วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ทำไมพระเจ้าประทานความทุกข์ยากลำบากมาให้มนุษย์



ทำไมพระเจ้าประทานความทุกข์ยากลำบากมาให้มนุษย์

ทำไมพระเจ้าประทานความทุกข์ยากลำบากมาให้มนุษย์ต้องแบกต้องทน ถ้าเราพิจารณาให้ดี เราจะเห็นว่า “ความทุกข์ยากลำบากเป็นมาตรฐานในการประเมินคุณค่าของมนุษย์” คนหนึ่งจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้นั้น คนๆนั้นจะต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน และความทุกข์ยากลำบากเป็นการพิสูจน์รักแท้ ถ้าเรารักใครเราคงยอมลำบากเพื่อเขาได้ด้วยใจยินดี แต่นี้ก็ยังเป็นแค่มาตรฐานมนุษย์ แต่มาตรฐานของพระเจ้าแล้ว ความยากลำบากในชีวิตทำให้เรามีส่วนในพระทรมานของพระเยซูเจ้า ความยากลำบากเป็นเครื่องมือของของพระเจ้าที่ทรงเรียกเราให้เราเข้ามาใกล้ชิดกับพระองค์ (เปรียบกับคำที่ว่าถ้าไม่เห็นโลงศพก็ยังไม่หลั่งน้ำตา)

ความทุกข์ยากของมนุษย์เป็นเสมือนกางเขนที่เราทุกคนจะต้องแบก คำสอนของพระเยซูให้กำลังใจมากเพราะเราไม่ได้แบกไม้กางเขนเพียงแต่ลำพัง แต่เราเดินไปพร้อมกับพระองค์ ขอให้เรายอมรับความทุกข์ยากลำบากที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ความโดดเดี่ยว ความกลัดกลุ้มใจ ฯลฯ ขอให้เรามองไม้กางเขนไว้ อย่างลืมที่พระองค์ทรงสอนเรา “จงแบกกางเขนของตนแล้วติดตามเรา” ซึ่งเราส่วนใหญ่มักจะโดนประจญเช่นนี้ “ขอที่เถิดพระเจ้า อย่าให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเลย”

เราจะต้องคิดพิจารณาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราด้วยมาตรฐานของพระเจ้า เราได้เรียนรู้จากพระวาจาของพระเจ้าแล้วว่าพระเจ้าทรงรักเราอย่างไร พระองค์ไม่อยากให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา พระองค์ทรงยอมลำบากแทนเราได้ ความทุกข์ยากลำบากจึงไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเพราะนี้เป็นแผนการของพระเจ้าที่จะทรงนำเราไปพบกับความสุข “วิถีทางของพระเจ้าไม่เหมือนวิถีทางของมนุษย์ แต่วิถีทางของพระเจ้านั้นดีที่สุดสำหรับเรามนุษย์."

