วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์


สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์

ข่าวดี    มัทธิว 28:16-20
(16)บรรดาศิษย์ทั้งสิบเอ็ดคนได้ไปยังแคว้นกาลิลี ถึงภูเขาที่พระเยซูเจ้าทรงกำหนดไว้  (17)เมื่อเขาเห็นพระองค์ ก็กราบนมัสการ แต่บางคนยังสงสัยอยู่  (18)พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ ตรัสแก่เขาเหล่านั้นว่า “พระเจ้าทรงมอบอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดในสวรรค์และบนแผ่นดินให้แก่เรา (19) เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา ทำพิธีล้างบาปให้เขาเดชะพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต (20) จงสอนเขาให้ปฏิบัติตามคำสั่งทุกข้อที่เราให้แก่ท่าน แล้วจงรู้เถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ”

นักบุญลูกาบันทึกไว้ว่า “เมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าเขาทั้งหลาย เมฆบังพระองค์จากสายตาของเขา  เขายังคงจ้องมองท้องฟ้าขณะที่พระองค์ทรงจากไป  ทันใดนั้นมีชายสองคนสวมเสื้อขาวปรากฏกับเขากล่าวว่า ‘ชาวกาลิลีเอ๋ย ท่านทั้งหลายยืนแหงนมองท้องฟ้าอยู่ทำไม พระเยซูเจ้าพระองค์นี้ที่ทรงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ จะเสด็จกลับมาเช่นเดียวกับที่ท่านทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงจากไปสู่สวรรค์’” (กจ 1:9-11)

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นใกล้หมู่บ้านเบธานี (ลก 24:50) ทางทิศตะวันออกของกรุงเยรูซาเล็ม บนภูเขามะกอกเทศ (กจ 1:12)

อย่างไรก็ตาม “การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้า” มิได้เป็นเพียงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อสองพันปีก่อนที่ลูกาบันทึกไว้เท่านั้น แต่ยังมีความหมายสำคัญและเป็นปัจจุบันทั้งสำหรับพระเยซูเจ้าเองและสำหรับเราคริสตชนทุกคนด้วย....

สำหรับพระเยซูเจ้า การเสด็จขึ้นสวรรค์เป็นสิ่งจำเป็นในการเข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์ที่พระเจ้าตรัสสัญญาไว้ว่า “จงประทับทางขวาของเรา จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นดังแท่นวางเท้าของท่าน” (สดด 110:1) ซึ่งเป็นข้อความจากพระธรรมเก่าที่ได้รับการอ้างอิงถึงมากที่สุดในพระธรรมใหม่

นอกจากนั้น การเสด็จขึ้นสวรรค์ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงได้รับการเทิดทูนเหนือบรรดาวีรบุรุษในพระธรรมเก่าอย่างเช่นกษัตริย์ดาวิดซึ่ง “ยังไม่เคยเสด็จขึ้นสวรรค์” (กจ 2:34) และทรงอยู่เหนือทูตสวรรค์ดังที่ผู้นิพนธ์จดหมายถึงชาวฮีบรูตั้งคำถามว่า “พระเจ้าตรัสกับทูตสวรรค์องค์ใดบ้างว่า 'เชิญมาประทับ ณ เบื้องขวาของเราเถิด จนกว่าเราจะปราบศัตรูทั้งหมดให้เป็นที่วางเท้าของท่าน'” (ฮบ 1:13) และนักบุญเปโตรเสริมว่า “ทั้งทูตสวรรค์ ทั้งศักดิเทพ และทั้งอิทธิเทพทั้งหลายล้วนอยู่ใต้พระอำนาจของพระองค์ผู้เสด็จสู่สวรรค์และประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า” (1 ปต 3:22)

รวมความว่า อาศัยการเสด็จขึ้นสวรรค์ พระเยซูเจ้าทรง “ครอบครองทุกสิ่งอย่างสมบูรณ์" (อฟ 4:10) และได้รับ “พระนามที่ประเสริฐกว่านามอื่นใดทั้งสิ้น  เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดิน รวมทั้งใต้พื้นพิภพ จะย่อเข่าลงนมัสการพระนาม ‘เยซู’ นี้  และเพื่อชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” (ฟป 2:9-11)

ทั้งหมดนี้พระองค์ทรงสรุปให้บรรดาอัครสาวกฟังสั้น ๆ ว่า “พระเจ้าทรงมอบอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดในสวรรค์และบนแผ่นดินให้แก่เรา” (มธ 28:18)

บางคนอาจส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง ที่พระองค์ทรงลงเอยด้วยน้ำเน่าเหมือนมนุษย์ทั่วไป คือทรงกระทำทุกสิ่งเพื่อ “อำนาจ” นี่เอง

แต่อำนาจของพระองค์แตกต่างจากอำนาจที่มนุษย์แสวงหาอย่างสิ้นเชิง !

ตัวอย่างที่เราพบเห็นจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้วก็คือพวกนักการเมืองซึ่งพยายามทุกวิถีทางเพื่อเข้าสู่วงจรอำนาจ  เริ่มตั้งแต่โกงเลือกตั้ง ซื้อตำแหน่ง แก้กฎหมายเพื่อเพิ่มและคงไว้ซึ่งอำนาจ ฯลฯ เพราะอำนาจทำให้ตัวเขาและพวกพ้อง “ได้รับผลประโยชน์”

แต่อำนาจของพระเยซูเจ้าเป็น “อำนาจเหนือความตาย” และพระองค์ทรงใช้อำนาจนี้มิใช่เพื่อพระองค์เอง แต่ “เพื่อช่วยเราทุกคน” ให้เอาชนะความตายและมีชีวิตนิรันดรดุจเดียวกับพระองค์
ในเมื่อความตายพระองค์ยังสามารถพิชิตได้  ยังจะมีอะไรอีกหรือที่อยู่นอกเหนือความสามารถและอำนาจของพระองค์ ไม่ว่าในสวรรค์หรือบนแผ่นดินก็ตาม ?

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะต้องกลัวอะไรอีกเพราะเจ้านายของเราทรงมีอำนาจชนิดปราศจากข้อกังขาใด ๆ ทั้งสิ้น ?!

สำหรับคริสตชน การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้ามีความสำคัญต่อเราอย่างยิ่งยวด

1.    ทำให้เราได้รับพระจิตเจ้า ดังที่ทรงตรัสว่า “ถ้าเราไม่ไป พระผู้ช่วยเหลือก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน  แต่ถ้าเราไป เราจะส่งพระองค์มาหาท่าน” (ยน 16:7)

หากพระองค์ไม่เสด็จขึ้นสวรรค์ ร่างกายของพระองค์ก็ประทับอยู่เพียงที่เดียวในปาเลสไตน์เมื่อสองพันปีก่อน  แต่เมื่อเสด็จขึ้นสวรรค์ พระจิตของพระองค์สามารถประทับอยู่ทุกแห่งที่ “มีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของพระองค์” (มธ 18:20) ตลอดไป

ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงกล้าสัญญากับบรรดาอัครสาวกว่า “จงรู้เถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ” (มธ 28:20)

แปลว่าเรามีพระองค์ประทับอยู่เคียงข้างเราเสมอไม่ว่ายามสุขหรือทุกข์ก็ตาม

นับจากนี้ไป เราไม่ต้องหวั่นกลัวอะไรอีกเพราะ เรามีพระเยซูเจ้าผู้มีอำนาจเต็มทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดิน อยู่กับเราและช่วยเหลือเราตลอดไป ตราบจนสิ้นพิภพ.........

