การประกาศข่าวดีเป็นหน้าที่ของเรา แต่การเกิดผลและปาฏิหารย์เป็นงานของพระเจ้า ฉะนั้น จงสัตย์ซื่อในหน้าที่ของตน แล้วจงวางใจ ยิ่งเรารับใช้ ยิ่งทำให้ความเชื่อของพวกเราเติบโตยิ่งขึ้น เราจึงรู้ว่า "โดยความเชื่อ ทุกสิ่งเป็นไปได้จริงๆ" ในชีวิตของตัวข้าพเจ้าเอง มีเรื่องราวอัศจรรย์เกิดขึ้นมากมาย การได้มีเวลาอ่าน ฟังและทำความเข้าใจ พระธรรมคำสอนในพระคัมภีร์นับว่าเป็นพรประเสริฐ นี่จึงเป็นที่มาของความตั้งใจในการทำเพจขึ้นมาเพื่อแบ่งปันเรื่องราวและประกาศข่าวดีของพระองค์ ขอขอบคุณทุกๆที่มาของบทความหนุนใจ
วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
ทำไมพระเจ้าประทานความทุกข์ยากลำบากมาให้มนุษย์
ทำไมพระเจ้าประทานความทุกข์ยากลำบากมาให้มนุษย์
ทำไมพระเจ้าประทานความทุกข์ยากลำบากมาให้มนุษย์ต้องแบกต้องทน ถ้าเราพิจารณาให้ดี เราจะเห็นว่า “ความทุกข์ยากลำบากเป็นมาตรฐานในการประเมินคุณค่าของมนุษย์” คนหนึ่งจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้นั้น คนๆนั้นจะต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน และความทุกข์ยากลำบากเป็นการพิสูจน์รักแท้ ถ้าเรารักใครเราคงยอมลำบากเพื่อเขาได้ด้วยใจยินดี แต่นี้ก็ยังเป็นแค่มาตรฐานมนุษย์ แต่มาตรฐานของพระเจ้าแล้ว ความยากลำบากในชีวิตทำให้เรามีส่วนในพระทรมานของพระเยซูเจ้า ความยากลำบากเป็นเครื่องมือของของพระเจ้าที่ทรงเรียกเราให้เราเข้ามาใกล้ชิดกับพระองค์ (เปรียบกับคำที่ว่าถ้าไม่เห็นโลงศพก็ยังไม่หลั่งน้ำตา)
ความทุกข์ยากของมนุษย์เป็นเสมือนกางเขนที่เราทุกคนจะต้องแบก คำสอนของพระเยซูให้กำลังใจมากเพราะเราไม่ได้แบกไม้กางเขนเพียงแต่ลำพัง แต่เราเดินไปพร้อมกับพระองค์ ขอให้เรายอมรับความทุกข์ยากลำบากที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ความโดดเดี่ยว ความกลัดกลุ้มใจ ฯลฯ ขอให้เรามองไม้กางเขนไว้ อย่างลืมที่พระองค์ทรงสอนเรา “จงแบกกางเขนของตนแล้วติดตามเรา” ซึ่งเราส่วนใหญ่มักจะโดนประจญเช่นนี้ “ขอที่เถิดพระเจ้า อย่าให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเลย”
เราจะต้องคิดพิจารณาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราด้วยมาตรฐานของพระเจ้า เราได้เรียนรู้จากพระวาจาของพระเจ้าแล้วว่าพระเจ้าทรงรักเราอย่างไร พระองค์ไม่อยากให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา พระองค์ทรงยอมลำบากแทนเราได้ ความทุกข์ยากลำบากจึงไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเพราะนี้เป็นแผนการของพระเจ้าที่จะทรงนำเราไปพบกับความสุข “วิถีทางของพระเจ้าไม่เหมือนวิถีทางของมนุษย์ แต่วิถีทางของพระเจ้านั้นดีที่สุดสำหรับเรามนุษย์."
ขอพระเจ้าอวยพร
วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
คนชอบธรรมเป็นอย่างไร
คนที่ได้ชื่อว่าเป็น “คนชอบธรรม” ก็คือ บุคคลที่กระทำถูกต้องในสายตาของพระเจ้า ประพฤติตนดีงามโดยไม่ยึดติดกับบาปหรือความเลวร้ายต่างๆ มีชีวิตที่อยู่ในศีลและพระพรของพระเจ้า ผูกพันอยู่กับพระเจ้า เป็นผู้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับอาดัมในระยะแรกที่พระเจ้าทรงสร้างเขามา เขาเป็นคนที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง นี้แหละเป็นเงื่อนไขของบุคคลที่จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้า
บางคนอาจจะสงสัยว่า เรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือ หรือเป็นไปไม่ได้ ใครจะทำได้ ขอให้เราได้ทบทวนคำสอนจากพระคัมภีร์ที่สอนเราเกี่ยวกับเรื่องของความชอบธรรม พระคัมภีร์ได้สอนเราว่าเราสามารถเป็นผู้ชอบธรรมในพระคริสตเจ้าได้ในสองช่วงเวลา คือ การได้รับความชอบธรรมระหว่างการรับศีลล้างบาป กับการได้รับความชอบธรรมหลังจากการรับศีลล้างบาป ซึ่งทั้งสองต่างมีความจำเป็นที่จะทำให้เราได้เป็นทายาทแห่งเมืองสวรรค์ ได้เป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า และได้รับพระสิริรุ่งโรจน์
บางคนอาจจะสงสัยว่า เรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือ หรือเป็นไปไม่ได้ ใครจะทำได้ ขอให้เราได้ทบทวนคำสอนจากพระคัมภีร์ที่สอนเราเกี่ยวกับเรื่องของความชอบธรรม พระคัมภีร์ได้สอนเราว่าเราสามารถเป็นผู้ชอบธรรมในพระคริสตเจ้าได้ในสองช่วงเวลา คือ การได้รับความชอบธรรมระหว่างการรับศีลล้างบาป กับการได้รับความชอบธรรมหลังจากการรับศีลล้างบาป ซึ่งทั้งสองต่างมีความจำเป็นที่จะทำให้เราได้เป็นทายาทแห่งเมืองสวรรค์ ได้เป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า และได้รับพระสิริรุ่งโรจน์
พี่น้องที่เคารพ เราอาจจะพูดว่า ผม/ฉันรู้พระธรรมคำสอนดีแล้ว ฉันเรียนมาหมดแล้ว ฉันนี้แหละเป็นคนชอบธรรมและสมควรได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าแล้ว แต่แท้จริงแล้ว แค่เป็นรู้หรือฟังมาเท่านั้นยังไม่พอ เพราะ “เพราะผู้ที่พระเจ้าจะทรงบันดาลความชอบธรรมนั้น มิใช่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังธรรมบัญญัติเท่านั้น แต่เป็นผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติด้วย” (รม.2:13)
เราอาจจะได้ยินบางคนบอกว่า ผม/ฉันมีความเชื่อในพระเจ้า ฉันสวดภาวนาทุกวัน ฉันมีรูปพระติดตัวตลอดเวลา ฉันนี้แหละเป็นผู้ชอบธรรมและสมควรจะไดรับสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้า ฉันสามารถเอาตัวรอดไปสวรรค์ได้แล้ว แต่แท้จริงแล้ว ความเชื่ออย่างเดียวก็ไม่ได้นำความชอบธรรมมาสู่ตัวของเราเพราะ “มนุษย์จะเป็นผู้ชอบธรรมได้ก็ด้วยการกระทำมิใช่ด้วยความเชื่อแต่อย่างเดียว”(ยก.2:24)
