วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว


ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว
มาระโก 5:21-43    เราอาจพูดได้ว่าการที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาหญิงคนหนึ่งให้หายจากการตกเลือด เป็นข้อยกเว้นในการอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ เพราะพระเยซูทรงทำอัศจรรย์แต่ละครั้งด้วยความตั้งใจ ทรงทำด้วยพระประสงค์ ความตั้งพระทัย พระองค์ไม่ทรงตั้งเจตนาไว้ก่อน เมื่อทรงรักษาโรคของหญิงผู้นั้น เหตุการณ์เกิดขึ้นเพราะหญิงผู้นั้นคิดว่า “ถ้าฉันเพียงได้สัมผัสเพียงฉลองพระองค์ก็จะหายจากโรค” เขาไปหาพระองค์ด้วยความขลาดกลัว ไม่ได้ร้องตะโกนให้ทรงช่วยเหมือนชายตาบอดที่เมืองเยริโคคนนั้น (มธ.20:29-30)
- หญิงคนหนึ่งตกเลือดมาสิบสองปีแล้ว สภาพของหญิงผู้นี้คงจะทนทุกข์ทรมานเกือบจะไม่ไหวแล้วเพราะป่วยมาสิบสองปี ธรรมบัญญัติของชาวยิวกำหนดว่า การตกเลือดไม่ว่าจะเป็นประจำเดือนหรือเพราะความเจ็บป่วย ทำให้ผู้นั้นเป็นมลทินเขาจะร่วมพิธีกรรมไม่ได้ จนกระทั่งได้ชำระตนให้พ้นมลทิน โดยปฏิบัติกิจกรรมที่สลับซับซ้อน ยิ่งกว่านั้น หญิงที่เป็นมลทินจะทำให้ทุกอย่างที่นางสัมผัสไม่ว่าบุคคลหรือสิ่งของเป็นมลทินอีกด้วย
- ได้รับความทรมานมากจากการรักษาของแพทย์หลายคน เสียทรัพย์จนหมดสิ้น โรคก็มิได้บรรเทา ตรงกันข้ามกลับทรุดหนัก เพราะได้รับการทรมานมาก นางจึงหาทุกวิถีทางเพื่อรักษาตนให้หายป่วย นางได้ปรึกษากับแพทย์หลายคน แต่วิธีรักษาที่เขาใช้ไม่เกิดผล ตรงกันข้ามกลับทำให้นางต้องรับทรมานมากยิ่งขึ้น สูญเสียทรัพย์สมบัติจนหมดสิ้น อีกทั้งโรคก็ทรุดหนักกว่าเดิม วิธีเขียนของนักบุญมาระโกทำให้ผู้อ่านตั้งคำถามที่ว่า แล้วพระเยซูเจ้าจะทรงรักษาหญิงคนนี้ได้หรือไม่ นางเชื่อว่าได้ เพราะ

- นางได้ยินเขาพูดกันถึงเรื่องพระเยซูเจ้า ความเชื่อมาจากการเห็นและได้ฟังสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำและตรัสไว้ ถ้าคนหนึ่งไม่เคยได้ยินคำประกาศถึงพระเยซูเจ้าก็จะพบพระองค์ไม่ได้ นางเคยได้ยินเขาพูดกันถึงเรื่องพระเยซูเจ้า และต้องการพบกับพระองค์ แต่ไม่กล้าทำอย่างเปิดเผยเพราะรู้ว่าตนเป็นมลทิน

- จึงเดินปะปนกับประชาชนเข้ามาเบื้องหลัง และสัมผัสฉลองพระองค์ นางจึงเดินตามหลังพระเยซูเจ้าไม่กล้าให้พระองค์ทรงเห็นใบหน้าของเขา เพราะนางรู้ว่าธรรมบัญญัติห้ามตนให้สัมผัสพระองค์

- นางคิดว่า ”ถ้าฉันเพียงได้สัมผัสฉลองพระองค์เท่านั้น ฉันก็จะหายจากโรค” นางคิดเช่นเดียวกับชาวบ้านทั่วไปที่เชื่อว่า ผู้รักษาโรคมีอำนาจลึกลับหรือพลังจิตที่ทำให้ผู้ป่วยทุกคนที่สัมผัสเขา ไม่ว่าโดยตรงหรือทางอ้อมจะได้รับการรักษาให้หาย
- ทันใดนั้น เลือดก็หยุด นางรู้สึกว่าร่างกายหายจากโรคแล้ว แม้ดูเหมือนว่านางพยายามที่จะ "ขโมย" อัศจรรย์จากพระเยซูเจ้า อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นการแสดงความเชื่อแบบหนึ่งของนาง เพราะมีความมั่นใจว่าพระเยซูเจ้าทรงมีอำนาจในการรักษาโรคที่ไม่มีผู้ใดรักษาให้หายได้ นักบุญมาระโกต้องการเน้นว่านางรู้ตัวที่ได้หายจากโรคทันที