2.    ทำให้เรามีความหวัง  ในเมื่อพระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นมนุษย์แท้ยังเสด็จขึ้นสวรรค์ได้ เราย่อมหวังว่าจะขึ้นสวรรค์ได้เช่นเดียวกับพระองค์  ยิ่งพระองค์ตรัสว่า “เรากำลังไปเตรียมที่ให้ท่าน” (ยน 14:2) เรายิ่งมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่า “เมื่อกระโจมที่เราอาศัยอยู่ในโลกนี้ถูกเก็บไปแล้ว เรายังมีบ้านซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้สำหรับเรา เป็นบ้านที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ แต่เป็นบ้านถาวรนิรันดรอยู่ในสวรรค์” (2 คร 5:1)

3.    ทำให้เครื่องบูชาของเราเป็นที่พอพระทัย  เพราะพระเยซูเจ้าคือ “มหาสมณะยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งผ่านเข้าสู่สวรรค์” (ฮบ 4:14) และเสด็จล่วงหน้าเข้าไปถึงห้องภายในพระวิหาร (ฮบ 6:19-20) ซึ่งเป็นพระวิหารแท้โดยมีพระวิหารที่น้ำมือมนุษย์สร้างขึ้นในโลกนี้เป็นเพียงภาพจำลอง (ฮบ 9:24)  นอกจากนี้พระองค์ “ทรงถวายเครื่องบูชาชดเชยบาปเพียงครั้งเดียว แล้วจึงเสด็จเข้าประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าตลอดไป” (ฮบ 1:3; 10:12; 12:2)

การเสด็จขึ้นสวรรค์เข้าสู่ห้องภายในซึ่งมีแต่มหาสมณะเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้และประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าตลอดไปคือเครื่องพิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยและยอมรับเครื่องบูชาลบล้างมลทินแห่งบาปที่พระองค์ทรงถวายบนไม้กางเขน และไม่จำเป็นต้อง “ถวายเครื่องบูชาอย่างเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า” (ฮบ 10:11)

4.    ทำให้เรามีทนายแก้ต่าง ดังที่นักบุญยอห์นกล่าวว่า “ถ้าใครทำบาป เรายังมีทนายแก้ต่างให้เฉพาะพระพักตร์ของพระบิดา คือพระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงเที่ยงธรรม” (1 ยน 2:1)

ที่สำคัญคือพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกับเราทุกประการ ทรงประสบกับทุกสิ่งที่เราประสบไม่ว่าจะเป็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และ “ทรงผ่านการทดลองทุกอย่างเหมือนกับเรา ยกเว้นบาป” (ฮบ 4:15) ด้วยเหตุนี้พระองค์จึง “ติดต่อกับพระเจ้าเพื่อไถ่โทษชดเชยบาปของประชากร” (ฮบ 2:17) และ “บันดาลความรอดพ้นนิรันดรแก่ทุกคนที่ยอมนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงแต่งตั้งพระองค์ให้ทรงเป็นมหาสมณะตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค” (ฮบ 5:9-10)

การเสด็จขึ้นสวรรค์ของพระเยซูเจ้าจึงเป็นเครื่องยืนยันว่า “พระเจ้าทรงเข้าใจมนุษย์อย่างถ่องแท้” เราจึง “วอนขอพระหรรษทานได้ด้วยความมั่นใจ และพบพระหรรษทานเกื้อกูลในยามที่เราต้องการ” (ฮบ 4:16)ในเมื่อพระองค์สามารถบันดาลความรอดพ้นนิรันดรให้แก่ทุกคนที่นอบน้อมเชื่อฟังพระองค์ พระองค์จึงตรัสสั่งบรรดาอัครสาวกว่า “ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา” (มธ 28:19)
นี่คือสุดยอดภารกิจที่ทรงมอบหมายแก่สาวกและเราทุกคน !

ภารกิจนี้คือ “ทำให้โลกเป็นศิษย์และนอบน้อมเชื่อฟังพระองค์”

พระองค์ต้องการศิษย์มิใช่เพื่อชื่อเสียงหรือเกียรติยศของพระองค์เอง แต่เพื่อช่วยศิษย์ให้รอดและ “มีชีวิตเหมือนพระองค์”
พระบิดาทรงส่งพระองค์มา และพระองค์ทรงส่งเราไป ก็เพื่อวัตถุประสงค์นี้เอง !



kamsonbkk.com 

วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

คำว่า INRI ที่ติดอยู่บนกางเขน มีความหมายว่า


    The Cross / กางเขน

    คำว่า "INRI" ที่อยู่เหนือกางเขนของพระเยซูคริสต์ เป็นอักษรตัวแรกของคำสี่คำในภาษาละตินว่า "Jesus Nazarenus Rex Judaeorum" (อ่านว่า เยซุส นาซารีนุส เรกซ์ ยูเดโอรุม) มีความหมายว่า "Jesus of Nazareth, King of the Jews" หรือ "เยซูแห่งนาซาเรธ กษัตริย์แห่งยิว"ปิลาต เป็นผู้สั่งให้เขียนอักษรนี้ เนื่องจากเป็นข้อกล่าวหาที่บรรดาหัวหน้าปุโรหิตของชาวยิว ได้กล่าวร้ายต่อพระองค์ ป้ายดังกล่าวเขียนเป็นภาษาฮีบรู (อาราเมอิค) สำหรับชาวยิวพื้นเมือง ภาษาลาติน สำหรับชาวโรมันในแถบนั้น และภาษากรีก สำหรับชาวต่างชาติ และพวกยิวซึ่งมาจากที่อื่น 

    ๑.ความหมายของกางเขน  ( ใครที่ดูหนัง “พระมหาทรมาน/The Passion Of the Christ  จะเข้าใจภาพเหล่านี้ชัดเจน )
    เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกตัดสินให้ประหารด้วยการตรึงบนไม้กางเขน เขาก็นำพระองค์ไปโบยตีด้วยแส้หนังตามวิธีลงโทษนักโทษประหาร แส้นี้ทำด้วยหนังเป็นเส้นๆ คล้ายหางม้า และมีตะกั่ว กระดูกสัตว์หรือของมีคมอื่นๆ ผูกเป็นปมๆ ติดอยู่ เพื่อเพิ่มความเจ็บปวดและสร้างบาดแผลให้มากยิ่งขึ้น นักโทษบางคนถึงกับเสียชีวิตด้วยการโบยด้วยแส้นี้ บางคนถึงกับตาบอดก็มี หลังจากเฆี่ยนแล้วเขาก็นำพระองค์มาล้อเลียน เยาะเย้ย ทั้งเอาหนามมาสานเป็นมงกุฎสวมให้ด้วย พอวันรุ่งขึ้นเขาก็ให้พระองค์แบกกางเขนอันใหญ่และหนักไปตามถนนทั้งๆ ที่พระองค์บอบช้ำและอดนอนมาตลอดทั้งคืนแล้ว ขบวนแห่นักโทษนี้จะมีทหารคุมไป 4 คนอยู่คนละมุมเป็นรูปสี่เหลี่ยม ข้างหน้ามีป้ายประจานความผิดของนักโทษเขียนเป็น 3 ภาษาคือ กรีก ลาติน และฮีบรู เพราะภาษากรีกเป็นภาษาที่ใช้ในทางการค้า ภาษาลาตินเป็นภาษาทางราชการ ส่วนภาษาฮีบรูเป็นภาษาท้องถิ่น เขาจะนำป้ายอันนี้มาติดไว้ที่ยอดกางเขนเมื่อตรึงแล้วด้วย นักโทษจะถูกแห่ประจานไปรอบๆ เมือง ก่อนที่จะนำไปประหาร โดยใช้เส้นทางที่ยาวและคดเคี้ยวที่สุด ด้วยเหตุผลสองประการคือ หนึ่งเป็นการประจาน และสองถ้าในขณะที่เดินไปมีผู้ใดจะคัดค้านและขอเป็นพยานในความบริสุทธิ์ของนักโทษก็จะประท้วงคำพิพากษานี้ได้ คดีนี้จะต้องรื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาใหม่ น่าสลดใจที่ไม่มีผู้ใดคัดค้านเพื่อพระเยซูกันเลยแม้แต่คนเดียว

    กางเขนที่พระเยซูแบกไปนั้นเข้าใจกันว่าเป็นกางเขนที่เราเห็นอยู่ในโบสถ์ทั่วๆ ไปซึ่งเรียกกันว่ากางเขนแบบลาติน กางเขนในสมัยนั้นไม่ได้มีอยู่แบบเดียวเท่านั้น ยังมีกางเขนรูปตัว X เรียกว่ากางเขนของนักบุญอันดรูว์ เพราะเชื่อว่าอัครสาวกอันดรูว์ถูกตรึงด้วยกางเขนชนิดนี้ แบบที่ 3 ก็เป็นรูปตัว T มีชื่อว่ากางเขนของนักบุญแอนโทนี และแบบที่ 4 ก็คือแบบของกรีกที่เป็นรูปกากบาท + คือแบบสัญลักษณ์ของกาชาดนั่นเอง

