วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ฉันจะจัดการกับความเครียดได้อย่างไร?



ฉันจะจัดการกับความเครียดได้อย่างไร?
พระเยซูคริสต์อยู่ภายใต้แรงกดดันตลอดเวลา มีคนเรียกร้องเวลาจากพระองค์มาก จนแทบไม่มีเวลาส่วนพระองค์เลย พระองค์ถูกขัดจังหวะเป็นประจำ ผู้คนเข้าใจพระองค์ผิดๆ วิพากษ์วิจารณ์ และเยาะเย้ยพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พระองค์มีความเครียดมากขนาดว่าถ้าเป็นเราก็คงล้มครืนไปแล้วแน่ๆ  แต่เมื่อดูชีวิตพระคริสต์ เราจะพบทันทีว่า พระองค์ยังคงสงบนิ่งภายใต้แรงกดดันได้ ไม่เคยเร่งรีบ ไม่เคยกังวลเลย พระองค์มีความสงบในชีวิตที่ช่วยให้สามารถรับมือกับความเครียดมากมายได้พระองค์ทำแบบนี้ได้อย่างไร?
คำตอบก็กล่าวได้ง่าย ก็คือๆว่า พระองค์วางชีวิตบนหลักการที่ถูกต้องในการจัดการความเครียด ถ้าเราเข้าใจและนำหลักการทั้งแปดนี้มาใช้ในชีวิต เราก็จะเครียดน้อยลง และมีจิตใจสงบมากขึ้น

การหาเอกลักษณ์:รู้ว่าคุณเป็นใคร
พระเยซูตรัสว่า "เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืดเลย แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต" (ยน.8.12) "เราเป็นประตู" (ยน.10:9 KJV) "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต" (ยน.14:6) "เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี" (10:11) "เราเป็นบุตรของพระเจ้า" (ยน.10:36) พระคริสต์รู้ว่าพระองค์เป็นใคร!

หลักการแรกในการจัดการความเครียดในชีวิต คือ รู้ว่าคุณเป็นใคร นี่คือหลักการหาเอกลักษณ์ของตัวเอง พระเยซูตรัสว่า "เรารู้ว่าเราเป็นใคร เราเป็นพยานถึงตัวเราเอง" (ยน.8:18) เรื่องนี้สำคัญยิ่งในการจัดการความเครียด เพราะถ้าคุณไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร คนอื่นๆอาจพยายามบอกว่า พวกเขาคิดว่าคุณเป็นใคร ถ้าคุณไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร คุณจะปล่อยให้คนอื่นมาควบคุมโดยไม่รู้ตัว และกดดันให้คุณเชื่อว่าคุณเป็นใครบางคนที่ไม่ใช่คุณความเครียดมากมายในชีวิตเป็นผลมาจากการซ่อนตัวอยู่หลังหน้ากาก การดำเนินชีวิตสองมาตรฐาน โดยไม่เป็นตัวจริงต่อหน้าคนอื่นๆ และพยายามจะเป็นอะไรที่เราไม่ได้เป็น ความไม่มั่นคงมักสร้างแรงกดดันในชีวิตเสมอ และเมื่อเราไม่มั่นคง เราก็รู้สึกถูกบังคับให้แสดงออกและทำตาม เราตั้งมาตรฐานที่ไม่จริงสำหรับชีวิต และถึงแม้เราจะพยายาม ทำ ทำ ทำ แต่ก็จะไม่สามารถบรรลุมาตรฐานที่ไม่จริงเหล่านั้นได้ ความเครียดและแรงกดดันก็จะเกิดตามมาโดยธรรมชาติ

วิธีแรกที่จะรักษาสมดุลความเครียดในชีวิตผมก็คือ หาสมดุลภายในว่าผมเป็นใครก่อน และผมจะรู้ว่าตัวเองเป็นใครก็ต่อเมื่อรู้ว่าผมเป็นของใคร ผมเป็นลูกพระเจ้า การที่ผมมาอยู่ในโลกนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เพื่อเป้าหมายบางอย่าง ผมเป็นที่รักยิ่งของพระเจ้า และพระองค์ยอมรับผม พระองค์มีแผนการสำหรับชีวิตผม และเพราะพระองค์วางผมไว้ในโลกนี้ ผมจึงมีความสำคัญและการที่พระองค์วางคุณไว้ที่นี่ คุณจึงมีความสำคัญ การจะรับมือความเครียดได้คุณต้องรู้ว่าคุณเป็นใคร จนกว่าคุณจะจัดการปัญหานี้ได้ก่อน มิเช่นนั้นคุณก็ถูกหยุดยั้งจากความไม่มั่นคงเรื่อยไป

