วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2561

การใช้ชีวิตร่วมกับคนหลงตัวเองอย่างมีความสุข



การใช้ชีวิตร่วมกับคนหลงตัวเองอย่างมีความสุข (ทุกข์น้อยหน่อย)

คนที่หลงตัวเอง นาร์ค หรือ นาซิซีติส (Narcisisitic) คือผู้มีอาการทางจิตชนิดหนึ่ง กลุ่มคนประเภทนี้จะกลัวความขายหน้าเป็นที่สุด จึงไม่ยอมที่จะให้ตัวเองดูแย่ในสายตาคนอื่น แต่ชอบทำตัวให้โดดเด่น ดูดี มีความมั่นใจในตัวเองสูง ไม่สนใจสายตาใคร ถ้ามีคนชื่นชมยกย่องก็จะยิ่งกระตุ้นให้มีอาการมากขึ้น แต่ในทางกลับกันถ้าไม่ได้ถูกตำหนิ ติเตือนก็จะยิ่งทำให้เกิดการกระทบกระทั่งอย่างรุนแรง จนอาจทำให้ซึมเศร้าจนไปก่ออันตรายทำเรื่องร้ายแรงให้แก่ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดได้

สาเหตุที่คนหลงตัวเองเกิดจากบุคลิกภาพที่เป็นมาจากพันธุกรรม สภาพแวดล้อมในวัยเด็ก ไปจนถึงการถูกเลี้ยงดู จนเบี่ยงเบนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะในบุคลิกของผู้นั้น อาการของโรคอาจจะเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่รุ่นสู่รุ่น และนอกจากพันธุกรรมแล้ว การเลี้ยงดูที่ผิดวิธีก็เป็นส่วนที่สำคัญมาก ๆ ที่ก่อให้เกิดอาการหลงตัวเองได้

คนที่โรคหลงตัวเองมักจะคิดว่าตัวเองเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลก โดยมักจะคิดเสมอว่าไม่มีใครเก่งเกินตัวเอง ไม่สามารถที่จะยอมรับในความสามารถของคนอื่นได้เลย เพราะหลงคิดแต่ว่ามีตัวเองเท่านั้นที่ลาดและเก่งที่สุดแล้ว คนที่หลงตัวเองมักจะคิดอะไรเข้าข้างตัวเองอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีคนแสดงอาการไม่พอใจหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้ป่วยเป็น เขาก็มักจะคิดว่าคนรอบข้างอิจฉา หรือไม่ก็คิดว่าคนอื่นด้อยกว่าตัวเอง ผู้่หลงตัวเองมักจะทึกทักเอาเองว่าตัวเองเด่นจนคนต้องอิจฉา เขามักจะทำอะไรแบบไร้คุณธรรม ขาดจิตสำนึก ไม่กลัวใครหน้าไหนทั้งสิ้น และไม่สามารถแยกแยะความดีความชั่วได้ คิดว่าเองสมบูรณ์แบบที่สุด ใครทำอะไรให้ก็ไม่ถูกใจ ผู้หลงตัวเองมักจะดูถูก ตำหนิ และทะเลาะเบาะแว้งกับคนอื่นอยู่เป็นประจำ

การอยู่ร่วมกับคนที่หลงตัวเอง เราจำเป็นต้องเตรียมพร้อม และตระหนักถึงความจริง ศึกษาหาความรู้ ข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ให้ถ่องแท้จึงเราจึงจะสามารถช่วยตัวเองและคนป่วยให้พ้นจากความเครียด ความกดดัน และปัญหาต่างๆ ที่ต้องเผชิญรายวันกับการอยู่ร่วมกับผู้หลงตัวเอง คุณไม่สามารถรอให้ใครมาช่วยได้เลย เพราะมีแต่ตัวคุณเท่านั้นที่จะช่วยปลดปล่อยตัวเองให้เป็นไทจากความยุ่งยากทั้งปวงที่เกิดจากการอยู่ร่วมกับผู้หลงตัวเอง เพราะพื้นฐานจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรมของผู้ป่วยโรคหลงตัวเองจะแตกต่างจากคนอื่นๆ ในโลกธรรมมะ โลกแห่งความเป็นจริง โลกของผู้ที่มีสุขภาพจิตที่ดีๆ พึงปฏิบัติต่อกันอย่างสิ้นเชิง ผู้หลงตัวเองจะขังตัวเองในโลกแคบๆ ที่มีตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง ทุกคนที่คิดเห็นต่างไปจากผู้หลงตัวเอง หรือกล้าขัดคอคนที่หลงตัวเอง ก็จะกลายเป็นศัตรูถาวรไปเลย เพราะโอกาสที่ผู้หลงตัวเองจะรู้ตัว กล้ายอมรับ และอยากให้ตัวเองอยู่อย่างปกติสุขกับคนอื่นๆ มีน้อยมากๆ เพราะจะว่าไปแล้วผู้หลงตัวเอง คือผู้ที่หลอกตนเอง ไม่กล้าที่จะยอมรับจุดอ่อน ข้อบกพร่อง และข้อจำกัดของตัวเอง เพราะในสายตาของผู้หลงตัวเองนั้นไม่มีใครเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบเท่าตัวเขาอีกแล้ว

ดังนั้นจึงสำคัญมากที่บุคคลที่อยู่ร่วมกับผู้หลงตัวเองต้องตระหนัก และปรับเปลี่ยนตัวเองให้พร้อมรับมือ ไม่ตกเป็นเหยื่อของคนประเภทนี้ จนเครียด ซึมเศร้า และล้มป่วยจนถึงกับชีวิตในที่สุด คนที่โดนผู้ป่วยโรคหลงตัวเองทำร้ายจิตใจ อารมณ์ ร่างกายมักจะล้มป่วยเพราะภูมิคุ้มกันที่บกพร่อง อ่อนแอ ขี้โรค เพราะผู้หลงตัวเองจะทำลายตัวตน ความคิด จิตใจ ทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างคุณไว้อย่างดีงามเสียสิ้น คนที่หลงตัวเองมักจะทำให้คุณสับสน รู้สึกตัวไม่มีคุณค่า ทำอะไรให้คนที่หลงตัวเองก็จะมองว่าไม่ดีทั้งสิ้น สำหรับผู้หลงตัวเองนั้น คุณไม่มีทางเป็นเพื่อน ผู้ร่วมงาน ลูก พ่อแม่ ภรรยา สามี หรือแฟนที่ดีในแบบที่เขาจินตนาการอยากให้เป็นได้เลย สำหรับเขาแล้ว คุณไม่เคยมีตัวตน ไม่มีจิตใจ เหมือนหุ่นยนต์ ยิ่งคุณพยายามทำดี แก้ไข เปลี่ยนแปลงตัวเองเท่าใด คุณก็ยิ่งรู้สึกไปไม่ถึงไหน คนที่หลงตัวเองจะมองคุณเป็นเหมือนศัตรู คู่แข่ง ที่ไม่มีทางดีพอสำหรับเขาเลย เพราะผู้หลงตัวเองนั้นมักจะหลงผิดไปว่าเขาเท่านั้นคือคนที่ดีที่สุดในโลกใบนี้

เมื่อต้องอยู่ร่วมสังคมกับผู้หลงตัวเอง หรือคนที่มีอาการแบบ NPD ควรระมัดระวังที่จะทำและไม่ทำสิ่งที่ผู้หลงตัวเองไม่ชอบดังต่อไปนี้

1. ผู้หลงตัวเองชอบคิดแต่เรื่องของตัวเอง และชอบยอยอตัวเองเสมอ ๆ

ดังนั้นจึงป่วยการที่คุณจะว่ากล่าว ตักเตือน ผู้หลงตัวเองให้หันมามองโลกตามความเป็นจริง ถ้าคุณพูดตักเตือนก็เท่ากับว่าคุณไปจี้จุดอ่อนของเขา ทำให้เขาได้รับความอับอายที่สุด ผู้ป่วยโรคหลงตัวเองมองคุณเป็นแค่เชื้อเพลิงหรือเครื่องมือที่จำเป็นในการยกยอ ปอปั้น เพิ่มพลังอีโก้ให้เขามากยิ่งขึ้นๆ ถ้าคุณหลงพูดความจริงที่ตรงข้ามกับจินตนาการของเขา ผู้หลงตัวเองจะถือว่าคุณก็คือศัตรู คู่อาฆาตของเขาดีๆ นี่เอง วิธีที่ดีที่สุดเมื่อเขาเริ่มเพ้อถึงความดีจอมปลอมของเขา คุณก็เงียบ เดินหนี หรือพยายามหลีกเลี่ยงร่วมวงสนทนาไปทำอย่างอื่นเสีย

2. ผู้หลงตัวเองมักจะชอบเรียกร้องความสนใจ อยากเป็นคนอื่นๆ ให้ความสำคัญตลอดเวลา

ผู้หลงตัวเองชอบเข้าสังคมกับคนที่เติบโตมาด้วยกัน คอเดียวกัน ชอบในสิ่งที่ผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรมเหมือนๆ กัน ชอบกลั่นแกล้งคนอื่นเหมือนๆ กัน เขาไม่ชอบอยู่ร่วมกับคนดีมีศีลธรรม แต่จะเข้าร่วมสังคมเฉพาะเมื่อสังคมนั้นมีผลประโยชน์ต่อเขา ทำให้เขามีหน้ามีตา เป็นจุดเด่นของสังคมนั้นๆ ความดีที่เขาอ้างว่าทำเพื่อคนอื่นนั้นมีเลศนัยเสมอ ถ้าสังคมไหนไม่มีผลประโยชน์เอื้อให้กับเขา เขาก็จะถอยห่างออกจากสังคมนั้นอย่างแนบเนียน คุณจะเห็นผู้หลงตัวเองอยู่แต่ในที่ๆ เขาเป็นจุดสนใจ และเป็นบุคคลสำคัญของที่แห่งนั้น คุณจะไม่เห็นคนแบบนี้แอบทำความดีเงียบๆ แบบไม่มีใครเห็นเป็นอันขาด หากคุณรู้สึกไม่สบายใจในที่ๆ เขาไป ที่ๆ ทำให้เขาเย่อหยิ่งในอีโก้ของเขา คุณก็ควรหลีกเลี่ยงไม่ไปร่วมวงกับเขา และไปร่วมเฉพาะในสังคมที่คุณรู้สึกสบายใจที่จะเข้าร่วมเท่านั้น เมื่อเขาเห็นคุณมีจุดยืนที่ชัดเจนแล้ว ในที่สุดเขาจะเลิกเชิญชวนคุณไปเอง คนเช่นนี้จะพยายามข่มให้คุณทำตามใจเขา คุณไม่ควรฝืนทำตามใจเขาจนเสียตัวตน อัตลักษณ์ที่แท้ ที่พระเจ้าสร้างคุณไป ทุกข์สุขที่แท้ของคุณขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้หลงตัวเอง เพราะในที่สุด คุณก็จะไม่มีทางฝืนเป็นอย่างที่ผู้หลงตัวเองอยากให้เป็นไปได้ตลอดชีวิตได้เลย