    ความเป็นมาของกางเขนนั้นเดิมทีเกิดขึ้นในหมู่ชาวเปอร์เซีย พวกเขามีความเชื่อว่าแผ่นดินนั้นบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่ยอมให้ร่างกายของผู้ทำผิดหรือร่างกายที่ชั่วร้ายนั้นมาเกลือกกลั้ว เมื่อจะประหารก็จัดการตรึงไว้ด้วยตะปูนแขวนห้อยเหนือพื้นดิน เมื่อตายแล้วก็ให้แร้งหรือสุนัขป่ามาฉีกกินจนสิ้นซาก วิธีการเช่นนี้พวกคาเธจซึ่งอยู่ใกล้อิตาลีหรือโรมจดจำมาใช้และทางโรมันก็นำมาใช้อีกต่อหนึ่ง แต่การนำกางเขนมาใช้นี้มิได้ใช้กับชาวโรมัน แต่จะใช้กับพวกทาสหรือพวกกบฏที่เป็นชาวต่างชาติ เพราะเขาถือว่าชาวโรมันเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่าคนชาติอื่นๆ จะถูกทำทารุณกรรมอย่างนั้นไม่ได้ ซิเซโร นักปรัชญาเป็นเอกที่มีชื่อเสียงในสมัยก่อนคริสตศตวรรษแสดงความเห็นไว้ว่า สำหรับประชาชนชาวโรมันแล้ว "การถูกจับมัดก็เป็นอาชญากรรม ถ้าถูกเฆี่ยนตีก็ยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้นอีก คือถือว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างที่สุด แต่ถ้าถูกตรึงบนกางเขนละก็ไม่ทราบว่าจะเปรียบกับอะไรอีกได้" ด้วยเหตุนี้การประหารด้วยการตรึงบนกางเขนจึงไม่มีในหมู่ชาวโรมัน พระเยซูคริสต์ของเราถูกประหารอย่างทารุณที่สุด ต่ำต้อยที่สุดและน่าอับอายที่สุดที่มนุษย์จะคิดขึ้นได้ในสมัยนั้น


      Image result for photo jesus on the cross

      ๒.การตรึงบนไม้กางเขน 
      พระเยซูคริสต์ โดนตี/โบย กี่ครั้ง คริสตศวรรษ 14 นักบุญบริดจิท บอกว่า 5,480 ครั้ง เขาทราบได้อย่างไร คือขณะที่ท่านอธิษฐานอย่างลึกซึ้งด้วยหัวใจ เรียกว่า “ภาวนาด้วยหัวใจ” เขาได้สนทนากับพระเยซูคริสต์เขาได้ถามพระองค์เรื่องนี้ 

      เป็นวิธีการทำให้เจ็บปวดรวดร้าว เป็นวิธีการประหารชีวิตซึ่งพวกโรมันใช้ ไม่ใช่เป็นวิธีการของพวกยิว พวกยิวในสมัยพระคัมภีร์เดิมใช้วิธีประหารชีวิตพวก อาชญากรโดยใช้หินขว้างให้ตาย และเอาศพแขวนไว้บนต้นไม้เป็นเครื่องแสดงว่าคนถูกประหารชีวิตเหล่านั้นอยู่ภายใต้การสาปแช่งของพระเจ้า (ฉธบ. 21:22-23) พวกยิวในสมัยพระเยซูอยู่ภายใต้การปกครองของโรมไม่มีอำนาจจัดการประหารชีวิต เขาต้องยอมให้ทางโรมทำ อย่างไรก็ตามพวกชาวยิวไม่ขอให้โรมเอาหินขว้างพระเยซูให้ตาย เขาเห็นว่าจับพระองค์ตรึงบนกางเขนให้ตายมันง่ายดีกว่า (มธ. 27:22-23)

      สำหรับพวกยิวถือกันว่ากางเขนของพระเยซูเป็นเสมือนต้นไม้ เพราะพระองค์ถูกแขวนไว้บนท่อนไม้รูปกางเขนนั้น พวกเขาจึงถือว่าพระองค์ตกอยู่ภายใต้การสาปแช่งของพระเจ้า แท้ที่จริงพระเยซูคริสต์ได้ทรงแบกการสาปแช่งของพระเจ้าไว้กับพระองค์อย่างที่เขาคิด พระองค์กระทำเช่นนั้นไม่ใช่เพราะพระองค์เองกระทำผิด พระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ไม่มีความบาป แต่พระองค์ทรงรับการสาปแช่งแทนคนบาป เพราะเหตุความเข้าใจผิดเรื่องการสาปแช่งแห่งการเขนจึงทำให้การตรึงพระเยซูบนไม้กางเขนเป็นหินสะดุดพวกชาวยิว พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมเชื่อพระเยซู เพราะฉะนั้นกางเขนจึงเป็นเครื่องกีดกันพวกเขา ไม่ให้รับความรอดจากพระเจ้า ผู้เขียนพระคัมภีร์ใหม่ถือว่าการที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนี้เป็นรากฐานแห่งพันธกิจการช่วยให้รอดของพระเจ้า ดังนั้นไม้กางเขนจึงกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของความรอด ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดให้ผู้เชื่อทุกคนพ้นจากความผิดบาป ข่าวประเสริฐก็คือข่าวเรื่องไม้กางเขนนั่นเอง กางเขนจึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความอับอาย และความตายด้วย พระเยซูคริสต์ได้ทรงชี้แจงด้วยพระองค์เองว่า คนเหล่านั้นที่ต้องการจะเป็นสาวกของพระองค์ ต้องพร้อมที่จะเผชิญกับความอับอาย ความทุกข์ทรมานและความตาย ถ้าหากพวกเขาเป็นสาวกที่แท้จริงของพระองค์

    ขอบคุณข้อูลจากคุณ : โปรดปราน พีพี 

วันศุกร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เหตุใดพระเยซูเจ้าจึงทรงถูกตรึงกางเขน?

เหตุใดพระเยซูเจ้าจึงทรงถูกตรึงกางเขน?


    แม้แต่ยูดาส อิสคาริโอท ลูกศิษย์หนึ่งในสิบสองของพระเยซูเจ้าก็ไม่แตกต่างจากบรรดาประชาชนที่มั่นใจว่าสถานการณ์คับขันพระองค์จะทรงจับอาวุธเข้าสู้หรือทำอะไรสักอย่าง จะได้เริ่มการปฏิวัติพวกโรมันจึงวางแผนขายพระอาจารย์เจ้าของตน    โดยไปบอกสถานที่ที่จะพบพระเยซูเจ้าได้ ณ ที่ใดแก่พวกสมณะเพื่อจะพาทหารมาจับกุม ยูดาสได้ค่าบอกสถานที่ที่จะพบเพื่อจับกุมพระเยซูเจ้าเป็นเงิน 30 เหรียญ

    ปิลาต ผู้ว่าราชการชาวโรมันไม่รู้จักพระเยซูเจ้า ไม่รู้จักพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับพระมหาไถ่และการสถาปนาอาณาจักรของพระเป็นเจ้า ออกจะขำเสียด้วยซ้ำเมื่อเห็นพระเยซูเจ้าทรงแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายที่แสนจะธรรมดา จะทำอะไรได้เพื่อเป็นกษัตริย์ดังที่ถูกกล่าวหา มีเพียงสิ่งเดียวที่ปิลาตพบก็คือ พระองค์มีบุคลิกที่ไม่ธรรมดา    ปิลาตต้องการปล่อยพระเยซูเจ้าเพราะไม่พบความผิดที่สมควรต้องโทษถึงตาย เพื่อเอาใจชาวยิวจึงสั่งให้ทหารเฆี่ยนและปล่อยตัวไป    พวกทหารนำพระเยซูเจ้าไปเยาะเย้ยล้อเลียน โดยเอาหนามมาสานเป็นมงกุฎและสวมที่พระเศียร    เอาไม้อ้อมาฟาดลงที่พระเศียรแล้วให้ถือไม้อ้อเหมือนกษัตริย์ทรงคฑา    บ้างก็ถ่มน้ำลายรดพระพักตร์และเฆี่ยนพระองค์ตามคำสั่งของปิลาต

    ที่สุดปิลาตหาทางที่จะปล่อยตัวของพระเยซูเจ้าเพราะไม่พบว่าพระองค์มีความผิดแต่ประการใด    ขณะนั้นในกรุงเยรูซาเล็มมีเทศกาลฉลองวันปัสกาหรือวันกู้ชาติของชาวยิว มีธรรมเนียมให้ปล่อยนักโทษให้เป็นอิสระได้ 1 คน โดยให้ประชาชนเป็นผู้เลือกว่าจะปล่อยพระเยซูเจ้าหรือบารบัสผู้ร้ายฆ่าคน    และประชาชนต่างพากันตะโกนให้เอาพระเยซูเจ้าไปตรึงกางเขน    พระเยซูเจ้าทรงถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยข้อหา “เป็นกษัตริย์ของชาวยิว” แผ่นป้ายข้อหาของผู้ถูกประหารจะติดอยู่ที่เหนือศีรษะของผู้ถูกประหารบนไม้กางเขน

    แต่การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูเจ้ามิใช่เป็นเหตุการณ์ธรรมดา มิเช่นนั้นเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งปวงสำหรับการพยายามจะสถาปนาอาณาจักรของพระเป็นเจ้าไม่ล้มเหลวไปกับการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูเจ้าหรือ...? คำตอบก็คือ “ไม่” เพราะว่าการบังเกิดมาและยอมรับการทรมานและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า เป็นหนทางสู่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ นั่นคือ พระเยซูเจ้าเสด็จกลับคืนชีพหลังจากสิ้นพระชนม์ไปแล้วสามวัน         เช้าวันอาทิตย์ปัสกาตามเทศกาลฉลองของชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จกลับคืนชีพเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะมีได้ในประวัติศาสตร์มนุษยชาตินั่นคือ พระเยซูเจ้าทรงชนะความตายเป็นบุคคลแรก และต่อมาก็ชาวเราทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์    เมื่อเราจบชีวิตจากโลกนี้ เราจะกลับคืนชีพอีกครั้งหนึ่งแบบพระเยซูเจ้าเพื่อกลับไปอยู่กับพระเป็นเจ้า

