วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ความหมายของ เกลือดองแผ่นดิน และแสงสว่างส่องโลก



 มัทธิว 5:13-16
เกลือดองแผ่นดิน และแสงสว่างส่องโลก

(13)ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาอะไรมาทำให้เค็มอีกเล่า เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะถูกทิ้งให้คนเหยียบย่ำ (14) ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง (15) ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอามาวางไว้ใต้ถังแต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน (16) ในทำนองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์

 “เกลือ” และ “แสงสว่าง” เป็นสิ่งที่มีความสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์ เราใช้เกลือในการถนอมอาหารไม่ให้เน่าเสีย ดังสำนวนที่ว่า “ฆ่าควายอย่าเสียดายเกลือ” เกลือจึงเป็นสิ่งที่มีค่ามาก ถึงขนาดที่บางเผ่าในแอฟริกากำหนดให้ฝ่ายชายต้องจ่ายค่าสินสอดเป็นเกลือ มิฉะนั้นจะไม่ยกลูกสาวให้ ขณะที่กองทัพโรมันใช้เกลือเป็นค่าจ้างจ่ายให้ทหารในแต่ละเดือน อันเป็นที่มาของคำว่า “Salary” ในภาษาอังกฤษที่แปลว่า เงินเดือน

ส่วน “แสงสว่าง” ทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ และเป็นสิ่งที่ทำให้สิ่งมีชีวิตอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ และมนุษย์ โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตจำพวกพืชที่ใช้แสงแดดในการสังเคราะห์แสง  เพื่อการเจริญเติบโต ชาวโรมันมีสำนวนว่า “ไม่มีสิ่งไหนมีประโยชน์มากเท่ากับดวงอาทิตย์และเกลือ” (Nil utilius sole et sale) เพราะหากไม่มีดวงอาทิตย์ เราจะไม่เห็นแสงสี ความสวยงาม และการเปลี่ยนแปลงในชีวิต หากไม่มีเกลืออาหารจะเน่าเสียและขาดรสชาติไป

พระเยซูเจ้าทรงใช้ภาพพจน์ของ “เกลือ” และ “แสงสว่าง” ที่ชาวยิวคุ้นเคยและเข้าใจดีเพื่อสอนศิษย์ของพระองค์ “เกลือ” หมายถึงการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าและเป็นแบบอย่างที่ควรแก่การยกย่อง เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน” จึงเป็นการเน้นให้เห็นคุณค่าและประโยชน์ ที่ศิษย์ของพระองค์พึงตระหนักอยู่เสมอ ดุจเกลือซึ่งมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ อาทิ ทำให้บริสุทธิ์ ถนอมอาหาร และเพิ่มรสชาติ

ส่วน “แสงสว่าง” พระเยซูเจ้าได้อธิบายให้เห็นภาพ “เมืองที่ตั้งบนภูเขา” ไม่สามารถปิดบังได้ และตรัสถึง “ตะเกียงที่ใช้จุดภายในบ้าน” เมื่อจุดแล้วย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียงเพื่อส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน มิใช่เอาถังครอบไว้ เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ท่านเป็นแสงสว่างส่องโลก” เราต้องเป็น แหล่งพลังสำหรับคนอื่นและฉายแสงให้คนอื่นได้เห็นกิจการดีในตัวเรา ดุจแสงอาทิตย์ที่มีหน้าที่ส่องสว่าง นำทาง และทำให้เจริญเติบโต

พระเยซูเจ้าตรัสอย่างชัดเจนว่า “ท่านเป็นเกลือและแสงสว่าง” เราต้องทำให้ความเชื่อของเราเกิดผลในภาคปฏิบัติคือ “ความรัก” ที่กลายเป็นเกลือดองแผ่นดินและแสงสว่างส่องโลก เราต้องดำเนินชีวิตเป็นพยานถึงองค์พระคริสตเจ้า ฉายแสงเพื่อนำความสว่างไปสู่ชีวิตของผู้อื่น ช่วยให้พวกเขามีชีวิตชีวา มีคุณค่า และความชื่นชมยินดี “แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพื่อให้คนทั้งหลายได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” (มธ 5:16)

ดังนั้น ชีวิตของเรา สิ่งที่เราทำ และวิธีการที่เราใช้ ต้องเป็นเกลือและแสงสว่างที่มีความหมายสำหรับผู้อื่น กิจการที่เรากระทำต้องเป็นเครื่องหมายที่มองเห็นได้แห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าในโลก คริสตชนต้องโดดเด่นต่อหน้าผู้อื่นผ่านทางการกระทำและชีวิตของเรา เป็นต้น ในความรักต่อกัน การให้อภัยกัน ความเห็นอกเห็นใจกัน ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และแบ่งปันสิ่งที่เรามีแก่ผู้อื่น เช่นนี้เอง เราจะได้ชื่อว่าเป็น “เกลือดองแผ่นดินและแสงสว่างส่องโลก”
(คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์)

“เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”

1.    กิจการดี  ในภาษากรีกมีคำว่า “ดี” อยู่ 2 คำคือ agathos (อากาธอส) ซึ่งบ่งบอกว่าสิ่งหนึ่งมีคุณภาพดี  อีกคำหนึ่งคือ kalos (คาลอส) ซึ่งนอกจากจะ “ดี” แล้ว ยังมี “เสน่ห์ สวยงาม และดึงดูด” อีกด้วย  และคำที่ใช้ ณ ที่นี้คือ kalos
เพราะฉะนั้นกิจการที่คริสตชนทำนอกจากจะต้อง “ดี” แล้วยังต้อง “ดึงดูด” อีกด้วย  แต่น่าเศร้าที่ความดีของหลายคนมาพร้อมกับความแข็งกระด้าง ความเย็นชา หรือความเคร่งขรึมแบบหน้าตาบอกบุญไม่รับ
กิจการดีจึงมีทั้งที่ดึงดูด หรือผลักดันผู้อื่นให้ถอยห่างจากเรา  สำหรับคริสตชนแล้วกิจการที่ดีจริงต้องดึงดูดเท่านั้น

2.    สรรเสริญพระเจ้า  กิจการดีของเราต้องดึงดูดผู้อื่นไม่ใช่ให้เข้ามาหาตัวเราเอง แต่มาหาพระเจ้า
ในการสัมมนาระดับชาติครั้งหนึ่ง ผู้เข้าร่วมประชุมต่างร้อนรนและสวดภาวนาตลอดคืน  รุ่งเช้าประธานถามสมาชิกว่าได้ทำอะไรกันบ้างเมื่อคืนที่ผ่านมา พวกเขาตอบว่า “ดูหน้าพวกเราสิ มันส่องแสงแล้วนะ” แต่ประธานกลับตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “โมเสสไม่รู้นะว่าหน้าตัวเองส่องแสง”
ตราบใดที่เราทำทุกอย่างโดยคิดถึงความชื่นชม ชื่อเสียง การยกย่องสรรเสริญ หรือคำขอบคุณที่ตัวเราจะได้รับ ตราบนั้น เรายังไม่ได้เริ่มต้นเดินตามหนทางเยี่ยงคริสตชนด้วยซ้ำ !
kamsonbkk.com

โป๊ปฟรังซิส - คริสตชนต้องปฏิเสธการโกง การเห็นแก่ตัว การอิจฉา และการนินทา 

สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงสอน การที่คริสตชนจะเป็นแสงสว่างส่องโลกและเป็นเกลือดองแผ่นดิน เราต้องเป็นอิสระจากการโกง 

การหลีกหนีจากการโกง ต้องทำต่อเนื่องทุกวัน เพราะการโกงไม่มีวันจบสิ้น 

นอกจากนี้ เรายังต้องปฏิเสธเมล็ดพันธุ์สกปรกที่เกิดจากความเห็นแก่ตัว ความอิจฉา และการนินทาเพราะสิ่งนี้ทำลายสังคมของเรา 

พระสันตะปาปาตรัสแบ่งปันว่า

- คริสตชนได้รับกระแสเรียกให้มอบรสชาติที่ดีให้กับชีวิตของตน และในเวลาเดียวกัน เรายังต้องหลีกหนีจากเมล็ดพันธุ์สกปรกอันเนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว ความอิจฉา และการนินทา เมล็ดพันธุ์สกปรกเหล่านี้ทำลายโครงสร้างสังคมของเรา ทั้งที่สังคมนี้ควรจะเป็นสถานที่ซึ่งต้อนรับทุกคน ร่วมแบ่งปันความเป็นหนึ่งเดียวกัน และทำให้เกิดการคืนดีกัน

- การจะเติมเต็มพันธกิจนี้ อันดับแรกเลย เราต้องเป็นอิสระจากซากเน่าเปื่อยอันเนื่องจากการโกงตามจิตตารมณ์ทางโลก การชำระตัวเองให้บริสุทธิ์จากการโกงไม่มีวันสิ้นสุด มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำอย่างต่อเนื่อง ทำทุกๆ วัน


- พระเยซูทรงสอนว่าไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วนำไปไว้ใต้ถัง ดังนั้น เรามีหน้าที่และความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ต่อพระพรที่เราได้รับ กล่าวคือ เราต้องอย่าดูแลแสงแห่งความเชื่อซึ่งอยู่ในตัวเราว่าเป็นเหมือนสมบัติของเราคนเดียว เพราะนี่คือผลงานของพระคริสตเจ้าและพระจิต ตรงกันข้าม เราถูกเรียกมาเพื่อทำให้แสงนี้ส่องสว่างในโลก และมอบแสงนี้ให้ทุกคนผ่านทางกิจการดีงามที่เรากระทำ

mcpswis.mcp.ac.th

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...