- ขณะเดียวกัน พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกว่ามีอิทธิฤทธิ์ออกจากพระองค์ไป นักบุญมาระโกเล่าเรื่องแบบชาวบ้านเพื่อชี้แจงอำนาจเหนือธรรมชาติในการกระทำอัศจรรย์ของพระเยซูเจ้า ฤทธิ์นี้ดูเหมือนจะเป็นพลังที่ออกจากพระวรกายของพระเยซูเจ้ามารักษาโรคโดยการสัมผัส (เทียบ มก 1:41; 3:10; 6:56; 8:22) พระเยซูเจ้าทรงมีจิตสำนึกว่าได้ทรงกระทำอัศจรรย์ อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงใช้ภาษาที่หญิงคนนั้นได้ใช้เพื่ออธิบายแก่นางว่า ไม่ใช่การสัมผัสทางร่างกายเป็นเหตุทำให้นางได้รับการรักษาให้หาย แต่เพราะความเชื่อของนาง ซึ่งเป็นพลังหนึ่งเดียวที่ทำให้มนุษย์ได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า

- จึงทรงหันมายังกลุ่มชน ตรัสว่า “ใครสัมผัสเสื้อของเรา พระวาจานี้ดูเหมือนเป็นคำตำหนิ โดยแท้จริงแล้ว พระเยซูเจ้าตรัสเช่นนี้เพื่อบังคับหญิงตกเลือดให้แสดงตน พระองค์จะได้ทรงแก้ไขความคิดและทรงบันดาลให้ความเชื่อของนางเข้มแข็งยิ่งขึ้น

- บรรดาศิษย์ทูลว่า “พระองค์ทรงเห็นแล้วว่าผู้คนเบียดเสียดกันเช่นนี้ แล้วยังทรงถามอีกหรือว่า “ใครสัมผัสเรา” ประชาชนห้อมล้อม "เบียดเสียด" พระองค์ แต่มีเพียงผู้เดียวได้ "สัมผัส" ฉลองของพระองค์  พระเยซูเจ้าทรงต้องการแยกแยะท่าทีของผู้ที่สัมผัสพระองค์เพียงทางร่างกายแต่ไม่มีความเชื่อกับหญิงคนนั้นที่สัมผัสพระองค์และมีความเชื่อ

- พระองค์ทรงหันไปรอบๆ เพื่อทอดพระเนตรผู้ที่ทำเช่นนั้น พระเยซูเจ้าทรงพระประสงค์ให้นางเป็นอิสระจากความกลัวและความคิดที่ว่า นางได้ทำสิ่งที่ธรรมบัญญัติของชาวยิวห้ามไว้ จึงทรงเรียกนางให้ปรากฏตัวเพื่อให้กำลังใจแก่นาง

- หญิงคนนั้นรู้สึกกลัวจนตัวสั่น เพราะรู้ดีว่าได้เกิดอะไรขึ้นแก่ตน จึงกราบลงเฉพาะพระพักตร์และทูลให้ทรงทราบความจริงทุกประการ บางทีความกลัวของหญิงคนนั้นไม่เพียงมาจากการกระทำผิดต่อธรรมบัญญัติเท่านั้น  แต่มาจากการที่ได้สัมผัสพระองค์อย่างลับ ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อนางรู้ดีว่าได้เกิดอะไรขึ้นแก่ตน นางมีความรู้บุญคุณต่อพระเยซูเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือความกลัว และยืนยันความจริงทุกประการที่เกิดขึ้นกับตน

- พระองค์จึงตรัสว่า “ลูกเอ๋ย” การเรียกเช่นนี้แสดงทั้งความสุภาพอ่อนโยนและทัศนคติของพระเยซูเจ้า หญิงคนนั้นไม่เป็นเพียงผู้ป่วยที่หายจากโรคเท่านั้น  แต่ยังเป็นสมาชิกของครอบครัวใหม่ คือชุมชนของผู้ที่มีความเชื่อและได้รับความรอดพ้นจากพระเยซูเจ้า

- ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว เป็นสำนวนที่พระเยซูเจ้าทรงใช้กับบารทิเมอัส คนขอทานตาบอด (เทียบ มก 10:52) 
-"จงไปเป็นสุข” เป็นสูตรการอำลาที่เราพบบ่อย ๆ ในพระคัมภีร์(เทียบ วนฉ18:6;1 ซมอ1:17; 29:7; 2 ซมอ 15:9;กจ 16:36;ยก 2:16)

