วันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2560

พระเจ้าทรงนำทางทุกสิ่ง


พระเจ้าทรงนำทางโลกและชีวิตของฉันหรือ?
   คำตอบคือ   ใช่ แต่วิธีของพระองค์นั้นล้ำลึก พระเจ้าทรงนำทางทุกสิ่ง ด้วยวิธีที่พระองค์เท่านั้นทรงล่วงรู้ เพื่อนำเราไปสู่ความครบครัน ไม่ว่าเวลาใดก็ตาม พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น




    พระเจ้าทรงมีอิทธิพลทั้งต่อเหตุการณ์ใหญ่โตในประวัติศาสตร์ และเหตุการณ์ธรรมดาในชีวิตส่วนตัวของเรา โดยพระองค์ไม่ทรงลดทอนอิสรภาพของเรา หรือ ทำให้เราเป็นเพียงหุ่นเชิดในแผนการนิรันดรของพระองค์ในพระเจ้า “เรามีชีวิต เคลื่อนไหว และมีความเป็นอยู่” (กจ 17 : 28) พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในทุกสิ่งที่เราพบในการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา แม้ในเหตุการณ์ที่เจ็บปวด และความบังเอิญที่ดูเหมือนไร้ความหมาย พระเจ้าทรงปรารถนาขีดเส้นตรงให้เราแม้บนเส้นทางโค้งในชีวิตของเรา     สิ่งที่พระองค์ทรงนำกลับคืนไปจากเรา และสิ่งที่พระองค์ประทานให้เรา ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เราเข้มแข็งขึ้นและทรงทดสอบเรา ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการจัดการและเป็นเครื่องหมายแห่งพระประสงค์ของพระองค์ -
  
“ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่าน ถูกนับไว้หมดแล้ว” (มธ 10:30)

“พระเจ้าผู้สร้างท่านย่อมทรงทราบว่าพระองค์ทรงต้องการทำสิ่งใดกับตัวท่าน” นักบุญออกัสติน
  
พระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ผู้ทรงอยู่เหนือกาลเวลาและสถานที่ ทรงสร้างโลกจากความว่างเปล่าและทรงเรียกให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่นั้นขึ้นอยู่กับพระเจ้า และคงเป็นอยู่ต่อไป เพราพระองค์ทรงพระประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น 
  
    อาจกล่าวได้ว่า การสร้างโลก เป็น “ผลงานร่วมกัน” ของพระเจ้า พระตรีเอกภาพ พระบิดาทรงเป็นพระผู้สร้าง ทรงสรรพานุภาพ พระบุตรทรงเป็นความสำคัญและหัวใจของโลก “ทุกสิ่งถูกเนรมิตขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์” (คส 1 : 16)    เมื่อเราได้เรียนรู้จักพระคริสตเจ้าแล้วเท่านั้น เราจึงค้นพบได้ว่า เพราะเหตุใดโลกจึงดีและเข้าใจว่าโลกมีจุดหมายปลายทาง คือ ความจริง ความดีงาม และความงดงามของพระเจ้ พระจิตเจ้าทรงรวมทุกอย่างไว้ด้วยกัน พระองค์ทรงเป็นผู้หนึ่งซึ่ง “ให้ชีวิต” (ยน 6 : 63)

  
kamsonbkk.com

วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สวรรค์คืออะไร


สวรรค์คืออะไร
    สวรรค์ คือ สถานที่ของพระเจ้า เป็นสถานที่พำนักของบรรดาทูตสวรรค์และผู้ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นจุดหมายปลายทางของสิ่งสร้าง ในถ้อยคำที่ว่า “สวรรค์และแผ่นดิน” เราหมายถึงความเป็นจริงของสิ่งสร้างทั้งมวล  

    สวรรค์มิใช่สถานที่แห่งหนึ่งในจักรวาล แต่เป็นสภาพของชีวิตหน้า สวรรค์เป็นสถานที่ซึ่งพระประสงค์ของพระเจ้าทรงเป็นไป โดยปราศจากการต่อต้าน สวรรค์เกิดขึ้น เมื่อชีวิตแสดงออกถึงความเข้มข้นอย่างที่สุด และได้รับพระพรเป็นลักษณะชีวิตที่เราไม่สามารถพบได้ในโลกนี้ สักวันหนึ่ง ด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า เราจะไปถึงสวรรค์ ซึ่งสิ่งที่รอคอยเราอยู่ก็คือ “สิ่งที่ตาไม่เคยเห็น หูไม่เคยได้ยินและจิตใจของมนุษย์คิดไม่ถึง คือ สิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์” (1 คร 2 : 9) ->  

“ก้าวเดินบนแผ่นดิน แต่ใจถวิลสู่สวรรค์” นักบุญยอห์น บอสโก (1815-1888 นักบุญองค์อุปถัมภ์ของเยาวชน)

“พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อบอกเราว่า พระองค์ทรงปรารถนาให้เราทุกคนอยู่ในสวรรค์ ส่วนนรก ซึ่งพูดถึงกันน้อยมากในสมัยนี้ ยังคงมีอยุ่ตลอดไปสำหรับผู้ที่ปิดหัวใจไม่รับความรักของพระองค์” สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 (8 พฤษภาคม 2007)

“เรารอคอยความปิติยินดีในสวรรค์ ณ ที่ซึ่งพระเจ้าประทับอยู่ เราสามารถอยู่กับพระองค์ในสวรรค์ได้ตั้งแต่เวลานี้ และมีความสุขกับพระองค์ได้ตั้งแต่บัดนี้ แต่เพื่อที่จะมีความสุขกับพระองค์ได้ในเวลานี้ได้ ย่อมหมายถึงการให้ความช่วยเหลือดังที่พระองค์ทรงช่วยเหลือ ให้ดังที่พระองค์ทรงให้ รับใช้ดังที่พระองค์ทรงรับใช้ ช่วยชีวิตดังที่พระองค์ทรงช่วยชีวิต และรักดังที่พระองค์ทรงรัก การอยู่กับพระองค์ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเป็นการพบพระองค์ในบุคคลที่น่ารังเกียจที่สุด เพราพระองค์ตรัสว่า “ทุกสิ่งที่ท่านได้ทำแก่พี่น้องที่ต้อยต่ำของเราเรา ท่านได้ทำต่อเราเอง” บุญราศีเทเรซา แห่งกัลกัตตา



kamsonbkk.com


วันพุธที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2560

มนุษย์ได้รับวิญญาณมาจากไหน



มนุษย์ได้รับวิญญาณมาจากไหน
    พระเจ้าทรงสร้างวิญญาณของมนุษย์โดยตรง มิใช่เป็น “ผลผลิต” จากพ่อแม่ให้กำเนิด  
    วิญญาณของมนุษย์มิใช่ผลผลิตจากวิวัฒนาการทางธรรมชาติ หรือเป็นผลของความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของพ่อแม่ เมื่อเกิดมาในโลกมนุษย์ทุกคนมีความพิเศษหนึ่งเดียวและมีชีวิตฝ่ายจิต

พระศาสนจักรกล่าวถึงความเร้นลับนี้โดยอธิบายว่า พระเจ้าทรงประทานวิญญาณที่ไม่รู้จักตายให้แก่มนุษย์ แม้บุคคลผู้นั้นจะสูญเสียร่างกายเพราะความตาย เขาก็จะพบวิญญาณนั้นอีกเมื่อกลับคืนชีพ การกล่าวว่า “ฉันมีวิญญาณ” หมายความว่า พระเจ้าทรงสร้างฉัน มิใช่เป็นเพียงแต่สิ่งสร้างเท่านั้น แต่เป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ตลอดกาล