บางคนบอกว่า ผม/ฉัน รับศีลล้างบาปแล้ว ฉันเป็นผู้คนชอบธรรมแล้ว แน่นอน โดยผ่านทางศีลล้างบาป พระเยซูเจ้าได้ทรงยอมตายบนไม้กางเขน หลั่งโลหิต เป็นเครื่องบูชาชดเชยบาป หรือจ่ายค่าปรับจากความผิดบาปของเรามนุษย์แล้ว ทำให้เราเป็นอิสระไม่ถูกลงโทษจากบาปในอดีตของเรา(รม.3:25) นอกจากนั้นพระเยซูเจ้าทรงตรัสอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเขาไม่เกิดจากน้ำและพระจิต”(ยน.3:5) การได้รับพิธีล้างบาปนั้นทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้วก็จริง แต่หลังจากนั้น เราได้ประพฤติตนอย่างไร เราได้ใช้อิสรภาพของเราอย่างไร ความชอบธรรมที่เราได้รับมานั้น เราได้รักษาไว้อย่างดี วิญญาณของเรายังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องหรือไม่ ดังนั้น ศีลล้างบาปจึงเป็นก้าวแรกของการเป็นผู้ชอบธรรม ชีวิตแห่งการเป็นบุตรของเจ้าได้เริ่มต้นจากจุดนี้เอง
ดังนั้นใครล่ะจะเป็น “ผู้ชอบธรรม และได้รับพระสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้า” อย่างแท้จริง ผมจะพยายามเรียบเรียงการดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระศาสนจักรเพื่อเราจะได้ตรวจสอบตนเอง และมั่นใจว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมและเหมาะสมจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า หรือพูดง่ายๆว่าได้ไปสวรรค์ ดังนี้ บุคคลที่จะได้รับความชอบธรรมนั้นจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับพระหรรษทาน(ความช่วยเหลือ)จากองค์พระผู้เป็นเจ้า โดยที่พระเจ้าทรงเรียกเราทุกคนให้เข้าหาหรือแสวงหาพระองค์ พระเจ้าประทานอิสระให้แก่เรา หลายคนรู้แล้วเลือก แต่อีกหลายคนไม่เลือก เมื่อเราเลือกพระองค์และฝากชีวิตไว้กับพระองค์ ยอมเข้ามาร่วมชีวิตกับพระเจ้าโดยผ่านทางศีลล้างบาป เข้าเป็นส่วนหนึ่งแห่งพระวรกายศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ซึ่งทรงทำให้เราเป็นสิ่งสร้างใหม่ เป็นคนใหม่ โดยพระหรรษทานของพระเจ้า ผ่านทางฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า อาศัยความเชื่อศรัทธาในองค์พระเยซูเจ้าและศีลล้างบาป เราได้รับหัวใจใหม่และจิตใจใหม่ซึ่งทำให้เราหลุดพ้นจากบ่วงแร้วของความบาปต่างๆที่เราได้หลงผิดทั้งจากการกระทำของตัวเราเองและผลของบาปที่ติดตัวมาอันเนื่องมาจากบาปกำเนิด เราได้เกิดใหม่ด้วยพระจิตเจ้า(ยน.3:5) เราได้รับพระจิตเจ้า พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้นำทางเราให้สามารถดำเนินชีวิตในฐานะคริสตชนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม การเป็นสิ่งสร้างใหม่หรือคนใหม่นี้แหละที่เป็นหลักประกันถึง “ความหวังในชีวิตนิรันดรของเรา”
แต่นี้ยังไม่จุดหมายปลายทางของการเป็นคริสตชน นี้เป็นเพียงการเริ่มต้นบนถนนแห่งความเชื่อของเราในฐานะคริสตชนเท่านั้น เราจะต้องดำเนินชีวิตใหม่ในฐานะที่เป็นคนใหม่ของพระคริสตเจ้า นั้นก็คือ เราต้องดำเนินชีวิตตามความเชื่อที่เรามีนั้น เราต้องเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า นั้นคือ เราต้อง “รักพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด” เหนือสิ่งของฝ่ายโลก และเราต้อง “รักเพื่อนมนุษย์เหมือนหนึ่งรักตนเอง” และเราต้องเข้ารับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆของพระศาสนจักรคาทอลิกอย่างสม่ำเสมอ หลังจากการรับศีลล้างบาปแล้ว เราอาจจะหลงผิดไปได้อีก เราจึงต้องเข้ารับศีลอภัยบาป เพื่อให้เรากลับมาเป็นผู้ชอบธรรมอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ต้องสูญเสียความชอบธรรมไปเพราะบาปของเรา แต่เท่านี้ยังไม่พอ เราต้องรับศีลมหาสนิท ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงบอกกับเราว่านี้คือพระกายของพระองค์เอง พระองค์ทรงเป็นอาหารทรงชีวิต ถ้าเราไม่รับประทานอาหารทรงชีวิตนี้แล้ว จิตวิญญาณของเราจะแห้งแล้ง และจะต้องตายอย่างแน่นอน การรับศีลมหาสนิทอย่างสม่ำเสมอนี้แหละจะเป็นหลักประกันเพื่อการรับพระสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้า พระอาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา เมื่อใครพบเข้าก็จะมีความยินดี จะขายทุกอย่างเพื่อรวบรวมเงินมาซื้อที่ดินบริเวณนั้น ขุมทรัพย์ที่ว่านั้นคือชีวิตแห่งความสุขนิรันดร ซึ่งจะเป็นสิริรุ่งโรจน์ของชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ แต่การจะได้มาซึ่งความสุขแท้จริงนี้จะต้องขายทุกอย่าง คือ ไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆฝ่ายโลก สละความสนุกฝ่ายเนื้อหนัง ความเห็นแก่ตัว ความโลภ ฯลฯ เราต้องขายสิ่งเหล่านี้ออกไป แล้วรวบรวมสรรพกำลังทั้งหมดของเราเพื่อเอาสวรรค์มาครอบครองให้ได้ พระอาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับอวนที่หย่อนลงในทะเล ติดปลามากมาย แต่ปลาที่ได้มานั้นเป็นทั้งปลาดีและปลาที่ไม่เป็นประโยชน์ เขาเก็บปลาดีๆไว้ ส่วนปลาที่ไม่ดีเขาก็จะโยนทิ้งไป คำอุปมานี้หมายถึงอะไร ปลาดีกับปลาไม่ได้ดีหมายถึงใคร แน่นอนตามความเชื่อของเรา เมื่อถึงวันแห่การพิพากษา วันที่พระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งนั้น พระองค์จะเสด็จมาเพื่อพิพากษาเราแต่ละคน และจะทรงคัดเลือกเรา ใครจะเป็นปลาดีหรือปลาเน่าก็ขึ้นอยู่กับความประพฤติของเรา นี้เป็นเรื่องที่เราแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบตนเอง พี่น้องที่เคารพ ข่าวดีของพระเจ้าในเรื่องนี้ต้องการเตือนใจของเราแต่ละคน ให้คิดถึงอนาคตที่แท้จริงของตัวเรา เราทุกคนจะต้องเป็นผู้ชอบธรรม เพื่อเราจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า เราจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพระเจ้า ที่เราเรียกว่าพระหรรษทาน พระศาสนจักรได้ให้อุปกรณ์ต่างๆมาช่วยเหลือเราเพื่อให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย ได้แก่ ศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ การสวดภาวนา การอ่านพระคัมภีร์ การทำกิจเมตตา การดำเนินชีวิตตามที่พระศาสนจักรได้กำหนดไว้ นี้แหละเป็นข่าวดีที่เราจะต้องรับรู้และปฏิบัติตาม และเราจะต้องนำไปประกาศข่าวดีให้กับผู้ที่ยังไม่รู้ที่ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก สำหรับเราคริสตชน ไม่เพียงแต่จะต้องดำรงตนเป็นคนดีเท่านั้น แต่จะต้องช่วยเหลือผู้อื่นให้เป็นคนดีด้วย ดั่งที่พระเยซูเจ้าทรงสอนให้เราต้องเป็นคนดีคือ “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน...ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก...”(มัทธิว 5:13-16) และเราต้องช่วยเพื่อนพี่น้องให้เป็นคนดีด้วย คือ “ถ้าเพื่อนพี่น้องของท่านทำผิด จงไปตักเตือนเขาตามลำพัง...ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย...ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยานอีก จงปฏิบัติต่อเขาเหมือน....”(มัทธิว 18:15-20) สุดท้ายถ้าเราอ่านจนครบจะพบว่า เคล็ดลับความสำเร็จอยู่ที่คำๆนี้ “ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั้นในหมู่พวกเขา”(มัทธิว 18:20) ขอพระเจ้าอวยพร
KC Love God ขอขอบคุณข้อมูลจาก ratchaburidio.or.th
ดังนั้นใครล่ะจะเป็น “ผู้ชอบธรรม และได้รับพระสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้า” อย่างแท้จริง ผมจะพยายามเรียบเรียงการดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระศาสนจักรเพื่อเราจะได้ตรวจสอบตนเอง และมั่นใจว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมและเหมาะสมจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า หรือพูดง่ายๆว่าได้ไปสวรรค์ ดังนี้ บุคคลที่จะได้รับความชอบธรรมนั้นจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับพระหรรษทาน(ความช่วยเหลือ)จากองค์พระผู้เป็นเจ้า โดยที่พระเจ้าทรงเรียกเราทุกคนให้เข้าหาหรือแสวงหาพระองค์ พระเจ้าประทานอิสระให้แก่เรา หลายคนรู้แล้วเลือก แต่อีกหลายคนไม่เลือก เมื่อเราเลือกพระองค์และฝากชีวิตไว้กับพระองค์ ยอมเข้ามาร่วมชีวิตกับพระเจ้าโดยผ่านทางศีลล้างบาป เข้าเป็นส่วนหนึ่งแห่งพระวรกายศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ซึ่งทรงทำให้เราเป็นสิ่งสร้างใหม่ เป็นคนใหม่ โดยพระหรรษทานของพระเจ้า ผ่านทางฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า อาศัยความเชื่อศรัทธาในองค์พระเยซูเจ้าและศีลล้างบาป เราได้รับหัวใจใหม่และจิตใจใหม่ซึ่งทำให้เราหลุดพ้นจากบ่วงแร้วของความบาปต่างๆที่เราได้หลงผิดทั้งจากการกระทำของตัวเราเองและผลของบาปที่ติดตัวมาอันเนื่องมาจากบาปกำเนิด เราได้เกิดใหม่ด้วยพระจิตเจ้า(ยน.3:5) เราได้รับพระจิตเจ้า พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้นำทางเราให้สามารถดำเนินชีวิตในฐานะคริสตชนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม การเป็นสิ่งสร้างใหม่หรือคนใหม่นี้แหละที่เป็นหลักประกันถึง “ความหวังในชีวิตนิรันดรของเรา”
แต่นี้ยังไม่จุดหมายปลายทางของการเป็นคริสตชน นี้เป็นเพียงการเริ่มต้นบนถนนแห่งความเชื่อของเราในฐานะคริสตชนเท่านั้น เราจะต้องดำเนินชีวิตใหม่ในฐานะที่เป็นคนใหม่ของพระคริสตเจ้า นั้นก็คือ เราต้องดำเนินชีวิตตามความเชื่อที่เรามีนั้น เราต้องเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า นั้นคือ เราต้อง “รักพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด” เหนือสิ่งของฝ่ายโลก และเราต้อง “รักเพื่อนมนุษย์เหมือนหนึ่งรักตนเอง” และเราต้องเข้ารับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆของพระศาสนจักรคาทอลิกอย่างสม่ำเสมอ หลังจากการรับศีลล้างบาปแล้ว เราอาจจะหลงผิดไปได้อีก เราจึงต้องเข้ารับศีลอภัยบาป เพื่อให้เรากลับมาเป็นผู้ชอบธรรมอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ต้องสูญเสียความชอบธรรมไปเพราะบาปของเรา แต่เท่านี้ยังไม่พอ เราต้องรับศีลมหาสนิท ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงบอกกับเราว่านี้คือพระกายของพระองค์เอง พระองค์ทรงเป็นอาหารทรงชีวิต ถ้าเราไม่รับประทานอาหารทรงชีวิตนี้แล้ว จิตวิญญาณของเราจะแห้งแล้ง และจะต้องตายอย่างแน่นอน การรับศีลมหาสนิทอย่างสม่ำเสมอนี้แหละจะเป็นหลักประกันเพื่อการรับพระสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้า พระอาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา เมื่อใครพบเข้าก็จะมีความยินดี จะขายทุกอย่างเพื่อรวบรวมเงินมาซื้อที่ดินบริเวณนั้น ขุมทรัพย์ที่ว่านั้นคือชีวิตแห่งความสุขนิรันดร ซึ่งจะเป็นสิริรุ่งโรจน์ของชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ แต่การจะได้มาซึ่งความสุขแท้จริงนี้จะต้องขายทุกอย่าง คือ ไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆฝ่ายโลก สละความสนุกฝ่ายเนื้อหนัง