ขอพระเจ้าอวยพร

วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

คนชอบธรรมเป็นอย่างไร



คนที่ได้ชื่อว่าเป็น “คนชอบธรรม” ก็คือ บุคคลที่กระทำถูกต้องในสายตาของพระเจ้า ประพฤติตนดีงามโดยไม่ยึดติดกับบาปหรือความเลวร้ายต่างๆ มีชีวิตที่อยู่ในศีลและพระพรของพระเจ้า ผูกพันอยู่กับพระเจ้า เป็นผู้ที่มีความศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับอาดัมในระยะแรกที่พระเจ้าทรงสร้างเขามา เขาเป็นคนที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง นี้แหละเป็นเงื่อนไขของบุคคลที่จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้า บางคนอาจจะสงสัยว่า เรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือ หรือเป็นไปไม่ได้ ใครจะทำได้ ขอให้เราได้ทบทวนคำสอนจากพระคัมภีร์ที่สอนเราเกี่ยวกับเรื่องของความชอบธรรม พระคัมภีร์ได้สอนเราว่าเราสามารถเป็นผู้ชอบธรรมในพระคริสตเจ้าได้ในสองช่วงเวลา คือ การได้รับความชอบธรรมระหว่างการรับศีลล้างบาป กับการได้รับความชอบธรรมหลังจากการรับศีลล้างบาป ซึ่งทั้งสองต่างมีความจำเป็นที่จะทำให้เราได้เป็นทายาทแห่งเมืองสวรรค์ ได้เป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า และได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ บางคนอาจจะสงสัยว่า เรื่องนี้จะเป็นไปได้หรือ หรือเป็นไปไม่ได้ ใครจะทำได้ ขอให้เราได้ทบทวนคำสอนจากพระคัมภีร์ที่สอนเราเกี่ยวกับเรื่องของความชอบธรรม พระคัมภีร์ได้สอนเราว่าเราสามารถเป็นผู้ชอบธรรมในพระคริสตเจ้าได้ในสองช่วงเวลา คือ การได้รับความชอบธรรมระหว่างการรับศีลล้างบาป กับการได้รับความชอบธรรมหลังจากการรับศีลล้างบาป ซึ่งทั้งสองต่างมีความจำเป็นที่จะทำให้เราได้เป็นทายาทแห่งเมืองสวรรค์ ได้เป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้า และได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ พี่น้องที่เคารพ เราอาจจะพูดว่า ผม/ฉันรู้พระธรรมคำสอนดีแล้ว ฉันเรียนมาหมดแล้ว ฉันนี้แหละเป็นคนชอบธรรมและสมควรได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าแล้ว แต่แท้จริงแล้ว แค่เป็นรู้หรือฟังมาเท่านั้นยังไม่พอ เพราะ “เพราะผู้ที่พระเจ้าจะทรงบันดาลความชอบธรรมนั้น มิใช่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังธรรมบัญญัติเท่านั้น แต่เป็นผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติด้วย” (รม.2:13) เราอาจจะได้ยินบางคนบอกว่า ผม/ฉันมีความเชื่อในพระเจ้า ฉันสวดภาวนาทุกวัน ฉันมีรูปพระติดตัวตลอดเวลา ฉันนี้แหละเป็นผู้ชอบธรรมและสมควรจะไดรับสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้า ฉันสามารถเอาตัวรอดไปสวรรค์ได้แล้ว แต่แท้จริงแล้ว ความเชื่ออย่างเดียวก็ไม่ได้นำความชอบธรรมมาสู่ตัวของเราเพราะ “มนุษย์จะเป็นผู้ชอบธรรมได้ก็ด้วยการกระทำมิใช่ด้วยความเชื่อแต่อย่างเดียว”(ยก.2:24) บางคนบอกว่า ผม/ฉัน รับศีลล้างบาปแล้ว ฉันเป็นผู้คนชอบธรรมแล้ว แน่นอน โดยผ่านทางศีลล้างบาป พระเยซูเจ้าได้ทรงยอมตายบนไม้กางเขน หลั่งโลหิต เป็นเครื่องบูชาชดเชยบาป หรือจ่ายค่าปรับจากความผิดบาปของเรามนุษย์แล้ว ทำให้เราเป็นอิสระไม่ถูกลงโทษจากบาปในอดีตของเรา(รม.3:25) นอกจากนั้นพระเยซูเจ้าทรงตรัสอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า ถ้าเขาไม่เกิดจากน้ำและพระจิต”(ยน.3:5) การได้รับพิธีล้างบาปนั้นทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้วก็จริง แต่หลังจากนั้น เราได้ประพฤติตนอย่างไร เราได้ใช้อิสรภาพของเราอย่างไร ความชอบธรรมที่เราได้รับมานั้น เราได้รักษาไว้อย่างดี วิญญาณของเรายังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องหรือไม่ ดังนั้น ศีลล้างบาปจึงเป็นก้าวแรกของการเป็นผู้ชอบธรรม ชีวิตแห่งการเป็นบุตรของเจ้าได้เริ่มต้นจากจุดนี้เอง
ดังนั้นใครล่ะจะเป็น “ผู้ชอบธรรม และได้รับพระสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้า” อย่างแท้จริง ผมจะพยายามเรียบเรียงการดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระศาสนจักรเพื่อเราจะได้ตรวจสอบตนเอง และมั่นใจว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมและเหมาะสมจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า หรือพูดง่ายๆว่าได้ไปสวรรค์ ดังนี้ บุคคลที่จะได้รับความชอบธรรมนั้นจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับพระหรรษทาน(ความช่วยเหลือ)จากองค์พระผู้เป็นเจ้า โดยที่พระเจ้าทรงเรียกเราทุกคนให้เข้าหาหรือแสวงหาพระองค์ พระเจ้าประทานอิสระให้แก่เรา หลายคนรู้แล้วเลือก แต่อีกหลายคนไม่เลือก เมื่อเราเลือกพระองค์และฝากชีวิตไว้กับพระองค์ ยอมเข้ามาร่วมชีวิตกับพระเจ้าโดยผ่านทางศีลล้างบาป เข้าเป็นส่วนหนึ่งแห่งพระวรกายศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า ซึ่งทรงทำให้เราเป็นสิ่งสร้างใหม่ เป็นคนใหม่ โดยพระหรรษทานของพระเจ้า ผ่านทางฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า อาศัยความเชื่อศรัทธาในองค์พระเยซูเจ้าและศีลล้างบาป เราได้รับหัวใจใหม่และจิตใจใหม่ซึ่งทำให้เราหลุดพ้นจากบ่วงแร้วของความบาปต่างๆที่เราได้หลงผิดทั้งจากการกระทำของตัวเราเองและผลของบาปที่ติดตัวมาอันเนื่องมาจากบาปกำเนิด เราได้เกิดใหม่ด้วยพระจิตเจ้า(ยน.3:5) เราได้รับพระจิตเจ้า พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้นำทางเราให้สามารถดำเนินชีวิตในฐานะคริสตชนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม การเป็นสิ่งสร้างใหม่หรือคนใหม่นี้แหละที่เป็นหลักประกันถึง “ความหวังในชีวิตนิรันดรของเรา”
แต่นี้ยังไม่จุดหมายปลายทางของการเป็นคริสตชน นี้เป็นเพียงการเริ่มต้นบนถนนแห่งความเชื่อของเราในฐานะคริสตชนเท่านั้น เราจะต้องดำเนินชีวิตใหม่ในฐานะที่เป็นคนใหม่ของพระคริสตเจ้า นั้นก็คือ เราต้องดำเนินชีวิตตามความเชื่อที่เรามีนั้น เราต้องเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า นั้นคือ เราต้อง “รักพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด” เหนือสิ่งของฝ่ายโลก และเราต้อง “รักเพื่อนมนุษย์เหมือนหนึ่งรักตนเอง” และเราต้องเข้ารับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆของพระศาสนจักรคาทอลิกอย่างสม่ำเสมอ หลังจากการรับศีลล้างบาปแล้ว เราอาจจะหลงผิดไปได้อีก เราจึงต้องเข้ารับศีลอภัยบาป เพื่อให้เรากลับมาเป็นผู้ชอบธรรมอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ต้องสูญเสียความชอบธรรมไปเพราะบาปของเรา แต่เท่านี้ยังไม่พอ เราต้องรับศีลมหาสนิท ซึ่งพระเยซูเจ้าทรงบอกกับเราว่านี้คือพระกายของพระองค์เอง พระองค์ทรงเป็นอาหารทรงชีวิต ถ้าเราไม่รับประทานอาหารทรงชีวิตนี้แล้ว จิตวิญญาณของเราจะแห้งแล้ง และจะต้องตายอย่างแน่นอน การรับศีลมหาสนิทอย่างสม่ำเสมอนี้แหละจะเป็นหลักประกันเพื่อการรับพระสิริรุ่งโรจน์จากพระเจ้า พระอาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา เมื่อใครพบเข้าก็จะมีความยินดี จะขายทุกอย่างเพื่อรวบรวมเงินมาซื้อที่ดินบริเวณนั้น ขุมทรัพย์ที่ว่านั้นคือชีวิตแห่งความสุขนิรันดร ซึ่งจะเป็นสิริรุ่งโรจน์ของชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ แต่การจะได้มาซึ่งความสุขแท้จริงนี้จะต้องขายทุกอย่าง คือ ไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆฝ่ายโลก สละความสนุกฝ่ายเนื้อหนัง ความเห็นแก่ตัว ความโลภ ฯลฯ เราต้องขายสิ่งเหล่านี้ออกไป แล้วรวบรวมสรรพกำลังทั้งหมดของเราเพื่อเอาสวรรค์มาครอบครองให้ได้ พระอาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับอวนที่หย่อนลงในทะเล ติดปลามากมาย แต่ปลาที่ได้มานั้นเป็นทั้งปลาดีและปลาที่ไม่เป็นประโยชน์ เขาเก็บปลาดีๆไว้ ส่วนปลาที่ไม่ดีเขาก็จะโยนทิ้งไป คำอุปมานี้หมายถึงอะไร ปลาดีกับปลาไม่ได้ดีหมายถึงใคร แน่นอนตามความเชื่อของเรา เมื่อถึงวันแห่การพิพากษา วันที่พระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งนั้น พระองค์จะเสด็จมาเพื่อพิพากษาเราแต่ละคน และจะทรงคัดเลือกเรา ใครจะเป็นปลาดีหรือปลาเน่าก็ขึ้นอยู่กับความประพฤติของเรา นี้เป็นเรื่องที่เราแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบตนเอง พี่น้องที่เคารพ ข่าวดีของพระเจ้าในเรื่องนี้ต้องการเตือนใจของเราแต่ละคน ให้คิดถึงอนาคตที่แท้จริงของตัวเรา เราทุกคนจะต้องเป็นผู้ชอบธรรม เพื่อเราจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า เราจะต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพระเจ้า ที่เราเรียกว่าพระหรรษทาน พระศาสนจักรได้ให้อุปกรณ์ต่างๆมาช่วยเหลือเราเพื่อให้เราสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย ได้แก่ ศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ การสวดภาวนา การอ่านพระคัมภีร์ การทำกิจเมตตา การดำเนินชีวิตตามที่พระศาสนจักรได้กำหนดไว้ นี้แหละเป็นข่าวดีที่เราจะต้องรับรู้และปฏิบัติตาม และเราจะต้องนำไปประกาศข่าวดีให้กับผู้ที่ยังไม่รู้ที่ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก สำหรับเราคริสตชน ไม่เพียงแต่จะต้องดำรงตนเป็นคนดีเท่านั้น แต่จะต้องช่วยเหลือผู้อื่นให้เป็นคนดีด้วย ดั่งที่พระเยซูเจ้าทรงสอนให้เราต้องเป็นคนดีคือ “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน...ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก...”(มัทธิว 5:13-16) และเราต้องช่วยเพื่อนพี่น้องให้เป็นคนดีด้วย คือ “ถ้าเพื่อนพี่น้องของท่านทำผิด จงไปตักเตือนเขาตามลำพัง...ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย...ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยานอีก จงปฏิบัติต่อเขาเหมือน....”(มัทธิว 18:15-20) สุดท้ายถ้าเราอ่านจนครบจะพบว่า เคล็ดลับความสำเร็จอยู่ที่คำๆนี้ “ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั้นในหมู่พวกเขา”(มัทธิว 18:20) ขอพระเจ้าอวยพร
KC Love God ขอขอบคุณข้อมูลจาก ratchaburidio.or.th