-หายจากโรคเถิด" พระองค์ทรงรับรองว่าหญิงตกเลือดหายจากโรคแล้ว จึงไม่ต้องเป็นห่วงพฤติกรรมผิดปกติของนาง นางต้องมีความกล้าหาญที่มาจากความเชื่อตามตำนานโบราณเล่าว่าหญิงคนนี้ได้ชื่อเบอร์นิสหรือเวโรนิกาซึ่งในภายหลัง นางจะเช็ดพระพักตร์ของพระเยซูเจ้าระหว่างการเดินทางแบกไม้กางเขนไปสู่ภูเขากัลวารีโอต่อมานางได้สร้างรูปปั้นในเมืองของตนคือเมืองซีซารียาแห่งฟีลิป เพื่อระลึกถึงอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำกับนาง


เราสามารถนำประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 
1.    หญิงตกเลือดได้สัมผัสพระเยซูเจ้า การสัมผัสหมายถึงการพยายามรู้จักและเข้าใกล้ผู้ที่เราสัมผัส การสัมผัสพระเยซูเจ้าเรียกร้องการฟังและความไว้วางใจเหมือนหญิงคนนั้นที่สัมผัสพระองค์จากด้านหลัง แล้วต่อมาจึงเป็นการสนทนากับพระองค์แบบหน้าต่อหน้า การสัมผัสเป็นการกระทำของทั้งสองฝ่าย พระเยซูเจ้าทรงสัมผัสหญิงด้วยเพราะทรงให้การรักษาเขา

2.    หญิงคนนั้นเมื่อหายจากโรคแล้ว เขาก็กล้าสารภาพความจริงกับพระเยซูเจ้า สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้จักสารภาพความอ่อนแอเปิดเผยตนเองดังที่เป็น บางครั้งการกระทำเช่นนี้ทำได้ยาก เพราะรู้สึกว่าต้องถ่อมตัว มีความอับอายเหมือนหญิงคนนั้น แต่เมื่อเราสารภาพความจริงกับพระเยซูเจ้าแล้วก็จะไม่มีกลัวอีกต่อไป เราจะรู้สึกสบายใจ โดยแท้จริงแล้ว ไม่ยากที่เราจะยอมรับความอ่อนแอของตนและสารภาพบาป ถ้าเรารู้ว่าพระเยซูเจ้าทรงรู้จักและทรงรักเราดังที่เราเป็น 

3.    พระบิดาทรงรักเรา เพราะเมื่อเรารับศีลล้างบาปเรากลายเป็นบุตรบุญธรรมของพระองค์ พระบิดาทรงเอาพระทัยใส่และทอดพระเนตรเราด้วยความรักมากกว่าไยรัสรักและมองบุตรสาวของตน พระองค์ทรงรักเรามากกว่ากษัตริย์ดาวิดทรงรักอับซาโลมพระโอรสผู้เป็นกบฏต่อพระราชบิดา แต่พระบิดาของเราทรงมีความเพียรทน ทรงเอาพระทัยใส่และทรงดูแลเราอยู่เสมอ

4.    พระเยซูเจ้าทรงนำศิษย์สามคนไปด้วยกัน เมื่อเราเผชิญสถานการณ์ที่มีความทุกข์ ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ของเราหรือของผู้อื่น และดูเหมือนว่าไม่มีทางออก ไม่มีความหวัง เราปฏิบัติตนอย่างไร เราปิดหูปิดตาเพราะเห็นว่ามนุษย์มีขีดจำกัด ไม่สามารถทำได้ บางครั้งเราอาจคาดว่าทำได้ แต่แล้วก็ทำไม่สำเร็จหรือผิดหวังที่จะทำได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ เราแสดงความเชื่อในพระเจ้าอย่างไร
เราน่าจะถามตนเองว่า มีความสัมพันธ์ใดระหว่างพระเยซูเจ้ากับความตาย สำหรับมนุษย์ทั่วไป เมื่อคนหนึ่งตาย แม้นายแพทย์ที่เก่งที่สุดก็ทำอะไรกับเขาไม่ได้ เราทุกคนรู้สึกไม่มีอำนาจเหนือผู้ตายอีกแล้ว วิธีการช่วยเหลือเขาทุกอย่างก็หมดสิ้น แม้ความรักยิ่งใหญ่ก็ไม่ทำให้ผู้ตายกลับคืนชีพได้ สิ่งเดียวที่ยังทำได้คือการร้องไห้และฝังศพเขา แต่สำหรับพระเยซูเจ้าไม่เป็นเช่นนี้เลย พระองค์ทรงสอนเราให้มีความเชื่อ มีความไว้วางใจในพระอานุภาพของพระองค์เหนือความตาย

ขอบคุณข้อมูลจาก thaicatholicbible.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ อ่านมัทธิว 26:3 ถึง 27:66 ยูดาสตอบรับการเรียกของพระเยซูให้ติดตามเช่นเดียวกับสาวกคนอื่นๆ เขาออ...