“มนุษย์จะเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง เมื่อร่างกายและวิญญาณรวมกันเข้าเป็นหนึ่งเดียว.. หากมนุษย์ปรารถนาที่จะมีเพียงแต่วิญญาณ และปฏิเสธร่างกายเนื้อหนัง คิดว่าเป็นเพียงผลพวงมาจากสัตว์ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น จิตใจและร่างกายของมนุษยืก็จะสูญเสียศักดิ์ศรีของตน ในทางตรงกันข้าม หากมนุษย์ปฏิเสธวิญญาณ และคิดว่าร่างกายเท่านั้นที่เป็นความจริง เขาก็สูญเสียความยิ่งใหญ่ของความเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน” สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 พระเจ้าคือความรัก Deus Caritas est

“มนุษย์มีความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตทั้งปวง เนื่องจากมีแหล่งกำเนิดทางโลกเหมือนกัน แต่มนุษย์เป็นมนุษย์ได้เพราะมีวิญญาณที่พระเจ้าทรงประทานให้ “ทางลมหายใจ” วิญญาณที่ทรงประทานให้มนุษย์นี้จึงเป็นศักดิ์ศรีหนึ่งเดียวและความรับผิดชอบของมนุษย์ที่ทดแทนไม่ได้”Christoph Cardinal SCHONBORN (1945 พระอัครสังฆราชแห่งเวียนนา)



kamsonbkk.com

วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2560

ทำไมพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เป็นชายและหญิง


พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เพื่อครอบครองสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในโลกนี้โดยที่ทรงสร้างมนุษย์ตามพระฉายาของพระองค์ด้วย ที่พระเจ้าทรงสร้างเราตามพระฉายาของพระเจ้าอาจไม่ได้หมายถึงรูปลักษณ์ภายนอกแต่เป็นภายใน ตั้งแต่ก่อนที่อาดัมและเอวาจะทำบาปแล้วที่มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสุนทรีย์ มีสติปัญญา มีเหตุผล มีสังคม และจิตสำนึกเหมือนพระเจ้าซึ่งแตกต่างจากสรรพสัตว์มาก

ทำไมพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์เป็นชายและหญิง
    พระเจ้าผู้ทรงเป็นความรัก และแบบอย่างอุดมคติของความเป็นหนึ่งเดียว พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง เพื่อให้ทั้งสองเป็นภาพลักษณ์พระธรรมชาติของพระองค์  

    พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิงมีความปรารถนาที่จะเติมเต็มกันและกันให้สมบูรณ์ด้วยการพบปะเพศตรงข้าม ชายและหญิงมีศักดิ์ศรีเดียวกันอย่างแท้จริง แต่ลักษณะพัฒนาการความเป็นชายและหญิงนั้น แสดงถึงมิติที่แตกต่างกันในความสมบูรณ์ของพระเจ้า พระเจ้ามิใช่ชายหรือหญิง ทรงแสดงพระองค์เป็นทั้งบิดา (ลก 6 : 36) และมารดา (อสย 66 : 13) ในความรักของชายและหญิงโดยเฉพาะในการแต่งงาน ซึ่งชายและหญิงกลายเป็น “เนื้อเดียวกัน” (ปฐก 2 : 24) เขาได้รับอภิสิทธิ์ที่จะสัมผัสถึงความสุขของการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า มนุษย์ทุกคนพบความสมบูรณ์สูงสุดของเขาในพระองค์ ความรักของพระเจ้านั้นซื่อสัตย์ เช่นเดียวกัน ความรักของมนุษย์จึงแสวงหาที่จะซื่อสัตย์ และความรักนี้สร้างสรรค์เพราะจากการแต่งงานที่ชีวิตใหม่ได้บังเกิดขึ้น  

“พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามภาพลักษณ์ของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างเขาตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง” (ปฐก 1 : 27)
“มนุษย์อยู่เพียงคนเดียวนั้นไม่ดีเลย เราจะสร้างผู้ช่วยที่เหมาะกับเขาให้” (ปฐก 2 : 18)
“ยิ่งไปกว่านั้น เราอ่านพบว่ามนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ “คนเดียว” (เทียบ ปฐก 2 : 18) เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ใน “เอกภาพของทั้งสองคน” และดังนั้น ในความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นด้วย เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นของความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ชายและหญิง และหญิงและชาย    การเป็นบุคคลในภาพลักษณ์และความเหมือนของพระเจ้าจึงเกี่ยวข้องกับการเป็นอยู่ในความสัมพันธ์ในความเกี่ยวข้องกับผู้อื่น นอกจาก “ฉัน” เป็นการโหมโรงเพื่ออธิบายถึงการเผยแสดงพระองค์เองของพระเจ้าสามพระบุคคล การดำรงอยู่ในความสามัคคีในความเป็นหนึ่งเดียวของพระบิดา พระบุตรและพระจิต” สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2


.kamsonbkk.com

วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ความบาปที่จริงแล้วเกิดจากอะไร ต้นเหตุมาจากไหน

ความบาปที่จริงแล้วเกิดจากอะไร ต้นเหตุมาจากไหน
ให้เราไปดูที่ปฐมกาล กลับไปดูว่าพระเจ้าบอกอะไรเราไว้ตั้งแต่ปฐมกาลบ้าง
  
อิสยาห์ 14:12-14
12 โอ ดาวประจำกลางวันเอ๋ย พ่อโอรสแห่งพระอรุณ เจ้าล่วงลงมาจากฟ้าสวรรค์แล้วสิ
     เจ้าถูกตัดลงมายังพื้นดินอย่างไรหนอ เจ้าผู้กระทำให้ประชาชาติตกต่ำ
13 เจ้าลำพึงในใจของเจ้าว่า ข้าจะขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์ เหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า
     ข้าจะตั้งพระที่นั่งของข้า ณ ที่สูงนั้น ข้านั่งบนขุนเขาชุมนุมสถาน ณ ที่อุดรไกล
14 ข้าจะขึ้นไปเหนือความสูงของเมฆ ข้าจะกระทำตัวของข้าเหมือนองค์ผู้สุด


12 How are you fallen from heaven, O Lucifer, son of the morning!
     how are you cut down to the ground, which did weaken the nations!
13 For you have said in your heart, I will ascend into heaven,
      I will exalt my throne above the stars of God:
      I will sit also upon the mount of the congregation,
      in the farthest sides of the north
14   I will ascend above the heights of the clouds; I will be like the most High.