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

“พึ่งพระเจ้า” ตามแบบฉบับของเปโตร



เรื่องบางเรื่อง ปัญหาบางปัญหา
อาจเกินความสามารถของเรา
แต่ไม่เกินความสามารถของพระเจ้า
ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เกินกำลังที่พระเจ้าจะทำได้

 “ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้
แต่พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง"

(มัทธิว 19:26)



“ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง สงสัยทำไมเล่า”

 พระวรสารกล่าวถึงเรื่องของนักบุญเปโตรที่กระโดดจากเรือลงเดินบนน้ำไปหาพระเยซูเจ้า ขณะที่เขากำลังเดินเข้าหาพระเยซูเจ้านั้น เกิดมีลมพัดแรง ก็เกิดความกลัวแล้วจึงค่อยๆจมลง ในขณะที่อยู่ในช่วงวิกฤตินั้นนั้นเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือจากพระเยซู “พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย”ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า “ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง สงสัยทำไมเล่า” เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นมาประทับเรือพร้อมกับเปโตรแล้ว ลมก็สงบ คนที่อยู่ในเรือจึงเข้ามากราบนมัสการพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง”

ท่านคิดว่าตัวของท่านเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ไหม
              “ตั้งใจแล้ว แต่ยังทำไม่ได้ หรือทำไม่สำเร็จ” แม้ว่าตัวของท่านจะมีความตั้งใจอย่างดีสักเพียงใดก็ตาม ท่านลองพิจารณาถึงชีวิตประจำวันของท่านดูซิว่า ตัวของท่านถูกผจญให้หลงกระทำความผิดหรือความบาปมากขึ้นทุกวันหรือไม่ ท่านมีความเพียรทนต่อบุคคลในบ้านหรือเพื่อนบ้านน้อยลงหรือไม่ ท่านรู้สึกว่าปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้าและพระศาสนจักรได้ยากขึ้นทุกวันหรือไม่ ท่านไปสารภาพบาปกลับมาก็ยังคงกระทำบาปเดิมๆอีก


                ถ้าท่านเป็นเช่นนี้ พระวาจาของพระเจ้าประจำอาทิตย์นี้ จะเป็นคำตอบที่ดีให้กับชีวิตของท่าน

ให้เราใช้เวลาสักเล็กน้อยเพื่อหาคำตอบชีวิตจากเหตุการณ์นี้

              เปโตร “กระโดดลงจากเรือ” เดินบนน้ำไปหาพระเยซูเจ้า - พฤติกรรมเช่นนี้เปรียบได้กับชีวิตของเราได้หรือไม่ เราพยายามติดตามพระเยซูเจ้า เราได้รับศีลล้างบาปแล้ว (หรือกำลังเตรียมตัว) เรามีเจตนาดีที่จะดำเนินชีวิตตามแบบอย่างและคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้า เราได้ตัดสินใจแล้ว


              เกิด “ลมพายุพัดแรง” แต่แล้วในชีวิตของเราก็เกิดอุปสรรคหรือมีปัญหาต่างๆเข้ามาผจญเรา เรากลัว เราตกใจ – เมื่อเรามีปัญหา เราหลงลืมพระเจ้าไป เราหลงทางไป เราจึงเหมือนกับเปโตรที่กำลังจะจมน้ำ ชีวิตของเราเริ่มตกต่ำ มีความทุกข์ เกิดความเดือนร้อน ซึ่งหลายคนอาจจะจมน้ำไปแล้ว หรือกำลังจมน้ำตาย

              เปโตร “ร้องเรียกพระเยซู” ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ – ในวิกฤติของชีวิต หรือในยามที่เราประสบกับปัญหาต่างๆ เราร้องเรียกหาใคร เราเข้าพึ่งใคร บางคนหลงไปตามกระแสของคนทั่วไป มีใครบอกว่าอะไรดี ก็ไปหาที่นั้น โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นไสยศาสตร์หรือคาถาอาคมหรือไม่อย่างไร

