มีเวลาสำหรับทุกสิ่ง
หลังจากที่ตัวเราเองต้องพบกับการสูญเสีย
บุคคลที่เรารักไปหลายคนในช่วงเวลาไม่มี่ปีที่ผ่านมา ทุกคนเป็นคนใกล้ตัว
ล้วนเป็นบุคคลที่เรารักและท่านทั้งหลายก็รักเราเช่นกัน เมื่อตอนเรายังเด็ก
เราอาจจะรู้สึกเสียใจและร้องไห้สำหรับการสูญเสียและด้วยความเป็นเด็ก
เราเองก็ยังไม่ได้คิดอะไรร้องไห้สักพักก็ปรับตัว หลงลืมไปบ้างตามกาลเวลา แต่ ณ ตอนนี้ อายุเราเองก็เพิ่มมากขึ้น
เรากลายเป็นพ่อคนแม่คน เรารู้สึกว่าการเดินทางของชีวิตของเราเริ่มจะสั้นลง เพราะบุคคลคนที่เรารักมากมาย
ต่างก็เริ่มล้มหายตายจาก ไม่จากเป็น ก็จากตาย เราเริ่มได้คิดมากขึ้น
และอยากใช้เวลาที่พระเจ้าทรงมอบให้เราบนโลกใบนี้ให้คุ้มค่าที่สุดและเป็นพระพรกับคนอื่นให้ได้มากที่สุด
เมื่อร่างกายเจ็บป่วย หรือความแก่ชราใกล้เข้ามามันทำให้เราคิดถึงชีวิตหลังความตายมากกว่า
ชีวิตบนบ้านหลังนี้
เมื่อครั้งเป็นเด็ก
เราคงจะคิดถึงแต่ตนเอง และคนในครอบครัวเป็นหลัก โดยดำเนินชีวิตแบบยึดเอาอารมณ์และความรู้สึกของตนเป็นที่ตั้งในการนำทางชีวิต
มีติดเพื่อน อยากคิดอยากทำตามเพื่อนก็ทำ คิดน้อยไตร่ตรองน้อย สำนึกน้อย
ตามกระแสสังคมไปเรื่อยเปื่อย แต่พออายุมากขึ้น มีลูกมีครอบครัวที่เราต้องคอยดูแลเอง
เราเริ่มคิดและห่วงใยถึงอนาคตของเขา
และเราอยากจะปลูกฝังหลักง่าย ๆ ในการดำเนินชีวิตให้กับเขา เพื่อที่เขาจะได้เติบโตอย่างสวยงาม
และเป็นไปในทางของพระเจ้า ไม่อยากให้เขาต้องหลงทางเหมือนกับเรา
เพราะในสมัยที่เรายังเป็นเด็ก เราเองก็ไม่ได้ทำตามคำสอนของพระเจ้าในทุกเรื่องหรือให้ความสำคัญกับการศึกษาพระคัมภีร์มากเท่าไหร่
ดังนั้น เราจึงต้องการปลูกฝังให้ลูกหลานของเราหมั่นศึกษาพระคัมภีร์ตั้งแต่ตอนนี้
เพื่อให้เขามีเป้าหมายในชีวิต ให้เขาได้รู้ว่าเขามาจากอะไร ใครคือผู้สร้างของเขา
และพระเจ้ารักเขามากเพียงใด เพราะหลังจากที่เราได้มองย้อนกลับไปดูอดีตของตนเอง
ก็พบข้อผิดพลาดมากมายที่เราได้ทำไม่ว่าจะกับตนเอง หรือกับผู้อื่นก็ตาม ตัวเราเองก็ไม่อยากให้ความผิดพลาดเหล่านั้นมันเกิดขึ้นกับรุ่นลูก
ๆ ของเราเช่นกัน
สำหรับลูก ๆ ของเราไม่ใช่แค่เราต้องเลี้ยงเขาให้เจริญเติบโตแต่เพียงร่างกาย
ตัวเรานั้นอยากให้เขาเติบโตควบคู่กันไปกับฝ่ายวิญญาณ โดยเราคิดว่าเราควรเริ่มปลูกฝังสิ่งนี้เสียตอนที่เขายังเยาว์วัย
เพื่อให้เขามีภูมิต้านทานในชีวิตเร็วขึ้น เข้าใจชีวิตมากขึ้น รู้จักวิธีรับมือกับชีวิตเร็วขึ้น
เราอยากปลูกฝังให้เขามีจิตใจที่รักและเชื่อฟังในพระเจ้า มีใจนบนอบ
เลือกทำในสิ่งที่พระเจ้าจะทรงพอพระทัย และหากลูก ๆ มีคำถามว่า?