คำว่า ดาวประจำกลางวัน หรือในภาษาอังกฤษ เขียนวา  son of the morning
แล้วต้นฉบับเขียนคำว่า ลูซิเฟอร์ (Lucifer) ลงไปด้วยนั่นคือชื่อของซาตาน
พระคัมภีร์ข้อนี้เปิดตัวผู้ร้ายให้ท่านเห็นว่า ดาวประจำกลางวัน เป็นชื่อของซาตานชื่อว่า ลูซิเฟอร์

ลูซิเฟอร์ เป็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า ที่พระเจ้าสร้าง และพระเจ้าก็ให้เป็นหัวหน้าทูตสวรรค์
แล้ว ลูซิเฟอร์ ก็คิดกบฏกับพระเจ้า และมันก็ได้ขึ้นไปอยู่เหนือดวงดาว
วิญญาณชั่วนั้นมีสี่อย่าง มันอยู่เหนือดวงดาว เหนือท้องฟ้า
และพระเจ้าเขียนในพระคัมภีร์หมายถึงลูกของดวงดาว มันเป็นพระเจ้าของโลกนี้
และมันอยากเป็นพระเจ้าที่แท้ และพูดคำนี้ออกมาว่า

“ข้าจะขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์ เหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า
ข้าจะตั้งพระที่นั่งของข้า ณ ที่สูงนั้น ข้านั่งบนขุนเขาชุมนุมสถาน ณ ที่อุดรไกล
ข้าจะขึ้นไปเหนือความสูงของเมฆ ข้าจะกระทำตัวของข้าเหมือนองค์ผู้สุด”

นั่นคือ ความคิดที่เย่อหยิ่ง ของซาตาน หรือ ลูซิเฟอร์
ความคิดตรงนี้เป็นความคิดที่ถ้าเราลองมาวิเคราะห์คือ

อันดับแรก มันแยกตัวออกจากพระเจ้า
แยกตัวออกจากการที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง เป็นเจ้านาย เป็นพ่อ เป็นผู้สร้าง
เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แยกตัวออกมาว่า “ข้าจะอยู่ของข้าด้วยตัวเอง”
การแยกตัวออกมาของซาตานเป็นสิ่งหนึ่ง ที่เป็นต้นเหตุของความบาป
เพราะฉะนั้น ความบาปที่แท้จริงในทางโลกวิญญาณ มันไม่ใช่เรื่องของบัญญัติ 10 ประการ
นั่นเป็นสิ่งที่ตั้งไว้เพื่อชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีความบาปอย่างไร
มีการกระทำอย่างไร แต่ความบาป ต้นเหตุและการเริ่มต้นของความบาป
มันเริ่มจาก “ซาตาน” ซึ่งจากเดิมให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลางแห่งชีวิตของซาตาน
แห่งวิญญาณของซาตานและสมุนของมัน มันเอาตัวเองมาเป็นศูนย์กลางแทน
จาก God center มาเป็น Self-center คือเป็นตัวของตัวเอง      

เราจะเห็นว่าในบางครั้งมนุษย์หลายคนที่เป็นผู้นำศาสนา ก็ยังพูดว่า
อย่าเอาตนเองเป็นอัตตา อย่าเอาตนเองเป็นที่ตั้ง ซาตานเริ่มคิดที่จะทำบาปคือ
เอาตัวมันเป็นของมัน คือ แยกตัวออกจากพระเจ้า มาตั้งอาณาจักรของมันเอง
มันจะอยู่เหนือดวงดาว แล้วมันจะทำตัวเหมือนองค์ผู้สูงสุด แต่มันทำได้แค่บนโลกนี้
ไม่ได้ทั้งจักรวาล แล้วมันก็ยังอยู่ใต้อำนาจของพระเจ้าต่อไป


เพราะฉะนั้น จุดที่ชี้ให้เห็นคือ ต้นเหตุของความบาปมันเริ่มขึ้นจากซาตาน
ที่คิดแยกตัวออกจากพระเจ้า ถ้าเรามองยาวมาถึงวันนี้
ใครก็ตามที่คิดแยกตัวออกจากพระเจ้าชีวิตจึงไม่เกิดผล
และซาตานเอามันเองเป็นศูนย์กลางชีวิตของมันและสมุนของมัน
นั่นคือ ต้นเหตุของความบาป ด้วยเหตุนี้ในพันธสัญญาใหม่จึงเขียนไว้ว่า
บาป เหลือเพียงบาปเดียว คือ บาปที่ไม่เชื่อพระเยซู ซึ่งซาตานไม่ยอมเชื่อพระเยซู
มันรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แต่สายเกินไปเสียแล้ว มันถูกพิพากษาไปแล้ว

ยอห์น 16:9
ในเรื่องความผิด (ต้นฉบับภาษาอังกฤษหมายถึงความบาป = sin)
นั้นคือ เพราะเขาไม่วางใจในเรา (ต้นฉบับภาษาอังกฤษมาจากคำว่า believe not = ไม่เชื่อ)

แปลใหม่ ง่ายๆก็คือ ในเรื่องความบาป เพราะเขาไม่เชื่อเรา (พระเยซู)
แปลอย่างนี้เข้าใจง่ายกว่า

John 16:9
Of sin, because they believe not on me


วิรณ์ 12:7-9
7 ขณะนั้นเกิดสงครามขึ้นในสวรรค์ มิคาเอล กับเทพบริวารของท่าน
   ได้ต่อสู้กับพญานาค และพญานาคกับบริวารของมันก็ต่อสู้
8 แต่ฝ่ายพญานาคแพ้ และพวกพญานาคไม่มีที่อยู่ในสวรรค์อีกเลย
9 พญานาคใหญ่ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่ามารและซาตาน
   ผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลกก็ถูกผลักทิ้งลงไป
  พญานาคและบริวารของมันถูกผลักทิ้งลงไปในแผ่นดินโลก


7 And there was war in heaven: Michael and his angels
   fought against the dragon; and the dragon fought and his angels,
8 And prevailed not; neither was their place found any more in heaven.
9 And the great dragon was cast out, that old serpent,
   called the Devil, and Satan, which deceives the whole world:
   he was cast out into the earth, and his angels were cast out with him.

นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์บอกเล่าว่า อะไรเกิดขึ้นในอดีต อะไรเกิดขึ้นในปฐมกาล
บนสวรรค์มีพระเจ้า มีทูตสวรรค์หลักอยู่สามคือ มิคาเอล กราบิเอล และ ลูซิเฟอร์
ในที่นี้บอกว่า มีสงครามขึ้นในสวรรค์ หลังจากซาตานเริ่มคิดว่ามันจะเป็นกบฏต่อพระเจ้า
มันจะตั้งตัวเป็นพระเจ้า มันจะปกครองดวงดาว มันจะขึ้นไปอยู่เหนือเมฆ
มันเริ่มแยกตัวออกจากพระเจ้า นั่นคือ การแยกตัวออกจากพระเจ้าของซาตาน
จึงเป็นเรื่องความบาป เป็นต้นเหตุของความบาปทั้งหมด และเป็นต้นเหตุของความยุ่งยากมาจนถึงทุกวันนี้

เพราะฉะนั้นเมื่อมันคิดเป็นกบฏต่อพระเจ้าก็เกิดสงครามมีการต่อสู้กันเกิดขึ้น
พระเจ้าไม่ได้ลงมาต่อสู้กับซาตาน แค่ทูตสวรรค์มิคาเอล กับทูตสวรรค์ ที่เป็นบริวาร
หรือเป็นลูกน้องของมิคาเอล สู้กับซาตานซึ่งมีวิญญาณชั่วร่วมกันเป็นกบฏ
ซาตานพร้อมกับวิญญาณชั่วกลุ่มหนึ่งก็เป็นกบฏกับพระเจ้า แล้วก็สู้กับทูตสวรรค์ของพระเจ้า
ซึ่งคือมิคาเอล แล้วก็แพ้ ถูกผลักตกลงมายังโลกแล้วก็มาล่อลวงคนทั้งโลก
ทำให้ประชาชนโลกตกต่ำลง ภาษาอังกฤษบางฉบับเขียนว่า
ทำให้ประชาชนโลกหรือมนุษย์ที่อยู่บนโลกมีความอ่อนแอลง
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากแผ่นดินสวรรค์ มาดูว่าบนโลกเกิดอะไรขึ้น...

