วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

รักลูกให้ถูกทาง - อ่านพระคัมภีร์วันละนิด ชีวิตปลอดภัย



รักลูกให้ถูกทาง - อ่านพระคัมภีร์วันละนิด ชีวิตปลอดภัย
สภษ. 22:6 “จงอบรมเด็กในทางที่เขาควรจะไป  และเมื่อเขาโตขึ้น  เขาจะไม่หันเหไปจากทางนั้น”  (อมตธรรม)

พระคัมภีร์ไบเบิล เป็นพระวัจนะของพระเจ้าที่ทรงพลังมาก เปรียบเสมือนขุมทรัพย์แห่งชีวิต หากใครได้ศึกษาและนำมาปฏิบัติให้เกิดผลจริงในชีวิตแล้ว ชีวิตของเขาก็จะพบเจอกับพระพรมากมาย ต่อให้ต้องเจออุปสรรคบ้าง เขาก็จะไม่กลัว เพราะเขารู้ดีว่าพระเจ้าทรงรักและดูแลเขาอยู่ พระคัมภีร์เปรียบเสมือนเข็มทิศในการนำชีวิต หากใครได้ก้าวตาม เขาจะพบหนทางแห่งความรอด  และพบสันติสุขที่แท้จริงในชีวิต

 แล้วเราจะช่วยลูกให้รักพระเจ้าได้อย่างไร? ลูกของคุณจะรักพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อเขาเชื่อว่าพระองค์มีอยู่จริงและมั่นใจว่าพระองค์รักเขาจริง ๆ และที่เขาจะรักพระเจ้าได้ก็ต้องรู้จักพระองค์ก่อนเช่น เขาต้องรู้ว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์มาทำไม? ทำไมพระเจ้ายอมให้มีความทุกข์? ในอนาคตพระเจ้าจะทำอะไรบ้างเพื่อมนุษย์? เพื่อคุณจะช่วยลูกให้รักพระเจ้า คุณต้องทำให้เขาเห็นว่าคุณเองก็รักพระเจ้า เมื่อลูกเห็นว่าคุณรักพระเจ้า เขาก็อยากจะเลียนแบบคุณ

การเป็นพ่อแม่อาจเป็นเรื่องยาก แต่มันก็ทำให้เรามีความรู้สึกเหมือนได้รับรางวัลและสมปรารถนาเช่นกัน เพราะพระเจ้าทรงมีอะไรมากมายที่จะตรัสเกี่ยวกับวิธีเลี้ยงดูลูกอย่างประสบความสำเร็จโดยการทำให้เขาเป็นคนที่อยู่ในทางของพระองค์ สิ่งแรกที่เราจะต้องทำคือการสอนให้เขารู้จักความจริงเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าด้วยการอ่านพระคัมภีร์กับลูก ๆ หาเวลาอ่านและทำความเข้าใจร่วมกันในครอบครัว เราสามารถทำได้ทุกเวลา ไม่จำเป็นต้องเป็นแค่เวลาก่อนเข้านอน

นอกจากเราจะรักพระเจ้าและเป็นตัวอย่างของคนที่อยู่ในทางของพระเจ้าด้วยการทำตามคำสั่งของพระองค์แล้ว เรายังจำเป็นจะต้องสอนถ้อยคำเหล่านั้นให้กับลูกหลานอยู่เสมอ ดังคำสอนที่ว่า  “และพวกท่านจงอุตส่าห์สอนถ้อยคำเหล่านั้นแก่บุตรหลานของท่าน เมื่อท่านนั่งอยู่ในเรือน เดินอยู่ตามทาง และนอนลงหรือลุกขึ้น จงพูดถึงถ้อยคำนั้น จงเอาถ้อยคำเหล่านี้พันไว้ที่มือของท่านเป็นหมายสำคัญ และจงจารึกไว้ที่หว่างคิ้วของท่าน และเขียนไว้ที่เสาประตูเรือน และที่ประตูของท่าน” (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:7-9) โดยการนำคำสอนที่พระเจ้าทรงให้กับคนฮีบรูมาประยุกต์ใช้ เราสอนบุตรหลานของเราว่า การนมัสการพระเจ้านั้นควรเป็นการกระทำตลอดเวลา ไม่ใช่เป็นเพียงการกระทำในวันอาทิตย์หรือในการอธิษฐานตอนกลางคืนเท่านั้น แต่เราสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ความรักที่มาจากใจจริง พระเจ้าสามารถสัมผัสได้ ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อโอ้อวดให้ใครต่อใครเห็น ขอเพียงแค่เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นบริสุทธิ์ มาจากใจที่รักพระองค์ นอบน้อมต่อพระองค์ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

ส่วนมากคนที่เป็นพ่อแม่จะให้ความสำคัญกับเด็กในเรื่องสุขภาพร่างกาย อาหารการกิน เป็นเรื่องหลัก  แต่ไม่ค่อยจะเตรียมอะไรสำหรับฝ่ายจิตใจ จิตวิญญาณของลูก ในความเป็นจริงแล้วขณะที่เด็กอยู่ในครรภ์นั้นเขาสามารถรับรู้ ซึมซับสิ่งที่เราสั่งสอนหรือสิ่งที่เราป้อนถ้อยคำแห่งชีวิตเพื่อสร้างอนาคตที่ดีทั้งด้านจิตใจจิตวิญญาณได้  เพราะฉะนั้นคำพูดที่กล่าวว่า “เด็กเลี้ยงได้แต่กาย จิตใจเลี้ยงไม่ได้” นั้นไม่เป็นความจริง เขาจะดีหรือไม่ดีนั้นอยู่ที่พ่อแม่สอนหรือฝึกเขาในยามที่เขาเกิดจนถึงวัยเด็ก เรามาดูในพระคัมภีร์ที่ยกตัวอย่างเรื่องเด็กกัน