แล้วอะไรคือสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยล่ะ?
เราก็จะบอกให้เขาอ่านและศึกษาจากพระคัมภีร์ ซึ่งในนั้นมีคำตอบและคำสอนมากมาย มีคำหนุนใจมากมาย
มีปัญญามากมาย ไว้ให้เราทุกคนได้ค้นหา และพระเยซูทรงทำไว้ให้เป็นแบบอย่างมากมาย
รวมถึงบุคคลสำคัญอื่น ๆ อีกมากมายที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้
หากใครใส่ใจมากก็จะกอบโกยความรู้และความรอดได้มาก
สิ่งหนึ่งที่เราเริ่มบอกลูกชายของเราคือ
ทุกสิ่งมีวาระของมัน หากเรารู้จักใช้ชีวิตอย่างมีสติ และเข้าใจชีวิตว่าทุกอย่างมีวาระของมันอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะต้องเจอกับสถานการณ์ที่ดี หรือเลวร้าย เราจะสามารถเข้มแข็ง
และผ่านมันไปได้ เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าทรงดูแลเราอยู่ เกิดแก่
เจ็บตายเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ อย่าให้ใจเราไปยึดติดอยู่กับสิ่งใดมากไปกว่าการยึดติดกับความรักของพระเจ้าเลย
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้ถวายทั้งกายใจ ความคิด วาจา
กิจการ ให้กับพระองค์แล้ว ตัวเราเองเชื่อว่า ชีวิตของเราจะไม่พลาดจากพระพรเลย
ไม่ว่าจะเป็นพระพร ที่ดูเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
หากเรามีใจที่รู้จักขอบพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอ เราจะมีโอกาสได้พบกับพระพรที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
และตัวเราเองสามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้แต่ละคนนั้นมันยิ่งใหญ่เกินความคาดหมายที่จากเราได้ขอไว้กับพระองค์เสียอีก
ดังนั้นอย่ามัวแต่นั่งตัดพ้อกับโชคชะตาอยู่เลย
จงตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเราเองให้ดี ทำให้มันเป็นไปในทางที่ถูกต้อง
ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระเจ้า
เพราะพระองค์ทรงมีแผนการดีไว้สำหรับเราทุกคน และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
เราจะได้รับมันแน่นอน สุดท้ายตัวเราเองเชื่อว่า
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ที่เราพยายามปลูกฝังให้กับลูก
นี่แหละคือขุมสมบัติที่วิเศษสุดที่แม่คนนี้จะสามารถมอบให้กับลูกได้ หากวันข้างหน้าลูกของเราเขาต้องอยู่อย่างลำพัง
โดยไม่มีเรา เขาจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ และอยู่ในเส้นทางของพระเจ้าแน่นอน
หากเขาได้ทำความรู้จักกับพระคัมภีร์แต่เนิ่น ๆ เสียแต่ยังเด็ก
1มีเวลาสำหรับทุกสิ่ง
มีกำหนดเวลาสำหรับกิจกรรมทุกอย่าง
ภายใต้ฟ้าสวรรค์นี้
2มีเวลาเกิด เวลาตาย
เวลาปลูก เวลาถอน
4เวลาร้องไห้ เวลาหัวเราะ