ความเห็นแก่ตัว ความโลภ ฯลฯ เราต้องขายสิ่งเหล่านี้ออกไป แล้วรวบรวมสรรพกำลังทั้งหมดของเราเพื่อเอาสวรรค์มาครอบครองให้ได้ พระอาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับอวนที่หย่อนลงในทะเล ติดปลามากมาย แต่ปลาที่ได้มานั้นเป็นทั้งปลาดีและปลาที่ไม่เป็นประโยชน์ เขาเก็บปลาดีๆไว้ ส่วนปลาที่ไม่ดีเขาก็จะโยนทิ้งไป คำอุปมานี้หมายถึงอะไร ปลาดีกับปลาไม่ได้ดีหมายถึงใคร แน่นอนตามความเชื่อของเรา เมื่อถึงวันแห่การพิพากษา วันที่พระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งนั้น พระองค์จะเสด็จมาเพื่อพิพากษาเราแต่ละคน และจะทรงคัดเลือกเรา ใครจะเป็นปลาดีหรือปลาเน่าก็ขึ้นอยู่กับความประพฤติของเรา นี้เป็นเรื่องที่เราแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบตนเอง พี่น้องที่เคารพ ข่าวดีของพระเจ้าในเรื่องนี้ต้องการเตือนใจของเราแต่ละคน ให้คิดถึงอนาคตที่แท้จริงของตัวเรา เราทุกคนจะต้องเป็นผู้ชอบธรรม เพื่อเราจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า เราจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพระเจ้า ที่เราเรียกว่าพระหรรษทาน พระศาสนจักรได้ให้อุปกรณ์ต่างๆมาช่วยเหลือเราเพื่อให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย ได้แก่ ศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ การสวดภาวนา การอ่านพระคัมภีร์ การทำกิจเมตตา การดำเนินชีวิตตามที่พระศาสนจักรได้กำหนดไว้ นี้แหละเป็นข่าวดีที่เราจะต้องรับรู้และปฏิบัติตาม และเราจะต้องนำไปประกาศข่าวดีให้กับผู้ที่ยังไม่รู้ที่ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก สำหรับเราคริสตชน ไม่เพียงแต่จะต้องดำรงตนเป็นคนดีเท่านั้น แต่จะต้องช่วยเหลือผู้อื่นให้เป็นคนดีด้วย ดั่งที่พระเยซูเจ้าทรงสอนให้เราต้องเป็นคนดีคือ “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน...ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก...”(มัทธิว 5:13-16) และเราต้องช่วยเพื่อนพี่น้องให้เป็นคนดีด้วย คือ “ถ้าเพื่อนพี่น้องของท่านทำผิด จงไปตักเตือนเขาตามลำพัง...ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย...ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยานอีก จงปฏิบัติต่อเขาเหมือน....”(มัทธิว 18:15-20) สุดท้ายถ้าเราอ่านจนครบจะพบว่า เคล็ดลับความสำเร็จอยู่ที่คำๆนี้ “ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั้นในหมู่พวกเขา”(มัทธิว 18:20) ขอพระเจ้าอวยพร
KC Love God ขอขอบคุณข้อมูลจาก ratchaburidio.or.th
วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
“พึ่งพระเจ้า” ตามแบบฉบับของเปโตร
เรื่องบางเรื่อง ปัญหาบางปัญหา
อาจเกินความสามารถของเรา
แต่ไม่เกินความสามารถของพระเจ้า
ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เกินกำลังที่พระเจ้าจะทำได้
“ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้
แต่พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง"
(มัทธิว 19:26)
“ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง
สงสัยทำไมเล่า”
พระวรสารกล่าวถึงเรื่องของนักบุญเปโตรที่กระโดดจากเรือลงเดินบนน้ำไปหาพระเยซูเจ้า
ขณะที่เขากำลังเดินเข้าหาพระเยซูเจ้านั้น เกิดมีลมพัดแรง
ก็เกิดความกลัวแล้วจึงค่อยๆจมลง
ในขณะที่อยู่ในช่วงวิกฤตินั้นนั้นเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือจากพระเยซู “พระเจ้าข้า
ช่วยข้าพเจ้าด้วย”ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า
“ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง สงสัยทำไมเล่า”
เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นมาประทับเรือพร้อมกับเปโตรแล้ว ลมก็สงบ
คนที่อยู่ในเรือจึงเข้ามากราบนมัสการพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง”
ท่านคิดว่าตัวของท่านเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ไหม
“ตั้งใจแล้ว แต่ยังทำไม่ได้
หรือทำไม่สำเร็จ” แม้ว่าตัวของท่านจะมีความตั้งใจอย่างดีสักเพียงใดก็ตาม
ท่านลองพิจารณาถึงชีวิตประจำวันของท่านดูซิว่า
ตัวของท่านถูกผจญให้หลงกระทำความผิดหรือความบาปมากขึ้นทุกวันหรือไม่
ท่านมีความเพียรทนต่อบุคคลในบ้านหรือเพื่อนบ้านน้อยลงหรือไม่
ท่านรู้สึกว่าปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้าและพระศาสนจักรได้ยากขึ้นทุกวันหรือไม่
ท่านไปสารภาพบาปกลับมาก็ยังคงกระทำบาปเดิมๆอีก
ถ้าท่านเป็นเช่นนี้
พระวาจาของพระเจ้าประจำอาทิตย์นี้ จะเป็นคำตอบที่ดีให้กับชีวิตของท่าน
ให้เราใช้เวลาสักเล็กน้อยเพื่อหาคำตอบชีวิตจากเหตุการณ์นี้
เปโตร “กระโดดลงจากเรือ”
เดินบนน้ำไปหาพระเยซูเจ้า - พฤติกรรมเช่นนี้เปรียบได้กับชีวิตของเราได้หรือไม่
เราพยายามติดตามพระเยซูเจ้า เราได้รับศีลล้างบาปแล้ว (หรือกำลังเตรียมตัว)
เรามีเจตนาดีที่จะดำเนินชีวิตตามแบบอย่างและคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้า
เราได้ตัดสินใจแล้ว
เกิด “ลมพายุพัดแรง”
แต่แล้วในชีวิตของเราก็เกิดอุปสรรคหรือมีปัญหาต่างๆเข้ามาผจญเรา เรากลัว เราตกใจ –
เมื่อเรามีปัญหา เราหลงลืมพระเจ้าไป เราหลงทางไป เราจึงเหมือนกับเปโตรที่กำลังจะจมน้ำ
ชีวิตของเราเริ่มตกต่ำ มีความทุกข์ เกิดความเดือนร้อน ซึ่งหลายคนอาจจะจมน้ำไปแล้ว
หรือกำลังจมน้ำตาย
เปโตร “ร้องเรียกพระเยซู”
ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ – ในวิกฤติของชีวิต หรือในยามที่เราประสบกับปัญหาต่างๆ
