วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2559

เราทำอะไรเพื่อพระเจ้าได้บ้าง


  ในพระคัมภีร์ซึ่งเป็นพระวาจาของพระเจ้า บอกเราว่า พระองค์ประสงค์ให้เราทำอะไร ทรงต้องการให้เรามีชีวิตอย่างไร แม้ในพระคัมภีร์จะมีข่าวสาร และความรู้มากมาย พระเจ้าทรงมีคำสอนหลักสี่ประการ คือ



    1. ให้เรามีความเชื่อ และไว้วางใจในพระเยซูเจ้าทุกวัน
    2. ให้เราเชื่อฟังพระเยซูเจ้าและกระทำในสิ่งที่พระองค์ทรงสอน
    3. ให้เรารักพระเจ้าและรักผู้อื่น
    4. ให้เรามีความยุติธรรมและซื่อสัตย์ และดำเนินชีวิตเพื่อพระเจ้าด้วยความสุภาพ
  
ข้อความสำคัญ
เขาเหล่านั้นจึงทูลว่า “พวกเราจะต้องทำอะไรเพื่อให้กิจการของพระเจ้าสำเร็จ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “กิจการของพระเจ้าก็คือให้ท่านทั้งหลายเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา” (ยอห์น 6:28-29)

พระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง   
 ปัญญาจารย์ 12:13-14;
เมื่อลูกได้ฟังเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว จงยำเกรงพระเจ้าและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ เพราะสิ่งนี้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน พระเจ้าจะทรงพิพากษาทุกสิ่งที่เราทำ ทั้งกิจการดี กิจการเลว และกิจการที่ซ่อนเร้น

มีคาห์ 6:6-8;
“ข้าพเจ้าจะต้องนำสิ่งใดเมื่อเข้ามาเฝ้าพระยาห์เวห์
และกราบนมัสการพระเจ้าผู้สูงสุด
ข้าพเจ้าจะต้องนำเครื่องเผาบูชา
โคหนุ่มอายุหนึ่งปีหลายตัวเข้ามาเฝ้าพระองค์หรือ
พระยาห์เวห์จะพอพระทัยแกะเพศผู้นับพันตัว
พอพระทัยลำธารน้ำมันนับหมื่นสายหรือ
ข้าพเจ้าจะต้องถวายบุตรคนแรกเพื่อชดเชยความผิดของข้าพเจ้า
ถวายบุตรจากกายของข้าพเจ้าเพื่อชดเชยบาปที่ข้าพเจ้าได้ทำหรือ”
“มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงบอกท่านไว้แล้วว่าอะไรดี
และพระยาห์เวห์ทรงประสงค์สิ่งใดจากท่าน
คือให้ท่านปฏิบัติความยุติธรรมและรักความดีงาม
และดำเนินชีวิตอย่างถ่อมตนกับพระเจ้าของท่าน”

มัทธิว 19:1922:39
จงนับถือบิดามารดา จงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง
บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน คือท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง

– พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยรักและพระเมตตา ทรงปรารถนาให้เราผู้เป็นประชากรของพระองค์ สำแดงความรักและเมตตาต่อผู้อื่น ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
มากจนกระทั่ง แม่แต่วันสะบาโตเองซึ่งเป็นวันที่หยุดทำสิ่งอื่นๆ ก็ยังไม่ควรหยุดสำแดงความรักและเมตตาต่อผู้อื่น
 วันนี้ เราจะทำอะไรบ้างดีนะ ? เพื่อเป็นการสำแดงความรักและเมตตาต่อผู้อื่น อย่างที่พระเยซูปรารถนาให้เรากระทำ
 อาจมีเหตุผลมากมาย ที่จะทำให้เราเลิกทำสิ่งดี แต่ วันนี้เรารู้แน่แล้วว่า พระเจ้าอยากให้เราทำสิ่งดีต่อไป
“อย่าหยุดทำสิ่งดี ที่เป็นการสำแดงความรักแก่ผู้อื่น”