    เมื่อเริ่มบทความเราได้พบว่า มนุษย์ได้ทำบาป เลือกที่จะไม่รักพระเป็นเจ้าและปฏิเสธที่จะดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์เรื่องราวของอาดัมและเอวามนุษย์คู่แรกที่พระเป็นเจ้าทรงสร้างในหนังสือพระคัมภีร์สะท้อนความจริงที่ว่า เมื่อแรกที่พระเป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์มา มนุษย์เองเลือกที่จะละทิ้งพระเป็นเจ้า ปฏิเสธและตัดสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้า ผลร้ายในชีวิตก็ตามมา การเกิด แก่ เจ็บและที่สุด ต้องตาย (ปฐก 3 : 19) ความตายเป็นผลร้ายของบาปที่เจ็บปวดที่สุด มนุษย์ต้องตาย เราไม่เห็นความร้ายกาจของความตายจนกว่าจะพบว่าใครสักคนในครอบครัวของเราตายจากเราไป คนรักหรือพ่อแม่ พระเป็นเจ้ารักเราเหมือนลูก และพระองค์ปรารถนาจะให้เราได้มีชีวิตกับพระองค์ตลอดไปเช่นกัน

    พระเยซูเจ้าต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและเสด็จคืนพระชนม์ชีพ    เป็นผลแรกแห่งการไถ่บาปกอบกู้ของมนุษยชาติทั้งมวลประวัติศาสตร์แห่งความรอดเริ่มต้นที่อับราฮัม และดำเนินเรื่อยมาทางเชื้อสายของท่าน คือ ชนชาติอิสราเอล หรือ ชาวยิว จนกระทั่งมาสำเร็จบริบูรณ์ในองค์พระเยซูเจ้า

 พระวาจาของพระเป็นเจ้าที่ตรัสสัญญากับอับราฮัมว่ามนุษยชาติจะได้รับพระพรผ่านทางเชื้อสายของเขาบัดนี้ พระเยซูเจ้า พระบุตรพระบุคคลที่สองในพระตรีเอกภาพทรงทำให้สำเร็จไปด้วยการสิ้นพระชนม์และเสด็จคืนพระชนม์ชีพ และทรงกอบกู้มนุษยชาติทั้งมวลกลับคืนมาสู่พระเป็นเจ้าอีกครั้งหนึ่ง

   การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูเจ้าจึงมิใช่เหตุบังเอิญ ที่สถานการณ์บ้านเมืองของชาวยิวในสมัยนั้นส่งให้พระองค์ต้องถูกตรึงกางเขน แต่เป็นแผนการอันลึกลับยากที่จะเขาใจดังที่คริสตชนเรียกว่า “พระธรรมล้ำลึก” (MYSTERY)  เป็นแผนการความรอดที่พระเป็นเจ้าทรงจัดเตรียมไว้แล้วแต่วินาที่แรกที่มนุษย์ทำบาปและถอยห่างออกไปจากพระองค์ ธรรมล้ำลึกนี้ก็คือ พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเป็นเจ้าเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์เหมือนเราทุกอย่าง เว้นแต่บาป    ทรงรับทรมานและสิ้นพระชนม์โดยถูกตรึงไว้กับกางเขน ทรงถูกฝังไว้ในพระคูหา 3 วัน เสด็จกลับคืนชีพและเสด็จสู่สวรรค์เพื่อทรงส่งพระจิตลงมาในโลกคอยช่วยเหลือเราในการพยายามดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ในโลกนี้จนกว่าเราจะสิ้นใจและกลับเป็นขึ้นมาอีกครั้งเช่นเดียวกับพระองค์    ธรรมล้ำลึกนี้บรรดาอัครสาวกเริ่มเข้าใจมากขึ้นเมื่อเขากลับไปศึกษาพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม (THE OLD TESTATMENT) โดยเฉพาะหนังสือของบรรดาประกาศกที่พูดถึงองค์พระมหาไถ่ที่จะเสด็จมาไว้ก่อนแล้ว โดยเฉพาะประกาศกอิสยาห์ ว่าผู้รับใช้ของพระเป็นเจ้าจะมีลักษณะต้องรับทรมานเหมือนอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงได้รับ (อสย 42/49/50 : 13-53 : 12)

อาณาจักรของพระเป็นเจ้าบนโลกนี้ในความหมายของพระเยซูเจ้ามาถึงแล้ว พระองค์ทรงสถาปนาขึ้นด้วยชีวิตของพระองค์ นั่นคือ ความรัก แต่อาณาจักรนี้ยังไม่สมบูรณ์ แต่กำลังดำเนินไปโดยมีจุดมุ่งหมายมุ่งสู่ความสมบูรณ์ในวันสิ้นพิภพ

    ใครเข้าใจเรื่องความรักและลงมือปฏิบัติ อาณาจักรของพระเป็นเจ้าได้มาตั้งอยู่ในจิตใจของเขาแล้ว พระอาณาจักรนี้เป็นจริงได้ในโลกเมื่อเราศึกษาคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าและปฏิบัติ เราจะพบว่าพระเป็นเจ้าประทับอยู่ท่ามกลางเราจริงๆ และจะสมบูรณ์ในวันที่เรากลับคืนชีพพร้อมกันทุกคนในวันสิ้นพิภพ    วันนั้นเราจะอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ที่แท้จริงกับพระเป็นเจ้า ได้พบพระองค์หน้าต่อหน้า มีร่างกายที่กลับคืนชีพใหม่ร่วมกับวิญญาณอย่างสมบูรณ์ (1 คร 15 : 51-57)

การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า จึงเป็นการกอบกู้มนุษยชาติอันยิ่งใหญ่และเตือนเราทุกคนว่า หนทางแห่งการกลับเป็นลูกแห่งพระเป็นเจ้า มีชีวิตนิรันดรกับพระองค์อีกครั้งหนึ่ง ต้องผ่านหนทางแห่งการเสียสละด้วยความรักในชีวิตจริงของเรา แบบเดียวกับที่พระเยซูเจ้าทรงผ่านหนทางแห่งการทรมานและกางเขนเพื่อเข้าสู่เกียรติมงคล

เคยมีคนที่ไม่ใช่คริสตชนกล่าวกับผู้เขียนว่า    พระเยซูเจ้าบนไม้กางเขนไม่เห็นสวยเลย ไม่มีเสื้อผ้าใส่ มีผ้าผืนเดียวพันกาย มีเลือดไหลน่ากลัวมีหนามแหลมแทงศีรษะ    ทำไมคริสตชนต้องไหว้รูปพระเยซูบนกางเขนแบบนี้ด้วย?    หลังจากที่เราได้อ่านและพิจารณาเรื่องราวตั้งแต่ต้นมาจนบัดนี้ ว่าทำไมพระเยซูเจ้าจึงถูกตรึงกางเขน จึงรู้ว่า เครื่องหมายกางเขนเป็นเครื่องหมายแห่งความรัก เมื่อคริสตชนเห็นรูปกางเขนก็จำได้ว่า ถ้าหากโลกนี้ไม่มีใครรักเราเลย ก็ยังคงมีองค์พระเยซูเจ้าผู้เป็นพระเป็นเจ้าของเรา รักเราอยู่คนหนึ่งอย่างที่สุด เพราะทรงมอบพระองค์เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปบนไม้กางเขนให้แก่มนุษย์ทุกคนจนหมดสิ้น ไม่เหลืออะไรอีก    เราแลดูสะอาดบริสุทธิ์และสวยงามก็เพราะบาปและความน่าเกลียดของเราไปตกอยู่กับพระองค์จนหมดสิ้น พระองค์ทรงรับมันเอาไว้แทนเรา (อสย 53 : 1-12)