               พระเยซู “ทรงยื่นพระหัตถ์จับเขา” - นี่แหละคือพระเจ้าของเรา ยามที่เราสำนึกผิดและเรียกหาพระองค์ พระองค์ประทับอยู่ใกล้เรามากที่สุด เพียงแต่ว่าเราลืมพระองค์ไป เราไม่ได้นึกถึงพระองค์ เปโตรรอดตายเพราะท่านร้องเรียกหาพระองค์

  ดังนั้นพระวาจาของพระเจ้าในเรื่องนี้จึงเตือนสติเรา และเป็นข่าวดีสำหรับเราทุกคน พระเจ้าทรงมีวิธีการสอนหรือทรงเรียกเราในหลากหลายวิธีด้วยกัน ความทุกข์หรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นในชีวิตก็เป็นเสียงเรียกอย่างหนึ่งให้เรามนุษย์ได้หันมาหาพระองค์ หันมาพึ่งพระองค์

             สิ่งที่สำคัญก็คือ บ่อยครั้งที่เรามนุษย์มักจะมีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป เราพึ่งพาอาศัยความสามารถของตนเอง นึกว่าตัวเราเก่งแล้ว ยอดแล้ว แต่แท้ที่จริง “เพราะถ้าไม่มีเรา(พระเจ้า) ท่าน(เรามนุษย์)ก็ทำอะไรไม่ได้เลย”(ยน.15:5)

             ย้อนมาดูความตั้งใจของเรา ไม่ว่าการที่เราต้องการที่จะเอาชนะการผจญ หรือการที่เราจะเอาชนะความไม่เพียรทน หรือการเอาชนะตนเองในการปฏิบัติตามพระบัญญัติ หรือการเอาชนะตนเองที่จะไม่กลับไปทำบาปเดิมๆอีกได้นั้น อย่านึกว่าเป็นเรื่องที่ง่าย เพราะเรากำลังสู้กับปีศาจ ปีศาจมีกำลังมากกว่าเรามากนัก (เพราะว่าพวกมันเคยเป็นทูตสวรรค์มาก่อน) ดังนั้นการที่เราจะเอาชนะการล่อลวงของปีศาจเราจำเป็นต้อง “พึ่งพระเจ้า” ตามแบบฉบับของเปโตร

             แน่นอนเราต้องเพียรพยายามที่จะเอาชนะความอ่อนแอด้วยตัวของเราเองก่อน แต่ในฐานะคริสตชน เราต้องไม่เพียงแต่พึ่งพลังกำลังของตนเองเพื่อดำรงตนเป็นคนดีเท่านั้น เราต้อง “ทูลวอน” ขอพละกำลังหรือความเชื่อเหลือจากพระเจ้าด้วย

           ทุกครั้งที่เราถูกผจญหรือตั้งใจแล้วยังล้มเหลว ขออย่าให้เรายอมแพ้ แต่จงยกสายตาของเราขึ้นหาพระเจ้า แล้วทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์ นี้แหละคือข่าวดีของพระเจ้าที่มีต่อเราทุกคน

        “ข้าแต่พระบิดา..โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การผจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ อาแมน”
kamsondeedee.com

ทำไม​เปโตร​เริ่ม​วอกแวก และ​นั่น​ก่อ​ผล​เช่น​ไร?
พระองค์​สอน​บทเรียน​สำคัญ​อะไร​แก่​เปโตร?
 เปโตร​ต้อง​เพ่ง​มอง​ไป​ที่​พระ​เยซู. พระ​เยซู​คือ​ผู้​ที่​ทำ​ให้​เปโตร​เดิน​บน​น้ำ​ได้​โดย​ใช้​อำนาจ​จาก​พระ​ยะโฮวา. พระ​เยซู​ทำ​เช่น​นั้น​เพราะ​เห็น​ว่า​เปโตร​มี​ความ​เชื่อ​ใน​พระองค์. แต่​เปโตร​กลับ​วอกแวก. เรา​อ่าน​ว่า “เมื่อ​เห็น​พายุ​เขา​ก็​กลัว.” เปโตร​กลัว​มาก​เมื่อ​เห็น​คลื่น​ซัด​กระแทก​เรือ​และ​แตก​กระเซ็น​เป็น​ฟอง​ กระจาย​ไป​กับ​ลม. เขา​อาจ​นึก​ภาพ​ว่า ตัว​เอง​กำลัง​จะ​จม​น้ำ​ตาย​ใน​ทะเลสาบ​นั้น. ยิ่ง​เขา​กลัว ความ​เชื่อ​ของ​เขา​ก็​ยิ่ง​ลด​น้อย​ลง. ชาย​ที่​ได้​ชื่อ​ว่า​ศิลา​เพราะ​มี​ศักยภาพ​ที่​จะ​ยืนหยัด​มั่นคง​เริ่ม​จม​ลง​เหมือน​หิน​ก้อน​หนึ่ง​เนื่อง​จาก​ความ​เชื่อ​สั่น​คลอน. เปโตร​เป็น​คน​ว่าย​น้ำ​เก่ง แต่​เขา​กลับ​ไม่​ว่าย. เขา​ร้อง​ว่า “พระองค์​เจ้าข้า โปรด​ช่วย​ข้าพเจ้า​ด้วย!” พระ​เยซู​จึง​จับ​มือ​และ​ดึง​เขา​ขึ้น​มา. ขณะ​ที่​ยัง​อยู่​บน​ผิว​น้ำ​นั้น พระองค์​ได้​สอน​บทเรียน​สำคัญ​แก่​เปโตร. พระองค์​ตรัส​ว่า “เจ้า​ผู้​มี​ความ​เชื่อ​น้อย เจ้า​สงสัย​ทำไม?” (มัทธิว 14:30,31)