พระเยซูตรัสว่า “อนุญาตให้ทำการดีได้ในวันสะบาโต”
– นั่นคือ แปลว่า การทำดีต่อผู้อื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่ถือเป็นการทำงาน และเป็นสิ่งเราควรทำให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แม้แต่ในวันสะบาโตเองก็ไม่ควรหยุดทำสิ่งนี้

kamsonbkk.com
gracezone.org

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ความซื่อสัตย์ในชีวิตแต่งงาน




สิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตคู่
 ความซื่อสัตย์.
ปัจจุบันนี้ปัญหาการหย่าร้างพบได้บ่อยครั้ง จนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาในสังคมเลยทีเดียว ซึ่งคงไม่มีใครอยากให้ชีวิตคู่เดินทางมาถึงจุดจบหรอก ใคร ๆ ต่างก็อยากให้ชีวิตแต่งงานยั่งยืนยาวนานด้วยกันทั้งนั้น จนทำให้หลายคู่พยายามประคับประคองชีวิตคู่ให้ยืนยาวที่สุด ด้วยการพยายามทุ่มเททำสิ่งต่าง ๆ เช่น ดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่ตลอดเวลา พูดจาเอาใจเขา หรือหารายได้มาจุนเจือครอบครัว ... แต่คุณลืมไปหรือเปล่าว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อให้ชีวิตแต่งงานยืนยาวกลับไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นเลย มันคือ "ความซื่อสัตย์" ต่างหาก

          หากคุณหวังจะได้อยู่กับคนที่คุณรักจนแก่เฒ่า ก็ควรจำไว้ว่าความ ซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในชีวิตคู่ของคุณ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ของคุณเอาไว้ให้มั่นคง เพราะหากคุณไม่ซื่อสัตย์ต่อกันแล้ว ก็คงยากที่จะเชื่อใจกันได้ และความไม่เชื่อใจนั้นเองที่จะทำให้คุณทั้งคู่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงกันใน ทุก ๆ เรื่อง จนทำให้ไม่มีความสุข และเป็นสาเหตุให้ต้องแสวงหาความรู้สึกเหล่านั้นจากคนอื่น

          ดังนั้นเพื่อให้ชีวิตคู่ของคุณมั่นคง คุณควรแสดงความจริงใจ ความซื่อสัตย์ต่อกันและกันในทุก ๆ เรื่อง หากคุณเคยนอกใจคนรักของคุณ ควรบอกเขาตามตรง เพราะความลับนั้นไม่มีในโลก ไม่ว่าอย่างไรสักวันหนึ่งเขาหรือเธอก็ต้องรู้ความจริงอยู่ดี และการรู้ความจริงจากปากของคุณเองย่อมดีกว่าการที่คนอื่นมาเล่าให้ฟังอย่าง แน่นอน ที่สำคัญการรับรู้จากคนอื่นมักทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกมา ตลอด จนยากที่จะกลับมาเชื่อใจคุณได้อีก

          นอกจากนี้หาก คุณเกิดรู้สึกถูกใจคนอื่นจนหยุดคิดถึงเขาไม่ได้ ก็ควรสารภาพกับสามีของคุณตามตรง เพราะแม้ว่าจะยังไม่ใช่การนอกใจโดยตรง แต่การที่คุณมีความรู้สึกดี ๆ ให้กับคนอื่นที่ไม่ใช่เขา ก็สามารถนำมาสู่ปัญหาในชีวิตคู่ของคุณได้ ดังนั้นคุณควรพูดคุยปรึกษากัน อาจพยายามเจอเขาคนนั้นให้น้อยลง หรือลองไปเที่ยวกันสองต่อสองเพื่อเติมความหวานให้ชีวิตคู่ของคุณอีกครั้ง เผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้นได้ ก่อนที่ความรู้สึกถูกใจที่คุณมีให้คนอื่น จะกลายเป็นความรักไปโดยไม่รู้ตัว

          และ สิ่งที่สำคัญคือคุณควรเปิดอกพูดคุยกันในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทะเลาะกันเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม จะได้ไม่มีปัญหาคาใจเก็บไว้ให้ต้องมาทะเลาะกันทีหลัง ไม่อย่างนั้นปัญหานั้น ๆ ก็จะวนเวียนอยู่ในชีวิตคู่ของคุณไม่จบสิ้น และคุณคงไม่อยากอยู่กับชีวิตแต่งงานที่ไม่มีความสุขอย่างแน่นอน

ความสุขในครอบครัวเราส่วนใหญ่จะบรรลุได้เมื่ออยู่บนพื้นฐานคำสอนของพระเยซู นั่นหมายถึงการเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว ซื่อสัตย์ ภักดี และมีคุณธรรมอื่นๆ ทั้งหมด ซึ่งต้องใช้ความพยายามมาก ครอบครัวที่รักกันและมีความสุขไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ

ลองนึกถึงครอบครัวเราเอง หลายครั้งที่มีความสุขและหลายครั้งที่ไม่มีความสุข ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดคือเมื่อใด ส่วนใหญ่คือเมื่อเรารู้สึกถึงความรัก

