึงจักรวาลที่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพของมันทีละอย่างๆ อย่างที่เราไม่สามารถจะคาดเดาได้ หรือแม้ว่าจะเป็นภาพของจักรวาลที่มีบางอย่างเกิดขึ้นและบางอย่างหายไปในการดำรงอยู่ของมัน11
ริชาร์ด เฟ็นแมน ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาควอนทัม อีเล็กโทรไดนามิกส์ (Quantum Electrodynamics) ได้กล่าวว่า “เหตุผลที่ธรรมชาติเป็นไปตามหลักการทางคณิตศาสตร์นั้น เป็นสิ่งที่ลี้ลับ...ความเป็นจริงที่ว่าธรรมชาตินั้นมีกฎต่างๆของมันอยู่นี่ก็เป็นสิ่งที่อัศจรรย์อย่างหนึ่ง”12

4. พระเจ้าทรงดำรงอยู่จริงหรือ? รหัสดีเอ็นเอ ให้ข้อมูลและวางโปรแกรมของการปฏิบัติการของเซล

-คำแนะนำการใช้ต่างๆ การสอนทั้งปวงหรือ การฝึกอบรมทั้งหลาย มาจากความตั้งใจของผู้ให้ คนที่เขียนคู่มือแนะนำการใช้ เขียนมัน ขึ้นอย่างมีเป้าหมาย คุณทราบหรือไม่ว่า ทุกๆเซลในร่างกายของเรา มีรายละเอียดของรหัสที่บอกข้อแนะนำการทำงานของเซลนั้นๆ คล้ายๆกับการเขียนโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ คุณอาจจะทราบว่า โปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นประกอบขึ้นจากตัวเลขหนึ่งและศูนย์มากมาย มันเป็นอะไรคล้ายๆอย่างนี้ 110010101011000 การเรียงลำดับของตัวเลขเหล่านี้ บอกกับโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ว่ามันต้องทำอะไร รหัสดีเอ็นเอในเซลของเราก็คล้ายคลึงกันนี้ มันประกอบด้วยสารเคมีสี่ตัวที่นักวิทยาศาสตร์กำหนดเป็นตัวอักษรย่อ คือ A,T, GและC สารเคมีเหล่านี้ถูกจัดเรียงไว้ในเซลของมนุษย์ดังนี้คือ CGTGTGACTCGCTCCTGAT และต่อๆไป ในทุกๆเซลของร่างกายมนุษย์ จะมีการเรียงตัวกันของอักษรเหล่านี้ถึงสามพันล้านตัวเลยทีเดียว
มันก็คงเหมือนการที่คุณตั้งโทรศัพท์ของคุณไว้ให้ส่งสัญญาณตามเหตุผลต่างๆที่คุณมี ดีเอ็นเอก็เช่นเดียวกันมันบอกข้อแนะนำในการทำงานให้กับเซลนั่นเอง ดีเอ็นเอ คือโปรแกรมตัวอักษรสามพันล้านตัวที่ทำหน้าที่บอกกับเซลว่ามันจะทำอะไรอย่างไร มันคือคู่มือแนะนำการใช้แบบเต็มเล่ม13
-ทำไมมันจึงมหัศจรรย์นัก? เราต้องมีคำถามว่า...แล้วโปรแกรมที่บรรจุ ข้อมูลเหล่านี้เข้าไปม้วนอยู่ในเซลของร่างกายเราได้อย่างไร? สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่แค่สสารทางเคมีเท่านั้น นี่คือสสารทางเคมีที่กำหนดและชี้นำใน รายละเอียดทุกอย่างว่าร่างกายของคนๆหนึ่งจะมีพัฒนาการอย่างถูกต้อง ได้อย่างไร
เมื่อเราพูดถึงข้อมูลที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้แล้ว หากใช้เหตุผลทางธรรมชาติ หรือทางชีววิทยาเพียงเท่านั้นไม่สามารถจะให้คำอธิบายถึงสิ่งนี้แก่เราได้ เราจะไม่พบข้อมูลที่มีการระบุข้อแนะนำใช้ที่เฉพาะเจาะจงเช่นนี้ได้โดย ปราศจากใครบางคนที่ตั้งใจวางระบบของมันเอาไว้แน่นอน

5. พระเจ้าทรงดำรงอยู่จริงหรือ? เรารู้ว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริงเพราะว่าพระองค์ทรงแสวงหาเรา พระองค์ทรงเป็นผู้เริ่มต้นและเสาะหาเราอย่างสม่ำเสมอเพื่อที่เราจะได้เข้ามาหาพระองค์