3. ผู้หลงตัวเองมักคิดว่าตัวเองเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในโลก

คนที่ต้องอยู่ร่วมบ้าน ร่วมสังคมกับผู้หลงตัวเองย่อมรู้สึกแปลกแยกกับการที่ต้องปรนนิบัติแบบ VIP ต้องเป็นฝ่ายให้ผู้หลงตัวเองตลอดเวลา ใน Bible บอกว่าบุคคลที่รดน้ำ ตัวเขาเองก็จะได้การรดน้ำด้วย แต่กับผู้หลงตัวเองนั้นคุณต้องเป็นฝ่ายให้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ตลอดเวลาจนหมดสิ้นเรี่ยวแรงที่จะให้อีกต่อไป หากเขาให้สิ่งใดกับคุณเพียงน้อยนิด เขาก็จะเก็บเอามาทวงบุญคุณไม่มีสิ้นสุด การทำดีกับผู้หลงตัวเองต้องไม่คาดหวังว่าเขาจะมาตอบแทนคุณบ้าง เพราะหากคิดเช่นนั้นคุณจะผิดหวังอย่างแน่นอน พระเยซูตรัสให้ทำความดีแม้แต่กับศัตรู รวมทั้งควรทำดีมีเมตตาต่อผู้หลงตัวเองต่อไปด้วย แต่การทำดีกับผู้หลงตัวเองนั้นคุณก็ต้องรู้ข้อจำกัดของตนเองด้วย อย่าทำจนคุณรู้สึกหมดไฟ หรือรู้สึกว่าถูกขูดเลือด ขูดเนื้อ เอาเปรียบ จงฉลาดมากๆ อย่าซื่อเพียงอย่างเดียวเมื่อต้องรับมือกับคนเช่นนี้

4. ผู้หลงตัวเองมักชอบเพ้อฝันเกินจริง มักมโนกับสิ่งที่เป็นภาพลวงตา คิดว่าตัวเองเก่ง และต้องได้รับแต่สิ่งดี ๆ

กับผู้หลงตัวเอง คุณคือบุคคลสำคัญที่ควรแยกแยะให้ออกว่าสิ่งไหนคือความจริง สิ่งไหนคือภาพลวงตาของผู้หลงตัวเอง เพราะยิ่งคุณอยู่ใกล้ชิดกับผู้หลงตัวเองนานขึ้นๆ คุณก็เริ่มคิดลบ คิดร้าย คล้อยตามเหมือนผู้ป่วยโรคหลงตัวเองมากขึ้นๆ จนแทบไม่หลงเหลือตัวตนที่แท้จริงที่พระเจ้าสร้างอย่างดี มีคุณค่า มีอัตลักษณ์ ยิ่งอยู่ใกล้ผู้หลงตัวเองที่ชอบยกยอตนเองมากเท่าใด คุณก็ยิ่งรู้สึกตัวเองต่ำต้อยด้อยค่าลงไปเท่านั้น อย่าให้ผู้หลงตัวเองเอาป้ายที่บอกว่าคุณไร้ค่าแขวนคอให้คุณเด็ดขาด เพราะพระเยซูไถ่คุณด้วยเลือดพระองค์เองที่ล้ำค่าที่สุดในโลก ดังนั้นคุณจึงมีค่าเสมอในสายตาพระเจ้า ไม่ว่าผู้หลงตัวเองจะพยายามกดคุณให้ต่ำลงเพียงไรก็ตาม

5. ผู้หลงตัวเองมักโมโหร้าย อารมณ์แปรปรวน ขึ้นๆ ลง และมักจะไม่พอใจอะไรบ่อย ๆ จนคาดเดาไม่ได้

คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้หลงตัวเองได้ แต่คุณสามารถเลือกได้ว่าจะอยู่อย่างปลอดภัย หรือจะแยกตัวออกไปอยู่ในที่ๆ ปลอดภัยกว่าได้ อย่าทิ้งโอกาสทองที่คุณจะเป็นอิสระจากคนแบบนี้ จงฉลาดในการสร้างชีวิตใหม่ที่จะอยู่ร่วมสังคมกับคนที่สุขภาพจิตดีๆ แน่นอน ไม่มีผู้หลงตัวเองคนไหนเต็มใจให้คุณเป็นอิสระหรอก คุณต้องปรึกษากับคนที่คุณไว้ใจได้ และเข้าใจคุณจริงๆ เพราะคนส่วนมากจะรู้ไม่เท่าทัน และหลงไปเข้าข้างผู้หลงตัวเอง ที่ฉลาดแกมโกง เขาจะสร้างละครตบตาหลอกล่อให้คนอื่นเข้าใจว่าเขาเป็นคนดี คุณต่างหากที่สร้างปัญหา ซึ่งแต่ละฉากที่ผู้หลงตัวเองสร้างมาเพื่อหลอกตัวเองและผู้อื่นนั้นตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คนดีๆ เขาปฏิบัติต่อกันเสมอ ถ้าวันหนึ่งคุณเดินออกไปจากชีวิตของคนๆ นี้ได้แล้ว ให้บอกตัวเองว่าคุณทำถูกต้องแล้ว คุณทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณแล้ว อย่าลังเล อย่าหันหลังกลับเด็ดขาด แม้เขาจะเสแสร้งทำดีกับคุณเพียงใดก็ตาม เพราะนั่นคือหน้ากาก สักวันความจริงก็จะปรากฏเสมอ บางครั้งใช้เวลานานมากกว่าคุณจะแยกแยะออกว่าอันไหนคือโฉมหน้าที่แท้จริง อันไหนคือหน้ากากของเขา

6. ผู้หลงตัวเองมักจะไม่สนใจความรู้สึกของคนรอบข้างเสมอ

ผู้หลงตัวเองจะปราศจากความเห็นอกเห็นใจคนอื่น มันเหมือนกับต่อมความรักของเขาผิดปกติมาตั้งแต่เกิด ยากที่เขาจะมอบความรักแท้ให้คนอื่นได้ แต่เขาจะฉลาดและวางแผนแนบเนียนตบตาให้คนอื่นคิดว่าเขารัก และหวังดี ข่าวดีคือคุณยังมีเวลาที่จะปลีกตัวออกมาจากความสัมพันธ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ เพราะมีฆาตกรเลือดเย็นจำนวนมากที่พัฒนาจากผู้ป่วยโรคหลงตัวเองที่ฆ่าผู้หญิงที่หมดหนทางสู้ เช่น Ted Bundy เหยื่อของเขามักจะเป็นคนดี ซื่อ ใจอ่อน ขี้สงสาร และใจดี ถ้าคุณซื่อเหมือนนกพิราบ แต่ไม่ฉลาดรู้เท่าทันเกมส์ของผู้ป่วยโรคหลงตัวเอง คุณก็จะเสียเงิน เสียเวลา และเสียอนาคตในที่สุด ความซื่อและแสนดีไม่สามารถเปลี่ยนคนแบบนี้ให้หันมาเห็นอกเห็นใจคุณได้เลย นับวันผู้หลงตัวเองจะยิ่งข่มเหงคุณยิ่งๆ ขึ้น หากคุณเลือกที่จะอยู่ต่อกับผู้หลงตัวเอง คุณก็ควรพยายามปรึกษาผู้ที่เชียวชาญด้านความรุนแรงในครอบครัว หรือหาวิธีป้องกันการถูกทำร้ายร่างกาย จิตใจ อารมณ์ จนรู้ช่องทางหนีที่ไล่เป็นอย่างดี เพราะผู้หลงตัวเองจะเอาเปรียบคุณในที่มืด แต่จะแกล้งทำดีกับคุณในที่แจ้ง

7. ผู้หลงตัวเองต้องการที่จะเอาชนะคุณและทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ โดยไม่สนใจผิดถูก ชั่วดี คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ทำอะไรได้ตามใจชอบ

อย่าเสียเวลาคุยเรื่องเหตุและผลกับผู้หลงตัวเองอย่างเด็ดขาด เพราะเขาต้องชนะคุณในทุกเกมส์ ทุกเรื่อง ทุกครั้งที่เถียงกับคุณ คติของเขาคือแพ้ไม่เป็น เขาจะมองทุกเรื่องที่คุณยกขึ้นมาพูดด้วยเหตุผลว่าเป็นการโจมตีเขา ฉีกหน้าเขา ทำลายอีโก้ของเขา และเขาจะทำลายคุณด้วยวาจาจาบจ้วง ล่วงเกิน จนกว่าคุณจะยอมแพ้ ล่าถอย และยอมรับว่าเป็นฝ่ายผิดเสียเอง สำหรับเขาแล้ว เขาคือเทพที่ไม่เคยทำสิ่งใดผิดพลาดเลย

8. ผู้หลงตัวเองมักจะคิดว่าตัวเองมีแต่คนอิจฉา หรือรู้สึกอิจฉาคนรอบข้างบ่อยครั้ง

ผู้หลงตัวเองจะมองไม่เห็นใครดีเท่าเขา อยู่ต่อหน้าเขา คุณจะต้องไม่เผลอพูดจาชื่นชมใคร เพราะเขาจะถือว่าคุณชมคนอื่นข้ามหน้าข้ามตาเขาได้อย่างไร เขาต้องดีที่สุดในสายตาคุณ และเขาต้องดีกว่าคุณในทุกๆ เรื่อง เขาจะทนไม่ได้ถ้าใครมาชื่นชมคุณ เพราะเขาคือจุดศูนย์กลางของโลกเท่านั้น ไม่ใช่คุณ ไม่ใช่ใคร