เราร้องเรียกหาใคร เราเข้าพึ่งใคร บางคนหลงไปตามกระแสของคนทั่วไป
มีใครบอกว่าอะไรดี ก็ไปหาที่นั้น
โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นไสยศาสตร์หรือคาถาอาคมหรือไม่อย่างไร
พระเยซู “ทรงยื่นพระหัตถ์จับเขา”
- นี่แหละคือพระเจ้าของเรา ยามที่เราสำนึกผิดและเรียกหาพระองค์ พระองค์ประทับอยู่ใกล้เรามากที่สุด
เพียงแต่ว่าเราลืมพระองค์ไป เราไม่ได้นึกถึงพระองค์
เปโตรรอดตายเพราะท่านร้องเรียกหาพระองค์
ดังนั้นพระวาจาของพระเจ้าในเรื่องนี้จึงเตือนสติเรา
และเป็นข่าวดีสำหรับเราทุกคน
พระเจ้าทรงมีวิธีการสอนหรือทรงเรียกเราในหลากหลายวิธีด้วยกัน
ความทุกข์หรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นในชีวิตก็เป็นเสียงเรียกอย่างหนึ่งให้เรามนุษย์ได้หันมาหาพระองค์
หันมาพึ่งพระองค์
สิ่งที่สำคัญก็คือ
บ่อยครั้งที่เรามนุษย์มักจะมีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป
เราพึ่งพาอาศัยความสามารถของตนเอง นึกว่าตัวเราเก่งแล้ว ยอดแล้ว แต่แท้ที่จริง
“เพราะถ้าไม่มีเรา(พระเจ้า) ท่าน(เรามนุษย์)ก็ทำอะไรไม่ได้เลย”(ยน.15:5)
ย้อนมาดูความตั้งใจของเรา
ไม่ว่าการที่เราต้องการที่จะเอาชนะการผจญ หรือการที่เราจะเอาชนะความไม่เพียรทน
หรือการเอาชนะตนเองในการปฏิบัติตามพระบัญญัติ
หรือการเอาชนะตนเองที่จะไม่กลับไปทำบาปเดิมๆอีกได้นั้น
อย่านึกว่าเป็นเรื่องที่ง่าย เพราะเรากำลังสู้กับปีศาจ ปีศาจมีกำลังมากกว่าเรามากนัก
(เพราะว่าพวกมันเคยเป็นทูตสวรรค์มาก่อน)
ดังนั้นการที่เราจะเอาชนะการล่อลวงของปีศาจเราจำเป็นต้อง “พึ่งพระเจ้า”
ตามแบบฉบับของเปโตร
แน่นอนเราต้องเพียรพยายามที่จะเอาชนะความอ่อนแอด้วยตัวของเราเองก่อน
แต่ในฐานะคริสตชน เราต้องไม่เพียงแต่พึ่งพลังกำลังของตนเองเพื่อดำรงตนเป็นคนดีเท่านั้น
เราต้อง “ทูลวอน” ขอพละกำลังหรือความเชื่อเหลือจากพระเจ้าด้วย
ทุกครั้งที่เราถูกผจญหรือตั้งใจแล้วยังล้มเหลว ขออย่าให้เรายอมแพ้
แต่จงยกสายตาของเราขึ้นหาพระเจ้า แล้วทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์ นี้แหละคือข่าวดีของพระเจ้าที่มีต่อเราทุกคน
“ข้าแต่พระบิดา..โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การผจญ
แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ อาแมน”
kamsondeedee.com
ทำไมเปโตรเริ่มวอกแวก และนั่นก่อผลเช่นไร?
พระองค์สอนบทเรียนสำคัญอะไรแก่เปโตร?
เปโตรต้องเพ่งมองไปที่พระเยซู.
พระเยซูคือผู้ที่ทำให้เปโตรเดินบนน้ำได้โดยใช้อำนาจจากพระยะโฮวา.
พระเยซูทำเช่นนั้นเพราะเห็นว่าเปโตรมีความเชื่อในพระองค์.
แต่เปโตรกลับวอกแวก. เราอ่านว่า “เมื่อเห็นพายุเขาก็กลัว.”
เปโตรกลัวมากเมื่อเห็นคลื่นซัดกระแทกเรือและแตกกระเซ็นเป็นฟอง
กระจายไปกับลม. เขาอาจนึกภาพว่า
ตัวเองกำลังจะจมน้ำตายในทะเลสาบนั้น. ยิ่งเขากลัว
ความเชื่อของเขาก็ยิ่งลดน้อยลง. ชายที่ได้ชื่อว่าศิลาเพราะมีศักยภาพที่จะยืนหยัดมั่นคงเริ่มจมลงเหมือนหินก้อนหนึ่งเนื่องจากความเชื่อสั่นคลอน.
เปโตรเป็นคนว่ายน้ำเก่ง แต่เขากลับไม่ว่าย. เขาร้องว่า
“พระองค์เจ้าข้า โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วย!” พระเยซูจึงจับมือและดึงเขาขึ้นมา.
ขณะที่ยังอยู่บนผิวน้ำนั้น พระองค์ได้สอนบทเรียนสำคัญแก่เปโตร.
พระองค์ตรัสว่า “เจ้าผู้มีความเชื่อน้อย เจ้าสงสัยทำไม?” (มัทธิว 14:30,31)
ทำไมความสงสัยจึงอันตราย
และเราจะสู้กับแนวโน้มนี้ได้อย่างไร?
ความสงสัยอาจเป็นพลังที่ก่อความเสียหายได้อย่างมากมาย.
ถ้าเราเริ่มสงสัย ความเชื่อของเราจะถูกกัดกร่อนและหมดไปในที่สุด.
เราต้องสู้กับความสงสัยอย่างสุดกำลัง! จะทำอย่างไรล่ะ? โดยเพ่งมองให้ถูกที่.
ถ้าเราเพ่งมองที่พระเจ้าและพระบุตรของพระองค์
มองสิ่งที่พระองค์ทั้งสองได้ทำ กำลังทำ และจะทำเพื่อผู้ที่รักพระองค์
ความสงสัยจะไม่อาจทำลายความเชื่อของเราได้. อย่างไรก็ตาม
ถ้าเราคิดถึงแต่สิ่งที่ทำให้เรากลัว ท้อแท้
หรือเขวไปจากพระเจ้าและพระบุตรของพระองค์
เราก็จะรู้สึกสงสัยมากขึ้น.
ทำไมความเชื่อของเปโตรควรค่าแก่การเลียนแบบ?
เมื่อเปโตรตามพระเยซูขึ้นมาบนเรือ
เขาก็เห็นว่าพายุสงบแล้ว. ทะเลแกลิลีสงบเงียบ. เปโตรกับสาวกคนอื่น ๆ
พูดออกมาว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง ๆ.” (มัทธิว. 14:33)
เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าส่องไปทั่วทะเลสาบ
หัวใจของเปโตรคงเปี่ยมด้วยความสำนึกบุญคุณ.
เขาได้เรียนรู้ที่จะเอาชนะความกลัวและความสงสัย. จริงอยู่
เขายังต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขอีกหลายอย่างกว่าจะเป็นคริสเตียนที่หนักแน่นมั่นคงดุจศิลาดังที่พระเยซูพยากรณ์ไว้.
แต่เขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะพยายามและก้าวหน้าต่อไป.
คุณตั้งใจเช่นนั้นด้วยไหม? คุณจะพบว่าความเชื่อของเปโตรควรค่าแก่การเลียนแบบอย่างแน่นอน.
jw.org
วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
ปรัชญาคำสอนจากพระคัมภี์ไบเบิล เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ ความวางใจในพระเจ้า
การที่รู้ว่าท่านเป็นคริสตชนก็นับว่าดี แต่การแสดงตนเป็นคริสตชนย่อมดีกว่า.
อ้างอิงจาก พระคัมภีร์ (ยอห์น 13:35)หากท่านรักกันและกัน คนทั้งหลายก็จะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา
จงเป็นห่วงว่าพระเป็นเจ้าทรงคิดอย่างไรกับท่าน มากกว่าการเป็นห่วงว่าคนอื่นเขาจะคิดอย่างไร.