“เมื่อใดที่ความซื่อสัตย์เป็นเรื่องที่ทำได้ยากที่สุด เมื่อนั้นความซื่อสัตย์นั้นเป็นสิ่งจำเป็นมากที่สุด” คำว่า “ซื่อสัตย์” หมายความว่า “ประพฤติตรงและจริงใจ ไม่นอกใจ ไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกง และไม่หลอกลวง” ดังนั้น หากว่าสามีคนใดรู้สึกว่า การไม่นอกใจต่อภรรยาเป็นเรื่องยากที่สุด เวลานั้น ความซื่อสัตย์ต่อเธอเป็นเรื่องจำเป็นมากที่สุด หรือหากว่าพนักงานคนใดรู้สึกว่าการไม่คดโกงบริษัท หรือหน่วยงานเป็นเรื่องยากที่สุด เวลานั้น ความซื่อสัตย์นับเป็นเรื่องที่จำเป็นที่สุด
ในภาษาอังกฤษ ซื่อสัตย์ คือ Faithful เป็นคำคุณศัพท์ที่มีความหมายน่าสนใจดังนี้

1.จงรักภักดีอย่างต่อเนื่อง = การวางใจและภักดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ต่อบุคคล คำสัญญา หรือหน้าที่
2. ไม่นอกใจ = การไม่มีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่คู่สมรสของตน
3. มีสติรู้ผิดชอบ = การสำแดงผลจากความรู้สำนึกในความรับผิดชอบหรืออุทิศตนทุ่มเทต่อหน้าที่
4. ถูกต้อง = ความแม่นยำ ถูกต้อง แน่นอน
5. เชื่ออย่างไม่หวั่นไหว = เชื่ออย่างมั่นคงในบางสิ่ง หรือในบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในศาสนา

หากคำนี้เป็นคำนามก็หมายความว่า บุคคลหรือสิ่งที่สามารถไว้วางใจและพึ่งได้ คริสตชนในยุคแรกก็ถูกเรียกว่าเป็นพวก Faithful

ดังนั้น หากคุณได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือเป็นคนของพระเจ้า คุณจะต้องดำเนินชีวิตอย่างสัตย์ซื่อตลอดเวลาให้สมกับชื่อนั้น คุณต้องไม่ทำให้พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ ต้องเสื่อมเสียพระเกียรติเพราะความไม่ซื่อสัตย์ผ่านคำพูดหรือการกระทำของคุณ
อย่างไรก็ตาม แม้บางครั้งหรือบ่อยครั้ง คุณจะไม่สัตย์ซื่อหรือสัตย์จริงกับองค์พระเจ้าก็ตาม แต่พระองค์ก็ยังทรงสัตย์ซื่อและสัตย์จริงต่อคุณเสมอไป ดังที่เปาโลกล่าวยืนยันไว้ว่า “ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ พระองค์ก็ยังทรงซื่อสัตย์ต่อไป เพราะพระองค์ทรงปฏิเสธพระองค์ไม่ได้” (2ทธ 2:13)

ดังนั้น หากว่าวันนี้ ความเชื่อ (Faith) ขอบคุณที่มีต่อพระเยซูคริสต์มีอยู่เต็ม (Full) ก็จะเกิดสมการฝ่ายวิญญาณขึ้นดังนี้ Faith + Full = Faithful ความเชื่อวางใจ + เต็มที่ = คนซื่อสัตย์

หากคุณไม่มีความเชื่อศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมในพระเยซูคริสต์ ก็เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคุณที่จะเป็นคนสัตย์ซื่ออย่างที่พระองค์ทรงปรารถนา แต่หากคุณมีความเชื่อศรัทธาวางใจในพระเจ้าอย่างเต็มล้น คุณจะเป็นคนสัตย์ซื่อได้ไม่ยากเลย ด้วยเหตุนี้เอง หากว่าวันนี้คุณรู้สึกว่ายากเหลือเกินที่จะเป็นคนสัตย์ซื่อและยืนหยัดในความถูกต้อง หรือความจงรักภักดีต่อผู้ใดหรือสิ่งใด คุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบพึ่งพิงใกล้ชิดพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อในทันที พร้อมกันนั้นคุณต้องบังคับใจของคุณให้เชื่อฟังพระองค์ และทูลขอพระองค์ให้เพิ่มเติมความเชื่อวางใจให้แก่คุณ เพื่อคุณจะได้กลายเป็นคนสัตย์ซื่อ (Faithful) อย่างที่พระองค์ทรงพอพระทัย และทำให้คนรอบข้างคุณพอใจ แล้วคุณจะกลายเป็นบุคคลสัตย์ซื่ออย่างที่พระเจ้าและคนอื่นๆ คาดหวังให้คุณเป็น และอย่างที่ตัวคุณเองควรจะเป็น
  