ฉันเป็นพวกไม่เชื่อว่ามีพระเจ้ามาก่อน และก็เหมือนกับพวกที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าทั่วไป ประเด็นที่เกี่ยวกับการที่มีคนเชื่อในพระเจ้าสร้างความรำคาญใจให้แก่ฉันเป็นอย่างมาก แล้วมันอะไรกันล่ะ ที่พวกไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ได้ให้เวลา ความสนใจและใช้พลังงานอย่างมาก ในการปฏิเสธบางสิ่งที่เราไม่แม้แต่จะเชื่อว่ามันมีอยู่จริง? อะไรนะทำให้เราทำเช่นนั้น? เมื่อตอนที่ฉันเป็นพวกไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ฉันมีเหตุผลในความตั้งใจของฉันว่า อยากแสดงความห่วงใยต่อคนที่น่าสงสาร คนที่อยู่ในความเชื่อผิดๆ เพื่อจะช่วยพวกเขาให้ตระหนักว่า ความหวังของพวกเขานั้นเป็นความหวังที่ไม่เหมาะสมถูกต้องอย่างสิ้นเชิง ถ้าพูดกันตามจริงแล้ว ฉันมีแรงจูงใจอีกอย่างหนึ่ง เมื่อฉันท้าทายคนเหล่านั้นที่เชื่อว่ามีพระเจ้า ฉันก็มีความสนใจใคร่รู้อย่างมากว่า พวกเขาจะสามารถทำให้ฉันเชื่อเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่? ส่วนหนึ่งของการค้นหาของฉันก็คือ เพื่อที่ฉันจะหมดคำถามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของพระเจ้าไปเลย ถ้าหากฉันสามารถหาข้อพิสูจน์ที่จะบอกกับผู้เชื่อทั้งหลายได้ว่า พวกเขาทั้งหมดเชื่อผิด เมื่อนั้นประเด็นนี้ก็ถูกตัดไป และฉันก็จะเป็นอิสระในการที่จะใช้ชีวิตของตัวเองต่อไป
-ฉันไม่ได้ตระหนักเลยว่า เหตุผลที่หัวข้อเกี่ยวกับพระเจ้านั้นมีน้ำหนัก อย่างมากในความคิดของฉัน ก็เพราะว่า พระเจ้าทรงผลักดันประเด็นนี้ ให้เข้ามานั่นเอง ฉันมาพบในภายหลังว่าพระเจ้านั้นทรงต้องการที่จะ เป็นที่รู้จัก พระองค์ทรงสร้างเราด้วยความตั้งใจให้เรารู้จักกับพระองค์ พระองค์ทรงทำให้หลักฐานเกี่ยวกับพระองค์นั้นอยู่รอบๆตัวเรา และทรง ทำให้คำถามเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของพระองค์นั้นอยู่ตรงหน้าเราอย่างแน่นหนา สำหรับฉันมันเหมือนกับการที่ฉันไม่สามารถที่หลีกหนีจากกความคิดเกี่ยวกับ ความเป็นไปได้ในเรื่องของพระเจ้า ในความเป็นจริง เมื่อวันที่ฉันเลือกที่จะรับรู้ การดำรงอยู่ของพระเจ้านั้น คำอธิษฐานของฉันเริ่มต้นอย่างนี้ว่า “โอเค พระองค์ชนะ…” สิ่งนี้อาจจะเป็นเหตุผลเบื้องต้นของพวกที่เชื่อว่าไม่มีพระเจ้าว่า ทำไมเขาจึงรำคาญใจเมื่อมีคนเชื่อในพระเจ้า นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าพระเจ้านั้นทรงเสาะหาพวกเขาอย่างเอาจริงเอาจังก็เป็นไปได้
ฉันไม่ได้เป็นคนเดียวที่มีประสบการณ์เช่นนี้ คุณมัลโคล์ม มักเกอริจด์ ซึ่งเป็นนักสังคมนิยมและนักเขียนเชิงปรัชญา ได้เขียนเอาไว้ว่า “ผมมีความคิดในชั่วขณะหนึ่ง นอกเหนือจากการตั้งคำถาม ว่าผมเองกำลังถูกตามหาตัว” ซี เอส ลูวิส กล่าว่า เขาจำได้ว่า “… คืนแล้ว คืนเล่า ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าเมื่อใดก็ตามที่ความคิดของข้าพเข้าปลอดจากงานของข้าพเจ้าแม้แค่วินาทีเดียว ความคิดเกี่ยวกับพระองค์ผู้ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยปรารถนาที่จะพบกลับเข้ามาอย่างสม่ำเสมอและเขม็งเกลียวอยู่ในสมอง ข้าพเจ้าจึงยินยอม และยอมรับว่าพระเจ้าคือพระเจ้า และคุกเข่าลงอธิษฐาน บางทีนะ ในคืนวันนั้นอาจจะเป็นคืนที่มีคนกลับใจใหม่ที่หดหูและไม่สมัครใจที่สุดคนหนึ่งในอังกฤษเลยก็ว่าได้”
ลูวิสได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่ง มีชื่อว่า “Surprised by Joy (ประหลาดใจโดยความชื่นชมยินดี)” ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการรู้จักกับพระเจ้า ฉันด้วยเช่นกันที่ไม่ได้มีความคาดหวังอะไรนอกเหนือจากการยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าอย่างถูกต้องชอบธรรม ถึงกระนั้นก็ดีในสองสามเดือนต่อมาฉันก็ต้องอัศจรรย์ใจด้วยความรักของพระองค์ที่ทรงมีต่อฉัน

6. พระเจ้าทรงดำรงอยู่จริงหรือ? พระเยซูคริสต์ คือภาพที่ชัดเจนและเจาะจงที่สุดของการที่พระเจ้าทรงเสาะแสวงหาเรา ซึ่งไม่เหมือนการทรงสำแดงอื่นใดของพระองค์