อ้างอิงจาก พระคัมภีร์ (กิจการ 5:29)เปโตรและสาวกอื่นๆ ตอบว่า เรานอบน้อมเชื่อฟังพระเป็นเจ้าดีกว่ามนุษย์
ความเชื่อคือการท้าทายให้จิตวิญญาณ มองไปยังที่ซึ่งตามองไม่เห็น.
อ้างอิงจาก พระคัมภีร์ (2 โครินทร์ 5:7)แต่เราดำเนินชีวิตอาศัยความเชื่อ มิได้อาศัยสิ่งที่เรามองเห็น
ความเชื่อเที่ยงแท้ และความกล้าหาญ เปรียบเสมือนว่าว ยิ่งมีลมต้าน มักยิ่งร่อนสูงขึ้น.
อ้างอิงจาก พระคัมภีร์ (อิสยาห์ 41:31)ส่วนผู้ที่รอคอยพระเจ้า จะฟื้นฟูพลังของตนเอง เขาจะมีปีกโผบินดังเช่นนกอินทรีย์ เขาจะวิ่งแต่ก็ไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินแต่ก็ไม่เป็นลม
พระเจ้าเป็นผู้ทรงสามารถรักษาดวงใจที่สลายได้ แต่พระองค์จำเป็นต้องมีทุกชิ้นส่วนของดวงใจนั้น.
อ้างอิงจาก พระคัมภีร์ (สุภาษิต 23:26ก.)ลูกรัก จงมอบดวงใจให้แก่เราเถิด
พระเยซูเจ้าคือพระสหาย ผู้ทรงทราบถึง ความผิดตกบกพร่อง อันมากมายของท่าน แต่ก็ยังทรงรักท่านอยู่เช่นเดิม.
อ้างอิงจาก พระคัมภีร์(โรม 5:8)พระเจ้าทรงสำแดงความรัก ของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
พระเยซูเจ้าคือพระสหาย ผู้ทรงย่างกายเข้ามา เมื่อโลกย้ายออกไป.
อ้างอิงจาก พระคัมภีร์ (ยอห์น 16:33)เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติในจิตใจของท่านเนื่องจากเรา ระหว่างที่ท่านอยู่ในโลก ท่านจะต้องทรมาน แต่จงทำใจดีไว้เถิด
มโนธรรม คือ เครื่องเตือนภัยซึ่งพระเป็น ทรงติดตั้งให้ไว้กับท่าน จงดีใจเมื่อมันทำให้ ท่านรู้สึกเจ็บ แต่จงระวังเมื่อท่านไม่รู้สึกเจ็บ.
อ้างอิงจาก พระคัมภีร์ (กิจการ 24:16)ในข้อนี้ ข้าพเจ้าพยายามประพฤติตามมโนธรรม โดยมิให้กระทำผิดต่อพระเป็นเจ้า และต่อเพื่อนมนุษย์
สะพานเชื่อมที่ดีเลิศระหว่างความหวัง กับ ความหมดหวัง ก็คือ การนอนหลับให้เต็มอิ่ม.
อ้างอิงจาก พระคัมภีร์ (สุดดี 127:2)ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะตื่นเช้า นอนดึก เพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพ พระเป็นเจ้าทรงดูแลผู้ที่พระองค์ทรงรัก แม้ในยามที่เขานอนหลับ
ข้อมูลจากwww.wordyguru.com
วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
ปรัชญาคำสอนจากพระคัมภี์ไบเบิล เกี่ยวกับเรื่อง ความรัก และการเป็นผู้ให้
พระคัมภีร์ไบเบิลมีปรัชญาที่น่าสนใจเป็นจำนวนมาก มีหลายต่อหลายประโยคที่เราสามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวันของเรา
เราดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เรากลับเป็นผู้มอบชีวิต เมื่อเราเป็นผู้ให้
ความหมายในพระคัมภีร์ (กิจการ 20:35)ข้าพเจ้าได้ให้ตัวอย่างแก่ท่านแล้วในทุกสิ่ง ให้ท่านเห็นว่าการกระทำดังนี้ ท่านจะสามารถช่วยผู้ที่อ่อนแอ ท่านจงรำลึกถึงพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ตรัสว่า การให้ย่อมได้บุญมากกว่าการรับ
หัวใจมีความสุขมากที่สุด เมื่อมันเต้นเพื่อคนอื่น.
ความหมายในพระคัมภีร์ (ยอห์น 15:13)ไม่มีผู้ใดมีความรักเท่ากับ ผู้ที่ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อผู้อื่น
หนทางที่ดีที่สุดที่จะลืมปัญหาของตนเอง ก็คือการช่วยแก้ปัญหาให้ผู้อื่น.
ความหมายในพระคัมภีร์ (ฟิลลิปปี 2:4)มนุษย์ อย่ามองเพียงปัญหาของตนเอง แต่ทุกคนควรมองดูปัญหาของผู้อื่น
ผู้ที่มีสิทธิ์ในความรักน้อยที่สุด คือผู้ที่ต้องการความรักมากที่สุด.
ความหมายในพระคัมภีร์ (มัทธิว 5:44)แต่เราสั่งให้ท่านรักศัตรู และอธิฐานภาวนา ให้ผู้ที่กระทำผิดต่อท่าน
ผู้ที่นำแสงอาทิตย์ เข้ามาในชีวิตของผู้อื่น ย่อมไม่สามารถกั้นแสงนั้น จากชีวิตของตนเองได้.
ความหมายในพระคัมภีร์ (กาลาเทีย 6:7)อย่าหลงผิด ไม่มีใครหลอกพระเป็นเจ้าได้ สิ่งใดที่มนุษย์หว่านไว้ เขาก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น
ชิวิตคงจะง่ายขึ้นมาก หากคนเรา แสดงความอดทนในครอบครัว ให้เท่ากับเวลาที่เขาไปนั่งตกปลา.
ความหมายในพระคัมภีร์ (1เปโต 3:7ข.)ท่านที่เป็นสามี ก็จงอยู่กับภรรยาของท่าน ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน
จงลืมตัวท่าน เพื่อผู้อื่น แล้วเขาจะไม่ลืมท่าน.
ความหมายในพระคัมภีร์ (มัทธิว 7:12)ดังนั้นสิ่งใดที่ท่านปรารถนา ให้ผู้อื่นกระทำแก่ท่าน ท่านก็จงกระทำสิ่งนั้นแก่เขา เพราะนี่กฎบัญญัติ และคำสอนของบรรดาประกาศก
ของขวัญอันล้ำค่า ที่เราสามารถมอบให้ผู้อื่นได้ ก็คือ ตัวอย่างที่ดี.
ความหมายในพระคัมภีร์ (ยอห์น 13:15)เหตุว่าเราได้มอบแบบอย่างให้แก่ท่านแล้ว ทั้งนี้เพื่อ ให้ท่านทำดังที่เราได้กระทำแก่ท่าน
ข้อมูลจากwww.wordyguru.com
วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
ปรัชญาคำสอนจากพระคัมภี์ไบเบิล เกี่ยวกับเรื่อง การทำงานร่วมกัน
การมีอำนาจ ทำให้บางคนเติบโต แต่ทำให้บางคนเพียง บวมเท่านั้น.