    และเพราะกางเขนเป็นเครื่องหมายแห่งความรักอันหาขอบเขตไม่ได้ คริสตชนจึงทำเครื่องหมาย “สำคัญมหากางเขน” ลงบนตัวเราพร้อมกับกล่าวว่า “เดชะพระนามพระบิดา และพระบุตร และพระจิต อาแมน” ก็เพื่อขอพระทรงรักเราและทรงอวยพรลงบนชีวิตเราเลยทีเดียว ก่อนจะทำกิจการสำคัญอันใด คริสตชนจึงทำเครื่องหมายกางเขนลงบนตัวดังที่เราได้เห็นอยู่เสมอ    เมื่อคริสตชนจะเริ่มสวด รับประทานอาหาร ตื่นนอน ก่อนเข้านอน เดินทาง เริ่มเรียนหนังสือ ฯลฯ การทำ “สำคัญมหากางเขน” ก็เป็นหนึ่งในกิจศรัทธาที่ต้องปฏิบัติในชีวิตประจำวันทั้งพิธีกรรมอื่นๆ ดังจะได้กล่าวในหัวข้อเรื่อง “ศาสนกิจในชีวิตประจำวัน”

kamsonbkk.com

วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

การถูกตรึงที่กางเขน



"ขณะเมื่อเรายังอ่อนกำลัง พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อคนอธรรมในเวลาที่เหมาะสม อันที่จริง มีน้อยคนนักจะยอมตายเพื่อคนชอบธรรม แต่บางทีจะมีคนยอมตายเพื่อคนดีก็ได้ แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เรา คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพราะฉะนั้นเมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นเราจะพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้าโดยพระองค์ เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้าเราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อกลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์" - โรม 5:6-10

การตรึงที่กางเขนและการเสด็จขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ 

Image result for photo jesus on the cross

พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ ระบุว่า พระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขนตั้งแต่เช้า "เมื่อเขาตรึงพระองค์ไว้นั้นเป็นเวลาเช้าสามโมง" และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนในเวลาบ่าย "เวลานั้นประมาณเวลาเที่ยง ก็บังเกิดมืดมัวทั่วแผ่นดิน จนถึงบ่ายสามโมง ดวงอาทิตย์ก็มืดไป ม่านในพระวิหารก็ขาดตรงกลาง พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า 'พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์' ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์"


หลังจากนั้นพระองค์ทรงเสด็จกลับฟื้นคืนพระชนม์ในวันที่ 3 "แต่เช้ามืดในวันต้นสัปดาห์ ผู้หญิงเหล่านั้นจึงนำเครื่องหอมที่เขาได้จัดเตรียมไว้มาถึงอุโมงค์ เขาเหล่านั้นเห็นก้อนหินกลิ้งพ้นจากปากอุโมงค์แล้ว และเมื่อเข้าไปมิได้เห็นพระศพของพระเยซูเจ้า" "หญิงเหล่านั้นก็ไปจากอุโมงค์โดยเร็ว ทั้งกลัวทั้งยินดีเป็นอันมาก วิ่งไปบอกพวกสาวกของพระองค์ ดูเถิด พระเยซูได้เสด็จพบเขาและตรัสว่า 'จงจำเริญเถิด' หญิงเหล่านั้นก็มากอดพระบาทนมัสการพระองค์ พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า 'อย่ากลัวเลย จงไปบอกพวกพี่น้องของเราให้ไปยังกาลิลี จะได้พบเราที่นั่น'" บุคคลที่พระเยซูทรงปรากฏให้เห็นก่อนที่จะเสด็จขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ ได้แก่ มารีย์ชาวมักดาลา, เคลโอปัสและศิษย์อีกคนหนึ่งซึ่งในพระคัมภีร์ไม่ได้ระบุชื่อ, สาวกทั้งสิบเอ็ดคน, สาวกเจ็ดคน พระเยซูทรงประทับอยู่กับเหล่าสาวกราว40วัน และเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าพวกเขา "เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา"
baanjomyut.com


ชวนคิดสะกิดใจ
    นักบุญเปาโลหลังจากได้ผ่านประสบการณ์ในชีวิตมาอย่างมากมาย ท่านได้สอนเราว่า “พวกเราที่กำลังจะรอดพ้นเห็นว่าไม้กางเขนเป็นพระอานุภาพของพระเจ้า” (1คร 1:18)  เมื่อเรามองไม้กางเขนเราพบความรักและพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเยซูเจ้า พระมหาทรมานที่พระองค์ทรงยอมรับเพื่อกอบกู้มนุษย์ให้พ้นบาป เป็นอานุภาพและพลังแก่เราเมื่อเราต้องเผชิญกับความทุกข์และความยากลำบากในชีวิต

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ทำไมพระเยซูเจ้าจึงต้องเสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์

ทำไมพระเยซูเจ้าจึงต้องเสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์


          มีหลายคนถามว่า... ทำไมต้องเป็นพระเยซูด้วย?

 พระเยซูมีความสำคัญอย่างไรพระเยซูเกิดมาทำไมใน “บทข้าพเจ้าเชื่อ” เวลาที่เราสวดในพิธีบูชามิสซาฯตอบยืนยันเราว่า “เพราะเห็นแก่เรามนุษย์ และเพื่อช่วยเราให้รอด พระองค์จึงเสด็จจากสวรรค์ พระองค์ทรงรับเอากายจากพระนางมารีพรหมจารี ด้วยอานุภาพของพระจิต และมาบังเกิดเป็นมนุษย์”


 จากข้อความเชื่อนี้ คำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกได้สรุปถึงความสำคัญของการบังเกิดมาเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้าไว้ดังนี้

  
1.         พระเยซูเจ้าทรงบังเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อช่วยเราให้รอด โดยให้เรามนุษย์ได้คืนดีกับพระบิดาเจ้า หลังจากที่บิดามารดาเดิมของเรา(อาดัมและเอวา)ได้ทำบาปกำเนิด ซึ่งผลของบาปกำเนิดทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษยชาติกับพระเจ้าขาดสะบั้นลง ดังนั้นการบังเกิดมาเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้าจึงเป็นเครื่องบูชาชดเชยความผิดบาปของมนุษย์ และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้ากลับมีความสัมพันธ์อันดีคืนมา “พระองค์ได้ปรากฏมาเพื่อยกบาปให้หมดสิ้นไป”(1ยน.3:5)

  
2.       การเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้าทำให้เราได้รับรู้ถึงความรักของพระเจ้า ตามที่นักบุญยอห์นได้เขียนสอนเราว่า พระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อว่าผู้ใดเชื่อในพระองค์ ก็จะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร์(ยน.3:16)

  
3.       พระเยซูทรงบังเกิดมาเพื่อเป็นแบบอย่างแห่งความศักดิ์สิทธิ์สำหรับเรา ทรงเป็นหนทางให้เราได้เดินตาม ทรงเป็นความจริงให้เรายึดถือ และทรงเป็นชีวิตที่ทำให้เรามีชีวิต ถ้าเราต้องการทราบว่าเราจะต้องประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรให้เราศึกษาแบบอย่างชีวิตของพระองค์แล้วเราก็จะได้รับคำตอบ “จงเรียนรู้จากเรา..”(มธ.11:29) “เราเป็นหนทาง ความจริงและชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา”(ยน.14:6)

  
4.       พระเยซูทรงรับเอากายมาเป็นมนุษย์เพื่อให้เรามนุษย์ “มีส่วนในพระธรรมชาติของพระเจ้า” (2 ปต.1:4) พระเยซูเจ้าทรงยกฐานะของมนุษย์ให้สามารถเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ตามที่นักบุญอาธานาเซียสอนว่า “เพราะว่าพระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ เพื่อทำให้เราเป็นพระเจ้า” และนักบุญโทมัสได้อธิบายว่า “พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ด้วยความปรารถนาที่จะให้เรามีส่วนในพระเทวภาพของพระองค์ ก็ได้รับเอาธรรมชาติของเรามนุษย์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงเป็นมนุษย์แล้ว พระองค์จะได้ทรงทำให้มนุษย์เป็นพระเจ้า”

  
                นี่คือบุญวาสนาของเรามนุษย์ที่ได้รู้จักพระเยซูเจ้า และรับพระเยซูเจ้าเป็นพระเจ้าประจำชีวิตของเรา ไม่มีอะไรที่จะมีคุณค่าเท่ากับชีวิตของพระเยซูเจ้า การบังเกิดมาเป็นมนุษย์ของพระองค์นั้นนำศักดิ์ศรีอันยิ่งใหญ่มามอบให้กับเรามนุษย์ ไม่ว่าเราจะเป็นใครก็ตาม เราก็สามารถเข้ามามีชีวิตร่วมกับพระองค์ได้ เพียงแต่ขอให้เราเปิดใจต้อนรับพระองค์เท่านั้น เรามนุษย์คนบาปธรรมดาๆคนหนึ่งก็จะกลับเป็นบุตรของพระเจ้าได้เพียงพริบตา


kamsonbkk.com



วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ประวัติของพระเยซู (Jesus)