ที่มา: นิตยสารแม่พระยุคใหม่
และ thirdage.com และ peace-wealth.com




วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พระเจ้าทรงเป็นความรัก


พระเจ้าทรงเป็นความรัก

ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักซึ่งกันและกัน เพราะว่าความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็บังเกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก 1 ยอห์น 4:78

ในพระวจนะของพระเจ้าพระคัมภีร์ได้อธิบายคำว่า “ความรัก” ว่า

ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย
ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด
แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอและมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น”
(1 โครินธ์ 13:4-8ก)

นี่คือคำจำกัดความของพระเจ้าเกี่ยวกับความรัก นี่คือพระลักษณะของพระองค์ และนี่ะเป็นเป้าหมายของคริสตชน (แม้ว่าจะต้องใช้เวลาในการพยายามทำให้เกิดผลจริงในชีวิตของเรา)

การสำแดงความรักที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรามีปรากฏอยู่ในข้อพระคัมภีร์ยอห์น 3:16 และ โรม 5:8

เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์
เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น
พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา”

เราสามารถเห็นได้จากข้อพระคัมภีร์สองข้อนี้ว่ามันเป็นพระประสงค์ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเจ้าที่เราจะให้เราไปอยู่กับพระองค์ที่บ้าน (สวรรค์) ชั่วนิรันดร์ พระองค์ทรงทำให้ทางนั้นเป็นไปได้โดยการทรงไถ่เราให้หลุดพ้นจากความบาป พระองค์ทรงรักเราเพราะทรงเลือกที่จะทำเช่นนั้น

จิตใจของเราปั่นป่วนอยู่ภายใน ความเอ็นดูของเราก็คุกรุ่นขึ้น”   (โฮเชยา 11:8ข)

ความรักไม่ช่างจดจำความผิด

ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา
และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น”   (ยอห์น 1:9)

ความรัก ของพระเจ้า ไม่มีการบังคับใจ ผู้ที่เข้ามาหาพระองค์เข้ามาเพราะความรักของพระองค์ดึงดูดให้เข้ามา ความรัก ของพระเจ้า สำแดงความเมตตาต่อทุกคน ความรัก ของพระเยซู ทำความดีให้กับทุกคนโดยไม่ลำเอียง ความรัก ของพระเยซู ไม่อยากได้ของ ๆ คนอื่น อยู่ด้วยความถ่อมใจโดยไม่บ่น ความรัก ของพระเยซู ไม่อวดตัวว่าเป็นใคร แม้ว่าพระองค์สามารถเอาชนะทุกคนที่ทรงเจอได้ ความรัก ของพระเจ้า ไม่เรียกร้องความเชื่อฟัง พระเจ้าไม่ได้ทรงเรียกร้องความเชื่อฟังจากพระบุตร แต่ พระเยซูเต็มพระทัยที่จะเชื่อฟังพระบิดาบนสวรรค์

แต่เราได้กระทำตามที่พระบิดาได้ทรงบัญชาเรา เพื่อโลกจะได้รู้ว่าเรารักพระบิดา” (ยอห์น 14:31)
ความรัก ของพระเยซู สนใจผลประโยชน์ของผู้อื่นเสมอ

คำจำกัดความสั้น ๆ ของคำว่าความรักนี้แสดงให้เห็นถึงชีวิตที่ไม่เห็นแก่ตัว ซึ่งตรงกันข้ามกับชีวิตที่เห็นแก่ตัวของมนุษย์ มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงให้ความสามารถที่เราจะรักดังเช่นที่พระองค์ทรงรัก กับผู้ที่ต้อนรับพระบุตร พระเยซู เข้ามาในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวของเขา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ดู ยอห์น 1:12; 1 ยอห์น 3:1, 23, 24) มันช่างเป็นการท้าทายและเป็นสิทฺธิพิเศษที่เราได้รับจากพระองค์
 (gotquestions.org)
                           
ชวนคิดสะกิดใจ

    น่าแปลกไหมที่การคิดถึงแต่ความทุกข์ของตนเองกลับยิ่งทำให้เราจมอยู่ในความทุกข์และมีความทุกข์มากขึ้น แต่การแบ่งปันความรัก ความดี ความสุขให้แก่ผู้อื่น กลับทำให้เรามีความทุกข์น้อยลงและมีความสุขมากขึ้น
        
  ขอพระเจ้าอวยพรคะ
KC Love God





วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2559

ความรักของพระคริสต์คืออะไร?


ความรักของพระคริสต์คืออะไร?