ทำไม​ความ​สงสัย​จึง​อันตราย และ​เรา​จะ​สู้​กับ​แนว​โน้ม​นี้​ได้​อย่าง​ไร?
 ความ​สงสัย​อาจ​เป็น​พลัง​ที่​ก่อ​ความ​เสียหาย​ได้​อย่าง​มาก​มาย. ถ้า​เรา​เริ่ม​สงสัย ความ​เชื่อ​ของ​เรา​จะ​ถูก​กัด​กร่อน​และ​หมด​ไป​ใน​ที่​สุด. เรา​ต้อง​สู้​กับ​ความ​สงสัย​อย่าง​สุด​กำลัง! จะ​ทำ​อย่าง​ไร​ล่ะ? โดย​เพ่ง​มอง​ให้​ถูก​ที่. ถ้า​เรา​เพ่ง​มอง​ที่​พระ​เจ้า​และ​พระ​บุตร​ของ​พระองค์ มอง​สิ่ง​ที่​พระองค์​ทั้ง​สอง​ได้​ทำ กำลัง​ทำ และ​จะ​ทำ​เพื่อ​ผู้​ที่​รัก​พระองค์ ความ​สงสัย​จะ​ไม่​อาจ​ทำลาย​ความ​เชื่อ​ของ​เรา​ได้. อย่าง​ไร​ก็​ตาม ถ้า​เรา​คิด​ถึง​แต่​สิ่ง​ที่​ทำ​ให้​เรา​กลัว ท้อ​แท้ หรือ​เขว​ไป​จาก​พระ​เจ้า​และ​พระ​บุตร​ของ​พระองค์ เรา​ก็​จะ​รู้สึก​สงสัย​มาก​ขึ้น.

 ทำไม​ความ​เชื่อ​ของ​เปโตร​ควร​ค่า​แก่​การ​เลียน​แบบ?
 เมื่อ​เปโตร​ตาม​พระ​เยซู​ขึ้น​มา​บน​เรือ เขา​ก็​เห็น​ว่า​พายุ​สงบ​แล้ว. ทะเล​แกลิลี​สงบ​เงียบ. เปโตร​กับ​สาวก​คน​อื่น ๆ พูด​ออก​มา​ว่า “พระองค์​เป็น​พระ​บุตร​ของ​พระเจ้า​จริง ๆ.” (มัทธิว. 14:33) เมื่อ​แสง​อาทิตย์​ยาม​เช้า​ส่อง​ไป​ทั่ว​ทะเลสาบ หัวใจ​ของ​เปโตร​คง​เปี่ยม​ด้วย​ความ​สำนึก​บุญคุณ. เขา​ได้​เรียน​รู้​ที่​จะ​เอา​ชนะ​ความ​กลัว​และ​ความ​สงสัย. จริง​อยู่ เขา​ยัง​ต้อง​ปรับ​เปลี่ยน​แก้ไข​อีก​หลาย​อย่าง​กว่า​จะ​เป็น​คริสเตียน​ที่​หนักแน่น​มั่นคง​ดุจ​ศิลา​ดัง​ที่​พระ​เยซู​พยากรณ์​ไว้. แต่​เขา​ตั้งใจ​แน่วแน่​ว่า​จะ​พยายาม​และ​ก้าว​หน้า​ต่อ​ไป. คุณ​ตั้งใจ​เช่น​นั้น​ด้วย​ไหม? คุณ​จะ​พบ​ว่า​ความ​เชื่อ​ของ​เปโตร​ควร​ค่า​แก่​การ​เลียน​แบบ​อย่าง​แน่นอน.
jw.org







วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ปรัชญาคำสอนจากพระคัมภี์ไบเบิล เกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ ความวางใจในพระเจ้า

การที่รู้ว่าท่านเป็นคริสตชนก็นับว่าดี แต่การแสดงตนเป็นคริสตชนย่อมดีกว่า.

อ้างอิงจาก พระคัมภีร์ (ยอห์น 13:35)
หากท่านรักกันและกัน คนทั้งหลายก็จะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา


จงเป็นห่วงว่าพระเป็นเจ้าทรงคิดอย่างไรกับท่าน มากกว่าการเป็นห่วงว่าคนอื่นเขาจะคิดอย่างไร.

อ้างอิงจาก พระคัมภีร์ (กิจการ 5:29)
เปโตรและสาวกอื่นๆ ตอบว่า เรานอบน้อมเชื่อฟังพระเป็นเจ้าดีกว่ามนุษย์


ความเชื่อคือการท้าทายให้จิตวิญญาณ มองไปยังที่ซึ่งตามองไม่เห็น.

อ้างอิงจาก พระคัมภีร์ (2 โครินทร์ 5:7)
แต่เราดำเนินชีวิตอาศัยความเชื่อ มิได้อาศัยสิ่งที่เรามองเห็น


ความเชื่อเที่ยงแท้ และความกล้าหาญ เปรียบเสมือนว่าว ยิ่งมีลมต้าน มักยิ่งร่อนสูงขึ้น.

อ้างอิงจาก พระคัมภีร์ (อิสยาห์ 41:31)
ส่วนผู้ที่รอคอยพระเจ้า จะฟื้นฟูพลังของตนเอง เขาจะมีปีกโผบินดังเช่นนกอินทรีย์ เขาจะวิ่งแต่ก็ไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินแต่ก็ไม่เป็นลม


พระเจ้าเป็นผู้ทรงสามารถรักษาดวงใจที่สลายได้ แต่พระองค์จำเป็นต้องมีทุกชิ้นส่วนของดวงใจนั้น.

อ้างอิงจาก พระคัมภีร์ (สุภาษิต 23:26ก.)
ลูกรัก จงมอบดวงใจให้แก่เราเถิด


พระเยซูเจ้าคือพระสหาย ผู้ทรงทราบถึง ความผิดตกบกพร่อง อันมากมายของท่าน แต่ก็ยังทรงรักท่านอยู่เช่นเดิม.

อ้างอิงจาก พระคัมภีร์(โรม 5:8)
พระเจ้าทรงสำแดงความรัก ของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา


พระเยซูเจ้าคือพระสหาย ผู้ทรงย่างกายเข้ามา เมื่อโลกย้ายออกไป.

อ้างอิงจาก พระคัมภีร์ (ยอห์น 16:33)
เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติในจิตใจของท่านเนื่องจากเรา ระหว่างที่ท่านอยู่ในโลก ท่านจะต้องทรมาน แต่จงทำใจดีไว้เถิด


มโนธรรม คือ เครื่องเตือนภัยซึ่งพระเป็น ทรงติดตั้งให้ไว้กับท่าน จงดีใจเมื่อมันทำให้ ท่านรู้สึกเจ็บ แต่จงระวังเมื่อท่านไม่รู้สึกเจ็บ.