Image result for รูปพระเยซู
พระเยซู พระเยซู (Jesus) หรือ เยซูแห่งนาซาเรธ (อังกฤษ: Jesus of Nazareth; 4 ปีก่อนคริสตกาล - ค.ศ. 30) เป็นชาวยิวซึ่งเป็นศาสดาของคริสต์ศาสนา ชาวคริสต์เรียกเยซูแห่งนาซาเร็ธว่า พระเยซูคริสต์ และถือว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า เป็นพระเจ้าเอง และเป็นหนึ่งในพระตรีเอกานุภาพ คำว่า "เยซู" มาจากคำในภาษากรีกคือ "อิเอซูส" Ιησους [Iēsoûs] ซึ่งมาจากการถ่ายอักษรชื่อ Yeshua [เยชูวา] ในภาษาอาราเมกหรือฮีบรูอีกทอดหนึ่ง คริสตชนอาหรับเรียกเยซูว่า "ยาซูอฺ" ตามภาษาซีเรียค ส่วนชาวอาหรับมุสลิมเรียกว่า "อีซา" ตามอัลกุรอาน ความหมายคือ "ผู้ช่วยให้รอด" เป็นชื่อที่ใช้กันมากในหมู่ชาวยิวตั้งแต่สมัยโยชูวาเป็นต้นมา ภาษาละตินแผลงเป็นเยซูส ภาษาโปรตุเกสแผลงต่อเป็นเยซู ภาษาไทยทับศัพท์ภาษาโปรตุเกสมาจนทุกวันนี้ ส่วนคำว่า "คริสต์" เป็นสมญาซึ่งมาจากคำในภาษากรีกว่า "คริสตอส" Χριστός [Christos] ซึ่งเป็นคำแปลของคำภาษาฮีบรู Messiah อันหมายถึง "ผู้ได้รับการเจิม" ชาวอาหรับเรียกว่า "มะซีฮฺ" ซึ่งหมายถึงการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่สูงส่ง เช่น กษัตริย์มหาปุโรหิต ศาสดาประกาศก เป็นต้น เมื่ออาณาจักรยูดาห์เสียแก่บาบิโลน ก็สิ้นกษัตริย์ที่ได้รับการเจิม ต่อจากนั้น ชาวยิวก็โหยหาพระเมสสิยาห์ที่จะมาสร้างอาณาจักรใหม่ของพระเจ้า "คริสต์" จึงเป็นชื่อตำแหน่ง ไม่ใช่ชื่อตัว ผู้นิพนธ์พระวรสารชอบเรียกพระผู้ไถ่ว่า "เยซู" และเพื่อให้แตกต่างจากคนอื่นๆที่ชื่อเหมือนกัน ก็เรียกเป็น "เยซูชาวนาซาเร็ธ" หรือ "เยซูบุตรของโยเซฟ" แต่นักบุญเปาโลหรืออัครทูตเปาโลชอบเรียกว่า "พระคริสต์" หรือ "พระเยซูคริสต์" ที่เรียกว่า "พระคริสต์เยซู" ก็มีบ้าง
ประวัติของพระเยซู ประสูติเมื่อ 4 ปีก่อนคริสตกาล ในเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลี หญิงพรหมจารีคนหนึ่งชื่อมารีย์ ได้หมั้นหมายไว้แล้วกับชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ ก่อนที่จะได้อยู่กินด้วยกัน ได้มีทูตสวรรค์กาเบรียลเข้าบ้านมาหามารีย์แล้วว่า “ดูเถิด เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู” ฝ่ายโยเซฟเมื่อทราบว่ามารีย์ตั้งครรภ์แล้ว ก็ไม่คิดจะแพร่งพรายเรื่องนี้ จึงคิดจะถอนหมั้นอย่างลับๆ แต่มีทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟบุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิ์ในครรภ์ของเธอเป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์” โยเซฟจึงทำตามคำนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา แต่มิได้สมสู่กับเธอ
Image result for พระแม่มารีขณะเดินทางไปนาซาเรธImage result for พระแม่มารีขณะเดินทางไปนาซาเรธ


ขณะที่มารีย์กำลังตั้งครรภ์อยู่นั้น มหาจักรพรรดิซีซาร์ ออกัสตัส ได้มีรับสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน คนทั้งปวงต่างต้องเดินทางกลับไปขึ้นทะเบียนยังเมืองของตน โยเซฟกับมารีย์จึงต้องเดินทางจากเมืองนาซาเร็ธ แคว้นกาลิลีไปยังเมืองของดาวิดเมืองหนึ่งชื่อเบธเลเฮม ในแคว้นยูเดีย เพราะโยเซฟเป็นเชื้อสายของดาวิด เมื่อเขาทั้งสองอยู่ที่นั่น ก็ถึงเวลาที่มารีย์ประสูติ “นางจึงประสูติบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม” Image result for พระแม่มารีขณะเดินทางไปนาซาเรธImage result for รูปพระเยซู
ต่อมามีทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันแล้วบอกว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ และคอยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่าเฮโรดจะแสวงหากุมาร เพื่อจะประหารชีวิตเสีย” โยเซฟจึงพากุมารและมารดาหนีไปยังประเทศอียิปต์ เนื่องจากกษัตริย์เฮโรดทราบว่าได้มีกุมารผู้ที่บังเกิดมาเพื่อจะเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิว และทราบจากบรรดามหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ว่า กุมารนั้นอยู่ที่เบธเลเฮม จึงใช้ให้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลายในบริเวณนั้นที่มีอายุตั้งแต่สองขวบลงมา ครั้นเฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “จงลุกขึ้นพากุมารกับมารดามายังแผ่นดินอิสราเอล เพราะผู้ที่เป็นภัยต่อชีวิตของกุมารนั้นตายแล้ว” โยเซฟจึงพากุมารกับมารดากลับมาอยู่เมืองนาซาเร็ธ
Image result for โยเซฟจึงพากุมารกับมารดากลับมาอยู่เมืองนาซาเร็ธImage result for โยเซฟจึงพากุมารกับมารดากลับมาอยู่เมืองนาซาเร็ธ
เรื่องราวในพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ที่บันทึกเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูเจ้าในช่วงระยะเวลาตั้งแต่อายุ 12 ปีจนถึงตอนที่รับพิธีบัพติสมาในน้ำที่แม่น้ำจอร์แดนไม่ได้ถูกบันทึกไว้มากนัก ชาวคริสต์เรียกช่วงเวลานี้ว่า พระชนม์ชีพเร้นลับของพระเยซูเจ้า แต่เรื่องราวของพระเยซูตั้งแต่รับบัพติสมาจนสิ้นพระชนม์ที่กางเขน แล้วกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพอีกครั้งถูกบันทึกไว้อย่างละเอียด เมื่อพระเยซูอายุได้ 30 ปี ก็ทรงรับพิธีบัพติสมาในน้ำจากนักบุญยอห์น บัพติสโตที่แม่น้ำจอร์แดน “ครั้นพระองค์ทรงรับพิธีบัพติสมาในน้ำแล้วในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบ ลงมาสถิตอยู่บนพระองค์” หลังจากนั้นพระเยซูเสด็จไปในถิ่นทุรกันดาร เป็นเวลาถึงสี่สิบวันสี่สิบคืนโดยไม่ได้เสวยอะไรเลย แต่กลับมีมารมาผจญพระองค์โดยการล่อลวงต่างๆนาๆ เพื่อหวังให้พระเยซูกราบลงนมัสการมาร แต่พระเยซูได้ตอบโต้มารด้วยพระธรรมจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม จนมารเห็นว่ามิอาจล่อลวงพระองค์ได้จึงละพระองค์ไปImage result for รูปพระเยซู รับบัพติศมา