เวลาไว้ทุกข์ เวลาเต้นรำ
8เวลารัก เวลาเกลียด
เวลาสงคราม เวลาสันติ
10ข้าพเจ้าเห็นภาระซึ่งพระเจ้าทรงวางไว้บนมนุษย์
11พระองค์ทรงทำให้ทุกสิ่งงดงามตามเวลาของมัน
ทั้งทรงตั้งนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์
ถึงอย่างนั้นมนุษย์ก็ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำตั้งแต่ต้นจนจบได้
12ข้าพเจ้ารู้ว่าสำหรับมนุษย์ไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำตัวให้มีความสุข
และทำดีขณะยังมีชีวิตอยู่
13คนเราทุกคนควรกิน ดื่ม
และหาความอิ่มใจในการตรากตรำทำงานทั้งสิ้น เพราะนี่คือของขวัญจากพระเจ้า
ปัญญาจารย์ 3
“คนเราเกิดมาทำไม?” หรือ “เกิดมาเพื่ออะไร?” คงเป็นคำถามที่หลายคนเคยสงสัย และต้องการหาคำตอบ
หากเรามีคำตอบให้กับคำถามนี้ว่า
“คนเราเกิดมาเพื่อเตรียมตัวตาย”
หากเราคิดได้แบบนี้ เราเองก็ย่อมมีสมาธิที่จะมุ่งสร้างสรรค์แต่สิ่งที่ดีงามให้แก่ชีวิตได้มากกว่า
และย่อมมีโอกาสที่จะฝึกฝนจิตใจให้เข้มแข็งกว่าคนซึ่งไม่มีการเตรียมตัวมาเลย
ปกติคนเรามักไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องความตาย
บ้างก็คิดว่าการนึกถึงเรื่องความตายเป็นสิ่งอัปมงคล
เพราะเหตุนี้หลายคนจึงประมาทในการใช้ชีวิต หลงมัวเมาในทรัพย์สมบัติ
เหลิงในอำนาจวาสนา บางคนยังคงใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย
ตักตวงและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์โดยหลงลืมไปว่าความตายรอเราอยู่เบื้องหน้าและอยู่ใกล้ชิดเราราวกับหายใจรดต้นคอ
แต่หากคนเรายึดหลักความตายเป็นข้อคิดในการดำเนินชีวิต คิดเพียงว่า
ตายไปแล้วไม่มีใครเก็บเอาสิ่งใดติดตัวไปได้ นอกจากคุณความดีที่ผู้คนจะรำลึกถึงเราได้บ้าง
เพราะว่า ‘ปัญญา’
มักจะเกิดจากการเรียนรู้ตอน ‘ใกล้ตาย’
ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นก็อาจสายเกินกว่าจะแก้ไขสิ่งใดได้ เพราะฉะนั้นยิ่งเราเตรียมตัว
‘ตายก่อนตาย’ ได้เร็วเท่าไร
ก็ทำให้เราประพฤติปฏิบัติตัวเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายได้ดีกว่าคนอื่นได้เร็วเท่านั้น นั่นคือการหลุดพ้นจากความทุกข์หรือความสุขได้เร็วขึ้น เพราะเราจะไม่ยึดติดกับสิ่งใด เพราะใจเรารู้ว่าทุกอย่างมีวาระของมัน เมื่อมันผ่านเข้ามา มันก็จะผ่านออกไป ดังนั้นจงฝึกคิดว่าวันนี้เราต้องเผชิญกับความตาย
และลองทำวันนี้ให้เหมือนกับวันสุดท้ายของชีวิต แล้วเราจะพบว่า ‘ความตาย’
สามารถสร้างสิ่งที่งดงามให้กับชีวิตและคนรอบข้างได้อีกมากมาย
ขอพระเจ้าอวยพรและคุ้มครองทุกท่าน
อ่านพระคัมภีร์วันละนิด ชีวิตปลอดภัย
Crews Love God
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น