การมีเงินมากไม่ใช่ปัญหา...
แต่การโลภหลงเงินต่างหากที่เป็นปัญหา
จงบอกตัวเองเสมอว่า...
คนเรานั้นเข้ามาในโลกตัวเปล่า
ก็จะต้องกลับไปตัวเปล่าด้วยเช่นกัน
สิ่งใด
ๆ ที่เราทำในโลกแม้จะมากขนาดไหน
แต่ก็เอาไปไม่ได้เลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
เตือนตัวเองไว้เสมอว่า...
ไม่ใช่คนร่ำรวยทุกคนที่จะมีความสุข
สันติสุขที่พระเยซูให้ย่อมยิ่งใหญ่กว่า...
ความสุขที่คุณจะสามารถหาได้จากโลกนี้
ใจที่รู้จักพอ
มือที่รู้จักแจกจ่าย...
ทำให้ความสุขถูกแบ่งปันกันไปมา
ตรงกันข้ามกับการกักเก็บไว้คนเดียว
ชีวิตในโลกนี้...สั้นนัก
อย่าจมปลักแต่กับการสะสมทรัพย์ในโลก
จนลืมที่จะสะสมทรัพย์เอาไว้ในสวรรค์
//////////////////////////////////////
อย่าส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ สำหรับตัวในโลก…
แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์
– มัทธิว 6:19-20
เจิม
ซัม
พระเจ้าและเงินทอง
มธ.
6:24
เพื่อจะเข้าใจพระวรสารตอนนี้ได้อย่างลึกซึ้ง เราควรเข้าใจความหมายของคำศัพท์บางคำที่ใช้ในสมัยของพระเยซูเจ้า คำว่า “ข้า” ตรงกับภาษากรีก
douleu,ein (ดูแลวเอน) ซึ่งหมายถึงการ “การรับใช้เยี่ยงทาส” ในทางกฎหมาย
“ทาส” ไม่ใช่ “คน” แต่เป็น “สิ่งของ”
เพราะฉะนั้น นายจะขาย จะเฆี่ยนตี
จะทิ้ง หรือจะฆ่าก็ได้ พูดง่าย ๆ คือ นายทำอะไรกับทรัพย์สมบัติของตนได้
ก็กระทำกับทาสของตนได้เช่นเดียวกัน
นอกจากนั้น
“ทาส” ยังไม่มีเวลาเป็นของตัวเองแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ซึ่งต่างจากเราในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
เพราะเมื่อหมดเวลาทำงานแล้ว
เรายังมีอิสระที่จะหางานพิเศษทำนอกเวลา หรือจะไปพักผ่อน หรือทำอะไรก็ได้ตามใจเรา
แต่ทาสในสมัยพระเยซูเจ้าต้องขึ้นกับนายทั้งวันและทั้งคืน
คำว่า “นาย” ตรงกับภาษากรีก
kuri,oij (คูรีออส) หมายถึง
“ผู้ที่มีกรรมสิทธิ์เหนือผู้อื่นแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด” พูดง่าย ๆ คือเป็น “เจ้าของ”
มากกว่าเป็น “เจ้านาย”
คำว่า “เงินทอง” ตรงกับภาษากรีก
mamwna (มาโมนา) ซึ่งมาจากภาษาอาราไมอิก an"Amm' ตามรากศัพท์หมายถึง การไว้ใจ
การมอบหมาย เพราะฉะนั้นมาโมนาจึงหมายถึงสิ่งที่เราไว้ใจผู้อื่นให้ดูแล เช่น
นายธนาคาร รปภ. ฯลฯ และในตัวมันเองถือว่าเป็นสิ่งดี
เป็นพระพรของพระเจ้าที่ประทานแก่ผู้มีความประพฤติดี
ต่อมาความหมายเพี้ยนเป็น
สิ่งที่ตัวเราเองมอบความไว้วางใจให้ทั้งหมด
เมื่อเราไว้วางใจว่าเงินทองมีอำนาจที่จะช่วยเหลือเราให้พ้นทุกข์และมีความสุขได้
คำว่าเงินทองในภาษากรีกจึงเขียนนำด้วยอักษรตัวใหญ่ Mamon (มาโมน) ซึ่งหมายถึงพระเจ้านั่นเอง และชาวซีเรียก็ใช้ชื่อนี้เรียกเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยของตน
จากคำศัพท์ทั้ง
3 คำ บ่งบอกว่า เราต้องเป็นข้ารับใช้ของพระเจ้าทุกลมหายใจ
เพราะพระองค์ทรงเป็นเจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์เด็ดขาดเหนือชีวิตของเรา
การรับใช้พระเจ้าแบบ
part-time เป็นสิ่งที่พระเยซูเจ้ายินยอมไม่ได้ หรือการเป็นคริสตชนเฉพาะเวลาฟังมิสซาวันอาทิตย์