ทำไมจึงเป็นพระเยซู? หากคุณดูที่ศาสนาหลักๆของโลก และคุณจะพบว่า พระพุทธเจ้า ท่านศาสดามูฮัมหมัด ขงจื๊อ และโมเสส ล้วนแล้วแต่แสดงตนเองว่าเป็น อาจารย์หรือผู้พยาการณ์ ไม่มีใครสักคนที่อ้างตนว่าเท่าเทียมกันกับพระเจ้า น่าแปลกใจที่พระเยซูทรงอ้างเช่นนั้น นั่นเป็นสิ่งที่แยกพระเยซูให้แตกต่างจากผู้นำทางศาสนาท่านอื่นๆ
พระองค์ตรัสว่า พระเจ้าทรงดำรงอยู่และคุณกำลังมองดูพระองค์ แม้ว่าพระองค์ตรัสถึงพระบิดาของพระองค์ในสวรรค์ มันไม่ใช่จากสถานะที่มีการแยกจากกัน แต่ในฐานะที่ใกล้ชิดเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเอกลักษณ์สำหรับมนุษยชาติทุกคน พระเยซูตรัสว่า ใครก็ตามที่เห็นพระองค์ก็เห็นพระบิดา และใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์ก็เชื่อในพระบิดาด้วย
พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่เดินตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”14 พระองค์ทรงอ้างถึงคุณลักษณะที่มีเฉพาะในพระเจ้าเท่านั้น คือการที่ทรงสามารถที่จะอภัยโทษบาปได้ การที่ทรงปลดปล่อยเขาจากนิสัยบาป การที่จะทรงให้ชีวิตที่ครบบริบูรณ์มากยิ่งขึ้น และการที่จะให้เขามีชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์ พระเยซูไม่เหมือนอาจารย์ทางศาสนาท่านอื่นๆ ที่สอนให้คนเพ่งความสนใจมาที่คำสอนต่างๆของพวกท่าน แต่พระองค์ให้เขาเพ่งความสนใจของเขามาที่พระองค์เอง พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า “จงติดตามคำของเราแล้วเจ้าจะพบความจริง” พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา”15
พระเยซูทรงให้อะไรเป็นข้อพิสูจน์ในการกล่าวอ้างว่าทรงเป็นพระเจ้า?พระองค์ทรงทำสิ่งที่คนทั่วไปทำไม่ได้ พระเยซูทรงกระทำการอัศจรรย์ ทรงรักษาผู้คน คนตาบอด คนเป็นง่อย คนหูหนวก และแม้กระทั่งทำให้คนสองสามคนเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ทรงมีฤทธิ์อำนาจเหนือวัตถุ ทรงสร้างให้มีอาหารจากอากาศบางๆ ซึ่งมีจำนวนเพียงพอที่จะเลี้ยงคนเป็นพันๆคน พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์เหนือธรรมชาติ ทรงเดินบนทะเลสาป ทรงสั่งให้พายุที่กำลังพัดกระหน่ำให้หยุดเพื่อเพื่อนของพระองค์ ผู้คนในทุกที่ทุกแห่งติดตามพระองค์เพราะว่า พระองค์ทรงตอบสนองความต้องการที่จำเป็นต่างๆของพวกเขาอยู่เสมอ ทรงกระทำการอัศจรรย์ พระองค์ตรัสว่า ถ้าท่านไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เราบอกท่าน แต่อย่างน้อยท่านควรจะเชื่อในเราโดยดูจากการอัศจรรย์ที่เราได้กระทำ16
พระเยซูทรงสำแดงพระเจ้าให้เราเห็นในแง่ที่ว่าทรงอ่อนโยน เต็มด้วยความรัก ทรงรับรู้ถึงการมีตัวเองเป็นศูนย์กลางของเรา และความบกพร่องทุกอย่างของเรา แต่ก็ยังคงต้องการที่จะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเรา พระองค์ทรงสำแดงว่า แม้ว่าพระเจ้าจะทรงมองเราว่าเป็นคนบาปซึ่งสมควรแก่การลงโทษของพระองค์ แต่ความรักของพระองค์ก็มีชัยชนะ และพระเจ้าทรงมีแผนการอย่างอื่นแทน พระเจ้าพระองค์เองทรงมาเป็นมนุษย์และยอมรับโทษความบาปของเราแทนเรา ฟังดูน่าขันไหม? บางทีคุณพ่อผู้มีความรักทั้งหลายอาจจะเต็มใจยอมที่จะป่วยเป็นมะเร็งแทนที่ลูกๆของพวกเขาถ้าเขาสามารถทำได้ พระคัมภีร์บอกว่าเหตุผลที่ทำให้เรารัก พระเจ้าก็เพราะว่า พระองค์นั้นทรงรักเราก่อน
-พระเยซูสิ้นพระชนม์แทนเราเพื่อที่เราจะสามารถรับการอภัยโทษบาปได้ เมื่อเปรียบเทียบกับศาสนาต่างๆที่มนุษยชาติของเรารู้จัก พระเยซูคริสต์เท่านั้นที่ทำให้คุณเห็นการที่พระเจ้าทรงเอื้อมลงมาหามวลมนุษยชาติ โดยการจัดเตรียมหนทางที่เราจะได้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ พระเยซูทรงพิสูจน์ให้เห็นหัวใจแห่งความรักของพระเจ้า การทรงตอบสนองความต้องการที่จำเป็นต่างๆของเรา การทรงนำเราเข้าใกล้พระองค์เอง เหตุเพราะการสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู พระองค์ได้ทรงเสนอชีวิตใหม่ให้กับเราในวันนี้ เราสามารถที่จะรับการอภัยโทษบาป ได้รับการยอมรับจากพระเจ้าอย่างเต็มที่และรับความรักที่แท้จริงจากพระองค์
พระองค์ตรัสว่า “เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป”17 นี่คือพระเจ้าผู้ทรงกระทำการของพระองค์
พระเจ้าดำรงอยู่จริงหรือ? ถ้าคุณต้องการที่จะรู้ ลองทำการสืบค้นเกี่ยวกับพระเยซูดูสิ เราได้รับการบอกเล่าว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์”18
พระเจ้ามิได้ทรงบังคับเราให้เชื่อในพระองค์ แม้ว่าพระองค์จะทรงสามารถทำเช่นนั้นได้ก็ตาม แทนที่จะบังคับเรา พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมข้อพิสูจน์อย่างเพียงพอในการทรงดำรงอยู่ของพระองค์ เพื่อที่เราจะตอบสนองต่อพระองค์ด้วยความเต็มใจ เมื่อเราพิจารณาจาก ระยะห่างที่เหมาะสมที่สุดของโลกจากดวงอาทิตย์ คุณสมบัติทางเคมีของน้ำที่เป็นเอกลักษณ์ สมองของมนุษย์ ดีเอ็นเอ ผู้คนจำนวนมากที่ยืนยันถึงการรู้จักกับพระเจ้า สิ่งที่รบกวนจิตใจและความคิดของราในการที่จะทราบอย่างชัดเจนไปเลยว่ามีพระเจ้าอยู่จริงๆหรือเปล่า ความเต็มใจที่จะให้พระเจ้าเป็นที่รู้จักได้โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ถ้าคุณต้องการที่จะรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระเยซูและเหตุผลที่เราควรจะเชื่อในพระองค์ ให้เข้าไปดูในหัวข้อ เชื่ออย่างมีเหตุผล

หากคุณต้องการที่จะเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเจ้าตอนนี้ คุณสามารถทำได้