ความรักของพระองค์คือพระองค์ทรงเต็มพระทัยที่จะกระทำเพื่อผลดีที่สุดแก่เรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อสนองความต้องการมากที่สุดของเรา แม้ว่ามันจะทำให้พระองค์ทรงสูญเสียทุกอย่าง และแม้ว่าเราไม่คู่ควรกับความรักของพระองค์เลย แม้ว่าพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าในธรรมชาติ ทรงดำรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาลกับพระเจ้าพระบิดา (ยอห์น1:1) และพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเต็มพระทัยที่สละพระบัลลังก์ของพระ องค์ เพื่อมาเป็นคนธรรมดา พระองค์ทรงยอมชดใช้ค่าปรับแทนความผิดบาปของเรา เพื่อว่าเราจะไม่ต้องรับโทษนิรันดร์ในบึงไฟนรก

ดังนั้น ความรักของพระคริสต์ ที่ได้ทรงสำแดงโดยพระองค์ทรงออกจากสวรรค์สถาน สถานที่ทรงได้รับการนมัสการสรรเสริญตามที่ทรงสมควรได้รับ เสด็จเข้ามาในโลกนี้ ที่ซึ่งทรงถูกเยาะเย้ย ทรยศ เฆี่ยนตีและตรึงบนกางเขน ต้องทรงชดใช้ความบาปของเรา ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม ทรงเห็นว่าเราจำเป็นต้องมีพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปของเราและพ้นจากการลงโทษ ทรงนับว่านี่เป็นเรื่องที่สำคัญกว่าชีวิตสุขสบายของพระองค์เอง


ความรักแบบนี้ซึ่งทรงสำแดงต่อเราบนกางเขนเป็นเพียงการเริ่มต้น เมื่อเราไว้วางใจในพระองค์ว่าทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระองค์ทรงรับเราให้เป็นบุตรของพระองค์ ได้รับมรดกร่วมกันกับพระองค์ ทรงเสด็จมาประทับภายในเราโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ทรงสัญญาว่าจะไม่ทรงละจากเราหรือทอดทิ้งเรา


ฮีบรู 13:5-6 “ท่านจงอย่าเป็นคนเห็นแก่เงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายอาจกล่าวด้วยใจเชื่อมั่นว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า”


แต่เมื่อพระองค์ทรงครองด้วยความชอบธรรม เป็นกษัตริย์ที่เมตตากรุณาในสวรรค์ เราควรเชิญให้พระองค์ทรงประทับในชีวิตของเราด้วย นั่นคือเราจะได้สัมผัสกับชีวิตที่ทรงปรารถนา และอยู่ในความรักที่บริบูรณ์ของพระองค์


ยอห์น 10:10 “ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์”
gotquestions.org


พระเยซูทรงกางแขนออก และทรงถูกตรึงที่กางเขน พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา และทรงฟื้นคืนพระชนม์ นี่เป็นความจริงอันล้ำค่าสำหรับทั้งคนวัยเยาว์และวัยชราอย่างเราควรจำไว้ห้ามลืมเด็ดขาด



วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2559

พระเจ้ารักเราอย่างไร?



คงปฎิเสธไม่ได้ว่า เราทุกคนต้องการที่จะได้รับความรัก ไม่ว่าเราจะยอมรับมันหรือไม่ก็ตาม เราทุกคนมีความปรารถนานี้เป็นธรรมชาติที่จะรู้สึกถูกรักและได้รับการชื่นชมจากคนอื่น ๆ. พวกเราหลายคนใช้ชีวิตของเราทั้งหมดค้นหาสำหรับคนที่รักเราด้วยความหวังว่าใครสักคน- ใคร ๆ- จะตอบสนองความปรารถนานี้ภายใน.


จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรักแก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็ได้เป็นเช่นนั้น - 1 ยอห์น 3:1





พระเจ้ารักเราอย่างไร?

 16เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ 17เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น 18ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า19หลักการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะกิจการของเขาเลวทราม 20เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาถึงความสว่าง ด้วยกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏ 21แต่ผู้ที่ประพฤติชอบก็มาสู่ความสว่าง เพื่อให้เห็นว่า การกระทำของเขานั้นได้กระทำโดยพึ่งพระเจ้า (ยอห์น 3:16 -21)

6ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม 7ไม่ใคร่จะมีใครตายเพื่อคนตรง แต่บางทีจะมีคนอาจตายเพื่อคนดีก็ได้ 8แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา (โรม 5:6 -8)

  
อย่าจำกัดความรักของพระเจ้าตามความจำกัดของความคิดของสมอง เพราะพระเจ้ายิ่งใหญ่ ความรักของพระองค์ก็มหาศาล จะบรรจุหรือกำหนดไว้เพียงเท่าความคิดเห็นเป็นไปได้ของสมองเท่านั้นไม่ได้หรอก...