คำสอนในพระคัมภีร์ (มัทธิว 23:11,12)แต่ผู้ยิ่งใหญ่ในพวกท่าน ต้องเป็นผู้รับใช้ ผู้ใดยกย่องตัวเองจะถูกดึงให้ต่ำลง และผู้ใดที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่อง
ก้าวแรกที่นำไปสู่ความฉลาดก็คือ ความเงียบ ก้าวที่สอง คือ การรับฟัง
คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 1:5)ทั้งปราชญ์จะได้ยิน และเพิ่มพูนการเรียนรู้ ส่วนคนที่มีความเข้าใจ จะได้มีความช่ำชอง
การให้อภัยคล้ายกับเป็นการปล่อยนักโทษให้เป็นอิสระ แล้วมาพบว่า นักโทษนั้นก็คือ ตัวคุณเอง
คำสอนในพระคัมภีร์ (มัทธิ 6:14,15)หากท่านให้อภัยผู้ที่กระทำผิดต่อท่าน พระบิดาเจ้าก็จะทรงให้อภัยท่านด้วย แต่หากท่านไม่ให้อภัยผู้อื่น พระบิดาของท่านก็จะไม่ทรงให้อภัยแก่ท่านเช่นกัน
ของขวัญอันล้ำค่า ที่เราสามารถมอบให้ผู้อื่นได้ ก็คือ ตัวอย่างที่ดี.
คำสอนในพระคัมภีร์ (ยอห์น 13:15)เหตุว่าเราได้มอบแบบอย่างให้แก่ท่านแล้ว ทั้งนี้เพื่อ ให้ท่านทำดังที่เราได้กระทำแก่ท่าน
คนที่กำลังจมน้ำ เขาจะไม่มัวบ่นว่า เครื่องชูชีพมันเล็กเกินไป.
คำสอนในพระคัมภีร์ (ฟีลิปปี 2:14)จงทำสิ่งสารพัดโดยปราศจากการบ่น และการถกเถียงกัน
คนโง่คิดว่าเขารู้ทุกอย่าง หากท่านไปถกเถียงกับเขา ท่านก็ยิ่งโง่ไปกว่าเขาเสียอีก
คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 9:7)หากท่านตักเตือนคนที่โอ้อวด ท่านก็จะได้รับแต่เพียงการดูหมิ่น และความเจ็บปวด
ความล้มเหลวมักจะไม่เกิดขึ้น เพราะเขาขาดพรสวรรค์ แต่เพราะเราขาดความเด็ดเดี่ยว.
คำสอนในพระคัมภร์ (กาลาเทีย 6:9)อย่าเพิ่งเอือมระอาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ท่านจะได้รับรางวัลเอง เมื่อถึงเวลา
ความอดทนคือ คุณสมบัติที่ท่านชมเชยผู้ขับ รถข้างหลังท่าน แต่เป็นที่น่ารำคาญสำหรับ ผู้ที่ขับรถอยู่ข้างหน้า.
คำสอนในพระคัมภีร์ (ปัญญาจารย์ 7:8,9)เรื่องจบ ดีกว่าเริ่มเรื่อง ความอดทนดีกว่าความหยิ่งยโส อย่าเป็นคนโกรธง่าย เหตุว่าความโกรธมักจะอยู่ในใจของคนโง่
ความเกียจคร้านและความยากจน เป็นญาติกัน
คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 24:33,34)หลับนิด เคลิ้มหน่อย กอดมือพักสักนิด แล้วความจนก็จะมาหาถึงเจ้า แล้วทุกอย่างก็จะสูญหายไป
ความโมโหมักทำให้เราตกอยู่ในความลำบาก แต่ความหยิ่งต่างหาก ที่ทำให้เราอยู่ในสภาพนั้น
คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 16:18,19)ความเย่อหยิ่งมาก่อนการถูกทำลาย จิตใจที่ยโสมักจะมาก่อนการหกล้ม การมีจิตถ่อมตนกับคนยาก ดีกว่า ที่จะได้ส่วนแบ่งจากของที่ริบมาจากคนหยิ่ง
คำพูดคือหน้าต่าง ที่เปิดให้เห็นหัวใจของท่าน.
คำสอนในพระคัมภีร์ (มัทธิว 12:34ข.)เจ้าเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร เหตุว่าปากนั้นพูดจากสิ่งที่มาจากใจ
จงลืมตัวท่าน เพื่อผู้อื่น แล้วเขาจะไม่ลืมท่าน.
คำสอนในพระคัมภีร์ (มัทธิว 7:12)ดังนั้นสิ่งใดที่ท่านปรารถนา ให้ผู้อื่นกระทำแก่ท่าน ท่านก็จงกระทำสิ่งนั้นแก่เขา เพราะนี่กฎบัญญัติ และคำสอนของบรรดาประกาศก
จงเป็นห่วงว่าพระเป็นเจ้าทรงคิดอย่างไรกับท่าน มากกว่าการเป็นห่วงว่าคนอื่นเขาจะคิดอย่างไร.
คำสอนในพระคัมภีร์ (กิจการ 5:29)เปโตรและสาวกอื่นๆ ตอบว่า เรานอบน้อมเชื่อฟังพระเป็นเจ้าดีกว่ามนุษย์
จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น แทนที่จะทำผิดเสียเองในทุกเรื่อง.
คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 12:15)ทางของคนโง่นั้นถูกต้องในสายตาของเขาเอง แต่ปราชญ์ย่อมฟังคำแนะนำ
ชิวิตคงจะง่ายขึ้นมาก หากคนเรา แสดงความอดทนในครอบครัว ให้เท่ากับเวลาที่เขาไปนั่งตกปลา.
คำสอนในพระคัมภีร์ (1เปโต 3:7ข.)ท่านที่เป็นสามี ก็จงอยู่กับภรรยาของท่าน ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน
บทเรียนจากการมองดูนาฬิกาก็คือ มันทำให้เวลาผ่านไปก็จริง แต่มันขยันทำงานตลอดเวลา.
คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 18:9)การเป็นคนเกียจคร้าน ก็ไม่แตกต่างอะไรกับคนที่ชอบทำลาย
บุคคลที่ยากจนที่สุด ไม่ใช่คนที่ไม่มีเงิน หากแต่เป็นบุคคล ที่ไม่มีความฝัน.
คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 29:18ก.)มนุษย์จะตกยาก หากไร้วิสัยทัศน์
ปัญหาของผู้ที่พูดเร็วเกินไปก็คือ เขามักจะพูดสิ่งที่เขายังคิดไม่ถึง.
คำสอนในพระคัมภีร์ (บุตรสิรา 5:2)อย่ารีบพูด อย่าให้ใจท่านด่วนกล่าวสิ่งใดต่อพระพักต์พระเป็นเจ้า เหตุว่าพระเป็นเจ้าประทับในสวรรค์และเจ้าอยู่ในโลก ฉะนั้นขอให้เจ้าจงพูดน้อย
ผู้ที่มีสิทธิ์ในความรักน้อยที่สุด คือผู้ที่ต้องการความรักมากที่สุด.
คำสอนในพระคัมภีร์ (มัทธิว 5:44)แต่เราสั่งให้ท่านรักศัตรู และอธิฐานภาวนา ให้ผู้ที่กระทำผิดต่อท่าน
ผู้ที่ไม่ให้อภัย คือผู้ที่ทำลายสะพานที่เขาเองจะต้องข้าม.