นี่เป็นการตัดสินใจของคุณ ไม่มีการบีบบังคับใดๆทั้งสิ้น หากคุณต้องการที่จะได้รับการอภัยโทษบาปจากพระเจ้า และเข้ามาสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์ คุณสามารถทำได้เดี๋ยวนี้ โดยการขอให้พระเจ้าทรงยกโทษบาปของคุณ และเข้ามาในชีวิตของคุณ พระเยซูตรัสว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเรา และเปิดประตูเราจะเข้าไปหาผู้นั้น”19 ถ้าคุณต้องการจะทำเช่นนี้แต่ไม่แน่ใจว่าจะทำให้เป็นคำพูดได้อย่างไร สิ่งนี้อาจจะช่วยคุณได้ “พระเยซูเจ้าข้า ขอบพระคุณพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของข้าพเจ้า พระองค์ทรงรู้จักชีวิตของข้าพเจ้า และรู้ว่าข้าพเจ้าต้องการการอภัยโทษบาป ข้าพเจ้าทูลขอให้พระองค์ทรงยกโทษบาปให้แก่ข้าพเจ้า ในเวลานี้ และขอโปรดเข้ามาในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการที่จะรู้จักพระองค์ในแบบที่เป็นจริง ขอโปรดเข้ามาในชีวิตของข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงประสงค์ที่จะมีความสัมพันธ์กับข้าพเจ้า อาเมน”
พระเจ้าทรงมองความสัมพันธ์ของคุณกับพระองค์ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ถาวร พระเยซูตรัสกับเรา เมื่อกล่าวถึงคนเหล่านั้นที่เชื่อในพระองค์ ตรัสว่า “เรารู้จักเขาและเขาติดตามเรา เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่เขา และเขาจะไม่พินาศและจะไม่มีใครแย่งชิงเขาไปจากมือของเราได้”20
ดังนั้น พระเจ้าทรงมีอยู่จริงหรือ? เมื่อมองดูข้อเท็จจริงเหล่านี้แล้ว ก็ได้ข้อสรุปที่ว่า พระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยความรักทรงดำรงอยู่จริงๆ และเราสามารถที่จะรู้จักพระองค์แบบส่วนตัวและสนิทสนมได้ 

ขอบคุณข้อมูลจากเพจ everythaistudent.com

วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2557

รู้จักกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว

รู้จักกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว

เราต้องทำอะไรบ้างในการเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเจ้า? คุณต้องรอให้ฟ้าผ่าลงมาหรือเปล่า? คุณต้องอุทิศตัวของคุณให้กับ งานด้านศาสนาหรือไม่? คุณต้องทำตัวเองให้ดีขึ้นเพื่อที่พระเจ้า จะทรงยอมรับคุณงั้นหรือ? มันไม่ใช่สิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น พระเจ้าได้ทรง บอกเอาไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ว่า เราจะรู้จักพระองค์ได้อย่างไร ต่อไปนี้จะอธิบายว่าคุณจะเริ่มต้นมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นส่วนตัว ได้อย่างไร ในเวลานี้เลย...


หลักการที่หนึ่ง : พระเจ้าทรงรักคุณ และทรงเสนอแผนการที่ยอดเยี่ยม สำหรับชีวิต ของคุณ
พระเจ้าทรงสร้างคุณมา ไม่ใช่เพียงแค่นั้น แต่ทรงรักคุณมาก จนทำให้พระองค์ทรงอยากที่จะให้คุณรู้จักกับพระองค์ในตอนนี้ และใช้เวลาแห่งนิรันดร์กาลกับพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่ มีชีวิตนิรันดร์”1
พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อที่เราแต่ละคนจะสามารถรู้จัก และเข้าใจพระเจ้าแบบเป็นการส่วนตัว พระเยซูเท่านั้นที่ ทรงสามารถนำมาซึ่งความหมายและเป้าหมายในชีวิตได้
อุปสรรคที่ขัดขวางเราในการรู้จักกับพระเจ้า คืออะไร?...


หลักการที่สอง : เราทุกคนทำบาปและความบาปนั้นแยกเราให้ขาดจากพระเจ้า
เรารู้สึกได้ถึงการถูกแยกขาดนั้น ซึ่งทำให้เราอยู่ห่างไกลจากพระเจ้า เหตุเพราะความบาปของเรา พระคัมภีร์ได้บอกกับเราว่า “เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ เราทุกคนต่างๆได้หันไปตามทางของตนเอง”2
ท่าทีภายในของเราลึกๆลงไปแล้ว อาจจะเป็นการปฏิเสธที่จะเชื่อฟัง หรือเฉยเมยต่อพระเจ้าและหนทางของพระองค์อยู่ก็ได้ ท่าทีหรือการกระทำอย่างนี้แหละที่พระคัมภีร์เรียกว่า ความบาป
ผลของความบาปในชีวิตของเราก็คือความตาย เป็นความตายฝ่ายจิตวิญญาณเพราะการถูกตัดขาดจากพระเจ้า3 แม้ว่าเราอาจพยายามที่จะเข้าใกล้พระเจ้าให้มากขึ้น ด้วยกำลังเรี่ยวแรงของเราเอง แต่เราก็ยังล้มเหลวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แผนภาพนี้แสดงให้เห็นช่องว่างกว้างใหญ่ที่ขวางกั้นอยู่ ระหว่างเรากับพระเจ้า ลูกศรเหล่านี้แสดงถึงวิธีการ ต่างๆที่เราอาจจะพยายามที่จะไปให้ถึงพระเจ้า โดยอาศัยกำลังเรี่ยวแรงของเราเอง ด้วยการทำสิ่งที่ดีๆ ในชีวิต หรือพยายามทำให้ได้รับการยอมรับ จากพระเจ้าโดยการมีชีวิตที่ดีมีศีลธรรม หรือยึดถือหลัก ปรัชญาต่างๆ แต่ความพยายามที่ดีทั้งหลายของเรานั้น ไม่เพียงพอที่จะปกปิดความบาปของเราได้
เราจะเชื่อมช่องว่างที่กว้างใหญ่นี้ได้อย่างไร?...