9. ผู้หลงตัวเองต้องการอำนาจ ต้องการคำชมเชย และอยากเป็นที่รักของคนอื่นอยู่เสมอ

ผู้หลงตัวเองรักคนอื่นไม่เป็น ขาดความรัก คนไม่ค่อยมีความสุขเมื่ออยู่กับเขา แต่เขาเองกลับต้องการความรักอย่างรุนแรง เขารู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับพี่น้อง เพื่อนฝูงที่ยอมรับอาการเขาอย่างที่คุ้นเคยกันมาแต่เด็กๆ หรือคนที่ชอบกลั่นแกล้ง รุนแรงกับคนอื่นๆ เหมือนเขา สำหรับคนกลุ่มใหม่ๆ เขาจะกลัว ไม่กล้าสร้างไมตรี หลบตา จะคบคนแค่ผิวเผินเท่านั้น เพราะผู้หลงตัวเองกลัวคนอื่นรู้บาดแผลและความผิดปกติของเขา

ในความสัมพันธ์กับคนที่เป็นเหยื่อของผู้หลงตัวเอง เขาจะรีบควบคุม รวบหัว รวบหาง ฉกฉวยโอกาสคนที่ดีๆ ซื่อๆ รู้ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมที่ล้ำลึกเหมือนงูของเขา กว่าคนดีๆ เหล่านี้จะรู้ตัวก็ต่อเมื่อเขาค่อยๆ เพิ่มองศาของไฟในหม้อต้มจนเหยื่อสุกเปื่อย ปล่อยเลยตามเลย หมดกำลังจะหลบหนีนักล่าเหยื่อเลือดเย็นเช่นนี้เสียแล้ว พระเจ้าจึงสอนย้ำเสมอให้เราฉลาด อย่าเชื่อฟังคำพูดใครง่ายๆ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป เขาก็จะเผยธาตุแท้ออกมาในที่สุด

10. ผู้หลงตัวเองมักจะเอาแต่ใจตัวเอง เอารัดเอาเปรียบคนอื่นหรือไม่ รู้สึกเหมือนตัวเองเหนือกว่าคนอื่น และผลักคนที่หมดประโยชน์ให้พ้นทางอย่างเลือดเย็นที่สุด

ความต้องการของผู้หลงตัวเองต้องมาเป็นที่หนึ่งเสมอ ถ้าเขาอยากไปไหน ทำอะไร อยากได้อะไร ความต้องการของเขาก็ต้องมาก่อนของคุณเสมอ ไม่ว่ายามนั้นคุณจะเป็น จะตาย คุกเข่า ขอร้องทั้งน้ำตาก็ไม่มีวันที่เขาจะเห็นอก เห็นใจ เมตตา หรือมีใจอยากให้คุณพ้นทุกข์ หรืออยากเห็นคุณมีความสุข เพราะสำหรับผู้หลงตัวเองแล้วคุณไม่มีตัวตน และโลกต้องวิ่งรอบความต้องการของเขาก่อนเสมอ ผู้หลงตัวเองจะเลือกเหยื่อที่เขาสามารถควบคุมได้เท่านั้น

11. ผู้หลงตัวเองมักจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง อวดกร่างไปทั่ว หยิ่งยโส

พฤติกรรมของผู้หลงตัวเองอีกแง่หนึ่งคือเป็นพวกต่อต้านสังคม สร้างปัญหาให้กับกฎหมายบ้านเมือง ถูกตามใจจนเสียคน ขาดความยับยั้งช่างใจ ใครอยู่ใกล้ก็มีแต่เดือดร้อนอยู่เนืองๆ เพราะตัวเขาคือพระเจ้าที่อยู่เหนือกฎหมาย สามารถทำผิดได้โดยจิตสำนึกไม่ฟ้อง ไม่สนใจคำตักเตือนใครทั้งนั้น แต่ผู้หลงตัวเองกลับเกลียดคนที่คอยเตือนสติเขา และมักจะเป็นคนใจร้าย ใจจืด ใจดำ ไร้ความปราณีเป็นที่สุด

12. ผู้หลงตัวเองมักจะคบกับใครไม่ได้นาน มักอยู่ร่วมกับคนอื่นยาก เพราะเขาชอบที่จะเป็นผู้รับ โดยที่ไม่คิดจะเป็นผู้ให้ เมื่อให้ใคร เขาก็คิดคำนวณผลประโยชน์ไว้ในใจแล้ว

การคบกับใครได้นานๆ คนเราก็ต้องเรียนรู้ในการเป็นผู้ให้และผู้รับอย่างสมดุล แต่ผู้หลงตัวเองจะเรียกร้องอยากได้รับจากผู้อื่นเสมอ แต่การที่เขาจะหยิบยื่นให้ผู้อื่นนั้นแสนยากเย็น ดังนั้นการอยู่ร่วมกับผู้หลงตัวเอง คุณต้องรู้จักที่จะวางขอบเขตุให้ชัดเจน ไม่ปล่อยให้เขามาฉกฉวยเอาทุกอย่างไปจากชีวิตคุณจนหมด ต้องรู้จักรัก เห็นคุณค่าตัวเอง ไม่ปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายทำร้ายคุณ คุณควรเรียนรู้วิธีที่จะป้องกันตัวเองให้ปลอดภัยจากผู้หลงตัวเอง ถ้าคุณไม่ลุกขึ้นมาขีดเส้นขอบเขตุ (Set up boundaries) เสียแต่วันนี้ ก็หมดหวังที่จะรอผู้หลงตัวเองมาทำเพื่อคุณ เพราะเป้าหมายของผู้หลงตัวเองคือการล่าเหยื่อที่ใจดีเป็นแม่พระ อ่อนแอ และไม่รู้จักป้องกันตนเอง ในที่สุดก็จะถูกผู้หลงตัวเองสูบเลือดสูบเนื้อไปจนหมดเรี่ยวแรง หมดพลัง ค่อยๆ แห้งตายทั้งเป็น ถ้าคุณไม่เข้มแข็งเพื่อตัวเอง ก็ยากที่ใครจะทำเพื่อคุณ เพราะยากที่คนภายนอก คนใกล้ชิด หรือแม้แต่คนในครอบครัวจะเข้าใจธาตุแท้ของผู้หลงตัวเอง เพราะต่อหน้าคนอื่น เขาจะดูปกติดีทุกอย่าง มีแต่คุณเท่านั้นที่รู้ว่าการอยู่กับผู้หลงตัวเองนั้นมันต้องทนทุกข์ทรมาณสักเพียงใด แม้คุณจะหลุดพ้นออกมาได้ ผ่านการบำบัดเยียวยาแล้ว แต่ก็กว่าจะหายดีก็ใช้เวลามาก ยิ่งคุณทนทุกข์มากหลายปีเท่าไหร่ เวลาที่จะรักษาให้หายเป็นปกติก็ยิ่งใช้เวลานานมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น ยิ่งคุณสามารถหลุดพ้นจากการใช้ชีวิตร่วมกับผู้หลงตัวเองได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี

ผู้หลงตัวเองคบกับผู้อื่นนั้นอย่างไม่เสมอภาค เพราะเขาจะให้คนอื่นมีชีวิตอยู่เพื่อเขา คอยบริการเขา เสียสละให้เขาถึงเป้าหมายในสิ่งที่เขาต้องการ เมื่อเขารับแล้ว ก็เขี่ยคนอื่นทิ้งเสีย แน่นอนเราย่อมไม่อยากอยู่ใกล้คนที่คอยเอาเปรียบ หลอกใช้เรา คนที่มีนิสัยเช่นนี้ ในที่สุดก็ฝังรากลึกกลายเป็นคนหลงตัวเอง หรือ narcissistic personality disorder (NPD) ซึ่งเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่งที่รักษายากและไม่ค่อยมีวิธีรักษาที่ได้ผลดีเท่าไหร่
นอกจากนี้ คนใกล้ชิดก็จะคอยปลีกตัวออกห่าง ยกเว้นพ่อแม่พี่น้องที่ที่ทนอยู่ด้วยความจำเป็น เพราะเขาจะความคาดหวังต่อคนอื่นสูง ยึดตัวเองเป็นหลัก และมองโลกในแง่ร้าย (ที่มา พ.ญ. อุมาพร ตรังคสมบัติ) เขาจะคอยชักใยเอาเหยื่อไว้ใช้งานอย่างชาญฉลาด ถ้าเหยื่อรู้ตัว เขาก็จะทำดีเพื่อให้เหยื่อตายใจ แล้วกลับไปสู่คราบซาตานอีก วนเวียนอยู่อย่างนั้น จนกว่าเหยื่อจะหมดความหมาย

13. ผู้หลงตัวเองมักอ่อนไหวง่าย และมักจะเสียใจเกินเหตุ เขาจะทนไม่ได้กับการถูกวิพากษ์วิจารณ์

ผู้หลงตัวเองมักจะมีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์ เพราะภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นมาคือตัวเขาเป็นเทพที่สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ การทำให้เขาต้องอับอายแม้ด้วยคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ไม่อาจให้อภัยได้ การอยู่กับผู้หลงตัวเองก็เหมือนเดินบนเปลือกไข่ เพราะไม่ว่าคุณจะพูดอะไรก็ต้องระวังตัวแจตลอดเวลา ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคุณแทบจะทำไม่ได้เลย การเผชิญหน้ากับคนเช่นนี้ต้องอาศัยบุคคลที่สามที่เขานับถือช่วยพูดคุยไกล่เกลี่ยให้ เพราะต่อหน้าคนอื่นเขาจะวางฟอร์มดี พูดจารู้เรื่อง แต่จะตรงกันข้ามเมื่ออยู่กับคุณสองต่อสอง เขาอาจทำร้ายคุณมากขึ้นก็เป็นไปได้ที่บังอาจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขา เป็นไปได้ที่คนส่วนมากจะไม่เชื่อเรื่องที่คุณเล่า แต่คุณต้องยืนหยัดต่อไป จนกว่าจะเจอคนที่เขาพร้อมจะเป็นที่ปรึกษาให้คุณ ช่วยเหลือคุณ เพราะคุณไม่สามารถหลุดพ้นจากอุ้งมือมารได้ด้วยตัวคุณคนเดียว