ส่วนเวลาที่เหลือถือว่าเป็นเวลาอิสระจากการดำเนินชีวิตเยี่ยงคริสตชน
ก็เป็นสิ่งที่รับไม่ได้เช่นกัน
การมีเงินทองไม่ใช่สิ่งผิด
แต่การไว้วางใจในเงินทองแทนพระเจ้าเป็นสิ่งที่ผิดอย่างแน่นอน และเพื่อช่วยให้เราจัดลำดับความสำคัญของพระเจ้าและเงินทองได้อย่างถูกต้อง
พระเยซูเจ้าทรงให้หลักไว้ยึดปฏิบัติ 3 ประการด้วย กล่าวคือ
1. ทุกสิ่งในโลกล้วนเป็นของพระเจ้า
ความคิดที่ว่าทุกสิ่งในโลกนี้เป็นของพระเจ้า
มีอยู่ทั่วไปในพระคัมภีร์ ตัวอย่างเช่น
“เพราะสัตว์ทุกตัวในป่าเป็นของเรา
ทั้งสัตว์เลี้ยงบนภูเขาตั้งพันยอด เรารู้จักบรรดานกแห่งภูเขาทั้งหลาย
และบรรดาสัตว์ในนาเป็นของเรา ถ้าเราหิว
เราจะไม่บอกเจ้า เพราะพิภพและสารพัดที่อยู่ในนั้นเป็นของเรา” (สดด. 50:10, 12)
หรือในพระธรรมใหม่
เป็นพระเจ้าเองที่ทรงมอบทรัพย์สมบัติ ความสามารถ หรือแม้แต่สวนองุ่นให้แก่เราหรือให้เราเช่าใช้
เช่น
“ชายผู้หนึ่งจะออกเดินทางไป จึงเรียกพวกทาสของตนมาฝากทรัพย์สมบัติไว้
คนหนึ่งท่านให้ห้าตะลันต์ คนหนึ่งสองตะลันต์
และอีกคนหนึ่งตะลันต์เดียว
ตามความสามารถของแต่ละคน
แล้วท่านก็ไป” (มัทธิว 25:15)
“จงฟังคำอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า
ยังมีเจ้าของสวนผู้หนึ่งได้ทำสวนองุ่นแล้วล้อมรั้วไว้รอบ เขาได้สกัดบ่อย่ำองุ่นในสวน และสร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า
แล้วก็ไปต่างประเทศเสีย” (มัทธิว 21:33)
เมื่อทุกสิ่งในโลกล้วนเป็นของพระเจ้า
ที่พระองค์ทรงให้เรา “ยืม” ใช้ เราจึงต้องพยายามใช้ทรัพย์สมบัติและเงินทองตามที่เจ้าของ
คือพระองค์ทรงปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ การขาย การแลกเปลี่ยน การแก้ไขดัดแปลง
หรือการปรับปรุงต่าง ๆ ก็ตาม
2. มนุษย์สำคัญกว่าสิ่งของ
ในหนังสือปฐมกาล
พระเจ้าตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์
ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป
และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน”
พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์ ตามพระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น
และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ตรัสแก่เขาว่า
“จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล
และฝูงนกในอากาศ
กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน” (ปฐก 1:26-28)
จะเห็นว่าตั้งแต่เริ่มสร้างโลก
พระเจ้าทรงให้ความสำคัญกับมนุษย์จนถึงกับสร้างมนุษย์ตามฉายาของพระองค์เอง
และให้มีอำนาจปกครองทุกสิ่ง
เมื่อมนุษย์มีความสำคัญเช่นนี้
การใช้แรงงานมนุษย์ราวกับว่าพวกเขาเป็นสิ่งของ เครื่องมือ
หรือเครื่องจักรเพื่อให้ได้มาซื่อผลผลิตและความมั่งคั่ง
จึงเป็นสิ่งที่ขัดกับพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง และเป็นสิ่งที่ผิด
ตรงกันข้าม
เราควรใช้เงินทองและทรัพย์สมบัติที่ได้มา
เพื่อผดุงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของมนุษย์ให้สมกับความสำคัญที่พระองค์ทรงสร้างมา
3. เงินทองต้องเป็นรองจากพระเจ้า
พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าเงินทองเป็นของชั่วร้าย
แต่ “การรักเงินทองเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหมด
ความโลภเงินทองนี้ที่ทำให้บางคนหลงไปจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์มากมาย”
(1 ทธ 6:10)
การรักเงินทองทำให้เราหลงผิดคิดว่า
เงินคือพระเจ้าที่สามารถดลบันดาลทุกสิ่งให้แก่เราได้ เมื่อเรารักเงินทอง
เราก็โลภอย่างได้เงินทองมากขึ้น
ที่สุดเงินทองจะเข้ามาบงการชีวิตของเราทั้งหมด
ซึ่งจะนำเราไปสู่ความชั่วร้ายและความทุกข์อีกมากมาย
ผู้เดียวที่สามารถดลบันดาลความสุขแท้จริงแก่เราได้คือพระเจ้า เราจะปล่อยให้เงินทองก้าวขึ้นมาเป็น “คู่ปรับ”
กับความรอดในองค์พระเจ้าไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อเราวางตำแหน่งของเงินทองและทรัพย์สมบัติได้อย่างถูกต้อง
เราจะรู้จักใช้ความมั่งคั่งที่พระเจ้าประทานให้อย่าง “พอเพียง” และ “เพื่อผู้อื่น”
เพื่อเราจะได้ครอบครองสมบัติสวรรค์ที่คงอยู่ชั่วนิรันดร
และเมื่อเรารู้บทบาทของเงินทองและทรัพย์สมบัติแล้ว
เราควรคิดคำนึงถึงวิธีการได้มาของทรัพย์สมบัติด้วย
เราอาจได้เงินทองมาโดยแลกกับความซื่อสัตย์หรือศักดิ์ศรีของเรา
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือ โกงเขามา
ถ้าเราทำเช่นนี้ เราอาจมีสมบัติมั่งคั่งขึ้น
แต่วิญญาณของเรายิ่งวันยิ่งจนลง และคงถึงขั้นล้มละลายในที่สุด
บางคนอาจได้เงินทองมาโดยการกำจัดคู่แข่งที่อ่อนแอกว่า ซึ่งในทางธุรกิจอาจถือว่าประสบความสำเร็จที่ไม่มีคู่แข่ง
แต่เราจะนอนเสวยความสุขอยู่บนความทุกข์ของคนอื่นได้อย่างไร
บางคนอาจสะสมทรัพย์สมบัติบนภาระของผู้อื่น
เช่น ผ่อนรถยนต์ราคาแพงเกินฐานะ จนลูก ๆ ต้องอดมื้อกินมื้อ เป็นต้น
จะมีประโยชน์อะไรหากเราได้ทรัพย์สมบัติมาด้วยต้นทุนราคาแพงเช่นนี้
?
นอกจากนี้
เรายังต้องคำนึงถึงวิธีการใช้ทรัพย์สมบัติที่ได้มาอีกด้วย
บางคนเก็บรักษาสมบัติที่ได้มาไว้เฉย
ๆ โดยไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น
และเราได้ยินคำสอนของพระเยซูเจ้าหลายครั้งที่ตรัสว่า
สิ่งที่ไม่มีประโยชน์จะถูกตัดทิ้งและโยนใส่กองไฟ
บางคนใช้ทรัพย์สมบัติที่ได้มาอย่างเห็นแก่ตัว
เช่น เพื่อจะได้มีทีวีเครื่องใหม่ มีบ้านหลังใหม่ ฯลฯ
โดยที่ไม่เคยคิดถึงพระประสงค์ของพระเจ้าแต่ประการใด
บางคนซ้ำร้ายหนักเข้าไปอีก
คือใช้สมบัติที่ได้มาในทางที่ผิด เช่น ใช้เพื่อติดสินบนเจ้าหน้าที่ ใช้เพื่อซื้อบริการที่ผิดกฎหมาย
ฯลฯ
วิธีที่ดีที่สุดในการใช้ทรัพย์สมบัติและเงินทองที่พระเจ้าประทานให้คือ
- ใช้อย่างพอเพียง
ใช้เท่าที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต
-
ส่วนที่เหลือเราต้องแบ่งปันให้ผู้ที่ด้อยโอกาสกว่าเรา
ดังที่นักบุญเปาโลกล่าวไว้ว่า
“ข้าพเจ้าแสดงให้ท่านเห็นเสมอมาว่า
เราต้องทำงานเช่นนี้เพื่อช่วยเหลือผู้อ่อนแอโดยระลึกถึงพระวาจาของพระเยซู
องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ว่า “การให้ย่อมเป็นสุขมากกว่าการรับ” (กจ 20:35)
ตราบใดที่เราใช้ทรัพย์สมบัติเพื่อความดีของ
“ผู้อื่น” เรากำลังใช้ทรัพย์สมบัติ และกำลังรับใช้พระเป็นเจ้าอย่างถูกต้อง