พระเจ้ารักเราเท่าๆ กัน พระเยซูไม่ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเป็นค่าไถ่ของบางคนแต่ทรงตายเพื่อจ่ายหนี้ของทุกคน แต่การตอบสนองของแต่ละคนต่อความรักของพระเจ้าก็แตกต่าง.


วันนี้ขอให้คุณฟังข่าวดีนี้ พระเจ้าทรงรักคุณยิ่งนัก รักมากพอที่จะประทานพระบุตรองค์เดียวเพื่อเป็นค่าไถ่ชีวิตเราจากบึงไฟนรก รักมากพอที่จะลบล้างความบาปที่เราทำต่อพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไข ทุกวันพระเจ้าเสาะหาบุตรน้อยของพระองค์ ไม่ว่าบุตรน้อยที่หายไป หรือบุตรที่กำลังร้องไห้ด้วยความทุกข์ พระหัตถ์ที่เปิดออกที่กางเขน ยังคงเปิดออกอยู่ทุกวัน...ไม่ใช่เพื่อคนอื่นนะ แต่เพื่อเรา วิ่งเข้าไปเลย วิ่งเข้าไปรับการสวมกอด กอดพระองค์ไว้ให้แน่น....


ในทุกๆวัน จงมอบหัวใจของเราให้กับพระองค์. เราไม่ต้องมองหารักใดมาเพิ่มเติม   เพราะความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรานั้น หาที่เปรียบมิได้เลย และสำหรับคนที่ยังไร้คู่ ก็จงอยู่อย่างเชื่อมั่นว่า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระเจ้าจะทรงมีแผนการเตรียมไว้สำหรับเราแน่นอน

ชวนคิดสะกิดใจ

    น่าแปลกไหมที่การคิดถึงแต่ความทุกข์ของตนเองกลับยิ่งทำให้เราจมอยู่ในความทุกข์และมีความทุกข์มากขึ้น แต่การแบ่งปันความรัก ความดี ความสุขให้แก่ผู้อื่น กลับทำให้เรามีความทุกข์น้อยลงและมีความสุขมากขึ้น

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
KC Love God





วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ทำไมพระเยซูถึงรักเด็ก


ผู้ที่ถ่อมใจมีหัวใจเชื่อฟังแบบเด็ก แผ่นดินสวรรค์ก็จะเป็นของคนเหล่านั้น

พระเยซูทรงเปิดโอกาสให้เด็กๆ เข้ามาหาพระองค์เพราะทรงเห็นคุณค่าเด็ก และต้องการให้สาวกของพระองค์เปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ เพราะพวกสาวกมองว่าเด็กๆ รบกวนเวลาของพระองค์ แต่พระองค์กลับเห็นความสำคัญของการให้เวลาแก่เด็ก แม้พระองค์จะมีภารกิจที่ต้องทำมากมายก็ตาม การให้เวลาแก่เด็กเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยกว่าสิ่งอื่นๆ

เราทุกคนจึงควรเห็นคุณค่าของเด็กอย่างจริงจัง อย่ามองเด็กเป็นเด็ก มีคำสุภาษิตที่ว่า "อย่าคบเด็กสร้างบ้าน" ทำให้ผู้ใหญ่จึงมองเด็กทำตัวไร้สาระ แต่ถ้าบ้านขาดเด็กก็ไม่มีสีสัน เพราะเด็กจะทำให้เรามีรอยยิ้มเสมอ เมื่อเราเห็นความสามารถที่พวกเขาแสดงออกมา

เราควรจะต้องมีเวลาการแสดงความสามารถให้กับพวกเขาแสดง ไม่อย่างนั้นความสามารถของเขาจะถูกละเลย และนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกที่ควร เมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่น เช่น เด็กที่ไปเขียนฝาผนังที่สาธารณะ หรือ ไปแข่งรถ เป็นเด็กแว้นซ์บอย และสก๊อยเกิร์ล สร้างปัญหาในสังคม
ในครอบครัวของเราควรต้องให้เวลาและสร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณของเด็กด้วย ในชุมชน ในคริสตจักรและในทุกส่วนต้องจัดสรรคนที่ดีมีคุณภาพเพื่อสร้างเด็กๆ ซึ่งเป็นอนาคตของอาณาจักรพระเจ้า

พระเยซูคริสต์ใช้เด็กเป็นตัวอย่างในการสอนพวกสาวกให้มีความเชื่อและถ่อมใจเรียนรู้จากเด็ก เพราะผู้ที่ถ่อมใจมีหัวใจเชื่อฟังแบบเด็ก แผ่นดินสวรรค์ก็จะเป็นของคนเหล่านั้น