14. ผู้หลงตัวเองจะไม่ยอมรับความผิดของตัวเอง แต่จะโทษว่าเป็นความผิดของคุณหรือคนอื่นเสมอ

การอยู่ร่วมสังคมกับผู้หลงตัวเอง เหมือนกับคุณถูกบังคับให้เป็นฝ่ายยอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ทุกครั้งที่เกิดความผิดพลาดใดๆ ในชีวิตของเขา มันก็จะเป็นศรย้อนกลับมาที่คุณเสมอ แต่ถ้าสิ่งใดที่รู้ทั้งรู้ว่าเป็นความผิดของเขา เขาก็จะลืมไปอย่างรวดเร็ว เขาจะจำอะไรไม่ได้ขึ้นมาทันที แต่เขาเลือกที่จะจำความผิดพลาดของคุณเป็นอย่างแม่นยำ และนำมาตอกย้ำทุกครั้งที่มีโอกาส ผู้หลงตัวเองจะให้อภัยคนอื่นไม่เป็น แต่จะมองตัวเองดีไร้ที่ติ การอยู่ร่วมกับคนเช่นนี้ คุณควรฉลาดเลือกที่จะเงียบ หรือเลือกที่จะพูดอะไรที่อ่อนโยน สุภาพ เหมาะสม และรู้ว่าคำๆ ไหนที่จี้จุดอ่อนของเขาก็หลีกเลี่ยงเสีย คุณไม่ควรโทษตัวเองในคำตำหนิอย่างไม่เป็นธรรมของเขา เพราะผู้ป่วยโรคหลงตัวเองถ้าไม่ได้ทะเลาะกับใคร เขาก็จะนอนไม่หลับ ปัญหาเป็นของเขาที่ต้องแก้เอง ไม่ใช่ปัญหาของคุณที่ต้องตามแก้ให้เขา หน้าที่ของคุณคือสงบเพื่อสยบปัญหา พูดง่ายแต่ทำยากนะคะ ขอพระเจ้าให้พลังคุณมีชัยชนะในสนามรบที่เข้มข้นนี้

ดังนั้นการอยู่ร่วมกับผู้ป่วยโรคหลงตัวเองอย่างสันติจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย ยิ่งอดทนนานวัน คุณจะยิ่งสลดหดหู่ ย่ำแย่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อสุขภาพจิตที่ดี คุณควรหลีกเลี่ยงการพบปะกับผู้ป่วยโรคหลงตัวเองให้เหลือน้อยที่สุด พยายามแยกตัวออกมา พยายามวางขอบเขตุให้ชัดเจนว่าสิ่งไหนที่คุณรับได้หรือไม่ได้ และผลลัพธ์ที่หนักแน่นเมื่อเขาล่วงละเมิดขอบเขตที่คุณวางไว้ คุณควรหาเวลาอยู่ใกล้ชิดกับเพื่อนดีๆ คนอารมณ์ดีๆ ที่จะช่วยดึงคุณออกจากหุบเหวแห่งความซึมเศร้าจากคนที่สูบพลังจากคนจนหมดถัง หาเวลาอ่านหนังสือดีๆ ที่ช่วยให้คุณรับมือกับคนประเภทนี้ได้ อ่าน Bible หรือหนังสือดีๆ ที่เติมพลังชีวิต สื่อดีๆ ที่ให้กำลังใจคุณที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตะวันส่องแสงในเช้าวันใหม่เสมอทุกๆ วัน เพราะฉะนั้นวันใหม่ที่ดีๆ ก็ยังมีเตรียมไว้เพื่อคุณเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวันเช่นกัน

อย่าลืมว่าผู้หลงตัวเองเป็นผู้ที่ไร้ความเมตตา เขาพร้อมจะทำลายคุณได้เสมอ แม้ว่ามองผิวเผินแล้วคุณอาจคิดว่าเขารักคุณ และคุณก็อาจหลงรักเขา แต่จริงๆ แล้วเขาค่อนข้างจะอันตรายทีเดียว คนที่เขารักคุณเขาย่อมอยากทนุถนอมคุณ ไม่ทำร้ายคุณแบบคนประเภทนี้ หากคุณตัดสินใจที่จะออกไปจากชีวิตของผู้หลงตัวเอง ไม่ว่าคุณกำลังคิดจะเปลี่ยนงาน ย้ายบ้านเพื่อให้ปลอดภัยจากบุคคลประเภทนี้ คุณก็ควรทำอย่างฉลาด และปรึกษาผู้รู้ ผู้ชำนาญเรื่องการถูกทำร้าย เพื่อหาช่องทางที่จะเดินออกมาอย่างปลอดภัยกับทั้งชีวิตและทรัพย์สินของคุณเอง

ในที่สุด คุณจำเป็นที่จะให้อภัยผู้หลงตัวเอง แม้ว่าเขาจะเคยร้ายกับคุณสักเท่าใด หรือแม้เขาจะไม่เคยขอโทษก็ตาม ทั้งนี้เพื่อคุณจะไม่ติดในโซ่ตรวนแห่งความขมขื่น แม้โอกาสที่ผู้หลงตัวเองจะรู้ปัญหาของตัวเองและยอมปรับปรุงแก้ไขจะมีน้อยมากๆ แต่ก็ฝากเขาไว้กับพระเจ้าที่จะช่วยให้เขากลับตัว กลับใจ มาเป็นคนดีของสังคมได้ ก็มีผู้ป่วยโรคหลงตัวเองบางรายเหมือนกันที่กล้ายอมรับว่าตนเองเป็นผู้ป่วย และหันมาเป็นผู้ให้ความรู้กับคนอื่นที่ตกเป็นเหยื่อของผู้ป่วยโรคหลงตัวเอง มีแต่พระเจ้าและนักบำบัดมืออาชีพที่ชำนาญด้านการรักษาผู้ป่วยโรคหลงตัวเองเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาได้ เพราะคนกลุ่มนี้จะฉลาดพูดให้แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญหลงประเด็นไปได้

สำหรับคุณคงทำได้ก็เพียงแต่เอาใจช่วยเขาอยู่ห่างๆ เท่านั้น เห็นใจเขา และเข้าใจในการอาการผิดปกติของเขา ไม่ซ้ำเติมอาการที่ผิดปกติที่แม้แต่ตัวเขาก็คงไม่ได้อยากเป็น แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องระวังที่จะไม่ให้พิษร้ายจากโรคนี้เป็นเหมือนน้ำกรดที่จะกระเด็นมาโดนตัวคุณจนเกิดบาดแผลซ้ำแล้ว ซ้ำอีกโดยไม่จำเป็น คุณควรคิดหาทางออก และคำพูดโต้ตอบอย่างระมัดระวังไว้ล่วงหน้าด้วย

ขอให้ชัยชนะ และชีวิตใหม่ที่สดใสเป็นของทุกคนที่อ่านนะคะ ขอเป็นกำลังใจให้ค่ะ

เรียบเรียงโดย คุณนวลักษณ์ 23 June 2017
1 คธ 3:18-23 "18อย่าให้ผู้ใดหลอกลวงตัวเอง ถ้าผู้ใดในพวกท่านคิดว่า ตัวเป็นคนมีปัญญาตามหลักของยุคนี้ จงให้ผู้นั้นยอมเป็นคนโง่ จึงจะเป็นคนมีปัญญาได้ 19เพราะว่าปัญญาของโลกนี้ เป็นความโง่เขลาในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระองค์ทรงจับคนที่มีปัญญาด้วยอุบายของเขาเอง 20และมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์อีกว่า พระเจ้าทรงทราบว่า ความคิดของคนมีปัญญาเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ 21เหตุฉะนั้น อย่าให้ผู้ใดยกมนุษย์ขึ้นอวด ด้วยว่าสิ่งสารพัดเป็นของท่านทั้งหลาย"

ขอบคุณที่มา : “โรคหลงตัวเอง” จากนิสัยสู่อาการทางจิต โรคที่ต้องได้รับการรักษา
Narc. in the Bible are lovers of self, lovers of money, proud, arrogant, abusive, disobedient to their parents, ungrateful, unholy, heartless, unappeasable, slanderous, without self-control, brutal, not loving good, treacherous, reckless, swollen with conceit, lovers of pleasure rather than lovers of God, having the appearance of godliness, but denying its power. ####Avoid such people!

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ฉันจะจัดการกับความเครียดได้อย่างไร?



ฉันจะจัดการกับความเครียดได้อย่างไร?
พระเยซูคริสต์อยู่ภายใต้แรงกดดันตลอดเวลา มีคนเรียกร้องเวลาจากพระองค์มาก จนแทบไม่มีเวลาส่วนพระองค์เลย พระองค์ถูกขัดจังหวะเป็นประจำ ผู้คนเข้าใจพระองค์ผิดๆ วิพากษ์วิจารณ์ และเยาะเย้ยพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระองค์มีความเครียดมากขนาดว่าถ้าเป็นเราก็คงล้มครืนไปแล้วแน่ๆ  แต่เมื่อดูชีวิตพระคริสต์ เราจะพบทันทีว่า พระองค์ยังคงสงบนิ่งภายใต้แรงกดดันได้ ไม่เคยเร่งรีบ ไม่เคยกังวลเลย พระองค์มีความสงบในชีวิตที่ช่วยให้สามารถรับมือกับความเครียดมากมายได้พระองค์ทำแบบนี้ได้อย่างไร?
คำตอบก็กล่าวได้ง่าย ก็คือๆว่า พระองค์วางชีวิตบนหลักการที่ถูกต้องในการจัดการความเครียด ถ้าเราเข้าใจและนำหลักการทั้งแปดนี้มาใช้ในชีวิต เราก็จะเครียดน้อยลง และมีจิตใจสงบมากขึ้น

การหาเอกลักษณ์:รู้ว่าคุณเป็นใคร
พระเยซูตรัสว่า "เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืดเลย แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต" (ยน.8.12) "เราเป็นประตู" (ยน.10:9 KJV) "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต" (ยน.14:6) "เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี" (10:11) "เราเป็นบุตรของพระเจ้า" (ยน.10:36) พระคริสต์รู้ว่าพระองค์เป็นใคร!