อ้างอิงจาก พระคัมภีร์  (กิจการ 24:16)
ในข้อนี้ ข้าพเจ้าพยายามประพฤติตามมโนธรรม โดยมิให้กระทำผิดต่อพระเป็นเจ้า และต่อเพื่อนมนุษย์


สะพานเชื่อมที่ดีเลิศระหว่างความหวัง กับ ความหมดหวัง ก็คือ การนอนหลับให้เต็มอิ่ม.

อ้างอิงจาก พระคัมภีร์  (สุดดี 127:2)
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะตื่นเช้า นอนดึก เพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพ พระเป็นเจ้าทรงดูแลผู้ที่พระองค์ทรงรัก แม้ในยามที่เขานอนหลับ



ข้อมูลจากwww.wordyguru.com

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ปรัชญาคำสอนจากพระคัมภี์ไบเบิล เกี่ยวกับเรื่อง ความรัก และการเป็นผู้ให้

พระคัมภีร์ไบเบิลมีปรัชญาที่น่าสนใจเป็นจำนวนมาก มีหลายต่อหลายประโยคที่เราสามารถนำไปปรับใช้ได้ในชีวิตประจำวันของเรา

เราดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยสิ่งที่เราได้รับ แต่เรากลับเป็นผู้มอบชีวิต เมื่อเราเป็นผู้ให้

ความหมายในพระคัมภีร์  (กิจการ 20:35)
ข้าพเจ้าได้ให้ตัวอย่างแก่ท่านแล้วในทุกสิ่ง ให้ท่านเห็นว่าการกระทำดังนี้ ท่านจะสามารถช่วยผู้ที่อ่อนแอ ท่านจงรำลึกถึงพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ตรัสว่า การให้ย่อมได้บุญมากกว่าการรับ


หัวใจมีความสุขมากที่สุด เมื่อมันเต้นเพื่อคนอื่น.

ความหมายในพระคัมภีร์  (ยอห์น 15:13)
ไม่มีผู้ใดมีความรักเท่ากับ ผู้ที่ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อผู้อื่น


หนทางที่ดีที่สุดที่จะลืมปัญหาของตนเอง ก็คือการช่วยแก้ปัญหาให้ผู้อื่น.

ความหมายในพระคัมภีร์  (ฟิลลิปปี 2:4)
มนุษย์ อย่ามองเพียงปัญหาของตนเอง แต่ทุกคนควรมองดูปัญหาของผู้อื่น


ผู้ที่มีสิทธิ์ในความรักน้อยที่สุด คือผู้ที่ต้องการความรักมากที่สุด.

ความหมายในพระคัมภีร์  (มัทธิว 5:44)
แต่เราสั่งให้ท่านรักศัตรู และอธิฐานภาวนา ให้ผู้ที่กระทำผิดต่อท่าน



ผู้ที่นำแสงอาทิตย์ เข้ามาในชีวิตของผู้อื่น ย่อมไม่สามารถกั้นแสงนั้น จากชีวิตของตนเองได้.

ความหมายในพระคัมภีร์    (กาลาเทีย 6:7)
อย่าหลงผิด ไม่มีใครหลอกพระเป็นเจ้าได้ สิ่งใดที่มนุษย์หว่านไว้ เขาก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น



ชิวิตคงจะง่ายขึ้นมาก หากคนเรา แสดงความอดทนในครอบครัว ให้เท่ากับเวลาที่เขาไปนั่งตกปลา.

ความหมายในพระคัมภีร์    (1เปโต 3:7ข.)
ท่านที่เป็นสามี ก็จงอยู่กับภรรยาของท่าน ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน


จงลืมตัวท่าน เพื่อผู้อื่น แล้วเขาจะไม่ลืมท่าน.

ความหมายในพระคัมภีร์  (มัทธิว 7:12)
ดังนั้นสิ่งใดที่ท่านปรารถนา ให้ผู้อื่นกระทำแก่ท่าน ท่านก็จงกระทำสิ่งนั้นแก่เขา เพราะนี่กฎบัญญัติ และคำสอนของบรรดาประกาศก


ของขวัญอันล้ำค่า ที่เราสามารถมอบให้ผู้อื่นได้ ก็คือ ตัวอย่างที่ดี.

ความหมายในพระคัมภีร์  (ยอห์น 13:15)
เหตุว่าเราได้มอบแบบอย่างให้แก่ท่านแล้ว ทั้งนี้เพื่อ ให้ท่านทำดังที่เราได้กระทำแก่ท่าน



ข้อมูลจากwww.wordyguru.com

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ปรัชญาคำสอนจากพระคัมภี์ไบเบิล เกี่ยวกับเรื่อง การทำงานร่วมกัน

การมีอำนาจ ทำให้บางคนเติบโต แต่ทำให้บางคนเพียง บวมเท่านั้น.

คำสอนในพระคัมภีร์  (มัทธิว 23:11,12)
แต่ผู้ยิ่งใหญ่ในพวกท่าน ต้องเป็นผู้รับใช้ ผู้ใดยกย่องตัวเองจะถูกดึงให้ต่ำลง และผู้ใดที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่อง


ก้าวแรกที่นำไปสู่ความฉลาดก็คือ ความเงียบ ก้าวที่สอง คือ การรับฟัง

คำสอนในพระคัมภีร์  (สุภาษิต 1:5)
ทั้งปราชญ์จะได้ยิน และเพิ่มพูนการเรียนรู้ ส่วนคนที่มีความเข้าใจ จะได้มีความช่ำชอง


การให้อภัยคล้ายกับเป็นการปล่อยนักโทษให้เป็นอิสระ แล้วมาพบว่า นักโทษนั้นก็คือ ตัวคุณเอง

คำสอนในพระคัมภีร์   (มัทธิ 6:14,15)
หากท่านให้อภัยผู้ที่กระทำผิดต่อท่าน พระบิดาเจ้าก็จะทรงให้อภัยท่านด้วย แต่หากท่านไม่ให้อภัยผู้อื่น พระบิดาของท่านก็จะไม่ทรงให้อภัยแก่ท่านเช่นกัน



ของขวัญอันล้ำค่า ที่เราสามารถมอบให้ผู้อื่นได้ ก็คือ ตัวอย่างที่ดี.

คำสอนในพระคัมภีร์ (ยอห์น 13:15)
เหตุว่าเราได้มอบแบบอย่างให้แก่ท่านแล้ว ทั้งนี้เพื่อ ให้ท่านทำดังที่เราได้กระทำแก่ท่าน


คนที่กำลังจมน้ำ เขาจะไม่มัวบ่นว่า เครื่องชูชีพมันเล็กเกินไป.