หลักการที่สาม : พระเยซูทรงเป็นหนทางเดียวเท่านั้น ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้เพื่อความบาปของเรา โดยทางของพระองค์ เราสามารถที่จะรู้จักกับพระเจ้าและมีประสบการณ์กับความรักและแผนการของพระองค์สำหรับชีวิตของเราได้
เราสมควรที่จะจ่ายค่าชดใช้ในเรื่องความบาปของเราเอง แต่ปัญหาก็คือ ค่าชดใช้นั้นคือความตาย ดังนั้น ด้วยความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา พระเยซูคริสต์จึงได้ทรงสิ้นพระชนม์แทนเราเพื่อที่เราจะไม่ต้องประสบกับความตายแบบที่ถูกตัดขาดจากพระเจ้า บนไม้กางเขนนั้น พระเยซูทรงรับเอาความบาปทั้งหลายของเราไว้ที่พระองค์และทรงทำให้เสร็จสมบูรณ์โดยการจ่ายแทนทั้งหมด “ด้วยว่าพระคริสต์ก็ได้สิ้นพระชนม์ครั้งเดียวเท่านั้นเพราะความผิดบาป คือพระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม เพื่อจะได้ทรงนำเราทั้งหลายไปถึง พระเจ้า...”4 “...พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้รอดมิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของเราเอง แต่เพราะพระองค์ทรงพระกรุณา...”5เหตุเพราะการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซู ความบาปของเรา จึงไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้เราถูกตัดขาดจากพระเจ้าอีกต่อไป
“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตร องค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”6
พระเยซูไม่เพียงแค่ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อความบาปของเรา เท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงฟื้นคืนพระชนม์อีกด้วย7 สิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำ ได้พิสูจน์ข้อกังขาทั้งหลายว่า พระองค์ทรงมีสิทธิอย่างสมบูรณ์ในคำสัญญาที่จะทรง โปรดประทานชีวิตนิรันดร์ ในคำกล่าวที่ว่าทรงเป็น พระบุตรของพระเจ้า และทรงเป็นหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะนำเราให้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพระองค์จึงได้ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ นอกจากจะมาทางเรา”8
พระองค์ทรงบอกกับเราว่า เราสามารถที่จะเริ่มต้นมีความสัมพันธ์กับพระองค์ได้เดี๋ยวนี้ แทนที่จะพยายามมากขึ้นที่จะเข้าถึงพระเจ้าด้วยตัวของเราเอง พระเยซูตรัสว่า “...ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเราและดื่ม ผู้ที่วางใจในเรา... ‘แม่น้ำที่มีน้ำธำรงชีวิต จะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น’”9 มันเป็นเพราะความรักของพระเยซูที่ทรงมีต่อเรา ทำให้พระองค์ทรงยอมทนทุกข์บนไม้กางเขนนั้น และในตอนนี้พระองค์ก็ได้ทรงเชื้อเชิญเราให้เข้ามาหาพระองค์ เพื่อที่เราจะได้เริ่มต้นความสัมพันธ์ส่วนตัวของเรากับพระเจ้าได้
การรับรู้ถึงสิ่งที่พระเยซูทรงกระทำเพื่อเราและสิ่งที่ทรงเสนอให้กับเรา เท่านั้น ยังไม่เป็นการเพียงพอ ที่เราจะมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้นั้น เราเองต้องเชิญพระองค์ให้เข้ามาในชีวิตของเรา...


หลักการที่สี่ : เราต้องยอมรับพระเยซูคริสต์ให้เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเป็นส่วนตัว
พระคัมภีร์กล่าวว่า “แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ทรงประทานสิทธิให้เป็นนบุตรของพระเจ้า”10
เราต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์ด้วยความเชื่อ พระคัมภีร์กล่าวว่า “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้น ก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวท่านทั้งหลายกระทำเองแต่พระเจ้าทรงประทานให้ ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้”11
การยอมรับพระเยซู คือการเชื่อว่าพระเยซูคือพระบุตรของพระเจ้า ซึ่งเป็นพระองค์เองเป็นผู้ที่ทรงกล่าวอ้างเช่นนั้น และหลังจากนั้นเชื้อเชิญพระองค์ที่จะทรงนำพาและชี้ทางให้แก่ชีวิตของคุณ12 พระเยซูตรัสว่า “เรามาเพื่อท่านทั้งหลายจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์”13
และนี่คือคำเชิญชวนของพระเยซู พระองค์ตรัสว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเรา และเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้น”14
คุณจะตอบสนองต่อการเชื้อเชิญของพระเจ้า อย่างไร?
ลองพิจารณาวงกลมสองวงนี้:

ชีวิตตามใจตนเอง
 - คือตนเองอยู่บนบัลลังก์ชีวิต
 - คือพระเยซูคริสต์อยู่ภายนอกชีวิต
 - คือการตัดสินใจและการกระทำต่างๆเป็นการ ทำตามใจตนเองซึ่งก่อเกิดความขัดแย้งไม่สมหวัง


ชีวิตที่พระเยซูทรงชี้นำ
 - คือพระเยซูอยู่บนบัลลังก์ชีวิต
 - คือตนเองลงจากบัลลังก์ชีวิต
 - คือ คนผู้นี้เห็นถึงอิทธิพลและการชี้นำ ของพระเยซูในชีวิตของเขา

สภาพชีวิตของคุณเป็นหมือนวงกลมวงไหน?
คุณอยากให้ชีวิตของคุณเป็นเหมือนวงกลมวงไหน?
เริ่มต้นการมีความสัมพันธ์กับพระเยซู...


คุณสามารถที่จะต้อนรับพระเยซูได้เดี๋ยวนี้ จำที่พระองค์ตรัสได้ไหมว่า “เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้น”15 คุณต้องการจะตอบสนองต่อการเชื้อเชิญของพระองค์ไหม? เราจะบอกว่าคุณควรทำอย่างไร
คำพูดที่คุณใช้ ในการมอบชีวิตของคุณกับพระเจ้านั้นไม่สำคัญ พระองค์ทรงทราบความปรารถนาภายในใจ ของคุณ ถ้าหากคุณไม่ค่อยแน่ใจว่าจะอธิษฐานอย่างไร คำอธิษฐานนี้อาจจะช่วยให้คุณสามารถพูดเป็นคำพูดของคุณเองได้ คำอธิษฐานมีดังนี้ว่า
“พระเยซูเจ้าข้า ข้าพเจ้าต้องการรู้จักพระองค์ ข้าพเจ้าอยากให้พระองค์เข้ามาในชีวิตของข้าพเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อบาปของข้าพเจ้า เพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้รับการยอมรับอย่างสมบูรณ์จากพระองค์ พระองค์เท่านั้นที่ทรงสามารถประทานพลังเพื่อการเปลี่ยนแปลงและทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นบุคคลแบบที่พระองค์ทรงสร้างให้ข้าพเจ้าเป็น ขอบคุณพระองค์ที่ทรงอภัยโทษบาปของข้าพเจ้า และให้ข้าพเจ้ามีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้า ข้าพเจ้ามอบชีวิตของข้าพเจ้าแด่พระองค์ ขอทรงกระทำต่อชีวิตของข้าพเจ้าตามที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ อาเมน”
ถ้าหากคุณได้ทูลเชิญพระเยซูให้เข้ามาในชีวิตของคุณเมื่อสักครู่แล้วละก็ พระองค์ก็ได้เสด็จเข้ามาในชีวิตของคุณแล้ว ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ คุณได้เริ่มต้นการมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้าแล้ว
สิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้ก็คือ การเดินทางของชีวิตที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและการเติบโตเมื่อคุณรู้จักกับพระเจ้ามากขึ้นผ่านทางการอ่านพระคัมภีร์ การอธิษฐาน และการพบปะพูดคุยกับคริสเตียนคนอื่นๆ

ขอบคุณข้อมูลจากเพจ everythaistudent.com

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

พระเจ้าคือใคร? พระองค์ทรงเป็นอย่างไร?