พระองค์ทรงเริ่มพระราชกิจจานุกิจโดยออกสั่งสอนชนทั้งปวงให้กลับใจจากความบาป แล้วเดินตามทางของพระเจ้าอย่างแท้จริง อย่าแสร้งทำเป็นนับถือพระเจ้าแต่ปาก “ประชาชนนี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของเขาห่างไกลจากเรา” ทรงสอนมิให้ทำตนเป็นเหมือนพวกหน้าซื่อใจคด “เหตุฉะนั้น ทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การประพฤติของเขาอย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่” พระองค์ยังตรัสพระธรรมคำสั่งสอนและทรงพระราชกิจไว้อีกมากมาย ซึ่งถูกบันทึกไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหนังสือ 4 เล่มแรก ได้แก่ มัทธิว, มาระโก, ลูกา, และยอห์น
ในการทรงพระราชกิจของพระเยซูนั้น พระองค์ได้ทรงเรียกบุคคลต่างๆเข้ามาเป็นสาวก เพื่อสั่งสอนและมีส่วนช่วยพระองค์อีก 12 คน ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่าอัครทูต ได้แก่ ซีโมน (ที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า เปโตร), อันดรูว์ (น้องชายของซีโมน), ยากอบบุตรเศเบดี, ยอห์น (น้องชายของยากอบ), ฟีลิป, บารโธโลมิว, โธมัส, มัทธิว, ยากอบบุตรอัลเฟอัส, เลบเบอัส (ที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า ธัดเดอัส), ซีโมนพรรคชาตินิยม และยูดาสอิสคาริโอท (ผู้ที่อายัดพระเยซู)
Image result for รูปพระเยซูกับศิษทั้งสิบสองImage result for รูปพระเยซูกับศิษทั้งสิบสอง
ผลของการที่พระเยซูออกประกาศ, สั่งสอน, รักษาโรค และทำการต่างๆมากมาย ทำให้มีคนเป็นจำนวนมากติดตามพระองค์ไป “กิตติศัพท์ของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรีย เขาจึงพาคนป่วยเป็นโรคต่างๆ คนที่ทนทุกข์เวทนา คนผีเข้า คนเป็นลมบ้าหมูและคนเป็นอัมพาตมาหาพระองค์ พระองค์ก็ทรงรักษาเขาให้หาย และมีคนหมู่ใหญ่มาจากแคว้นกาลิลี และแคว้นทศบุรีและกรุงเยรูซาเล็ม และแคว้นยูเดีย และแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออกติดตามพระองค์ไป” “ครั้นพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้ว ก็ทรงเห็นประชาชนหมู่ใหญ่ พระองค์ทรงสงสารเขา จึงได้ทรงรักษาคนป่วยของเขาให้หาย” “และประชาชนเป็นอันมากมาเฝ้าพระองค์ พาคนง่อย คนแขนขาพิการ คนตาบอด คนใบ้ และคนเจ็บอื่นๆหลายคน มาวางแทบพระบาทของพระเยซู แล้วพระองค์ทรงรักษาเขาให้หาย” ในทางตรงกันข้ามคำสั่งสอนของพระองค์ต่อว่าพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์โดยตรง “เขาชอบที่อันมีเกียรติในการเลี้ยงและในธรรมศาลา กับชอบรับการคำนับที่กลางตลาด และชอบให้เขาเรียกว่า ‘ท่านอาจารย์’” “วิบัติแก่เจ้า คนนำทางตาบอด เจ้าสอนว่า ‘ผู้ใดจะสาบานอ้างพระวิหาร คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ผู้ใดจะสาบานอ้างทองคำของพระวิหาร ผู้นั้นจะต้องกระทำตามคำสาบาน’ โอ คนโฉดเขลาตาบอด สิ่งไหนจะสำคัญกว่า ทองคำหรือพระวิหารซึ่งกระทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์” “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตาย และสารพัดโสโครก เจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกแลดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความเท็จเทียมและอธรรม” พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีจึงคิดหาช่องทางจะฆ่าพระองค์เสีย “ฝ่ายพวกฟาริสีก็ออกไปปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรจึงจะฆ่าพระองค์ได้”
Image result for รูปพระเยซูรักษาโรคImage result for รูปพระเยซูรักษาโรคImage result for พระเยซูทรงฟื้นImage result for พระเยซูทรงฟื้น