คำสอนในพระคัมภีร์ (ฟีลิปปี 2:14)
จงทำสิ่งสารพัดโดยปราศจากการบ่น และการถกเถียงกัน


คนโง่คิดว่าเขารู้ทุกอย่าง หากท่านไปถกเถียงกับเขา ท่านก็ยิ่งโง่ไปกว่าเขาเสียอีก

คำสอนในพระคัมภีร์  (สุภาษิต 9:7)
หากท่านตักเตือนคนที่โอ้อวด ท่านก็จะได้รับแต่เพียงการดูหมิ่น และความเจ็บปวด


ความล้มเหลวมักจะไม่เกิดขึ้น เพราะเขาขาดพรสวรรค์ แต่เพราะเราขาดความเด็ดเดี่ยว.

คำสอนในพระคัมภร์  (กาลาเทีย 6:9)
อย่าเพิ่งเอือมระอาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ท่านจะได้รับรางวัลเอง เมื่อถึงเวลา


ความอดทนคือ คุณสมบัติที่ท่านชมเชยผู้ขับ รถข้างหลังท่าน แต่เป็นที่น่ารำคาญสำหรับ ผู้ที่ขับรถอยู่ข้างหน้า.

คำสอนในพระคัมภีร์  (ปัญญาจารย์ 7:8,9)
เรื่องจบ ดีกว่าเริ่มเรื่อง ความอดทนดีกว่าความหยิ่งยโส อย่าเป็นคนโกรธง่าย เหตุว่าความโกรธมักจะอยู่ในใจของคนโง่


ความเกียจคร้านและความยากจน เป็นญาติกัน

คำสอนในพระคัมภีร์  (สุภาษิต 24:33,34)
หลับนิด เคลิ้มหน่อย กอดมือพักสักนิด แล้วความจนก็จะมาหาถึงเจ้า แล้วทุกอย่างก็จะสูญหายไป


ความโมโหมักทำให้เราตกอยู่ในความลำบาก แต่ความหยิ่งต่างหาก ที่ทำให้เราอยู่ในสภาพนั้น

คำสอนในพระคัมภีร์  (สุภาษิต 16:18,19)
ความเย่อหยิ่งมาก่อนการถูกทำลาย จิตใจที่ยโสมักจะมาก่อนการหกล้ม การมีจิตถ่อมตนกับคนยาก ดีกว่า ที่จะได้ส่วนแบ่งจากของที่ริบมาจากคนหยิ่ง


คำพูดคือหน้าต่าง ที่เปิดให้เห็นหัวใจของท่าน.

คำสอนในพระคัมภีร์  (มัทธิว 12:34ข.)
เจ้าเป็นคนชั่วแล้วจะพูดความดีได้อย่างไร เหตุว่าปากนั้นพูดจากสิ่งที่มาจากใจ


จงลืมตัวท่าน เพื่อผู้อื่น แล้วเขาจะไม่ลืมท่าน.

คำสอนในพระคัมภีร์  (มัทธิว 7:12)
ดังนั้นสิ่งใดที่ท่านปรารถนา ให้ผู้อื่นกระทำแก่ท่าน ท่านก็จงกระทำสิ่งนั้นแก่เขา เพราะนี่กฎบัญญัติ และคำสอนของบรรดาประกาศก


จงเป็นห่วงว่าพระเป็นเจ้าทรงคิดอย่างไรกับท่าน มากกว่าการเป็นห่วงว่าคนอื่นเขาจะคิดอย่างไร.

คำสอนในพระคัมภีร์ (กิจการ 5:29)
เปโตรและสาวกอื่นๆ ตอบว่า เรานอบน้อมเชื่อฟังพระเป็นเจ้าดีกว่ามนุษย์


จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น แทนที่จะทำผิดเสียเองในทุกเรื่อง.

คำสอนในพระคัมภีร์  (สุภาษิต 12:15)
ทางของคนโง่นั้นถูกต้องในสายตาของเขาเอง แต่ปราชญ์ย่อมฟังคำแนะนำ


ชิวิตคงจะง่ายขึ้นมาก หากคนเรา แสดงความอดทนในครอบครัว ให้เท่ากับเวลาที่เขาไปนั่งตกปลา.

คำสอนในพระคัมภีร์  (1เปโต 3:7ข.)
ท่านที่เป็นสามี ก็จงอยู่กับภรรยาของท่าน ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน



บทเรียนจากการมองดูนาฬิกาก็คือ มันทำให้เวลาผ่านไปก็จริง แต่มันขยันทำงานตลอดเวลา.

คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 18:9)
การเป็นคนเกียจคร้าน ก็ไม่แตกต่างอะไรกับคนที่ชอบทำลาย


บุคคลที่ยากจนที่สุด ไม่ใช่คนที่ไม่มีเงิน หากแต่เป็นบุคคล ที่ไม่มีความฝัน.

คำสอนในพระคัมภีร์  (สุภาษิต 29:18ก.)
มนุษย์จะตกยาก หากไร้วิสัยทัศน์


ปัญหาของผู้ที่พูดเร็วเกินไปก็คือ เขามักจะพูดสิ่งที่เขายังคิดไม่ถึง.

คำสอนในพระคัมภีร์  (บุตรสิรา 5:2)
อย่ารีบพูด อย่าให้ใจท่านด่วนกล่าวสิ่งใดต่อพระพักต์พระเป็นเจ้า เหตุว่าพระเป็นเจ้าประทับในสวรรค์และเจ้าอยู่ในโลก ฉะนั้นขอให้เจ้าจงพูดน้อย


ผู้ที่มีสิทธิ์ในความรักน้อยที่สุด คือผู้ที่ต้องการความรักมากที่สุด.

คำสอนในพระคัมภีร์  (มัทธิว 5:44)
แต่เราสั่งให้ท่านรักศัตรู และอธิฐานภาวนา ให้ผู้ที่กระทำผิดต่อท่าน


ผู้ที่ไม่ให้อภัย คือผู้ที่ทำลายสะพานที่เขาเองจะต้องข้าม.

คำสอนในพระคัมภีร์ (มัทธิว 6:14)
หากท่านให้อภัยความผิด ที่ผู้อื่นกระทำต่อท่าน พระบิดาเจ้าของท่านในสวรรค์ ก็จะทรงให้อภัยแก่ท่านด้วย



พระเยซูเจ้าคือพระสหาย ผู้ทรงทราบถึง ความผิดตกบกพร่อง อันมากมายของท่าน แต่ก็ยังทรงรักท่านอยู่เช่นเดิม.