ปฐมกาล 3:1-6
1 ในบรรดาสัตว์ป่าที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นงูฉลาดกว่าทั้งหมด
   (งูก็คือซาตาน สังเกตในวิวรณ์ที่พูดถึงพญานาคกับงูกับซาตานคือพวกเดียวกัน)
   มันถามหญิงนั้นว่าจริงหรือพระเจ้าตรัสห้ามหญิงนั้นว่า อย่ากินผลไม้จากต้นไม้ใดๆในสวนนี้
2 หญิงนั้นจึงตอบงูว่าผลไม้ในสวนต่างๆนี้เรากินได้
3 เว้นแต่ผลของต้นไม้ที่อยู่ตรงกลางสวนนั้น พระเจ้าตรัสห้ามว่า
   อย่ากินหรือถูกต้องเลยมิฉะนั้นจะต้องตาย
4 งูจึงพูดกับหญิงนั้นว่าเจ้าจะไม่ตายจริงดอก
5 เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่าเจ้ากินผลไม้นั้นวันใดตาของเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น
   แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือสำนึกในความดีและความชั่ว

ตรงนี้ซาตานบอกว่าไม่จริงเจ้าจะไม่ตายนี่คือการโกหก เพราะพระเจ้าบอก อาดัม กับ เอวา
ว่าถ้ากินผลจากต้นนี้จะต้องตาย และอาดัมก็ตายจริงๆ ตายทั้งวิญญาณ วิญญาณตกนรก
และทั้งร่างกายคือ ไม่เป็นอัมตะอีกต่อไป ตอนพระเจ้าสร้างอาดัมกับเอวานั้น
พระเจ้าไม่ได้มีพระประสงค์จะให้ตาย อาดัม กับ เอวา มีร่างกายที่เป็นอัมตะ
แล้ววันที่เริ่มนับอายุของ คือ วันที่เริ่มล้มลงไปในความบาป จึงเริ่มนับอายุของอาดัม
ก่อนหน้านี้พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกว่า อาดัม อยู่มาพันปี หมื่นปี หรือ แสนปี เพราะไม่มีเวลา
เพราะชีวิตเป็นอัมตะ ร่างกายและวิญญาณ อาดัม เป็นอัมตะ

แต่หลังจากเริ่มล้มลงไปในความบาปโดยการเชื่อฟังซาตานหรืองู
อาดัมจึงตกลงไปในความตาย ทั้งวิญญาณและร่างกาย
จึงมีการเริ่มนับอายุตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เราจะเห็นว่าซาตานมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่งคือ ก่อนหน้านี้มันเป็นกบฏมันอยากเป็นเหมือนพระเจ้า
แล้วมันก็หลอกมนุษย์ว่า ถ้ากินผลไม้นั้นเจ้าก็จะเป็นเหมือนพระเจ้าคือสำนึกดีสำนึกชั่ว
ปรากฏว่าผู้หญิงเชื่อ เอวาเชื่อ

6 เมื่อหญิงนั้นเห็นว่าต้นไม้นั้นน่ากินและน่าดูด้วยทั้งเป็นต้นไม้ที่จะมุ่งหมายให้เกิดปัญญา
   จึงเก็บผลไม้นั้นมากินแล้วส่งให้สามีกินด้วย เขาก็กิน

ตั้งแตวันนั้นเป็นต้นมาความบาปก็เกิดขึ้นใน อาดัม และ เอวา เพราะไม่เชื่อพระเจ้า
เพราะอยากเป็นพระเจ้า ตอนนั้นก็คือ ถูกซาตานหลอกแล้วไปยอมรับ
ก็คือ เปลี่ยนจากมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง มามีตัวเองเป็นศูนย์กลาง
คือสำนึกดีสำนึกชั่ว และเชื่อฟังซาตานตรงที่ซาตานบอกว่าวันใดเจ้ากินผลไม้นั้น
ตาของเจ้าก็จะสว่างขึ้นในวันนั้นแล้วเจ้า ก็จะเป็นเหมือนพระเจ้า
คือ  เอวา เองก็คิดอยากเป็นเหมือนพระเจ้า เชื่อฟังซาตานเหมือนกัน
ฉะนั้น จุดเริ่มแรกของความบาปคือ ซาตานอยากเป็นเหมือนพระเจ้า
จุดที่สองคือ มาหลอกต่อ เอวา เอวาก็ทำตามคือไปกินเข้าแล้วก็บอกว่า
งูนั้นพูดว่าเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า หญิงนั้นบอกว่า ต้นไม้นั้นน่ากินและน่าดูด้วย
คำว่า น่ากิน กับ น่าดู แสดงถึงว่า ตามองเห็น

เอวา เชื่อฟังซาตานและไปเห็นต้นไม้ความเย้ายวนด้วยตามองเห็นคือ
เขามองเห็นต้นไม้เห็นผลไม้ แล้วบอกว่าน่ากิน เอวา ก็ไปกินเข้านั่นคือตามองเห็น
เอวา เริ่มใช้ตามองเห็น ไม่ได้ใช้การเชื่อฟังพระเจ้า เอวา ก็ไปกินผลไม้นั้นกับ อาดัม
แล้วเริ่มล้มลงในความบาป แล้วตกเป็นผู้ที่อยู่ใต้อำนาจของซาตาน
เพราะพระคัมภีร์บอกว่า ในโลกวิญญาณนั้น ท่านเชื่อฟังวิญญาณใด
ท่านก็ตกอยู่ใต้วิญาณนั้น

โรม 6:16
ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า ถ้าท่านยอมตัวรับใช้ฟังคำของผู้ใด
ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น…

โลกวิญญาณ มีทั้งโลกวิญญาณที่อยู่ในร่างกายมนุษย์
และโลกวิญญาณ ที่ไม่มีร่างกาย แต่เป็นกายฝ่ายวิญญาณ

พระคัมภีร์จึงบอกว่า ในจักรวาลนี้ มีกายอยู่สองกายคือ กายฝ่ายวิญญาณ
กับ กาย ฝ่ายร่างกาย กายฝ่ายร่างกายก็คือตามองเห็น ถ้าเราตายไปแล้ว
ร่างกายก็สลายไป ก็ยังมีกายฝ่ายวิญญาณอีกที่มองไม่เห็นด้วยตาบนโลกมนุษย์
แต่จะมีร่างกาย เรียกว่า กายฝ่ายวิญญาณ เพราะฉะนั้น ในกรณีนี้ เอวา
ก็เชื่อฟังซาตาน ก็คิดอยากจะเป็นพระเจ้าของตนเอง อยากเป็นเหมือนพระเจ้า
มีสำนึกดีสำนึกชั่ว ตั้งแต่นั้นมามนุษย์ ก็ถูกธรรมชาติฝ่ายวิญญาณที่ตกเข้าไป
เป็นเรื่องที่ว่า เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ซาตาน ตัดขาดกับพระเจ้า
ต้องการเป็นใหญ่ ต้องการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง อาดัม เอวา
ก็เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ใช้ตามองเห็นตัดสินใจว่าผลไม้นั้นน่ากินและน่าดู
ก็กินเข้าไป แล้วก็ไม่เชื่อฟังพระเจ้า แล้วล้มลงไปในความบาป
   
นั่นคือต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนั่นเอง
(ข้อมูลจากกระทุ้ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน)




วันอังคารที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ความบาปคืออะไร?