คำสอนในพระคัมภีร์ (มัทธิว 6:14)หากท่านให้อภัยความผิด ที่ผู้อื่นกระทำต่อท่าน พระบิดาเจ้าของท่านในสวรรค์ ก็จะทรงให้อภัยแก่ท่านด้วย
พระเยซูเจ้าคือพระสหาย ผู้ทรงทราบถึง ความผิดตกบกพร่อง อันมากมายของท่าน แต่ก็ยังทรงรักท่านอยู่เช่นเดิม.
คำสอนในพระคัมภีร์ (โรม 5:8)พระเจ้าทรงสำแดงความรัก ของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
มโนธรรม คือ เครื่องเตือนภัยซึ่งพระเป็น ทรงติดตั้งให้ไว้กับท่าน จงดีใจเมื่อมันทำให้ ท่านรู้สึกเจ็บ แต่จงระวังเมื่อท่านไม่รู้สึกเจ็บ.
คำสอนในพระคัมภีร์ (กิจการ 24:16)ในข้อนี้ ข้าพเจ้าพยายามประพฤติตามมโนธรรม โดยมิให้กระทำผิดต่อพระเป็นเจ้า และต่อเพื่อนมนุษย์
รถไฟของความล้มเหลว มักวิ่งอยู่บนรางของความเกียจคร้าน.
คำสอนในพระคัมภีร์ (บุตรสิรา 10:18)ความเกียจคร้านมากมาย ทำให้ตึกรามเสื่อมสภาพ บ้านช่องพังลงก็เพราะมือที่เฉื่อยชา
ศิลปะของการเป็นแขกที่ดี คือการรู้ว่าเมื่อไรควรจะกล่าวคำอำลา
คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 25:17)อย่าไปเยี่ยมเพื่อนบ่อยเกินไป เพราะเขาจะรู้สึกเอือมระอา และเริ่มเกลียดชังท่าน
สะพานเชื่อมที่ดีเลิศระหว่างความหวัง กับ ความหมดหวัง ก็คือ การนอนหลับให้เต็มอิ่ม.
คำสอนในพระคัมภีร์ (สุดดี 127:2)ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะตื่นเช้า นอนดึก เพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพ พระเป็นเจ้าทรงดูแลผู้ที่พระองค์ทรงรัก แม้ในยามที่เขานอนหลับ
หนทางที่ดีที่สุดที่จะลืมปัญหาของตนเอง ก็คือการช่วยแก้ปัญหาให้ผู้อื่น.
คำสอนในพระคัมภีร์ (ฟิลลิปปี 2:4)มนุษย์ อย่ามองเพียงปัญหาของตนเอง แต่ทุกคนควรมองดูปัญหาของผู้อื่น
หนทางสู่ความสำเร็จ คือการนำเอาคำแนะนำ ที่ท่านมอบให้ผู้อื่น มาใช้กับตัวท่านเอง.
คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 15:32)ท่านที่ไม่สนใจกับกฎวินัย ย่อมดูหมิ่นตนเอง แต่บุคคลที่รับฟังคำตักเตือน ก็จะได้รับความเข้าใจ
หัวใจมีความสุขมากที่สุด เมื่อมันเต้นเพื่อคนอื่น.
คำสอนในพระคัมภีร์ (ยอห์น 15:13)ไม่มีผู้ใดมีความรักเท่ากับ ผู้ที่ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อผู้อื่น
หากท่านอยากชนะใจเพื่อน จงใช้หูฟังแทนที่จะใช้ปากพูด.
คำสอนในพระคัมภีร์ (ยากอบ 1:19ข.)จงให้ทุกคนไวในการฟัง แต่ช้าในการพูด และช้าในการโกรธ
อย่าปล่อยให้โอกาสของท่านที่จะหุบปาก ผ่านไปได้เป็นอันขาด.
คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 17:28)แม้คนโง่ ก็ถือว่าเป็นคนฉลาด เมื่อเขารู้จักสงบปากสงบคำ ผู้ที่รู้จักปิดปากตัวเอง เขาก็ถือว่าเป็นผู้มีความเข้าใจที่ดี
อารมณ์ร้ายของท่านเปรียบเสมือนไฟใหม้ หากควบคุมไม่ได้ ก็อาจเกิดความเสียหายมากมาย.
คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 25:28)ผู้ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็เหมือนกับเมืองที่ไม่มีกำแพง
เมื่อทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมด ก็จงอดใจ อย่าวุ่นวายไปกับมัน.
คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 4:14)อย่าไปเลียนแบบที่ไม่ดี ของคนชั่วช้าและเลวทราม
เราจะรู้อุปนิสัยใจคอที่แท้จริงของคนได้ ก็โดยสังเกตุว่าเขาทำอะไร เมื่อไม่มีใครเห็น.
คำสอนในพระคัมภีร์ (เอเฟซัส 6:6)จงทำให้นายพอใจเสมอ มิใช่เวลาที่ท่านคิดว่านายกำลังมองอยู่ ท่าน คือ ทาสของพระคริสตเจ้า ดังนั้นท่านจงกระทำสิ่งที่พระเป็นเจ้า ทรงปรารถนาจากท่าน ด้วยความเต็มใจ
แต่ละวันที่ผ่านไป คล้ายกับกระเป๋าที่มีขนาดเท่ากัน คนบางคนสามารถใส่ข้าวของเข้าไป ในกระเป๋านั้นมากกว่าผู้อื่น.
คำสอนในพระคัมภีร์ (เอเฟซัส 5:15,16)ดังนั้นท่านจงระมัดระวัง ในการดำเนินชีวิต อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนผู้มีปัญญา จงฉวยทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามา
โชคดี คือข้อแก้ตัวที่ผู้แพ้มอบให้กับผู้ชนะ.
คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 13:4)วิญญาณของคนเกียจคร้านมีแต่ความอยาก แต่เขาจะไม่ได้อะไรเลย ฝ่ายวิญญาณของคนขยัน จะอ้วนพี
ใครร่วมวงนินทากับท่าน ผู้นั้นก็จะนำเอาเรื่องของท่านไปนินทาต่อ.
คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 11:13)บุคคลที่เที่ยวซุบซิบมักเผยความลับ แต่บุคคลที่ไว้วางใจได้ ย่อมสามารถปิดบังทุกสิ่งไว้ได้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7
ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7 จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...
-
เซาโล (เปาโล) - ยอมรับบาปและกลับใจ เซาโลข่มเหงคริสตจักร และ เซาโล ก็เห็นชอบด้วยกับการฆ่าสเทเฟน ขณะนั้นเกิดการข่มเหงคริสตจักรครั้งใหญ...
-
"ขณะเมื่อเรายังอ่อนกำลัง พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อคนอธรรมในเวลาที่เหมาะสม อันที่จริง มีน้อยคนนักจะยอมตายเพื่อคนชอบธรรม แต่บางทีจะม...
-
วันที่ห้าสิบเอ็ด-วิธีการอธิษฐาน 9“ฉะนั้น ท่านควรจะอธิษฐานดังนี้ว่า “ ‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์ ข...