พระเจ้าคือใคร?

พระเจ้าคือใคร? พระองค์ทรงเป็นอย่างไร? พระลักษณะหกประการของพระเจ้า

พระเจ้าคือใคร... พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักได้

พระเจ้า ผู้ซึ่งทรงสร้างจักรวาลอย่างกว้างใหญ่ไพศาลและบรรจงใส่รายละเอียดที่สร้างสรรของมันนั้น เป็นผู้ที่เราสามารถรู้จักได้ พระองค์ทรงบอกเราเกี่ยวกับพระองค์เอง และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงต้อนรับเราเข้ามาในความสัมพันธ์ เพื่อที่เราจะสามารถทำความรู้จักกับพระองค์เป็นการส่วนตัวได้ ไม่ใช่แค่ที่เราจะรู้เกี่ยวกับพระองค์เท่านั้น แต่ที่เรายังสามารถรู้จักพระองค์แบบลึกซึ้งได้อีกด้วย
พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “อย่าให้ผู้มีปัญญาอวดในสติปัญญาของตน อย่าให้ชายฉกรรจ์ อวดในความเข้มแข็งของตน อย่าให้คนมั่งมี อวดในความมั่งคั่งของตน แต่ให้ผู้อวด อวดในสิ่งนี้ คือในการที่ เขาเข้าใจและรู้จักเราว่า เราคือพระเจ้า ทรงสำแดงความรักมั่นคง ความยุติธรรม และความชอบธรรมในโลก เพราะว่าเราพอใจในสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ” (เยเรมีห์ 9:23-24)

พระเจ้าคือใคร... พระองค์เป็นผู้ที่เราเข้าไปหาได้

พระเจ้าทรงเชื้อเชิญให้เราพูดคุยกับพระองค์ และรวมพระองค์เข้าไปด้วยเมื่อเรามีสิ่งที่ห่วงกังวลอยู่ในใจ เราไม่จำเป็นต้องมีการปรับพฤติกรรมของเราก่อน หรือไม่จำเป็นต้องทำตัวสุภาพ ถูกต้องตามหลักศาสนศาสตร์ หรือทำตัวให้บริสุทธิ์ พระองค์ทรงเต็มไปด้วยความรักและการยอมรับเมื่อเราเข้าไปหาพระองค์ เพราะนั่นคือธรรมชาติของพระองค์เอง
“พระเจ้าทรงสถิตใกล้ทุกคนที่ร้องทูลพระองค์ ทุกคนที่ร้องทูลพระองค์ด้วยใจจริง” (สดุดี 145:18)

พระเจ้าคือใคร... พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่สร้างสรร

ทุกสิ่งที่เราประดิษฐ์ขึ้นนั้น เกิดจากการนำวัสดุที่มีอยู่แล้ว มาประกอบเข้าด้วยกัน หรือ สร้างขึ้นจากความคิดที่มีมาก่อนหน้านั้นแล้ว พระเจ้าทรงมีความสามารถที่จะตรัสเพื่อให้สิ่งที่ไม่มี บังเกิดขึ้นมาได้ ไม่ใช่แค่กาแล็กซี่หรือรูปแบบของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่ทางแก้ของปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ด้วย พระเจ้าทรงสร้างสรร สิ่งต่างๆเพื่อเรา พระองค์ทรงอยากให้เรารับรู้และพึ่งพาในฤทธิ์อำนาจของพระองค์
“องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราใหญ่ยิ่ง และทรงฤทธานุภาพอุดม ความเข้าใจของ พระองค์นั้นวัดไม่ได้” ( สดุดี147:5)
“... ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากไหน ? ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก” (สดุดี121:1-2)

พระเจ้าคือใคร... พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ยกโทษให้

เราทำบาป เรามีแนวโน้มที่จะทำตามหนทางของเราเอง แทนที่จะเป็นหนทางของพระเจ้า และพระเจ้าทรงเห็นมันและทราบเกี่ยวกับมันด้วย พระเจ้าไม่ได้ทรงเพิกเฉยต่อความบาปเช่นนั้น แต่ทรงเตรียมที่จะพิพากษาและกล่าวโทษคนทั้งหลายเนื่องด้วยบาปของพวกเขา อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่มีการยกโทษให้และจะทรงอภัยให้เรา เริ่มตั้งแต่เมื่อเรามีความสัมพันธ์กับพระองค์ พระเยซู พระบุตรของพระเจ้า ทรงจ่ายแทนความบาปของเราด้วยการตายบนไม้กางเขนของพระองค์แล้ว พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตายและเสนอการอภัยโทษบาปนี้แก่เราแล้ว
“... คือความชอบธรรมของพระเจ้า ซึ่งทรงประทานโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ แก่ทุกคน ที่เชื่อ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่ต่างกัน... แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่ คิดมูลค่า โดยให้พระคริสต์เป็นผู้ไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ ลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล...” (โรม3:22,24,25)

พระเจ้าคือใคร... พระองค์ทรงสัตย์จริง

ดังเช่นคนทั่วไปมักจะบอกให้เราทราบถึงความคิดและความรู้สึกของพวกเขา พระเจ้าทรงบอกกับเราอย่างชัดเจนถึงพระองค์เอง สิ่งที่ทำให้พระองค์แตกต่างจากเราคือ พระองค์ทรงไว้ซึ่งความสัตย์จริงอยู่เสมอ ทุกสิ่ง ที่ตรัสเกี่ยวกับพระองค์เองก็ดี เกี่ยวกับตัวเราก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ มันจริงยิ่งกว่าความรู้สึก ความคิด หรือการรับรู้ของเราเสียอีก ทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสนั้นถูกต้องชัดเจนและสัตย์จริงทั้งหมด พระสัญญา ที่ทรงกระทำกับเรานั้น เรายึดถือได้อย่างเต็มที่ พระองค์ทรงหมายความตามนั้น เราสามารถที่จะยึดมั่นในพระดำรัสของพระองค์ได้
“การคลี่คลายพระวจนะของพระองค์ให้ความสว่าง ทั้งให้ความเข้าใจแก่คนรู้น้อย พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่าง แก่มรรคาของข้าพระองค์” (สดุดี119:130,105)