มัทธิว 18:1-4
กล่าวถึงให้เรากลับใจใหม่เหมือนเด็กเล็ก ๆ เพราะเด็กมีความจริงใจใสซื่อ ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม  เมื่อเขาสำนึกผิดนั่นหมายถึงเขาเสียใจจริง  และใน 2 ทิโมธี 1:5-6  กล่าวถึงการที่เราจะปั้นและสร้างเด็กอย่างไร  เปาโลได้ระลึกถึงทิโมธีชายหนุ่มถึงความเชื่อ สัตย์ซื่อ มีคุณธรรม มีความรัก ความจริงใจ มีของประทานปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า  เหล่านี้ได้ส่งต่อจากยาย ถ่ายทอดถึงแม่ ไปสู่ทิโมธี  ซึ่งขี้ให้เห็นว่าความเชื่อ สามารถถ่ายทอดจากครอบครัวไปสู่ลูกหลานได้ตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก  ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริง ๆ

1 ยอห์น 1:2-3
กล่าวถึงอัครสาวกยอห์นได้เขียนหนังสือเล่มนี้จากสิ่งที่เขาได้เห็นและได้ยินจากพระเยซูคริสต์  จึงเกิดเป็นชีวิตในตัวเขาและถ่ายทอดออกมา  จากประสบการณ์จะเห็นเด็ก ๆ มากมายที่มีพฤติกรรมเหมือนผู้ใหญ่ เมื่อถามหาความจริงแล้วก็รู้ว่าเด็กเหล่านั้นมีพฤติกรรมเหมือนพ่อแม่ จากสิ่งที่เขาได้เห็น และได้ยินเป็นประจำ

แต่ในทางกลับกันมีเรื่องจริงน่าเศร้าเกิดขึ้นจากครอบครัวหนึ่งมีลูกสาวฝาแฝด คนหนึ่งดูเก่ง เข้มแข็ง อีกคนหนึ่งดูอ่อนแอ แม่ของเขาก็พูดบ่อย ๆ ว่าลูกที่เข้มแข็งจะมีชีวิตที่ดีประสบความสำเร็จ ส่วนคนที่อ่อนแอต้องแย่มีชีวิตที่ล้มเหลวแน่นอน แล้วก็เป็นอย่างที่แม่ของเขาพร่ำบ่นประจำ คนที่อ่อนแอมีชีวิตที่ล้มเหลวและฆ่าตัวตายในที่สุด  ดังนั้นเรื่องนี้จะเป็นอุทาหรณ์ที่ดีว่าเด็ก ๆ จะได้ยินสิ่งที่พ่อแม่พูดถึงเขาบ่อย ๆ และเขาจะเป็นอย่างที่พ่อแม่พูด  เพราะฉะนั้นเราควรพูดแต่สิ่งที่ดีให้ลูกได้ยินและให้เขาเชื่อว่าเขาจะเป็นไปตามสิ่งที่ดีอย่างที่พูดนั้น

สรุปว่าขอให้พระเจ้าทรงช่วยพวกเราทุกคนที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดี และเป็นแบบอย่างที่ดี พูดในสิ่งที่ดีกับเขา ใช้เวลาอยู่กับเขาให้มาก  และฝึกเขาในทางของพระเจ้าตั้งแต่เขาเกิด คือพาเขามาโบสถ์  ควบคุมเวลาในการใช้ชีวิตที่ยุ่งเกี่ยวกับสื่อต่าง ๆ เช่น เกมส์ อินเตอร์เน็ต หนังสือการ์ตูน ภาพยนต์ เพราะถ้าเราไม่เป็นตัวอย่างที่ดีในการรักพระเจ้า ติดสนิทและอธิษฐานพึ่งพาพระเจ้าเดี๋ยวนี้แล้ว  วันหนึ่งที่ท่านอยากให้เขารักพระเจ้า เขาอาจจะไม่ทำและย้อนถามกลับว่าทำไมพ่อแม่ไม่ทำบ้าง  รวมไปถึงทุก ๆ คนที่มาวัด ต่างก็ต้องเป็นตัวอย่างที่เด็ก ๆ เพราะเด็กทุกคนเฝ้าจับตาดูเป็นแบบอยู่ เพราะฉะนั้นท่านควรเป็นแบบอย่างที่ดี ในการดำเนินชีวิตคริสตชน เปรียบเหมือนเป็นพ่อแม่ฝ่ายวิญญาณของเด็ก ๆ ทุกคน 

ในมัทธิว 18:6 กล่าวว่า “แต่ถ้าใครทำให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่วางใจในเราหลงผิดไป เอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอคนนั้นแล้วถ่วงเขาเสียที่ทะเลลึกก็จะดีกว่า”  หวังว่าจากคำสอนเหล่านี้พวกเราทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วตระหนักถึงความสำคัญและกลับใจใหม่ในการดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างที่ดีกับลูกหลานของพวกเราเอง ใส่ใจเข้มงวดในการฝึกเขาในทางที่เขาจะเดินไปกับพระเจ้าตั้งแต่เดี๋ยวนี้ และรวมถึงเด็ก ๆ ทุกคนที่มาวัดวันอาทิตย์  เพื่อถวายเกียรติสิริแด่พระเจ้า  เพื่อลูกหลานและเด็ก ๆ ทุกคนจะเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระเจ้า

ขอพระเจ้าทรงอวยพรทุกท่าน
Crews Love God

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ อ่านมัทธิว 26:3 ถึง 27:66 ยูดาสตอบรับการเรียกของพระเยซูให้ติดตามเช่นเดียวกับสาวกคนอื่นๆ เขาออ...