เรื่องบางเรื่อง ปัญหาบางปัญหา
อาจเกินความสามารถของเรา
แต่ไม่เกินความสามารถของพระเจ้า
ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เกินกำลังที่พระเจ้าจะทำได้
“ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้
แต่พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง"
(มัทธิว 19:26)
“ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง
สงสัยทำไมเล่า”
พระวรสารกล่าวถึงเรื่องของนักบุญเปโตรที่กระโดดจากเรือลงเดินบนน้ำไปหาพระเยซูเจ้า
ขณะที่เขากำลังเดินเข้าหาพระเยซูเจ้านั้น เกิดมีลมพัดแรง
ก็เกิดความกลัวแล้วจึงค่อยๆจมลง
ในขณะที่อยู่ในช่วงวิกฤตินั้นนั้นเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือจากพระเยซู “พระเจ้าข้า
ช่วยข้าพเจ้าด้วย”ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า
“ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง สงสัยทำไมเล่า”
เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นมาประทับเรือพร้อมกับเปโตรแล้ว ลมก็สงบ
คนที่อยู่ในเรือจึงเข้ามากราบนมัสการพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง”
ท่านคิดว่าตัวของท่านเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ไหม
“ตั้งใจแล้ว แต่ยังทำไม่ได้
หรือทำไม่สำเร็จ” แม้ว่าตัวของท่านจะมีความตั้งใจอย่างดีสักเพียงใดก็ตาม
ท่านลองพิจารณาถึงชีวิตประจำวันของท่านดูซิว่า
ตัวของท่านถูกผจญให้หลงกระทำความผิดหรือความบาปมากขึ้นทุกวันหรือไม่
ท่านมีความเพียรทนต่อบุคคลในบ้านหรือเพื่อนบ้านน้อยลงหรือไม่
ท่านรู้สึกว่าปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้าและพระศาสนจักรได้ยากขึ้นทุกวันหรือไม่
ท่านไปสารภาพบาปกลับมาก็ยังคงกระทำบาปเดิมๆอีก
ถ้าท่านเป็นเช่นนี้
พระวาจาของพระเจ้าประจำอาทิตย์นี้ จะเป็นคำตอบที่ดีให้กับชีวิตของท่าน
ให้เราใช้เวลาสักเล็กน้อยเพื่อหาคำตอบชีวิตจากเหตุการณ์นี้
เปโตร “กระโดดลงจากเรือ”
เดินบนน้ำไปหาพระเยซูเจ้า - พฤติกรรมเช่นนี้เปรียบได้กับชีวิตของเราได้หรือไม่
เราพยายามติดตามพระเยซูเจ้า เราได้รับศีลล้างบาปแล้ว (หรือกำลังเตรียมตัว)
เรามีเจตนาดีที่จะดำเนินชีวิตตามแบบอย่างและคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้า
เราได้ตัดสินใจแล้ว
เกิด “ลมพายุพัดแรง”
แต่แล้วในชีวิตของเราก็เกิดอุปสรรคหรือมีปัญหาต่างๆเข้ามาผจญเรา เรากลัว เราตกใจ –
เมื่อเรามีปัญหา เราหลงลืมพระเจ้าไป เราหลงทางไป เราจึงเหมือนกับเปโตรที่กำลังจะจมน้ำ
ชีวิตของเราเริ่มตกต่ำ มีความทุกข์ เกิดความเดือนร้อน ซึ่งหลายคนอาจจะจมน้ำไปแล้ว
หรือกำลังจมน้ำตาย
เปโตร “ร้องเรียกพระเยซู”
ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ – ในวิกฤติของชีวิต หรือในยามที่เราประสบกับปัญหาต่างๆ
เราร้องเรียกหาใคร เราเข้าพึ่งใคร บางคนหลงไปตามกระแสของคนทั่วไป
มีใครบอกว่าอะไรดี ก็ไปหาที่นั้น
โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นไสยศาสตร์หรือคาถาอาคมหรือไม่อย่างไร
พระเยซู “ทรงยื่นพระหัตถ์จับเขา”
- นี่แหละคือพระเจ้าของเรา ยามที่เราสำนึกผิดและเรียกหาพระองค์ พระองค์ประทับอยู่ใกล้เรามากที่สุด
เพียงแต่ว่าเราลืมพระองค์ไป เราไม่ได้นึกถึงพระองค์
เปโตรรอดตายเพราะท่านร้องเรียกหาพระองค์
ดังนั้นพระวาจาของพระเจ้าในเรื่องนี้จึงเตือนสติเรา
และเป็นข่าวดีสำหรับเราทุกคน
พระเจ้าทรงมีวิธีการสอนหรือทรงเรียกเราในหลากหลายวิธีด้วยกัน
ความทุกข์หรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นในชีวิตก็เป็นเสียงเรียกอย่างหนึ่งให้เรามนุษย์ได้หันมาหาพระองค์
หันมาพึ่งพระองค์
สิ่งที่สำคัญก็คือ
บ่อยครั้งที่เรามนุษย์มักจะมีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไป
เราพึ่งพาอาศัยความสามารถของตนเอง นึกว่าตัวเราเก่งแล้ว ยอดแล้ว แต่แท้ที่จริง
“เพราะถ้าไม่มีเรา(พระเจ้า) ท่าน(เรามนุษย์)ก็ทำอะไรไม่ได้เลย”(ยน.15:5)
ย้อนมาดูความตั้งใจของเรา
ไม่ว่าการที่เราต้องการที่จะเอาชนะการผจญ หรือการที่เราจะเอาชนะความไม่เพียรทน
หรือการเอาชนะตนเองในการปฏิบัติตามพระบัญญัติ
หรือการเอาชนะตนเองที่จะไม่กลับไปทำบาปเดิมๆอีกได้นั้น
อย่านึกว่าเป็นเรื่องที่ง่าย เพราะเรากำลังสู้กับปีศาจ ปีศาจมีกำลังมากกว่าเรามากนัก
(เพราะว่าพวกมันเคยเป็นทูตสวรรค์มาก่อน)
ดังนั้นการที่เราจะเอาชนะการล่อลวงของปีศาจเราจำเป็นต้อง “พึ่งพระเจ้า”
ตามแบบฉบับของเปโตร
แน่นอนเราต้องเพียรพยายามที่จะเอาชนะความอ่อนแอด้วยตัวของเราเองก่อน
แต่ในฐานะคริสตชน เราต้องไม่เพียงแต่พึ่งพลังกำลังของตนเองเพื่อดำรงตนเป็นคนดีเท่านั้น
เราต้อง “ทูลวอน” ขอพละกำลังหรือความเชื่อเหลือจากพระเจ้าด้วย
ทุกครั้งที่เราถูกผจญหรือตั้งใจแล้วยังล้มเหลว ขออย่าให้เรายอมแพ้
แต่จงยกสายตาของเราขึ้นหาพระเจ้า แล้วทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์ นี้แหละคือข่าวดีของพระเจ้าที่มีต่อเราทุกคน
“ข้าแต่พระบิดา..โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้การผจญ
แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ อาแมน”
kamsondeedee.com
ทำไมเปโตรเริ่มวอกแวก และนั่นก่อผลเช่นไร?