คำสอนในพระคัมภีร์  (โรม 5:8)
พระเจ้าทรงสำแดงความรัก ของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา


มโนธรรม คือ เครื่องเตือนภัยซึ่งพระเป็น ทรงติดตั้งให้ไว้กับท่าน จงดีใจเมื่อมันทำให้ ท่านรู้สึกเจ็บ แต่จงระวังเมื่อท่านไม่รู้สึกเจ็บ.

คำสอนในพระคัมภีร์   (กิจการ 24:16)
ในข้อนี้ ข้าพเจ้าพยายามประพฤติตามมโนธรรม โดยมิให้กระทำผิดต่อพระเป็นเจ้า และต่อเพื่อนมนุษย์


รถไฟของความล้มเหลว มักวิ่งอยู่บนรางของความเกียจคร้าน.

คำสอนในพระคัมภีร์ (บุตรสิรา 10:18)
ความเกียจคร้านมากมาย ทำให้ตึกรามเสื่อมสภาพ บ้านช่องพังลงก็เพราะมือที่เฉื่อยชา



ศิลปะของการเป็นแขกที่ดี คือการรู้ว่าเมื่อไรควรจะกล่าวคำอำลา

คำสอนในพระคัมภีร์  (สุภาษิต 25:17)
อย่าไปเยี่ยมเพื่อนบ่อยเกินไป เพราะเขาจะรู้สึกเอือมระอา และเริ่มเกลียดชังท่าน


สะพานเชื่อมที่ดีเลิศระหว่างความหวัง กับ ความหมดหวัง ก็คือ การนอนหลับให้เต็มอิ่ม.

คำสอนในพระคัมภีร์  (สุดดี 127:2)
ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะตื่นเช้า นอนดึก เพื่อทำมาหาเลี้ยงชีพ พระเป็นเจ้าทรงดูแลผู้ที่พระองค์ทรงรัก แม้ในยามที่เขานอนหลับ


หนทางที่ดีที่สุดที่จะลืมปัญหาของตนเอง ก็คือการช่วยแก้ปัญหาให้ผู้อื่น.

คำสอนในพระคัมภีร์  (ฟิลลิปปี 2:4)
มนุษย์ อย่ามองเพียงปัญหาของตนเอง แต่ทุกคนควรมองดูปัญหาของผู้อื่น


หนทางสู่ความสำเร็จ คือการนำเอาคำแนะนำ ที่ท่านมอบให้ผู้อื่น มาใช้กับตัวท่านเอง.

คำสอนในพระคัมภีร์  (สุภาษิต 15:32)
ท่านที่ไม่สนใจกับกฎวินัย ย่อมดูหมิ่นตนเอง แต่บุคคลที่รับฟังคำตักเตือน ก็จะได้รับความเข้าใจ


หัวใจมีความสุขมากที่สุด เมื่อมันเต้นเพื่อคนอื่น.

คำสอนในพระคัมภีร์  (ยอห์น 15:13)
ไม่มีผู้ใดมีความรักเท่ากับ ผู้ที่ยอมสละชีวิตของตนเองเพื่อผู้อื่น


หากท่านอยากชนะใจเพื่อน จงใช้หูฟังแทนที่จะใช้ปากพูด.

คำสอนในพระคัมภีร์ (ยากอบ 1:19ข.)
จงให้ทุกคนไวในการฟัง แต่ช้าในการพูด และช้าในการโกรธ


อย่าปล่อยให้โอกาสของท่านที่จะหุบปาก ผ่านไปได้เป็นอันขาด.

คำสอนในพระคัมภีร์  (สุภาษิต 17:28)
แม้คนโง่ ก็ถือว่าเป็นคนฉลาด เมื่อเขารู้จักสงบปากสงบคำ ผู้ที่รู้จักปิดปากตัวเอง เขาก็ถือว่าเป็นผู้มีความเข้าใจที่ดี


อารมณ์ร้ายของท่านเปรียบเสมือนไฟใหม้ หากควบคุมไม่ได้ ก็อาจเกิดความเสียหายมากมาย.

คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 25:28)
ผู้ที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็เหมือนกับเมืองที่ไม่มีกำแพง


เมื่อทุกอย่างมันวุ่นวายไปหมด ก็จงอดใจ อย่าวุ่นวายไปกับมัน.

คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 4:14)
อย่าไปเลียนแบบที่ไม่ดี ของคนชั่วช้าและเลวทราม


เราจะรู้อุปนิสัยใจคอที่แท้จริงของคนได้ ก็โดยสังเกตุว่าเขาทำอะไร เมื่อไม่มีใครเห็น.

คำสอนในพระคัมภีร์  (เอเฟซัส 6:6)
จงทำให้นายพอใจเสมอ มิใช่เวลาที่ท่านคิดว่านายกำลังมองอยู่ ท่าน คือ ทาสของพระคริสตเจ้า ดังนั้นท่านจงกระทำสิ่งที่พระเป็นเจ้า ทรงปรารถนาจากท่าน ด้วยความเต็มใจ


แต่ละวันที่ผ่านไป คล้ายกับกระเป๋าที่มีขนาดเท่ากัน คนบางคนสามารถใส่ข้าวของเข้าไป ในกระเป๋านั้นมากกว่าผู้อื่น.

คำสอนในพระคัมภีร์  (เอเฟซัส 5:15,16)
ดังนั้นท่านจงระมัดระวัง ในการดำเนินชีวิต อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนผู้มีปัญญา จงฉวยทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามา


โชคดี คือข้อแก้ตัวที่ผู้แพ้มอบให้กับผู้ชนะ.

คำสอนในพระคัมภีร์ (สุภาษิต 13:4)
วิญญาณของคนเกียจคร้านมีแต่ความอยาก แต่เขาจะไม่ได้อะไรเลย ฝ่ายวิญญาณของคนขยัน จะอ้วนพี


ใครร่วมวงนินทากับท่าน ผู้นั้นก็จะนำเอาเรื่องของท่านไปนินทาต่อ.

คำสอนในพระคัมภีร์  (สุภาษิต 11:13)
บุคคลที่เที่ยวซุบซิบมักเผยความลับ แต่บุคคลที่ไว้วางใจได้ ย่อมสามารถปิดบังทุกสิ่งไว้ได้














ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...