   
แก่นของบาป คือ การปฏิเสธพระเจ้า และปฏิเสธที่จะยอมรับความรักของพระองค์ สิ่งนี้แสดงออกด้วยการไม่เคารพต่อพระบัญญัติของพระองค์ 

    บาปเป็นเรื่องที่มากกว่าความประพฤติไม่ถูกต้อง คือ ไม่ใช่เป็นเพียงความอ่อนแอทางจิต ในความรู้สึกส่วนลึกที่สุด การปฏิเสธทุกประการ หรือ การทำลายบางสิ่งบางอย่างที่ดี ก็คือการปฏิเสธความดีในตัวเอง คือการปฏิเสธพระจ้า ในมิติที่ลึกซึ้งและน่ากลัวที่สุดของบาป คือ การแยกออกจากพระเจ้า ดังนั้น จึงเป็นการแยกออกจากแหล่งกำเนิดของชีวิต ด้วยเหตุนี้ความตายจึงเป็นผลที่ตามมาอีกประการหนึ่งของบาป โดยทางพระเยซูเจ้าเท่านั้น เราจึงจะเข้าใจถึงมิติของบาปที่สุดจะหยั่งถึง    พระเยซูเจ้าทรงประสบกับการปฏิเสธของพระเจ้าในความเป็นมนุษย์ของพระองค์ พระองค์ทรงรับอำนาจความตายของบาปไว้ด้วยพระองค์เอง เพื่อที่จะไม่ต้องตกมายังเรา ซึ่งเราเรียกสิ่งนี้ว่า การไถ่กู้ - 

ความอ่อนแอของมนุษย์มิอาจล้มคว่ำแผนการของพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพได้ พระเจ้าสถาปนิกผู้ศักดิ์สิทธิ์ทรงสามารถทำงานได้ แม้กับอิฐหินที่สั่นคลอน” พระคาร์ดินัล ไม่เคิล วัน ฟูลเลเบอร์ (1869-1952 พระอัครสังฆราชแห่งมิวนิคและเฟรซิง)
“ที่ใดบาปทวีขึ้น ที่นั่นพระหรรษทานก็ยิ่งทวีมากกว่า” (รม 5 : 20ข)
“เมื่อพระหัตถ์ของพระคริสตเจ้าถูกตะปูตรึงไว้บนไม้กางเขนนั้น พระองค์ทรงตอกตรึงบาปของเราไว้บนไม้กางเขนนั้นด้วย”
 kamsonbkk.com
  
ความบาปคืออะไร?
เมื่อพูดถึงความบาป ในพระคริสตธรรมคัมภีร์หมายถึง “การทำผิดพระประสงค์ของพระเจ้า” หรือ “การตกต่ำจากมาตรฐานของพระเจ้า” หรือ “การไม่เชื่อฟังพระเจ้า” ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการเน้นที่ท่าทีภายในความคิดจิตใจของมนุษย์มากกว่าการกระทำ เพราะการกระทำสิ่งที่ไม่ดีและทำความชั่วร้ายทั้งปวงล้วนเกิดมาจากความคิดจิตใจที่ตกต่ำจากมาตรฐานของพระเจ้านั่นเอง

ความบาปสำคัญต่อเราอย่างไร?
ในมุมมองของพระคริสตธรรมคัมภีร์ “ความบาป” เป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์ ความบาปทำให้มนุษย์ตกต่ำจากมาตรฐานที่พระเจ้าวางไว้ ความบาปทำให้มนุษย์เห็นแก่ตัวและเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ความบาปทำให้เกิดการกระทำที่ผิดศีลธรรม ความบาปทำให้สังคมเสื่อมโทรม ความบาปทำให้โลกไม่น่าอยู่สำหรับมนุษย์อีกต่อไป และในที่สุดความบาปนี้แหละจะนำมนุษย์ไปสู่การพิพากษาและการลงโทษอย่างแสนสาหัสจากพระเจ้า

เราเป็นคนบาปด้วยหรือ?

พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวว่า “มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป” แม้แต่คนที่ไม่ได้ “ทำบาป” ก็ “เป็นคนบาป” เพราะการเป็นคนบาปเกิดจากการสืบสายเลือด กล่าวคือมนุษย์คนแรกที่พระเจ้าสร้าง(อาดัม)ได้ทำบาปโดยการไม่ยอมเชื่อฟังพระเจ้า แม้พระเจ้าจะตั้งกฎไว้เพียงข้อเดียวเท่านั้น และความจริงเขาก็ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่ต้องไปกินผลไม้จากต้นที่พระเจ้าห้าม จากสายเลือดบาปของอาดัมนี้เอง ความบาปจึงตกทอดมาถึงมนุษย์ทุกคน แม้แต่เด็กที่ไม่มีใครสอนให้เขาทำในสิ่งที่ไม่มีเลยก็ยังมีแนวโน้มที่จะทำสิ่งไม่ดี แม้เราทุกคนจะพยายามทำดี แต่เราก็รู้ว่าในตัวเรายังมีอิทธิพลชั่วร้ายชักจูงให้เราไปทำสิ่งที่ไม่ดีเสมอ อิทธิพลชั่วร้ายนี้เองที่เป็น “ธรรมชาติบาป” หรือ “สายเลือดบาป” ที่ตกทอดมาถึงเราทุกคน ทำให้เราทุกคนเป็นคนบาป

ความบาปส่งผลต่อเราอย่างไร?
ความบาปทำให้มนุษย์ทำสิ่งที่เลวร้าย ยิ่งกว่านั้นอีก ความบาปจะนำมนุษย์ไปสู่กฎของความยุติธรรมของพระเจ้า แม้พระเจ้าจะรักมนุษย์มากเพียงไร แต่เพราะพระองค์ได้วางโทษไว้แล้วว่า “ถ้าเจ้าขืนกินในวันใด เจ้าจะตายในวันนั้นเป็นแน่” ดังนั้นพระเจ้าจึงต้องพิพากษาโทษมนุษย์ซึ่งโทษนั้นก็คือ “ความตาย”

เมื่อกล่าวถึงความตาย พระคริสตธรรมคัมภีร์หมายถึงความตาย 3 ลักษณะ คือ

ตายฝ่ายวิญญาณ คือ การที่มนุษย์ถูกตัดขาดจากพระเจ้า จิตใจของมนุษย์จึงไม่มีวันอิ่มและรู้สึกขาดสันติสุข เราจึงพยายามแสวงหาความสุขอื่น ๆ มาทดแทน แต่จนแล้วจนรอดเราก็ยังรู้สึกขาดอะไรไปอย่าง สิ่งนั้นคือ “สัมพันธภาพกับพระเจ้า”
ตายฝ่ายร่างกาย หมายถึงการที่วิญญาณแยกออกจากร่างกาย มนุษย์ทุกคนต้องตาย แม้ว่าจะพยายามหลีกหนีความตายอย่างไรก็หนีไม่พ้น ความตายเป็นศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์
ตายชั่วนิรันดร์ หมายถึง การถูกลงทัณฑ์ทรมานในนรกบึงไฟ ถ้าเรายังไม่กลับใจใหม่ ไม่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ สักวันหนึ่งเมื่อการพิพากษาสุดท้ายมาถึง เราจะต้องตายชั่วนิรันดร์แน่นอน


angelfire.com

วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2560

จริงๆแล้วพระเจ้า พระเยซู ทรงรักเราและอยากให้เรามีชีวิตที่ดีนะ


จริงๆแล้วพระเจ้า พระเยซู ทรงรักเราและอยากให้เรามีชีวิตที่ดีนะ
แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังสงสัย และตั้งคำถามมากมายว่า 
ทำไมโลกนี้ต้องไม่เท่าเทียมล่ะ?