พระองค์สอนบทเรียนสำคัญอะไรแก่เปโตร?
เปโตรต้องเพ่งมองไปที่พระเยซู.
พระเยซูคือผู้ที่ทำให้เปโตรเดินบนน้ำได้โดยใช้อำนาจจากพระยะโฮวา.
พระเยซูทำเช่นนั้นเพราะเห็นว่าเปโตรมีความเชื่อในพระองค์.
แต่เปโตรกลับวอกแวก. เราอ่านว่า “เมื่อเห็นพายุเขาก็กลัว.”
เปโตรกลัวมากเมื่อเห็นคลื่นซัดกระแทกเรือและแตกกระเซ็นเป็นฟอง
กระจายไปกับลม. เขาอาจนึกภาพว่า
ตัวเองกำลังจะจมน้ำตายในทะเลสาบนั้น. ยิ่งเขากลัว
ความเชื่อของเขาก็ยิ่งลดน้อยลง. ชายที่ได้ชื่อว่าศิลาเพราะมีศักยภาพที่จะยืนหยัดมั่นคงเริ่มจมลงเหมือนหินก้อนหนึ่งเนื่องจากความเชื่อสั่นคลอน.
เปโตรเป็นคนว่ายน้ำเก่ง แต่เขากลับไม่ว่าย. เขาร้องว่า
“พระองค์เจ้าข้า โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วย!” พระเยซูจึงจับมือและดึงเขาขึ้นมา.
ขณะที่ยังอยู่บนผิวน้ำนั้น พระองค์ได้สอนบทเรียนสำคัญแก่เปโตร.
พระองค์ตรัสว่า “เจ้าผู้มีความเชื่อน้อย เจ้าสงสัยทำไม?” (มัทธิว 14:30,31)
ทำไมความสงสัยจึงอันตราย
และเราจะสู้กับแนวโน้มนี้ได้อย่างไร?
ความสงสัยอาจเป็นพลังที่ก่อความเสียหายได้อย่างมากมาย.
ถ้าเราเริ่มสงสัย ความเชื่อของเราจะถูกกัดกร่อนและหมดไปในที่สุด.
เราต้องสู้กับความสงสัยอย่างสุดกำลัง! จะทำอย่างไรล่ะ? โดยเพ่งมองให้ถูกที่.
ถ้าเราเพ่งมองที่พระเจ้าและพระบุตรของพระองค์
มองสิ่งที่พระองค์ทั้งสองได้ทำ กำลังทำ และจะทำเพื่อผู้ที่รักพระองค์
ความสงสัยจะไม่อาจทำลายความเชื่อของเราได้. อย่างไรก็ตาม
ถ้าเราคิดถึงแต่สิ่งที่ทำให้เรากลัว ท้อแท้
หรือเขวไปจากพระเจ้าและพระบุตรของพระองค์
เราก็จะรู้สึกสงสัยมากขึ้น.
ทำไมความเชื่อของเปโตรควรค่าแก่การเลียนแบบ?
เมื่อเปโตรตามพระเยซูขึ้นมาบนเรือ
เขาก็เห็นว่าพายุสงบแล้ว. ทะเลแกลิลีสงบเงียบ. เปโตรกับสาวกคนอื่น ๆ
พูดออกมาว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าจริง ๆ.” (มัทธิว. 14:33)
เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าส่องไปทั่วทะเลสาบ
หัวใจของเปโตรคงเปี่ยมด้วยความสำนึกบุญคุณ.
เขาได้เรียนรู้ที่จะเอาชนะความกลัวและความสงสัย. จริงอยู่
เขายังต้องปรับเปลี่ยนแก้ไขอีกหลายอย่างกว่าจะเป็นคริสเตียนที่หนักแน่นมั่นคงดุจศิลาดังที่พระเยซูพยากรณ์ไว้.
แต่เขาตั้งใจแน่วแน่ว่าจะพยายามและก้าวหน้าต่อไป.
คุณตั้งใจเช่นนั้นด้วยไหม? คุณจะพบว่าความเชื่อของเปโตรควรค่าแก่การเลียนแบบอย่างแน่นอน.
jw.org
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น