อย่างไรก็ตาม พระเยซูทรงทราบว่า พระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมานจากพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ จนต้องถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ ดังที่พระองค์ได้ทรงทำนายถึงเหตุการณ์ดังกล่าวล่วงหน้าไว้สามครั้ง หลังจากนั้นหนึ่งในสาวกสิบสองคน ชื่อยูดาสอิสคาริโอท ได้ไปหาพวกมหาปุโรหิตแล้วตกลงว่าจะคอยหาช่องที่จะชี้พระองค์ให้จับ เพื่อแลกกับสามสิบเหรียญเงิน ซึ่งเรื่องที่ยูดาสคิดจะทรยศต่อพระองค์นั้น พระองค์ก็ทรงทราบเช่นกัน
เมื่อถึงวันต้นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ พระองค์กับเหล่าสาวกได้เข้าไปในบ้านหลังหนึ่งในกรุงเยซูซาเล็ม เพื่อร่วมเสวยปัสกาด้วยกัน อาหารที่พระองค์ได้เสวยในคืนนั้นประกอบด้วยขนมปังและน้ำองุ่น ซึ่งก็เป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่พระองค์ได้เสวยก่อนสิ้นพระชนม์ เพราะหลังจากที่ได้เสวยอาหารแล้ว ยูดาสสาวกคนหนึ่งในสิบสองคนนั้นได้ออกจากบ้านไป พวกสาวกที่เหลือไม่ทราบว่ายูดาสไปไหน แต่พระเยซูทราบว่ายูดาสจะไปหาพวกปุโรหิตและพวกฟาริสี เพื่อพาทหารมาจับพระองค์
Image result for ยูดาส อิสคาริโอท
หลังจากยูดาสออกไปจากบ้านแล้ว พระองค์ตรัสคำสอนแก่พวกสาวกอีกหลายข้อ ก่อนที่จะเสด็จพาพวกเขาออกจากบ้านข้ามห้วยขิดโรนไปยังสวนเกทเสมนี ในขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนพระองค์เสด็จห่างจากพวกสาวกออกไปไกลประมาณขว้างหินตกแล้วอธิษฐานต่อพระเจ้า เมื่อกลับมาพบว่าพวกสาวกต่างหลับกันหมด พระองค์จึงปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้นอธิษฐาน แล้วพระองค์ทรงกลับไปอธิษฐานอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกลับมาทรงเห็นสาวกนอนหลับกันอีก พระองค์จึงเสด็จกลับไปอธิษฐานอีกเป็นครั้งที่สาม เมื่อกลับมาครั้งนี้พระเยซูทรงปลุกพวกสาวกให้ตื่นขึ้น ทันใดนั้น ยูดาสได้พาทหารกับเจ้าหน้าที่ของพวกปุโรหิตและฟาริสีพร้อมอาวุธเข้ามา ยูดาสตรงมาหาพระเยซูแล้วจุบคำนับพระองค์ คนเหล่านั้นก็เข้ามาจับพระองค์ เปโตรมีดาบจึงชักออกฟันถูกหูข้างขวาของมัลคัส ซึ่งเป็นทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิต พระเยซูตรัสว่า “จงเอาดาบของท่านใส่ฝักเสีย ด้วยว่าบรรดาผู้ถือดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ ท่านคิดว่าเราจะขอพระบิดาของเราไม่ได้หรือ และในครู่เดียวพระองค์จะประทานทูตสวรรค์แก่เรากว่าสิบสองกอง แต่ถ้าเช่นนั้นพระคัมภีร์ที่ว่า จำจะต้องเป็นอย่างนี้ จะสำเร็จได้อย่างไร” แล้วสาวกทั้งหมดก็ได้พากันหนีไป
Image result for ยูดาส อิสคาริโอท
พระเยซูถูกพาไปบ้านของคายาฟาส ซึ่งเป็นมหาปุโรหิตประจำการ ทั้งพวกธรรมาจารย์และมหาปุโรหิตต่างพยายามหาพยานเท็จมาปรักปรำพระองค์ แต่ถึงแม้มีพยานเท็จหลายคนให้การก็ไม่สามารถหาหลักฐานได้ ในที่สุดมหาปุโรหิตจึงถามถึงความเป็นพระคริสต์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ยอมรับว่าทรงเป็นพระคริสต์ มหาปุโรหิตจึงยุยงคนทั้งปวงว่า พระเยซูพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าเพราะยกตนเองขึ้นเป็นพระคริสต์ คนทั้งปวงจึงต้องการให้ปรับโทษพระเยซูถึงตาย
เมื่อยูดาสเห็นว่าตนเองทำบาป โดยอายัดพระเยซูผู้บริสุทธิ์ให้ถึงแก่ความตาย ยูดาสก็เกิดสำนึกกลับใจนำเงินที่ได้ไปคืนให้พวกมหาปุโรหิต แต่คนเหล่านั้นไม่สนใจ ยูดาสจึงทิ้งเงินไว้แล้วออกไปผูกคอตาย
พอรุ่งเช้า พวกเขาได้พาพระเยซูไปหาปีลาต ซึ่งเป็นเจ้าเมืองในขณะนั้น พวกเขาได้ฟ้องพระเยซูด้วยข้อกล่าวหาต่างๆ แต่หลังจากปีลาตได้สอบถามพระองค์แล้ว ไม่พบว่ามีความผิดประการใดจึงคิดจะปล่อยพระองค์ แต่พวกเขายืนยันว่า คนนี้ยุยงพลเมืองให้วุ่นวาย เมื่อปีลาตทราบว่าพระองค์เป็นชาวกาลิลี ซึ่งอยู่ในท้องที่ของกษัตริย์เฮโรด ปีลาตจึงส่งพระเยซูไปหาเฮโรดเพื่อให้ตัดสินความแทน ฝ่ายเฮโรดมีความยินดีเป็นอันมากที่จะได้พบพระเยซูเพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์มานาน หวังว่าพระเยซูจะแสดงอิทธิฤทธิ์หรือปาฏิหาริย์ให้ชมบ้าง แต่เมื่อพระเยซูไม่ได้ทำการใด เฮโรดและพวกทหารจึงได้แต่ดูหมิ่นเยาะเย้ยและส่งพระองค์กลับมาหาปีลาตอีก ปีลาตจึงสั่งมหาปุโรหิต พวกขุนนางและราษฎรให้ประชุมพร้อมกัน และกล่าวแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายได้พาคนนี้มาหาเรา ฟ้องว่าเขาได้ยุยงราษฎร ดูเถิด เราได้สืบถามต่อหน้าท่านทั้งหลาย และไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิดในข้อที่ท่านทั้งหลายฟ้องเขานั้น และเฮโรดก็ไม่เห็นว่าเขามีความผิดด้วย เพราะเฮโรดได้ส่งตัวเขากลับมายังเราอีกแล้ว ดูเถิด คนนี้ไม่ได้ทำผิดอะไรซึ่งสมควรจะมีโทษถึงตาย เหตุฉะนั้นเมื่อเราเฆี่ยนเขาแล้ว เราก็จะปล่อยเสีย”
Image result for พระเยซูไปหาปีลาต
นตอนนั้นเป็นช่วงเทศกาลปัสกา เป็นธรรมเนียมที่เจ้าเมืองจะปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้แก่หมู่ชนตามใจชอบ คราวนั้นมีนักโทษคนหนึ่งชื่อ บารับบัส ต้องโทษเพราะฆ่าคน ปีลาตถามพวกเขาว่า ต้องการให้ปล่อยผู้ใดระหว่างพระเยซูกับบารับบัส มหาปุโรหิตก็ยุยงหมู่ชนให้ขอให้ปล่อยบารับบัส พวกเขาจึงตอบว่า บารับบัส และให้ตรึงพระเยซูที่กางเขน ส่วนปีลาตยังพยายามจะปล่อยพระเยซูอีกถึงกับถามพวกเขาซ้ำอีกสามครั้ง เมื่อพวกเขายืนยันตามเดิม ปีลาตก็เอาน้ำล้างมือต่อหน้าหมู่ชน เพื่อแสดงว่าเขาไม่มีส่วนรับผิดชอบด้วยกับการประหารพระเยซู แล้วปีลาตได้สั่งปล่อยบารับบัสและให้โบยตีพระเยซูก่อนนำไปตรึงที่กางเขน
พระเยซูทรงถูกพวกทหารของปีลาตโบยตีและหยามพระเกียรติหลายประการ หลังจากนั้นพวกทหารบังคับให้พระองค์แบกกางเขนเดินทางไปยังตำบลหนึ่งชื่อกลโกธา เพื่อตรึงพระองค์บนกางเขนที่นั่น ระหว่างทางพระองค์ไม่สามารถเดินแบกกางเขนต่อไปไหว เพราะไม่ได้เสวยอะไรเลยและบาดเจ็บจากการถูกทรมาน พวกทหารพบชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน จึงบังคับให้เขาแบกกางเขนของพระองค์ไป เมื่อมาถึงกลโกธาพระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขนพร้อมกับผู้ร้ายสองคน ข้างขวาคนหนึ่งและข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง พวกขุนนางต่างกล่าวคำเยาะเย้ยพระองค์ ฝ่ายพวกทหารจับฉลากกันว่า ใครจะได้ฉลองพระองค์ไป (ยอห์น 19:24) หลังจากนั้น พระเยซูทรงทราบว่าทุกสิ่งสำเร็จแล้ว จึงตรัสว่า 'พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์' ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์"
ในวันนั้นเป็นวันศุกร์ พวกยิวไม่ต้องการให้ศพค้างอยู่บนกางเขนจนถึงวันอาทิตย์ เพราะเป็นวันสะบาโต จึงมาขอให้ปีลาตทุบขาของผู้ที่ถูกตรึงให้หัก แล้วจะได้เอาศพลงจากกางเขน พวกทหารจึงมาทุบขาของผู้ร้ายทั้งสองคนที่ถูกตรึงอยู่กับพระเยซูจนเสียชีวิต เมื่อมาถึงพระเยซูและเห็นว่าเสียชีวิตแล้ว พวกทหารไม่ได้ทุบขาพระองค์ แต่ใช้ทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ โลหิตและน้ำก็ไหลออกจากร่างกายของพระองค์
Image result for พระเยซูทรงถูกพวกทหารของปีลาตโบยตีImage result for พระเยซูทรงถูกพวกทหารของปีลาตโบยตีImage result for พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนImage result for พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขน
Image result for พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนImage result for พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขน
ชายชาวอาริมาเธียคนหนึ่งชื่อ โยเซฟ ได้ขอพระศพพระเยซูจากปีลาต เอาผ้าป่านกับเครื่องหอมพันพระศพของพระองค์ตามธรรมเนียมชาวยิว แล้วเชิญพระศพไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ฝังศพใหม่ที่ยังไม่ได้ฝังศพผู้ใดเลย ซึ่งอยู่ในสวนแห่งหนึ่งในตำบลที่พระองค์ถูกตรึงนั้น แล้วกลิ้งก้อนหินขนาดใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้ ส่วนพวกมหาปุโรหิตและพวกฟาริสีไปหาปีลาต ขอให้วางยามเฝ้าหน้าอุโมงค์ให้แข็งแรง เพราะกลัวว่าสาวกจะมาลักพระศพพระเยซูไป ปีลาตจึงสั่งให้ทหารไปประทับตราที่หินและเฝ้ายามหน้าอุโมงค์ไว้
ครั้นวันที่สามผ่านไป เหล่าพวกผู้หญิงได้มาที่อุโมงค์ ทันใดนั้นเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ยิ่งนัก ทูตของพระเจ้าองค์หนึ่งได้กลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์ แล้วกล่าวแก่หญิงนั้นว่า พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ชีพจากความตายแล้ว และให้ไปยังแคว้นกาลิลีจะได้พบพระองค์ที่นั่น หญิงเหล่านั้นจึงไปจากอุโมงค์โดยเร็ว วิ่งไปบอกสาวกของพระเยซู ฝ่ายทหารที่เฝ้าอุโมงค์ได้เข้าไปในเมืองแล้วเล่าเหตุการณ์นั้นให้มหาปุโรหิตฟัง เมื่อพวกเขาปรึกษากันแล้วก็แจกเงินเป็นอันมากให้พวกทหาร โดยสั่งให้พูดกันทั่วไปว่า พวกสาวกแอบมาลักเอาศพไปในตอนกลางคืน ครั้นพวกทหารได้รับเงินแล้วก็ทำตามนั้น บรรดาพวกยิวจึงเชื่อตามคำของทหารเหล่านั้น
Image result for พระเยซูทรงถูกนำไปที่อุโมงImage result for พระเยซูทรงถูกนำไปที่อุโมงImage result for พระเยซูทรงถูกนำไปที่อุโมงImage result for พระเยซูทรงฟื้น
หลังจากที่พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว พระองค์ทรงปรากฏให้เหล่าสาวกและคนเป็นจำนวนมากได้เห็นเพื่อจะได้เชื่อ เป็นพยานและวางใจในพระองค์ ก่อนที่จะเสด็จขึ้นสวรรค์ต่อหน้าพวกเขา "เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา" ปาฏิหาริย์แห่งพระเยซู

Image result for พระเยซูทรงฟื้นImage result for พระเยซูทรงฟื้น

พระคริสตธรรมคัมภีร์ ภาคพันธสัญญาใหม่ได้บันทึกว่า พระเยซูได้แสดงปาฏิหาริย์หลายครั้ง ในจำนวนนั้นคือ การรักษาคนเป็นโรคเรื้อนให้หาย, การรักษาคนตาบอด, รักษาคนง่อยให้เดินได้, รักษาคนหูหนวกให้ได้ยิน, รักษาหญิงตกโลหิตให้หาย, ทรงขับผีออก (มาระโก 7:24-30), การชุบชีวิตคนตาย, การทวีขนมปังและปลา, เปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นในงานแต่ง, การเดินบนน้ำ, การทรงทราบล่วงหน้าถึงอนาคตและสิ่งต่างๆ และการกลับคืนพระชนม์ชีพหลังสิ้นพระชนม์ไปครบ 3วัน

baanjomyut.com

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ มีความเชื่อเมื่อได้ยิน หรือ ได้ยินแต่ไม่ได้เชื่อ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ มีความเชื่อเมื่อได้ยิน หรือ ได้ยินแต่ไม่ได้เชื่อ อ่านฮีบรู 3:1 ถึง 4:13 เพราะเราทั้งหลายได้รับข่าวป...