เรามีคำตอบแบบคร่าวๆพอให้เข้าใจง่าย ในทางชาวคริสต์ มาเล่าให้ฟังนะ ลองอ่านให้จบนะคะ เพืื่อจะได้รู้ที่มาที่ไปและสาเหตุที่ทำให้เราตกอยู่ในบาป ซึ่งอาจเป็นที่มาของความไม่เท่าเทียมกันของชีวิตบนโลกใบนี้

ในเริ่มแรกเดิมทีที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์นะจากที่ศึกษามา
ตั้งแต่เริ่มแรกนั้น มนุษย์ดำรงค์อยู่อย่างสุขสบายเลยนะ
ไม่มีการตาย ร่างกายเป็นอัมตะอีก มีกินมีใช้ไม่ขาดเหลืออะไรเลยนะ
  
แต่กอนจะเริ่มเล่าว่าทำไมมนุษย์ถึงได้กลายมาเป็นแบบทุกวันนี้ มีจน มีรวย มีเจ็บมีป่วย สาระพัด ฯลฯ
ต้องย้อนไปถึงเบื้องต้นเลย เริ่มจากที่สวรรค์เลยครับ ในสวรรค์ พระเจ้าได้สร้างทูตสวรรค์ของพระองค์ไว้
แล้วมีทูตสวรรค์หลักอยู่สามคือ มิคาเอล กราบิเอล และลูซิเฟอร์
(ลูซิเฟอร์นั้นมีชื่ออีกชื่อหนึ่งที่เรียกกันก็คือ ซาตาน)

แต่หนึ่งในทูตสวรรค์ของพระองค์คือลูซิเฟอร์นั้น คิดอยากจะเป็นพระเจ้าไม่เชื่อฟังพระเจ้า
จึงกบฏพร้อมกับสมุนและแยกตัวออกมา และทำสงครามกับพระเจ้า
แต่พระเจ้าส่ง มิคาเอล กับทูตสวรรค์ แล้วก็สู้รบกัน ฝ่ายลูซิเฟอร์แพ้ ก็ถูกผลักทิ้งลงมายังโลกพร้อมสมุนของมัน

 ต่อมาพระเจ้าก็สร้างมนุษย์ขึ้นมาก็คือ อาดัม และ เอวา และให้อยู่ในสวนเอเดน
และพระเจ้าได้บอกว่าผลไม้ในสวนทุกอย่างนั้นกินได้
เว้นแต่ผลจากต้นไม้แห่งการสำนึกดีสำนึกชั่ว ถ้ากินเข้าไปแล้วจะต้องตายนะ
  
แต่ต่อมาซาตานที่มาในรูบแบบงู ได้เข้ามาล่อลวง เอวา ว่า ไม่จริงหรอกที่พระเจ้าห้ามเพราะว่า
ถ้ากินเข้าไปแล้วก็จะเป็นเหมือนพระเจ้า ฝ่ายเอวาก็เชื่อซาตาน และไปกินผลไม้เข้าและก็แบ่งให้อาดัมกิน
(พระเจ้าก็บอกแล้วกินแล้วตาย แต่เอวาก็ไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่ไปเชื่อฟังซาตาน)
ในพระคำภีร์บอกว่า ในกฏของวิญญาณนั้น ถ้าท่านเชื่อฟังผู้ใดท่านก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลหรือการครอบครองวิญญาณนั้น

ตั้งแต่วันนั้นมามนุษย์ก็เลยตกอยู่ความบาป ความตายและคำสาปแช่งเพราะไม่เชื่อฟังพระเจ้า
คือมีการตาย พระคำภีร์ไม่ได้ระบุว่า อาดัมกับเอวา ก่อนหน้านั้นอยู่มากี่ปี
แสนปี ล้านปี  สิบล้านปี หรือ ร้อยล้านปี เพราะตอนนั้นเป็นอัมตะจึงไม่มีเวลา
หลังจากนั้น มนุษย์ก็แยกตัวออกจากพระเจ้า และตกอยู่ใต้การครอบครองของซาตานและสมุนของมัน

 สรุปที่มนุษย์มีชีวิตไม่เหมือนกัน เพราะมนุษย์ตกไปอยู่ในความบาปและคำสาปแช่ง
ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ อาดัมและ เอวา ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และ แยกตัวออกจากพระเจ้า

 จริงๆแล้วพระเจ้าก็รักทุกคนและพระองค์ก็ปรารถนาให้มนุษย์นั้นมีชีวิตที่ดีและมีสันติสุข
ก็เลยส่งพระเยซูมา แต่ติดอยู่ตรงที่ว่าตามกฏที่ว่า มนุษย์เชื่อวิญญาณใดก็ตกอยู่ใต้อำนาจของวิญญาณนั้น
พระองค์ไม่ทรงละเมิดกฏของพระองค์ ดังนั้นมนุษย์ที่เชื่อในพระเยซู ก็จะถูกครอบครองโดยพระเจ้า
และมีชีวิตที่ดี และมีสันติสุข เพราะพระเยซูคริสต์ ได้บอกไว้แล้วพระองค์ได้มอบสันติสุขไว้ให้ผู้ซึ่งเชื่อในพระองค์แล้ว
  
ไม่ต้องไปดูที่ไหนไกลชีวิตเราเองและคนใกล้ตัวเองนี่แหละ ก็ไม่เคยลำบากถึงขั้นอับจนหนทาง และถึงจะต้องพบกับความลำบากบ้างแต่พระองค์ทรงมีทางออกให้เราเสมอ ส่วนผู้ที่ยังไม่เชื่อ ก็เป็นไปตามกฏ (มนุษย์เชื่อวิญญาณใดก็ตกอยู่ใต้อำนาจของวิญญาณนั้น
พระองค์ไม่ทรงละเมิดกฏของพระองค์ ดังนั้นมนุษย์ที่เชื่อในพระเยซู ก็จะถูกครอบครองโดยพระเจ้า
และมีชีวิตที่ดี และมีสันติสุข เพราะพระเยซูคริสต์ ได้บอกไว้แล้วพระองค์ได้มอบสันติสุขไว้ให้ผู้ซึ่งเชื่อในพระองค์แล้ว)

เรื่องพวกนี้จริงๆแล้วมันเป็นอะไรลึกซึ้งมากและยาวมาก ต้องค่อยๆศึกษาไป การอธิบายเพียงคร่าวๆแบบนี้
อาจจะทำให้ไม่กระจ่างนัก อย่างไรก็ตามนั้นให้รู้ว่า พระเจ้า พระเยซู รักเราและอยากให้เรามีชีวิตที่ดีนะ
และเมื่อคุณศึกษาไปเรื่อยๆ คุณก็จะเริ่มเข้าใจมากขึ้น
 (ข้อมูลจากกระทุ้ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน)
  
การที่มนุษย์ต้องทนทุกข์และตาย เป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้าหรือ
    พระเจ้าไม่ทรงปรารถนาให้มนุษย์ทนทุกข์และตาย ความคิดแรกของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ คือ สวรรค์ ชีวิตนิรันดร และสันติสุขระหว่างพระเจ้า มนุษย์ สิ่งแวดล้อม และระหว่างชายและหญิง  