พระเจ้าคือใคร... พระองค์ทรงสามารถทำได้ทุกสิ่ง

คุณอยากจะทำทุกอย่างถูกต้อง 100% ตลอดเวลาไหม? พระเจ้าทรงเป็นเช่นนั้น พระปัญญาของพระองค์ ไม่มีขอบเขตจำกัด พระองค์ทรงเข้าพระทัยในทุกองค์ประกอบของสถานการณ์หนึ่งๆ รวมทั้งประวัติศาสตร์ ของมันและเหตุการณ์ต่างๆในอนาคตที่จะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์นั้นๆด้วย คุณไม่จำเป็นต้องรายงาน ความคืบหน้าต่อพระองค์ หรือให้คำปรึกษากับพระองค์ หรือพยายามโน้มน้าวให้พระองค์ทรงทำในสิ่งที่ ถูกต้อง พระองค์จะทรงกระทำแน่ เพราะว่าทรงสามารถที่จะทำได้ และแรงจูงใจของพระองค์นั้นก็บริสุทธิ์ ถ้าเราไว้วางใจในพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงทำสิ่งใดผิดพลาดเลย จะไม่ทรงเอาเปรียบ หรือหลอกลวงเรา เราสามารถวางใจได้ว่า พระองค์จะทรงกระทำสิ่งที่ถูกต้อง ในทุกสถานการณ์และทุกๆเวลา
“เออ อย่าให้ผู้ใดๆ ที่เฝ้าพระองค์อยู่นั้นได้อาย...” (สดุดี25:3)

 ขอบคุณข้อมูลจากเพจ everythaistudent.com

วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557

พระเจ้ามีจริงหรือ?

พระเจ้ามีจริงหรือ?