หลักการแรกในการจัดการความเครียดในชีวิต คือ รู้ว่าคุณเป็นใคร นี่คือหลักการหาเอกลักษณ์ของตัวเอง พระเยซูตรัสว่า "เรารู้ว่าเราเป็นใคร เราเป็นพยานถึงตัวเราเอง" (ยน.8:18) เรื่องนี้สำคัญยิ่งในการจัดการความเครียด เพราะถ้าคุณไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร คนอื่นๆอาจพยายามบอกว่า พวกเขาคิดว่าคุณเป็นใคร ถ้าคุณไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร คุณจะปล่อยให้คนอื่นมาควบคุมโดยไม่รู้ตัว และกดดันให้คุณเชื่อว่าคุณเป็นใครบางคนที่ไม่ใช่คุณความเครียดมากมายในชีวิตเป็นผลมาจากการซ่อนตัวอยู่หลังหน้ากาก การดำเนินชีวิตสองมาตรฐาน โดยไม่เป็นตัวจริงต่อหน้าคนอื่นๆ และพยายามจะเป็นอะไรที่เราไม่ได้เป็น ความไม่มั่นคงมักสร้างแรงกดดันในชีวิตเสมอ และเมื่อเราไม่มั่นคง เราก็รู้สึกถูกบังคับให้แสดงออกและทำตาม เราตั้งมาตรฐานที่ไม่จริงสำหรับชีวิต และถึงแม้เราจะพยายาม ทำ ทำ ทำ แต่ก็จะไม่สามารถบรรลุมาตรฐานที่ไม่จริงเหล่านั้นได้ ความเครียดและแรงกดดันก็จะเกิดตามมาโดยธรรมชาติ

วิธีแรกที่จะรักษาสมดุลความเครียดในชีวิตผมก็คือ หาสมดุลภายในว่าผมเป็นใครก่อน และผมจะรู้ว่าตัวเองเป็นใครก็ต่อเมื่อรู้ว่าผมเป็นของใคร ผมเป็นลูกพระเจ้า การที่ผมมาอยู่ในโลกนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เพื่อเป้าหมายบางอย่าง ผมเป็นที่รักยิ่งของพระเจ้า และพระองค์ยอมรับผม พระองค์มีแผนการสำหรับชีวิตผม และเพราะพระองค์วางผมไว้ในโลกนี้ ผมจึงมีความสำคัญและการที่พระองค์วางคุณไว้ที่นี่ คุณจึงมีความสำคัญ การจะรับมือความเครียดได้คุณต้องรู้ว่าคุณเป็นใคร จนกว่าคุณจะจัดการปัญหานี้ได้ก่อน มิเช่นนั้นคุณก็ถูกหยุดยั้งจากความไม่มั่นคงเรื่อยไป

การอุทิศตัว:รู้ว่าคุณพยายามเอาใจใคร
หลักการที่สองในการจัดการความเครียดในชีวิตของพระคริสต์พบได้ในยอห์น 5:30 "เราทำสิ่งใดโดยลำพังตัวเองไม่ได้เลย เราพิพากษาตามที่เราได้ยินเท่านั้น และคำพิพากษาของเรายุติธรรมเพราะเราไม่ได้มุ่งทำให้ตนองพอใจแต่มุ่งให้พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาพอพระทัย"

หลักการนี้คือ: รู้ว่าคุณกำลังพยายามเอาใจใคร คุณไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ เพราะกว่าคนกลุ่มหนึ่งจะพอใจคุณ อีกกลุ่มก็อารมณ์เสียกับคุณเรียบร้อยแล้ว แม้แต่พระเจ้าก็ไม่เอาใจทุกคน  ฉะนั้น จึงเป็นการโง่เขลาที่จะพยายามทำสิ่งที่แม้แต่พระเจ้าก็ไม่ทำ!  พระเยซูรู้ว่าพระองค์พยายามทำให้ใครพอใจ นี่เป็นประเด็นที่พระองค์ไม่ลังเลเลย "เราจะทำให้พระเจ้าพระบิดาพึงพอพระทัย" และพระบิดาตรัสตอบว่า "ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก" (มธ.3:17)

เมื่อคุณไม่รู้ว่าคุณพยายามทำให้ใครพอใจ คุณก็จะพลาดในสามเรื่องนี้ คือ การวิพากษ์วิจารณ์ (เพราะคุณสนใจแต่ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับคุณ) การแข่งขัน (เพราะคุณกังวลว่า คนอื่นกำลังแซงหน้าคุณไปหรือเปล่า) และความขัดแย้ง (เพราะคุณรู้สึกถูกคุกคามเวลาคนไม่เห็นด้วยกับคุณ) ถ้าผม "แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน" แล้วสิ่งอื่นๆที่จำเป็นในชีวิตก็จะเพิ่มเติมเข้ามา (มธ.6:33) นี่หมายความว่า ถ้าผมจดจ่อเอาใจพระเจ้าก็จะทำให้ชีวิตผมเรียบง่ายขึ้น ผมจะทำสิ่งที่ถูกเสมอ คือสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรก็ตาม
เราชอบโทษคนอื่นและหน้าที่การงานต่างๆ เรื่องความเครียดของเรา   " คุณทำให้ผมต้อง… ก็ฉันต้อง… ผมจำเป็น" จริงๆแล้วมีไม่กี่อย่างในชีวิต (นอกจากงานของเรา) ที่เราต้องทำ เมื่อเราพูดว่า"ฉันต้อง ฉันจำเป็น ฉันจำต้อง" จริงๆ แล้วเรากำลังพูดว่า "ฉันเลือกที่จะทำ เพราะฉันไม่อยากจ่ายราคาผลที่จะเกิดขึ้น" แทบไม่มีใครบังคับให้เราทำอะไรได้ ดังนั้น ปกติเราจึงไม่สามารถโทษคนอื่นเรื่องความเครียดของเราได้ เมื่อเรารู้สึกถูกกดดัน เราก็ กำลังเลือกที่จะให้คนมานำเราไปอยู่ใต้ความกดดัน เราไม่ใช่เหยื่อ นอกเสียจากเราจะยอมให้ตัวเองถูกการเรียกร้องของคนอื่นกดดันเสียเอง

การจัดการ :รู้ว่าคุณเป็นอะไร พยายามบรรลุสิ่งนั้นนี่คือสิ่งที่พระคริสต์บอกเป็นนัยไว้เกี่ยวกับหลักการที่สามในการจัดการความเครียด "แม้เราเป็นพยานให้ตัวเอง คำพยานของเราก็เชื่อถือได้ เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปไหน" (ยน.8:14)หลักการ คือ รู้ว่าคุณต้องการบรรลุผลอะไร พระคริสต์ตรัสว่า "เรารู้ว่าเรามาจากไหน และจะไปไหน" ถ้าคุณไม่วางแผนชีวิตและจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง คุณก็จะถูกคนอื่นกดดันให้ทำสิ่งที่พวกเขาคิดว่าสำคัญ  ทุกๆวัน ถ้าคุณไม่ดำเนินชีวิตตามลำดับความสำคัญของคุณ คุณก็ดำเนินชีวิตด้วยแรงกดดัน ไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าคุณไม่ตัดสินใจว่าอะไรสำคัญในชีวิต คุณก็จะปล่อยให้คนอื่นมาตัดสันใจแทนว่าอะไรสำคัญในชีวิตคุณ  การทำอะไรภายใต้แรงกดดันของความเร่งด่วนก็ง่าย แต่พอสิ้นสุดวันนั้น แล้วมานั่งคิดดูว่า "ฉันได้ทำอะไรเสร็จไปบ้างหรือเปล่านี่  ฉันใช้พลังงานไปมากมาย และทำหลายอย่าง แต่ได้ทำอะไรที่สำคัญๆเสร็จบ้างไหม?" การมีงานยุ่งไม่จำเป็นว่าต้องเกิดผลเสมอไป คุณอาจหมุนติ้วเป็นวงกลม แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันเลย

การเตรียมตัวทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย พูดอีกอย่างก็คือ การเตรียมตัวเป็นการป้องกันแรงกดดัน แต่การผัดวันประกันพรุ่ง สร้างแรงกดดันขึ้น การจัดการอย่างเป็นระบบ และการเตรียมการที่ดีลดความเครียดลงได้ เพราะคุณรู้ว่าคุณเป็นใคร คุณพยายามทำให้ใครพอใจ และคุณต้องการทำอะไรให้สำเร็จ การมีเป้าหมายชัดเจนทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก ใช้เวลาวันละสักสองสามนาทีพูดกับพระเจ้าในคำอธิษฐาน มองดูตารางงานของคุณในวันนั้นแล้ว ตัดสินใจว่า "ฉันอยากใช้เวลาหนึ่งวันในชีวิตแบบนี้จริงๆใช่ไหม?" ฉันยอมแลก 24 ชั่วโมงในชีวิตเพื่อกิจกรรมเหล่านี้หรือไม่?"