    บ่อยครั้งที่เรารู้สึกว่าชีวิตน่าจะเป็นเช่นนั้น และเราควรจะเป็นเช่นนี้ แต่ในความเป็นจริง เรามิได้ดำเนินชีวิตในสันติกับตัวเอง เราแสดงออกด้วยความหวาดกลัวและควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เราสูญเสียความสอดคล้องกลมกลืนแรกเริ่มที่มนุษย์มีต่อโลก และต่อพระเจ้าในชั้นสูงสุด    ในพระคัมภีร์กล่าวถึงประสบการณ์ความขัดแย้งนี้ในเรื่องราวการตกในบาป เนื่องจากบาปคืบคลานเข้ามา    อาดัมและเอวาจึงต้องออกจากสวรรค์ ที่ซึ่งพวกเขาอยู่กับพระเจ้า และอยู่ด้วยกันด้วยความกลมเกลียว การทำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อย ความทุกข์ทรมาน และการถูกประจญให้กระทำบาป จึงเป็นเครื่องหมายของการสูญเสียสวรรค์นั่นเอง

“เราสูญเสียสวนสวรรค์ แต่เราได้รับสรวงสวรรค์ ดังนั้น เราจึงได้รับมากกว่าการสูญเสีย” นักบุญยอห์น ครีโซสโตม  

“ข้าแต่พระเจ้า การหันเหออกจากพระองค์ คือ การหกล้ม การหันมาหาพระองค์ คือ การลุกขึ้น การดำรงอยู่ในพระองค์ คือ การอยู่ในความมั่นคง” นักบุญออกัสติน  

.kamsonbkk.com



วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ทำไมสิ่งไม่ดีจึงเกิดขึ้นกับคนดี ๆ?


ทำไมพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับคนดี ๆ?

คำตอบ: ทำไมสิ่งไม่ดีจึงเกิดขึ้นกับคนดี ๆนี่เป็นหนึ่งในคำถามในหลักศาสนศาสตร์ที่ตอบยาก พระเจ้าทรงเป็นนิรันดร์ทรงไม่มีเบื้องต้นเบื้องปลายทรงสัพพัญญูญาณทรงสถิตทั่วทุกหนแห่งในเวลาเดียวกันทรงมีสิทธิอำนาจสูงสุดฯลฯ

แล้วทำไมเราซึ่งเป็นมนุษย์ (ผู้ไม่ได้เป็นนิรันดร์ไม่ได้มีเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้เป็นสัพพัญญูญาณไม่ได้อยู่ทั่วทุกหนแห่งในเวลาเดียวกันไม่ได้มีสิทธิอำนาจสูงสุด) จึงต้องคาดหวังที่จะเข้าใจทางของพระเจ้าด้วยเล่า?

หนังสือโยบพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า พระเจ้าทรงอนุญาตให้ซาตานทำกับโยบได้ตามที่มันต้องการนอกจากจะเอาชีวิตของเขา แล้วปฏิกิริยาของโยบเป็นอย่างไร? “ถึงแม้พระองค์ทรงประหารข้าเสีย ข้าก็จะยังวางใจในพระองค์” (โยบ13:15) ท่านว่า “พระเยโฮวาห์ทรงประทาน และพระเยโฮวาห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเยโฮวาห์” (โยบ 1:21) โยบไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น แต่เขารู้ว่าพระเจ้าดี เขาจึงยังคงวางใจในพระเจ้าต่อไป

ท่าทีของเราควรเป็นเช่นนั้นด้วย พระเจ้าดี พระองค์ทรงยุติธรรมทรงเปี่ยมล้นด้วยความรักและทรงพระเมตตา บ่อยครั้งมีอะไร ๆ เกิดขึ้นกับเราที่เราไม่เข้าใจ แต่แทนที่เราจะมามัวสงสัยความดีงามของพระเจ้า เราควรจะวางใจในพระองค์ “จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น” (สุภาษิต 3:5-6)

บางทีคำถามที่น่าถามกว่านั้นคือ “ทำไมสิ่งที่ดี ๆ จึงเกิดขึ้นกับคนไม่ดี?” พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ (อิสยาห์ 6:3; วิวรณ์ 4:8) มนุษย์เป็นคนบาป (โรม 3:23; 6:23) ท่านอยากรู้ไหมว่าพระเจ้าทรงคิดเกี่ยวกับมนุษย์ว่าอย่างไร?

 “ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า `ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหา พระเจ้า เขาทุกคนหลงทางไปหมด เขาทั้งปวงเป็นคนไร้ค่าเหมือนกันทั้งสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลย ลำคอของเขาคือหลุมฝังศพที่เปิด เขาใช้ลิ้นของเขาในการล่อลวง ภายใต้ริมฝีปากของเขามีพิษของงูร้าย ปากของเขาเต็มด้วยคำแช่งด่าและคำขมขื่น เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด ในทางเดินของเขามีความพินาศและความทุกข์ และเขาไม่รู้จักทางแห่งสันติสุข ในแววตาของเขาไม่มีความเกรงกลัวพระเจ้า บัดนี้ เรารู้แล้วว่าพระราชบัญญัติทุกข้อที่ได้กล่าวนั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้พระราชบัญญัติเพื่อปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกมีความผิดจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า” (โรม 3:10-18)

มนุษย์ทุกคนในโลกนี้สมควรที่จะถูกโยนลงไปในบึงไฟนรกในวินาทีนี้เลยที่เดียว ทุกวินาที เรายังมีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะพระคุณของพระเจ้า ความเลวร้ายที่แย่มาก ๆ ที่เรามีสิทธิเจอในโลกนี้ยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เราสมควรจะได้รับ นั่นก็คือการตกอยู่ในบึงไฟนรกชั่วนิรันดร์กาล

แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (โรม 5:8) แม้ว่ามนุษย์จะมีธรรมชาติบาปและความชั่วร้าย พระเจ้าก็ยังทรงรักเรา พระองค์ทรงรักเรามากพอที่จะสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่โทษบาปให้กับเรา (โรม 6:23) ทั้งหมดที่เราต้องทำคือเชื่อในพระเยซูคริสต์ (ยอห์น 3:16; โรม 10:9) เพื่อที่เราจะได้รับการให้อภัยบาปและแผ่นดินสวรรค์ (โรม 8:1) สิ่งที่เราสมควรจะได้รับ = นรกแต่สิ่งที่เราจะได้รับ = ชีวิตนิรันดร์ หากเราเพียงแต่เชื่อเท่านั้น

 ได้มีคนพูดเอาไว้ว่า โลกนี้คือนรกแห่งเดียวที่ผู้เชื่อจะได้เจอและโลกนี้คือสวรรค์แห่งเดียวที่ผู้ไม่เชื่อจะได้เจอ ดังนั้นครั้งต่อไปเมื่อเราจะถามว่า “ทำไมพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับคนดี ๆ?” บางทีเราควรจะถามว่า “ทำไมพระเจ้าจึงทรงอนุญาตให้สิ่งที่ดี ๆ เกิดขึ้นกับคนไม่ดี?”
gotquestions.org

การที่มนุษย์ต้องทนทุกข์และตาย เป็นส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้าหรือ

    พระเจ้าไม่ทรงปรารถนาให้มนุษย์ทนทุกข์และตาย ความคิดแรกของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ คือ สวรรค์ ชีวิตนิรันดร และสันติสุขระหว่างพระเจ้า มนุษย์ สิ่งแวดล้อม และระหว่างชายและหญิง (374, 379, 384, 400)