ทำไมโครงสร้างของดีเอ็นเอจึงชี้ไปที่พระเจ้า

หลายปีทีเดียวที่ ดร.แอนโทนี่ ฟลูว์ นักปรัชญาชาวอังกฤษ ได้ทำหน้าที่เป็นโฆษกชั้นแนวหน้าของพวกที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าและมีส่วนในการโต้วาทีเกี่ยวด้วยเรื่องนี้มาหลายต่อหลายครั้ง อย่างไรก็ตาม การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ตลอดสามสิบปีที่ผ่านมานี้ได้นำเขาไปสู่ข้อสรุปที่เขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ในวีดีโอเทปการสัมภาษณ์เขาในเดือนธันวาคมปี 2004 เขาได้กล่าวว่า “สิ่งที่มีความชาญฉลาดอย่างมากเท่านั้นที่เป็นคำอธิบายที่ดีเกี่ยวกับจุดกำเนิดของชีวิตและความซับซ้อนของธรรมชาติ”1 สิ่งที่เด่นชัดในข้อสรุปของเขาก็คือการค้นพบเกี่ยวกับดีเอ็นเอ นี่คือตุผลว่าทำไม:
ดีเอ็นเอในเซลต่างๆของเรามีความคล้ายคลึงกันอย่างมากกับความซับซ้อนของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ในรูปทางซ้ายมือคุณจะเห็นโปรแกรมของคอมพิวเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยชุดของกลุ่มตัวเลข 1และ0 (ซึ่งเรียกว่ารหัส ไบนารี่) การต่อเนื่องกันและการเรียงลำดับของตัวเลข 1 และ 0 เหล่านี้นี่เองทำให้โปรแกรมของคอมพิวเตอร์ทำงานอย่างเหมาะสม
การทำรายการของคอมพิวเตอร์
signs for Intelligent Design
รหัสของดีเอ็นเอ
signs for Intelligent Design
ดีเอ็นเอก็เช่นเดียวกัน ประกอบขึ้นด้วยสัญลักษณ์ทางเคมี 4 ตัว โดยเขียนอย่างย่อด้วยตัวอักษร A,T,G และ C ตัวอักษรเหล่านี้ถูกจัดให้มีการเรียงตัวในเซลของมนุษย์เช่นนี้ คือ CTGGTGATCTGCTCCTGAT และต่อๆไป ซึ่งคล้ายคลึงกันอย่างมากกับการเรียงตัวของตัวเลข1และ0 การถูกจัดวางลำดับของตัวอักษรเหล่านี้เป็นตัวกำหนดการกระทำของเซลนั้นๆ
สิ่งที่มหัศจรรย์ก็คือว่า ภายในเนื้อที่เพียงน้อยนิดในเซลทุกเซลภายในร่างกายของคุณ มีรหัสของดีเอ็นเอที่มีการเรียงตัวกันถึงสามพันล้านตัวเลยทีเดียว2
เพื่อที่จะเข้าใจถึงจำนวนข้อมูลที่ถูกบรรจุในดีเอ็นเอของเซลๆเดียว ลองดูตรงนี้ “การอ่านรหัสนั้นด้วยความเร็วอักษรสามตัวต่อวินาทีนั้น ต้องใช้เวลาถึงสามสิบเอ็ดปีเลยทีเดียวแม้ว่าจะอ่านมันตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืนก็ตาม”3 แต่ช้าก่อน ยังไม่หมดเท่านี้
มีข้อกำหนดแล้วว่า ในทางพันธุกรรม ดีเอ็นเอของคุณมีความคล้ายคลึงกับของผู้อื่นถึง 99.9%4 สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้คุณเป็นคุณ แม้ในแตกต่างเพียงน้อยนิดจากผู้อื่นก็คือ การที่ตัวอักษรทั้งสามพันล้านตัว เหล่านั้นมีการเรียงลำดับกันอย่างไรในเซลต่างๆของคุณเท่านั้น
รัฐบาลของสหรัฐอเมริกาสามารถที่จะชี้ว่าใครเป็นใครในประเทศของเขาด้วยตัวเลข 9 หลักของประกันสังคมของแต่ละคนได้ แต่ในร่างกายของคุณแม้เพียงแค่เซลๆเดียวก็มีโครงสร้างของดีเอ็นเอทั้งสามพันล้านตัวที่เป็นของคุณเพียงผู้เดียวเท่านั้น รหัสเหล่านี้บ่งบอกความเป็นตัวคุณและยังคงทำหน้าที่ในการวางแนวทางให้เซลในร่างกายของคุณมีพฤติกรรมตามแบบของมันด้วย
ดร. ฟรานซิส คอลลินส์ ผู้อำนวยการโครงการฮิวแมน จีโนม ( Human Genome Project) (โครงการที่ทำแผนที่โครงสร้างของดีเอ็นเอของมนุษย์) กล่าวเอาไว้ว่า เราสามารถที่จะ “คิดถึงดีเอ็นเอของมนุษย์ได้เหมือนกับตัวอักษรบอกข้อบ่งใช้ หรือโปรแกรมซอท์ฟแวร์ซึ่งตั้งอยู่ในนิวเคลียสของเซลหนึ่งๆ”5
คุณเพอร์รี่ มาร์เชิล ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูล ให้ความเห็นต่อความซับซ้อนของเรื่องนี้เอาไว้ว่า “ไม่เคยมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์อันใดที่ไม่เคยถูกออกแบบมา... (ไม่ว่ามันจะเป็น) รหัส หรือโปรแกรมหรือข้อความที่ให้มาผ่านทางภาษาก็ตาม ก็จะต้องมีมันสมองที่ชาญฉลาดอยู่เบื้องหลังมันเสมอ”6
ดังที่ ดร.แอนโทนี่ ฟลูว์ ผู้ซึ่งเป็นพวกที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้ามาก่อน ได้เคยมีคำถามไว้ มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่จะถามตัวเองเกี่ยวด้วยเรื่องรหัสตัวอักษรสามพันล้านตัวซึ่งเป็นตัวกำหนดการทำงานของเซลว่า... ใครเป็นผู้เขียนมัน? ใครเป็นคนที่ใส่รหัสที่สามารถทำงานได้นี้เข้าไปในเซลกันเล่า?
-มันก็เหมือนกับการที่คุณเดินไปตามชายหาดและคุณเห็นบนผืนทรายที่เขียนว่า “ไมค์รักมิเชล” คุณจะรู้ทันทีว่า คลื่นที่ซัดมาบนชายหาดไม่ได้ทำให้เกิดสิ่งนั้นขึ้นมา มันต้องมีใครสักคนที่เขียนมันขึ้นแน่นอน มันเป็นข้อความที่เจาะจง เป็นการสื่อสารที่ชัดเจน ในทำนองเดียวกัน โครงสร้างของดีเอ็นเอ เป็นสิ่งที่ซับซ้อน เป็นตัวอักษรถึงสามพันล้านตัว ซึ่งทำหน้าที่ในการให้ข้อมูลและชี้นำกระบวนการของเซล
จะมีใครที่สามารถอธิบายการส่งข้อความที่ซับซ้อน เป็นรหัสและเป็นอยู่อย่างถาวรในเซลของเราได้อย่างไ?
ใน วันที่ 26 มิถุนายน 2000 ประธานาธิบดี คลินตัน แสดงความยินดีกับคนเหล่านั้นที่ทำแผนที่การเรียงลำดับของยีนส์ในร่างกายมนุษย์ได้สำเร็จ ท่านกล่าวว่า “วันนี้เราได้เรียนรู้ภึงภาษาซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการสร้างชีวิตขึ้นมา เราก็ยิ่งตะลึงพรึงเพริดในความซับซ้อน ความสวยงามและความมหัศจรรย์ของ ของขวัญจากพระเจ้าที่สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ อย่างยิ่ง”7 ดร. ฟรานซิส คอลลินส์ ผู้อำนวยการของโครงการฮิวแมน จีโนม ตามขึ้นไปหลังจากท่านประธานาธิบดีที่แท่นพูดแล้วกล่าวว่า “มันเป็นความถ่อมใจสำหรับข้าพเจ้าและแรงบันดาลใจอันสูงส่ง ในการที่ได้ตระหนักว่า เราได้รับรู้แวบแรกของหนังสือคำแนะนำเกี่ยวกับตัวเราเอง ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่รู้เฉพาะแต่พระเจ้าเท่านั้น”8
เมื่อเราดูโครงสร้างดีเอ็นเอในร่างกายของมนุษย์แล้ว เราไม่สามารถที่จะออกไปจากการอยู่ในแวดล้อมของการออกแบบจากผู้ที่ชาญฉลาด( ชาญฉลาดอย่างไม่น่าเชื่อ) ได้เลย
ตามพระคัมภีร์ไบเบิ้ล (ซึ่งโดยตัวของมันเองก็ซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน) พระเจ้ามิได้เป็นแค่ผู้ที่ทำให้เราดำรงอยู่เท่านั้น แต่พระองค์ทรงเป็นความสัมพันธ์ที่ทำให้การดำรงอยู่ของเรานั้นมีความหมายอีกด้วย สิ่งที่เรากระหายหาซึ่งจับต้องไม่ได้ในชีวิต... กำลังที่เพียงพอในสถานการณ์ต่างๆ ความยินดี สติปัญญาและการรับรู้ว่า เราเป็นที่รัก พระเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ให้สิ่งเหล่านี้แก่เราเมื่อเราฟังเสียงของพระองค์และไว้วางใจในพระองค์ พระองค์คือผู้ที่เป็นผู้นำทางที่ยิ่งใหญ่และไว้วางใจได้ในชีวิตของเรา เหมือนกับที่พระองค์ได้ประดิษฐ์ดีเอ็นเอเพื่อจะให้สั่งการทำงานในเซลของเรา พระองค์ยังทรงให้ข้อเสนอที่จะแนะนำเราเพื่อที่ชีวิตของเราจะดำเนินไปได้ด้วยดี เพื่อพระสิริของพระองค์และเพื่อตัวของเราเอง เพราะว่าพระองค์ทรงรักเรา คุณเคยเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระเจ้าบ้างหรือยัง? สิ่งนี้จะช่วยอธิบายว่าคุณจะทำได้อย่างไร: 

ขอบคุณข้อมูจากเพจ everythaistudent.com

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ อ่านมัทธิว 8:1 ถึง 11:1 ​    25 และพวกสาวกมาปลุกพระองค์ ทูลว่า “องค์พร...