การรวมศูนย์ :จดจ่อทีละเรื่อง
บางครั้งคุณเคยพบตัวเองถูกดึงไปคนละทิศคนละทางบ้างไหม?
หลายคนคนพยายามทำให้พระเยซูออกนอกตารางที่พระองค์วางแผนไว้ พวกเขาพยายามทำให้พระองค์เขวไปจากเป้าหมายในชีวิต "พอรุ่งเช้าพระเยซูเสด็จไปยังที่สงบเงียบ ประชาชนเที่ยวตามหาพระองค์ เมื่อพบแล้วพยายามหน่วงเหนี่ยวไม่ให้เสด็จไปจากพวกเขา"(ลก.4:42) พระเยซูกำลังจะจากไป แต่พวกเขาพยายามให้พระองค์อยู่ต่อพระเยซูตอบว่า "เราต้องประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าแก่เมืองอื่นๆ ด้วยเพราะเราถูกส่งมาก็เพื่อเหตุนี้" (ข้อ 43)

พระองค์ไม่ปล่อยให้เรื่องที่สำคัญน้อยกว่ามาทำให้พระองค์เขวไป
หลักการข้อสี่สำหรับการจัดการความเครียด คือ จดจ่อทีละเรื่องนี่เป็นหลักการของการรวมศูนย์ พระเยซูเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้เชียวล่ะ ดูเหมือนทุกคนพยายามขัดจังหวะพระองค์ ใครๆก็มีแผนสำรองไว้ให้พระองค์ แต่พระเยซูตอบว่า "ขอโทษที เราต้องมุ่งไปสู่เป้าหมายของเรา" พระองค์ตั้งหน้าตั้งตาทำสิ่งที่พระองค์รู้ว่าพระเจ้าบอกให้ทำนั่นคือ สั่งสอนเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า พระองค์แน่วแน่ ยืนหยัด และจดจ่อ

เวลาผมมีงานสามสิบอย่างที่ต้องทำอยู่บนโต๊ะ ผมจะกวาดโต๊ะให้โล่งแล้วทำงานอย่างเดียว แล้วพอทำเสร็จ ค่อยหยิบงานอื่นมาทำ คุณจะจับปลาสองมือในคราวเดียวไม่ได้ คุณต้องจดจ่อทีละอย่าง เมื่อเรากระจายความพยายามของเราไปทำทีละหลายๆอย่าง เราก็จะไม่มีประสิทธิภาพ แต่เมื่อเรารวบรวมกำลังของเรามุ่งไปยังจุด เดียว เราก็เกิดผลมากขึ้น แสงที่ถูกกระจายออกไปทำให้แสงที่ส่องออกมาพร่ามัว แต่แสงที่รวมศูนย์ทำให้เกิดประกายไฟขึ้นได้ พระเยซูคริสต์ไม่ปล่อยให้สิ่งที่มาขัดจังหวะเหล่านั้นกีดขวางพระองค์จากการจดจ่อที่เป้าหมาย พระองค์ไม่ยอมให้คนอื่นมาทำให้พระองค์ตึงเครียด กดดัน หรือรำคาญใจได้

การกระจายงาน :อย่าทำทุกอย่างเองหมด
วันหนึ่ง "พระเยซูเสด็จขึ้นบนภูเขาและทรงเรียกบรรดาผู้ที่ทรงประสงค์มาพบ และพวกเขาก็มาหาพระองค์" (มก.3:13) พระองค์แต่งตั้งชายสิบสองคนที่พระองค์มอบหมายให้เป็นอัครทูตเพื่อให้อยู่กับพระองค์ และพระองค์จะได้ส่งพวกเขาออกไปเทศนา สั่งสอนกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ พระเยซูกระจายอำนาจของพระองค์ นี่คือ หลักการที่ห้า อย่าพยายามทำทุกอย่างเองหมด ใช้หลักการกระจายงาน
คุณรู้มั้ยว่าทำไมเราจึงวิตกกังวลและตึงเครียด? เพราะเราคิดว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับเราหมด "ผมนี่แหละ – เป็นแผนที่ – โอบอุ้มความห่วงใยของโลกไว้หมด ทุกอย่างอยู่บนบ่าผม ถ้าผมปล่อยมันลง โลกก็จะแตกเป็นเสี่ยงๆ" แต่เมื่อผมปล่อยจริงๆ โลกก็ไม่ได้แตกเป็นเสี่ยงๆ! พระเยซูไปเกณฑ์สาวกสิบสองคนมาฝึก เพื่อให้พวกเขาแบ่งเบาภาระของพระองค์ พระองค์ทรงกระจายงาน และให้คนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม
ทำไมเราไม่กระจายงาน? ทำไมเราไม่ให้คนอื่นเข้ามามีส่วน?
ทำไมเราพยายามทำทุกอย่างเองหมด? มีเหตุผลสองข้อ เหตุผลแรกคือ การนิยมความสมบูรณ์แบบ เราคิดว่า "ถ้าฉันต้องการให้งานออกมาดี ฉันต้องทำเอง" นี่เป็นความคิดที่ดี แต่ก็มักไม่ได้ผลบ่อยๆเพราะมีหลายสิ่งที่ต้องทำมากเกินกำลัง เราไม่มีเวลาทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เองหมด นี่เป็นท่าทีแบบชอบยกตัวเองที่ว่า "ไม่มีใคร ไม่มีใครเลยสามารถแบบที่ฉันทำได้"
คุณคิดว่าพระเยซูน่าจะทำงานได้ดีกว่าพวกสาวกเหล่านี้ไหม?
แน่นอน พระองค์ทำได้ดีกว่าแน่ๆ แต่พระองค์ปล่อยให้พวกเขาทำทั้งๆที่พระองค์ก็ทำได้ดีกว่า เราต้องปล่อยให้คนอื่นทำผิดพลาดบ้าง เพื่อพวกเขาจะได้เรียนรู้ แบบเดียวกับพวกสาวก อย่าปล้นการเรียนรู้ไปจากคนอื่น!
อีกเหตุผลหนึ่งที่เราไม่กระจายงาน ก็คือ ความไม่มั่นคงส่วนตัว
"ถ้าฉันมอบความรับผิดชอบนี้ให้คนอื่น แล้วเขาเกิดทำได้ดีกว่าล่ะ?
ความคิดเช่นนี้ทำให้เรากลัว แต่คุณจะไม่กลัวความเป็นไปได้แบบนี้ ถ้าคุณรู้ว่า คุณเป็นใคร คุณกำลังพยายามทำให้ใครพอใจ คุณต้องการบรรลุผลอะไร และสิ่งเดียวที่คุณต้องจดจ่อคืออะไร การที่จะมีประสิทธิภาพได้ คุณต้องให้คนอื่นเข้ามามีส่วนด้วย เพราะคุณไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้มากกว่าครั้งละเรื่องอย่างมีประสิทธิภาพได้

การใคร่ครวญ :สร้างนิสัยการอธิษฐานส่วนตัว
พระเยซูมักจะตื่นมาอธิษฐานบ่อยๆ "ครั้นเวลาเช้ามืดพระเยซูทรงลุกขึ้นแล้วเสด็จออกจากบ้านไปยังที่สงบเงียบและอธิษฐาน" (มก.1:35) หลักการที่หกในการจัดการความเครียด คือ สร้างนิสัยการอธิษฐานส่วนตัว นี่คือหลักการใคร่ครวญ การอธิษฐานเป็นตัวบรรเทาความเครียดได้อย่างมหาศาล เป็นเครื่องมือที่พระเจ้าประทานให้เพื่อระบายความกระวนกระวายของคุณ ไม่ว่าพระเยซูจะยุ่งขนาดไหน พระองค์ก็ปฎิบัติแบบนี้เสมอที่จะใช้เวลาตามลำพังกับพระเจ้า ถ้าพระเยซูยังจัดเวลาอธิษฐานทั้งๆที่มีงานยุ่งมาก คุณและผมไม่ยิ่งต้องอธิษฐานมากกว่านั้นหรือ! เวลาเงียบๆ ตามลำพังกับพระเจ้าแม้จะสั้นๆ ก็อาจเป็นห้องลดความดันเพื่อคลายความตึงเครียดในชีวิตได้ เราพูดกับพระเจ้าในคำอธิษฐาน บอกพระองค์ถึงสิ่งที่อยู่ในความคิดเรา และให้พระองค์พูดกับเราขณะอ่านพระคัมภีร์จากนั้นมองดูตารางเวลาของเรา ประเมินลำดับความสำคัญก่อนหลังและรอคอยคำสั่ง (ในหนังสือที่ผมเขียนเรื่อง "Rick Warren’s Bible Study Methods" มีคำอธิบายละเอียดถึงวิธีสร้างและรักษานิสัยเวลาการเข้าเฝ้าพระเจ้าประจำวันไว้)

ปัญหามากมายของเรามาจากการที่เราไม่สามารถนั่งลงนิ่งๆได้
เราไม่รู้ว่าจะนิ่งเงียบเฉยๆได้อย่างไร พวกเราหลายคนไม่ สามารถนั่งในรถเงียบๆโดยไม่เปิดวิทยุได้ถึงห้านาทีเลยถ้าคุณเดินเข้าบ้าน แล้วพบว่าตัวเองอยู่คนเดียว คุณจะทำอะไรอย่างแรก? คุณก็อาจเปิดโทรทัศน์ หรือ เปิดเพลง ความเงียบทำให้เราอึดอัด แต่พระเจ้าตรัสว่า "จงนิ่งเสียและรู้ว่าเราเป็นพระเจ้า" (สดด.46:10) เหตุผลหนึ่งที่หลายคนไม่รู้จักพระเจ้าเป็นส่วนตัวก็เพราะพวกเขาอยู่นิ่งๆไม่ได้ พวกเขายุ่งเกินไปที่จะอยู่เงียบๆ แล้วใช้ความคิด ครั้งหนึ่งมีคนพูดว่า "ดูเหมือนเป็นนิสัยน่าประหลาดของมนุษย์ที่เมื่อเขาหลงทาง เขาก็ยิ่งเร่งความเร็วขึ้นอีกเท่าตัว" – เหมือนนักบินเครื่องบินรบในกองทัพอากาศสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่บินข้ามมหาสมุทรแปซิกฟิค เมื่อเขาส่งสัญญาณวิทยุเข้ามา ผู้คุมวิทยุการบินถามว่า "คุณอยู่ที่ไหน" นักบินตอบว่า "ผมไม่รู้ แต่ผมกำลังบินอย่างเร็วทำลายสถิติอยู่!"