    บ่อยครั้งที่เรารู้สึกว่าชีวิตน่าจะเป็นเช่นนั้น และเราควรจะเป็นเช่นนี้ แต่ในความเป็นจริง เรามิได้ดำเนินชีวิตในสันติกับตัวเอง เราแสดงออกด้วยความหวาดกลัวและควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เราสูญเสียความสอดคล้องกลมกลืนแรกเริ่มที่มนุษย์มีต่อโลก และต่อพระเจ้าในชั้นสูงสุด    ในพระคัมภีร์กล่าวถึงประสบการณ์ความขัดแย้งนี้ในเรื่องราวการตกในบาป เนื่องจากบาปคืบคลานเข้ามา    อาดัมและเอวาจึงต้องออกจากสวรรค์ ที่ซึ่งพวกเขาอยู่กับพระเจ้า และอยู่ด้วยกันด้วยความกลมเกลียว การทำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อย ความทุกข์ทรมาน และการถูกประจญให้กระทำบาป จึงเป็นเครื่องหมายของการสูญเสียสวรรค์นั่นเอง

เราสูญเสียสวนสวรรค์ แต่เราได้รับสรวงสวรรค์ ดังนั้น เราจึงได้รับมากกว่าการสูญเสีย” นักบุญยอห์น ครีโซสโตม (349/350-407 นักปราชญ์ของพระศาสนจักร)
ข้าแต่พระเจ้า การหันเหออกจากพระองค์ คือ การหกล้ม การหันมาหาพระองค์ คือ การลุกขึ้น การดำรงอยู่ในพระองค์ คือ การอยู่ในความมั่นคง” นักบุญออกัสติน (354-430)

kamsonbkk.com

หากย้อนดูในพระคัมภีร์ ชีวิตคนรับใช้พระเจ้า ไม่ได้สุขสบายเลย

 นับตั้งแต่อับราฮัม คนแรกที่พระเจ้าทรงเรียกออกมาจากครอบครัวที่อบอุ่น เมื่ออายุ 70 ปี
ทิ้งบ้านช่อง พ่อแม่ ครอบครัว ไปร่อนเร่ ในทะเลทราย ผจญกับความลำบากต่าง ๆ นานา

โนอาห์ ที่ใคร ๆ หัวเราะเยาะ สร้างเรือยักษ์อยู่ 70 ปี
ใครจะเชื่อว่าน้ำจะท่วมโลก แม้แต่พ่อตัวเองยังไม่เชื่อ ไม่ได้ขึ้นเรือนั้นด้วย

โมเสส ต่อสู้กับฟาโรห์ พาชาวยิวที่เป็นทาสออกจากอิยิปต์ ไปร่อนเร่ในทะเลทรายอยู่ 40 ปี
จนสุดท้าย ตายที่เชิงเขาเนโบ ได้เห็นดินแดนพระสัญญา แต่ไม่เคยได้เหยียบเลย คนที่เชื่อฟังพระเจ้าที่สุด ยังเป็นแบบนี้

นักบุญยอห์น แบบติสต์ อุทิศตน เพื่อพระเจ้า นำทางพระเยซู เรียกร้องให้คนทำดี กลับใจละทิ้งบาป
ทั้งชีวิต สวมแต่เสื้อขนอูฐหยาบ ๆ กินตั๊กแตนกับน้ำผึ้งป่า สุดท้ายถูกตัดศีรษะ ด้วยฝีมือกษัตริย์อธรรม ที่เกิดมาและตายบนกองเงินกองทอง

พระบุตรของพระเจ้า ซึ่งเกิดมาบนรางหญ้าในถ้ำเลี้ยงสัตว์ ตลอดชีวิต ไม่มีที่ซุกหัวนอน ไม่เคยมีบ้านของตัวเอง
ไปที่ไหนก็มีแต่ศัตรูจะทำร้าย สุดท้ายยอมมอบพระองค์เอง แบกกางเขนขึ้นเขากัลวาริโอ ตายบนไม้กางเขน มีผ้าผืนนิดเดียวติดตัว

อัครสาวก 12 คน ไม่มีใครตายดี
ยูดาส แขวนคอตาย ยากอบถูกตัดศีรษะ แอนดรูว์ถูกตรึงกางเขน เปโตรถูกตรึงกางเขน มัทธิว ถูกแทงด้วยหอก

ศิษย์รุ่นต่อมา ก็ไม่ต่างกัน
สเตเฟนถูกหินชว้างตาย เปาโลถูกตัดศีรษะ มะระโกถูกตีจนตาย ลูกาถูกแขวนคอ

ยุคที่โรมันเบียดเบียน คริสตชน ถูกจับไปขังคุก ทรมาน เนโรจับไปสู้กับสิงโต ให้สิงโตกัดตาย
คนที่ดูเพื่อนตายต่แหน้า ต่างอธิษฐานขอพระเจ้าช่วย พระเจ้าไม่ได้ช่วย ถ้าเพียงแต่ทิ้งพระ ทิ้งศาสนา เขาจะรอดทันที แต่พวกเขาทำไม่ได้

คริสตชนทั่วโลก ถูกเบียดเบียน ถูกข่มขืน ถูกทรมาน ถูกสังหารอย่างโหดร้าย ทุกคนสวดภาวนา ขอพระเจ้าช่วย
แต่พระเจ้าอนุญาตให้เขาตาย ให้ชีวิตเขาลำบาก ไม่พบความสุขสบายเลย

ถามทุกคนเหล่านี้ว่า การรับใช้พระเจ้า เป็นแบบนี้หรือ ชีวิตคนรับใช้พระเจ้า เป็นแบบนี้หรือ
- เป็นแบบนี้เอง

ถ้าผู้ใดใคร่จะติดตามเรา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง
รับกางเขนของตนแบกไว้ และตามเรามา

ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่า บิดามารดา  ภรรยา บุตร พี่น้องชายหญิง และแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง
ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้ 

ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเรา
ผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้เช่นเดียวกัน

จงเข้าทางประตูแคบ เพราะประตูและทางที่นำไปสู่หายนะนั้นกว้างขวาง คนที่เข้าทางนี้มีจำนวนมาก
แต่ประตูและทางซึ่งนำไปสู่ชีวิตนั้นคับแคบ คนที่พบทางนี้มีจำนวนน้อย

จงพยายามเข้าทางประตูแคบ 
เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า หลายคนพยายามจะเข้าไป แต่จะเข้าไม่ได้

พระเจ้าไม่ได้บอกว่า เราจะสบาย ไม่พบความยากลำบาก
แต่ทรงสัญญาว่า ในทุกความยากลำบากพรองค์จะอยู่กับเราเสมอ

ค่าตอบแทนของการเป็นคริสตชน ไม่ได้อยู่บนโลกนี้ โลกนี้เป็นโลกของปีศาจ
แต่อยู่ในพระอาณาจักรสวรรค์

โยชูวา บอกแก่ชาวยิวว่า
 ท่านทั้งหลายจงเลือกเสียในวันนี้ว่า ท่านจะปรนนิบัติผู้ใด

ไม่ต้องถามว่า พระเจ้ารักเราไหม?
 แต่จงถามตัวเราว่า เรารักพระเจ้าไหม?
บนความทุกข์ยากต่าง ๆ ที่เราเผชิญมา ศรัทธายังอยู่ไหม?
 เราจะมีพระไปกับเราไหม?

หรือเราจะทิ้งพระไว้ที่ไหนสักที่ และเดินต่อไปโดยไม่มีพระองค์ ?

May God Bless your day.
KC Love God







ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...