แท้จริงเด็กมีสิ่งดีมากมายที่เราสามารถเลียนแบบได้ เราไม่ควรเป็นผู้ใหญ่ที่หยิ่ง ไม่รับฟังหรือยอมรับสิ่งที่ดีจากผู้ที่อายุน้อยกว่า

ผู้นำสามารถเรียนรู้สิ่งดีจากผู้ที่อยู่ในการอภิบาลของตนได้เช่นกัน อย่าคิดว่าเราอาบน้ำร้อนมาก่อน รับบัพติศมาในน้ำมาก่อนพวกเขา

ในปัจจุบันคนรุ่นใหม่มีความคิดความอ่านที่ดี เราควรจะเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นและนำสิ่งที่ดีของเขามาปรับใช้ได้

ในปีใหม่นี้ขอพระเจ้าทรงช่วยเราให้มีความคิดแบบผู้ใหญ่ ที่มีความรับผิดชอบ และมีหัวใจแบบเด็กๆที่เชื่อฟังพระองค์ ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

พระคัมภีร์ตอนนี้ได้บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ ที่ผู้ปกครองนำเด็กมาหาพระเยซูเพื่อให้พระองค์วางมืออวยพรเด็ก แต่สาวกกีดกันไม่ให้มาหาพระเยซูเพราะเกรงว่าจะมารบกวนพระองค์ พระเยซูทรงไม่พอพระทัยที่สาวกมีทัศนคติในเรื่องของเด็กไม่ถูกต้อง พระองค์จึงทรงสอนให้ผู้ใหญ่ให้เรียนรู้จากเด็ก โดยปรับมุมมองใหม่ให้โดยมีความคิดแบบผู้ใหญ่ หัวใจแบบเด็กๆ

เราควรจะมองเด็กแบบพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้ให้สิ่งที่ดีแก่เด็ก(ข้อ 16) นั่นคือ พระองค์ทรงอุ้มให้ความใกล้ชิดที่สุด และทรงวางมือให้พรอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

เด็กควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากผู้ใหญ่ ถ้าเด็กได้รับสิ่งที่ดีที่สุด เขาก็จะมีรากฐานชีวิตที่ดีที่สุดและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีที่สุด สิ่งที่เราสามารถเรียนรู้ได้จากพระคัมภีร์ตอนนี้  

คำสอนของพระเยซูคริสต์ในมาระโกบทที่10:13-16


13 ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ทรงถูกต้องตัวเด็กนั้น แต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามไว้

14 เมื่อพระเยซูทรงเห็นดังนั้นก็ไม่พอพระทัย จึงตรัสแก่เหล่าสาวกว่า "จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น

15 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับแผ่นดินของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินนั้นไม่ได้"

16 แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กเล็กๆเหล่านั้นวางพระหัตถ์บนเขา แล้วทรงอวยพรให้

“พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้”  
เป็นธรรมเนียมของพ่อแม่ชาวยิวที่จะนำเด็กมาให้รับบีผู้มีชื่อเสียงอวยพรเนื่องในโอกาสครอบรอบวันเกิด 1 ขวบ
   แต่สถานการณ์ในขณะนั้นคือ พระเยซูเจ้ากำลังมุ่งหน้าลงใต้สู่แคว้นยูเดีย โดยมีการทรมานและความตายบนไม้กางเขนรอคอยพระองค์อยู่เบื้องหน้า
แน่นอนว่าพระองค์ทรงเครียดและเต็มไปด้วยความกดดัน  พวกอัครสาวกเองก็ทราบดีและพยายามปกป้องพระองค์จากสิ่งกวนใจต่าง ๆ นานา จนถึงขั้นต้องดุพ่อแม่เด็กในครั้งนี้
    แต่พระองค์กลับตรัสว่า “ปล่อยให้เด็กเล็ก ๆ มาหาเราเถิด อย่าห้ามเลย” (ข้อ 14) แล้วทรงอุ้มและอวยพรเด็กเหล่านั้น
    ช่างเป็นภาพและเสียงที่น่าประทับใจสักเพียงใด !!!
    เด็กเล็ก ๆ มีคุณลักษณะอะไรหรือ พระเยซูเจ้าจึงรักและให้ความสำคัญมากถึงกับตรัสว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนที่เหมือนเด็กเหล่านี้” ?
    1.    เด็กมีความสุภาพ  จริงอยู่มีเด็กบางคนชอบแสดงออก แต่ก็มีจำนวนน้อยและส่วนใหญ่เป็นเพราะการอบรมหรือได้เห็นแบบอย่างผิด ๆ จากผู้ใหญ่
         โดยทั่วไปเด็กไม่ชอบออกงาน ไม่ชอบเด่น ไม่ชอบออกหน้า แต่ชอบหลบอยู่หลังผู้ใหญ่  นั่นเป็นเพราะพวกเขายังไม่รู้จักความหยิ่งจองหอง ยศถาบรรดาศักดิ์ หรือชื่อเสียงเกียรติยศ
        และที่สำคัญคือ พวกเขายังไม่รู้จักค้นพบ “ความสำคัญของตนเอง” !
    2.    เด็กมีความนบนอบ ภายนอก เด็กอาจดูเหมือนซุกซน ดื้อดึง แต่จริง ๆ แล้วสัญชาติญาณของเด็กคือความนบนอบ  เหตุผลคือเด็กยังไม่รู้จักหยิ่งจองหองจนไม่ยอมขึ้นกับผู้อื่นแบบไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งรังแต่จะทำให้ตัวเองแยกจากพ่อแม่ เพื่อน ๆ หรือแม้แต่พระเจ้า
    3.    เด็กมีความวางใจ เห็นได้จาก
        3.1 เด็กยอมรับผู้ที่เหนือกว่า  เพราะพวกเขาตระหนักดีว่าตนด้อยปัญญา ช่วยเหลือตนเองไม่ได้  จึงยอมรับและวางใจผู้ที่รู้มากกว่า มีความสามารถมากกว่า ดังเช่นพ่อแม่ และครูบาอาจารย์ เป็นต้น
        3.2 เด็กไว้ใจคนอื่นแม้แต่คนแปลกหน้า ซึ่งหลายครั้งนำไปสู่การล่อลวงและอาจถึงขั้นเป็นอันตรายต่อตัวเด็กเอง
         กระนั้นก็ตาม ความวางใจของเด็กยังเป็นสิ่งที่น่ารักและไม่ควรมีผู้ใดฉกฉวยโอกาสจากความน่ารักนี้.... เพราะเด็ก “เชื่อในความดีของคนอื่นเสมอ” !
    4.    เด็กไม่จดจำความผิด เพราะเด็กไม่รู้จักสะสมความขมขื่นและความเคียดแค้น  แม้เมื่อเด็กได้รับการปฏิบัติอย่างอยุติธรรม เขาก็ลืม...
         ลืมจนไม่คิดว่าต้องให้อภัย !

 ความรักของพระเยซูที่มีต่อเด็กๆ ตอนที่ผู้คนไม่ได้ใส่ใจเป็นคำเตือนที่ดีเยี่ยมมาก เป็นการเตือนให้เห็นความรักของพระเจ้าในสิ่งที่โลกมักจะละเมิดหรือทอดทิ้ง พระองค์เรียกเรามาให้รักคนที่ไม่มีใครรัก คนที่ถูกลืม คนที่ถูกทำร้ายและถูกทอดทิ้ง ทำไมน่ะหรือ? เพราะอิสราเอลก็เป็นแบบนั้นตอนอยู่ในอียิปต์ และเป็นสิ่งที่ทำให้พระเยซูอยู่ที่กางเขน และนั่นคือสิ่งที่เราเป็น หากเราไม่ได้รับพระคุณ (โรม 5:6-11) เราจะอ้างได้อย่างไรว่าเรารู้จักความรอด ถ้าเราไม่แบ่งปันกับผู้อื่นที่ต้องการพระคุณ? เราจะอ้างได้อย่างไรว่าเราเป็นลูกศิษย์ของพระเยซู ถ้าเราไม่แสดงความรักต่อผู้ที่โลกไม่สนใจ

คำอธิษฐาน
พระบิดา ข้าพระองค์อยากจะมีความเป็นพ่อแม่มากขึ้นเช่นเดียวกับพระองค์ — เป็นพ่อแม่ที่แสดงความบริสุทธิ์และมีความรักให้กับลูกๆ ของตัวเอง และเป็นพ่อแม่ผู้อ่อนโยน สำหรับเด็กๆ ที่ถูกลืม ขอทรงช่วยให้ข้าพระองค์ไม่เพียงแต่จะตื่นตัวเมื่อรู้เกี่ยวกับเด็กที่ถูกละเลยหรือการละเมิดเด็กในโลกนี้ แต่ขอที่จะทรงให้ข้าพระองค์ลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการอวยพรเด็กๆ เหล่านั้น อธิษฐานในพระนามของพระเยซู ผู้ที่รักเด็กๆ ทุกคน อาเมน

KC Love GOD



พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ อ่านมัทธิว 8:1 ถึง 11:1 ​    25 และพวกสาวกมาปลุกพระองค์ ทูลว่า “องค์พร...