หลายคนเป็นแบบนั้น คือ พวกเขากังลังเร่งสปีดชีวิต โดยไม่รู้ว่ากำลังมุ่งหน้าไปไหน เราจำเป็นต้องเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการอธิษฐานเหมือนพระเยซู แล้วก็หยุดอธิษฐานอีกเป็นช่วงๆตลอดวัน เพื่อชาร์ตไฟจิตพระวิญญาณของเรา

การพักผ่อนหย่อนใจ :หาเวลาพักเพื่อสนุกกับชีวิตบ้าง
ครั้งหนึ่งสาวกทั้งสิบสองของพระเยซูตั้งวงล้อมพระเยซู และรายงานทุกสิ่งที่ได้ทำและสั่งสอน "เนื่องจากขณะนี้มีผู้ไปๆมาๆ กันแน่นขนัดจนพวกเขาไม่มีโอกาสรับประทานอาหาร พระองค์จึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า ‘ท่านทั้งหลายจงตามเราไปหาที่สงบพักกันสักหน่อยเถิด’ " (มก.6:31) หลักการข้อเจ็ดสำหรับการจัดการความเครียด คือ หาเวลาพักเพื่อสนุกกับชีวิต นี่คือหลักการของการผ่อนคลายและพักผ่อนหย่อนใจ พระเยซูมองไปยังคนเหล่านี้ซึ่งตรากตรำงานหนักโดยไม่หยุดหย่อน แล้วพูดว่า "วันนี้พวกท่านสมควรได้พัก ไปพักผ่อนกัน หยุดงานกันเถอะ" แล้วพวกเขาก็ลงเรือ พายข้ามไปอีกฟากของทะเลสาบ และออกไปพักผ่อนในที่เปลี่ยว
เหตุผลหนึ่งที่ทำไมพระเยซูจึงรับมือกับความเครียดได้ก็คือ พระองค์รู้ว่าเมื่อไรควรพัก พระองค์มักออกไปที่ภูเขาหรือไม่ก็ที่เปลี่ยวๆอยู่บ่อยๆเพื่อผ่อนคลายการพักผ่อนหย่อนใจในชีวิตไม่ใช่ทางเลือก แท้จริง การพักผ่อนสำคัญมากจนพระเจ้าต้องรวบรวมไว้อยู่ในพระบัญญัติ 10 ประการ ด้วย วันสะบาโตถูกกำหนดไว้เพื่อมนุษยชาติเพราะพระเจ้ารู้ว่าองค์ประกอบทางกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณของเราต้องการการหยุดพักเป็นระยะๆ พระเยซูเอาตัวรอดจากความเครียดได้เพราะพระองค์สนุกกับชีวิต พระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่ผมชอบมาก คือ มัทธิว 11:19กล่าวไว้ทำนองนี้ว่า พระเยซูมา "สนุกกับชีวิต" เปาโลเขียนว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียม "ทุกสิ่งให้เราอย่างบริบูรณ์เพื่อความเบิกบานใจของเรา" (1 ทธ.6:17) ชีวิตสมดุลย์ คือ กุญแจของการจัดการความเครียด

การเปลี่ยนแปลง :มอบความเครียดของคุณให้พระคริสต์
หลักการที่แปดของการจัดการความเครียดเป็นหลักการที่พระเยซูไม่ต้องใช้ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่เราต้องการเพราะเราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาๆ พระเยซูตรัสว่า "บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านพักสงบ จงรับแอกของเราแบกไว้ และเรียนรู้จากเราเพราะเราสุภาพและถ่อมใจ แล้ววิญญาณของท่านจะพักสงบ เพราะแอกของเรานั้นพอเหมาะ และภาระของเราก็เบา" (มธ.11.28-30) ดังนั้นหลักการ
สุดท้ายในการจัดการความเครียด คือ มอบความเครียดของคุณให้พระคริสต์ คุณจะไม่มีทางมีความสุขกับสันติสุขในใจอย่างสมบูรณ์ได้ จนกว่าคุณจะมีความสัมพันธ์กับเจ้าชายแห่งสันติเสียก่อน พระคริสต์มิได้ตรัสว่า "จงมาหาเรา แล้วเราจะมอบความรู้สึกผิด ภาระหนัก ความเครียด และความกังวลให้เจ้ามากขึ้น" แม้ว่านี่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่หลายคนชอบสอนก็ตาม! บางคริสตจักรมีแนวโน้มชอบสร้างแรงกดดันแทนที่จะช่วยบรรเทา แต่พระเยซูตรัสว่า"เราอยากให้เจ้าพักผ่อน เราเป็นผู้บรรเทาความเครียด เมื่อเจ้าผูกพันกับเรา เราจะมอบกำลังจากภายในให้แก่เจ้า"  พระคริสต์สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณจากเครียดจัดให้มีความพึงพอใจได้ แหล่งความเครียดที่สำคัญมาจากการพยายามดำเนินชีวิตแยกจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างเรา แล้วพยายามไปตามทางของตัวเอง และเป็นพระเจ้าของตัวเอง

คุณต้องการอะไร? ถ้าคุณไม่เคยมอบชีวิตให้พระคริสต์ คุณต้องการการเปลี่ยนแปลง มอบชีวิตของคุณ รวมถึงความเครียดทั้งหมดให้พระองค์ แล้วพูดว่า "ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานชีวิตใหม่ให้ข้าพระองค์ ขอสันติสุขของพระองค์เข้ามาแทนความกดดันที่ข้าพระองค์รู้สึกอยู่นี้ ช่วยข้าพระองค์ให้ทำตามหลักการจัดการความเครียดของพระองค์ได้ด้วย"

อ่านแล้วอย่าลืมนำความคิดไปสู่การปฎิบัติ
1. ในหลักการทั้งแปด มีหลักการไหนบ้างสัก 2- 3 อย่างที่โดดเด่นซึ่งคุณจำเป็นต้องนำไปจัดการในเวลานี้?

2. ระบุวิธีการเฉพาะเจาะจง 3 วิธีที่คุณสามารถเริ่มทำชีวิตให้เรียบง่ายขึ้นได้ภายในสัปดาห์ถัดไป

เรียบเรียงโดย "Rick Warren’s

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ข้อปฏิบัติ เมื่อเราต้องอยู่ในสถานการณ์ คนที่คิดต่างกัน


คนเราคิด “แตกต่าง”...เพื่อสร้างเสริม เป็นสิ่งที่ดี
แต่ไม่ควรใช้ ความแตกต่าง สร้างความแตกแยก

พระเยซูเจ้าจำเป็นต้องเตือนสติว่า..
“ถ้าอาณาจักรใดแตกแยกภายใน อาณาจักรนั้นย่อมพินาศ"

ในวันที่อ่อนล้า....
พระองค์ทรงเป็นกำลัง
ในวันที่พลาดพลั้ง...
พระองค์ทรงให้อภัย

4 เหตุผลที่คนคิดต่างกัน
ความไม่เข้าใจของคนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในทุกๆ ที่ที่เราต้องอยู่ร่วมกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว ร่วมกับเพื่อนๆ ในโรงเรียน หรือในที่ทำงาน หรืออยู่ร่วมกันในสังคมใหญ่ ระดับชุมชน หรือใหญ่กว่านั้น คือ อยู่ร่วมกันในโลกใบนี้ ความไม่เข้าใจกันและความขัดแย้งจึงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในทุกสังคมที่เราต้องอยู่ร่วมกัน ซึ่งหนึ่งในสาเหตุของความไม่เข้าใจทีเกิดขึ้น น่าจะมาจากสาเหตุคือ เรื่องของความคิดหรือทัศนคติที่ไม่ตรงกัน โดยเหตุของความคิดและทัศนคติที่ต่างกัน มาจากปัจจัย 4 ข้อ ดังนี้

1. แต่ละคนรู้ไม่เท่ากัน – รู้ไม่ตรงกัน
คนทุกคนย่อมมีความรู้ในทุกๆ เรื่อง “ไม่เท่ากัน” และ “ไม่ตรงกัน” แน่นอน ประสบการณ์ที่แตกต่างกันที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแต่ละคน จะทำให้แต่ละคนมีข้อมูลที่ “ไม่เท่ากัน” เมื่อมีข้อมูลไม่เท่ากัน ปฏิกิริยาของคนแต่ละคนที่แสดงออกก็จะไม่เหมือนกัน นอกจากเรื่องข้อมูลที่มีไม่เท่ากันแล้ว ข้อมูลที่แต่ละคนมีก็อาจจะไม่ตรงกันด้วยก็ได้ บางครั้งในเรื่องเดียวกัน อาจจะมีข้อมูลในการรับรู้ไม่ตรงกัน ทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน
นี่คือปัญหาพื้นฐานในเรื่องของ “ข้อมูล” สมาชิกในแต่ละสังคม, ในแต่ละครอบครัวหรือแต่ละชุมชนมักจะมีข้อมูลที่ “ไม่เท่ากัน” และ “ไม่ตรงกัน” ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของนำมาซึ่งความคิดที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น เราต้องปรับให้คนในครอบครัว ในสังคม หรือชุมชนมีความรู้ที่ “ตรงกัน” และมีความรู้ที่ “เท่ากัน” ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเพื่อลดช่องว่างของความคิดที่แตกต่าง เครื่องมือที่ใช้ในการปรับข้อมูลให้ตรงกัน คือ “การรับฟังให้มากขึ้น” เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยให้ข้อมูลที่มีตรงกัน และเท่ากัน (การรับฟังให้มากขึ้นถึงอาจจะยังไม่ยอมรับก็ยังดีกว่าไม่รับฟังอะไรเลย)

2. แต่ละคนมี “จุดสนใจ” ไม่สอดคล้องกัน
“จุดสนใจ” หรือ “Interest” ในความหมายง่ายๆ คือ สิ่งที่เราต้องการจริงๆ ลึกๆ ในใจ (ไม่ใช่แค่ฉาบฉวย) ในหลายครั้ง สิ่งที่เป็นความสนใจหรือความต้องการลึกๆ จริงๆ ในใจที่เรียกว่าจุดสนใจนั้นย่อมมีความแตกต่างกันได้ ซึ่งถ้าแตกต่างกันแต่ไม่ขัดกันก็รอดไปไม่มีข้อขัดแย้ง แต่ถ้า “ต่างกัน” และ “ขัดกัน” อันนี้ก็จะเกิดความคิดที่ขัดแย้งต่อเนื่องกันไป เครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารที่เราอาจนำมาใช้ในกรณีที่จุดสนใจไม่สอดคล้องกัน หรือไม่ตรงกัน ก็คือ “การรับฟัง” และพูดคุยระบุจุดสนใจลึกๆ จริงๆ ว่า ในใจเขาต้องการอะไร โดยไม่ได้มองแค่ผิวเผิน แต่ต้องมองให้ทะลุไปเลยว่า จริงๆ แล้วลึกๆ นั้นเขาต้องการอะไร หาหนทางตอบโจทย์ของเขาว่า จุดสนใจของเขาจริงๆ แล้วคืออะไร ก็จะเป็นเรื่อง win-win ของทุกคน

3. แต่ละคนมี “หลักคิด” ที่ไม่เหมือนกัน
“หลักคิด” คือ สิ่งที่ยากที่สุดที่จะเปลี่ยน เพราะมันเป็นเหมือน “ตะกอน” ของความคิด ความเชื่อและประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดทั้งชีวิต ซึ่งคนเรามีความเชื่อ มีค่านิยม หรือหลักคิดที่แตกต่างกัน โดยอาจจะเกิดจากการเลี้ยงดูในวัยเด็ก การศึกษา หรือสังคมที่เติบโตมา

หลักคิดที่แตกต่างกันไปเหล่านี้หรือหลักคิดที่ขัดแย้งกันนั้น เราไม่สามารถบอกได้เลยว่าใครคิดผิด ใครคิดถูก ไม่มีหลักคิดใดดีกว่าหรือแย่กว่า เพราะเราไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด ดังนั้น สิ่งที่เราทำได้ไม่ว่าเราจะเป็นใครในสังคมก็ตาม คือ พยายามทำความเข้าใจและยอมรับมันก่อนในเบื้องต้น จงยอมรับในความแตกต่างของหลักคิด ยอมรับว่านั่นคือหลักคิดของเขา และจงอย่าพยายามที่จะไปเปลี่ยนเขาในทันที เพราะต้องเข้าใจว่า หลักคิด นั้นใช้เวลาสั่งสมมานานกว่าจะเป็นตะกอนทางความคิดได้ขนาดนี้ เพราะฉะนั้นไม่มีวันที่เราจะคิดเปลี่ยนแปลงหลักคิดของเขาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย แต่อาจจะต้องอาศัยระยะเวลา โดยเอาเรื่องจริง เอาเหตุผลจริงๆ หรือเหตุการณ์ใกล้ตัวที่เกิดขึ้นมาจูงใจเพื่อช่วยปรับหลักคิดหรือความคิดให้โอนเอนเข้าหากันได้ในที่สุด

4. แต่ละคนมี “การรับรู้” ที่ต่างกัน
และแม้ว่าคนสองคนที่มี “หลักคิด” เหมือนกัน มี “จุดสนใจ” เหมือนกัน และมี “ข้อมูล” ที่เท่ากันและตรงกัน ก็ยังจะมีความคิดที่แตกต่างกันได้อีก เพราะว่า “การรับรู้” หรือ “Perception” ที่เกิดขึ้นในสมองแตกต่างกันออกไป โดยมีหลัก 3 ประการ คือ

- Selection มนุษย์จะเลือกเรื่องที่ตนเองสนใจก่อนอื่น เรื่องไหนที่ตนเองไม่สนใจก็จะไม่เกิดการรับรู้ หรือเกิดการรับรู้น้อย
- Organization คือการจัดระเบียบสิ่งเร้าที่เข้ามาในสมอง ให้เป็นไปตามหมวดหมู่ โดยใช้ประสบการณ์หรือความรู้เดิมในการจัดระเบียบ
- Interpretation คือการนำเอาสิ่งที่รับรู้นั้น นำมาตีความ โดยอาศัยความรู้, ประสบการณ์, ความเชื่อ, ค่านิยม, จุดสนใจ เพื่อตีความสิ่งเร้านั้น

ดังนั้น การสร้างความรับรู้ ในขั้นตอนแรก (Selection) จึงเกี่ยวพันกับศิลปะของการสื่อสารเพื่อ “เปิดใจ” ให้ผู้ฟังรับเอาสิ่งที่อยากรู้ และสื่อเข้าไปอยู่ในความคิดของผู้ฟังให้ได้ โดยไม่ใช่ใช้วิธีการบังคับ หรือกรอกหู แต่ต้องใช้วิธีการพูกสื่อสารเพื่อให้ผู้ฟังเปิดใจรับฟังและนำมันไปจัดระเบียบพร้อมตีความสิ่งที่รับเข้ามานั้น ให้ตรงตามที่เราอยากจะสื่อออกไปให้เขารู้
http://www.maruey.com
//////----//////
ความกลัวที่จะคิดและเปลี่ยนปลงหรือการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเราเองให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น เป็นการเปิดโอกาสและเป็นเครื่องมือที่ปีศาจใช้ และทำให้เราเป็นทาสของมัน ตรงข้าม พระเยซูเจ้าใช้ความรักและความเมตตา พระองค์เสด็จมาปลดปล่อยประชากรให้พ้นจากการเป็นทาสของความกลัว การเดินทางทางอากาศ การพบกับคนแปลกหน้า หรือรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง การสูญเสียเงินทอง ที่เกิดขึ้นกับเรากระตุ้นความกลัว กันเราออกจากความรัก และอิสรภาพของเราที่มีต่อพระคริสตเจ้า

เราต้องเข้าใจให้ชัดว่าความกลัวเหล่านี้มาจากผู้ที่เข้มแข็งกว่าเรา ใครก็ตามที่ตกอยู่ภายใต้ความกลัวที่ปีศาจล่อไว้ ไม่ว่าจะหาเหตุผลใดมาทัดทาน หรือแม้แต่อยากจะเป็นอิสระก็จะไม่ประสบความสำเร็จ เราต้องการผู้ที่แข็งแรงกว่าเพื่อจะจัดการ และผู้นั้นก็คือพระเยซูเจ้า

เราไม่ต้องกลัวปีศาจ เราไม่ต้องมีชีวิตภายใต้ความกลัว เราเป็นของผู้ที่เข้มแข็งกว่า ทุกวันให้เราเชิญพระองค์ทำงานในตัวเรา เปิดประตูและขอพระองค์ให้จัดการกับปีศาจ

จงยอมอยู่ภายใต้พระฤทธานุภาพของพระจิตเจ้า อย่าต่อสู้กับศัตรูด้วยกำลังของเราเอง ในการสวดภาวนา จงมอบดวงใจและความคิดแด่พระเจ้า ยอมให้พระจิตเจ้าไขแสดงสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการทำงาน ปล่อยให้พระองค์ทรงทำงาน พระองค์จะทำให้เราเป็นอิสระ อย่างนุ่มนวล ด้วยความรักอย่างสมบูรณ์

ดังนั้นหากเราต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่คนรอบข้างคิดต่างกัน จงรู้ไว้เถิดว่า หลักคิดที่แตกต่างกันไปเหล่านี้หรือหลักคิดที่ขัดแย้งกันนั้น เราไม่สามารถบอกได้เลยว่าใครคิดผิด ใครคิดถูก ไม่มีหลักคิดใดดีกว่าหรือแย่กว่า เพราะเราไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด ให้เราอาศัยการนำจากพระจิตเจ้าก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป เพราะผลจากการพึ่งพาพระเจ้ามักนำมาซึ่งความชื่นชมยินดีเสมอ

🍁“เชิญเสด็จมา ข้าแต่พระจิตเจ้า โปรดค้นหาดวงใจและความคิดของข้าพเจ้า ณ ที่ใดที่ปีศาจอาศัยอยู่ โปรดกำจัดออกไป ข้าพเจ้าต้องการที่จะมีชีวิตด้วยความอิสระของพระคริสตเจ้า”

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
KC



🍂น่าคิด🍂

หากอยากบังคับคนอื่น...ให้คิดเหมือนเรา
สักวัน...เราจะเหนื่อยใจ
หากบังคับปากคนอื่น...ให้พูดตามที่เราต้องการ
เราก็เป็น คนบ้าอำนาจคนหนึ่ง นั่นเอง

มนุษย์เราล้วนแตกต่างกัน
ถึงแม้จะเป็น ฝาแฝด กันก็ตาม
ก็จะมี ส่วนที่คล้ายกัน และ มีส่วนที่แตกต่างกัน

มนุษย์ทุกคนล้วนแตกต่างกัน
เพราะว่า ทัศนคติต่างกัน

ทัศนคติต่างกัน
เกิดจาก อายุต่างกัน + การเลี้ยงดูต่างกัน + การศึกษาต่างกัน
+ ประสบการณ์ชีวิตต่างกัน + การรับรู้ไม่เท่าเทียมกัน

มันคงเป็นเรื่องยาก
หากจะบังคับ “งู ให้กินแต่ผลไม้”
หากจะบังคับ “วัว ให้ไปกินงู”
หากจะบังคับ “เสือ ให้กินแต่หญ้า”
หากจะบังคับ “ปลา ให้ไปกินเสือ”

สิ่งที่คนฉลาดทำกัน คือ
การฝึกคนให้เก่ง ในสิ่งที่คนนั้นถนัด

อาจารย์สอนวิชาการต่อสู้
มักจะมองออกว่า ศิษย์คนใด เก่งหมัด
ศิษย์คนใด เก่งการใช้ดาบ เป็นอาวุธ
ศิษย์คนใด ต้องสอนวิชาตัวเบา
ศิษย์คนใด ต้องใช้มีดสั้น ขว้างจากระยะไกล
ศิษย์คนใด ควรจะเรียงไม้พลอง

คนโง่ มักจะ บังคับคนอื่น
ให้คิด และ ให้ทำ...อย่างที่เราคิด

มนุษย์ที่ฉลาด ไม่บังคับคนอื่น
ให้คิด และ ให้ทำ...อย่างที่เราคิด
แต่จะฉลาดพอ ที่จะ สอนให้เขาทำ
อย่างที่เราอยากให้เขาเป็น”

หนังสือ เกาสมอง ตอน สิ่งมีค่ามากกว่าเงิน
เขียนโดย ดำรงค์ พิณคุณ

ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...