การอุทิศตัว:รู้ว่าคุณพยายามเอาใจใคร
หลักการที่สองในการจัดการความเครียดในชีวิตของพระคริสต์พบได้ในยอห์น 5:30 "เราทำสิ่งใดโดยลำพังตัวเองไม่ได้เลย เราพิพากษาตามที่เราได้ยินเท่านั้น และคำพิพากษาของเรายุติธรรมเพราะเราไม่ได้มุ่งทำให้ตนองพอใจแต่มุ่งให้พระองค์ผู้ทรงส่งเรามาพอพระทัย"

หลักการนี้คือ: รู้ว่าคุณกำลังพยายามเอาใจใคร คุณไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ เพราะกว่าคนกลุ่มหนึ่งจะพอใจคุณ อีกกลุ่มก็อารมณ์เสียกับคุณเรียบร้อยแล้ว แม้แต่พระเจ้าก็ไม่เอาใจทุกคน  ฉะนั้น จึงเป็นการโง่เขลาที่จะพยายามทำสิ่งที่แม้แต่พระเจ้าก็ไม่ทำ!  พระเยซูรู้ว่าพระองค์พยายามทำให้ใครพอใจ นี่เป็นประเด็นที่พระองค์ไม่ลังเลเลย "เราจะทำให้พระเจ้าพระบิดาพึงพอพระทัย" และพระบิดาตรัสตอบว่า "ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก" (มธ.3:17)

เมื่อคุณไม่รู้ว่าคุณพยายามทำให้ใครพอใจ คุณก็จะพลาดในสามเรื่องนี้ คือ การวิพากษ์วิจารณ์ (เพราะคุณสนใจแต่ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับคุณ) การแข่งขัน (เพราะคุณกังวลว่า คนอื่นกำลังแซงหน้าคุณไปหรือเปล่า) และความขัดแย้ง (เพราะคุณรู้สึกถูกคุกคามเวลาคนไม่เห็นด้วยกับคุณ) ถ้าผม "แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน" แล้วสิ่งอื่นๆที่จำเป็นในชีวิตก็จะเพิ่มเติมเข้ามา (มธ.6:33) นี่หมายความว่า ถ้าผมจดจ่อเอาใจพระเจ้าก็จะทำให้ชีวิตผมเรียบง่ายขึ้น ผมจะทำสิ่งที่ถูกเสมอ คือสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรก็ตาม
เราชอบโทษคนอื่นและหน้าที่การงานต่างๆ เรื่องความเครียดของเรา   " คุณทำให้ผมต้อง… ก็ฉันต้อง… ผมจำเป็น" จริงๆแล้วมีไม่กี่อย่างในชีวิต (นอกจากงานของเรา) ที่เราต้องทำ เมื่อเราพูดว่า"ฉันต้อง ฉันจำเป็น ฉันจำต้อง" จริงๆ แล้วเรากำลังพูดว่า "ฉันเลือกที่จะทำ เพราะฉันไม่อยากจ่ายราคาผลที่จะเกิดขึ้น" แทบไม่มีใครบังคับให้เราทำอะไรได้ ดังนั้น ปกติเราจึงไม่สามารถโทษคนอื่นเรื่องความเครียดของเราได้ เมื่อเรารู้สึกถูกกดดัน เราก็ กำลังเลือกที่จะให้คนมานำเราไปอยู่ใต้ความกดดัน เราไม่ใช่เหยื่อ นอกเสียจากเราจะยอมให้ตัวเองถูกการเรียกร้องของคนอื่นกดดันเสียเอง

การจัดการ :รู้ว่าคุณเป็นอะไร พยายามบรรลุสิ่งนั้นนี่คือสิ่งที่พระคริสต์บอกเป็นนัยไว้เกี่ยวกับหลักการที่สามในการจัดการความเครียด "แม้เราเป็นพยานให้ตัวเอง คำพยานของเราก็เชื่อถือได้ เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปไหน" (ยน.8:14)หลักการ คือ รู้ว่าคุณต้องการบรรลุผลอะไร พระคริสต์ตรัสว่า "เรารู้ว่าเรามาจากไหน และจะไปไหน" ถ้าคุณไม่วางแผนชีวิตและจัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง คุณก็จะถูกคนอื่นกดดันให้ทำสิ่งที่พวกเขาคิดว่าสำคัญ  ทุกๆวัน ถ้าคุณไม่ดำเนินชีวิตตามลำดับความสำคัญของคุณ คุณก็ดำเนินชีวิตด้วยแรงกดดัน ไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าคุณไม่ตัดสินใจว่าอะไรสำคัญในชีวิต คุณก็จะปล่อยให้คนอื่นมาตัดสันใจแทนว่าอะไรสำคัญในชีวิตคุณ  การทำอะไรภายใต้แรงกดดันของความเร่งด่วนก็ง่าย แต่พอสิ้นสุดวันนั้น แล้วมานั่งคิดดูว่า "ฉันได้ทำอะไรเสร็จไปบ้างหรือเปล่านี่  ฉันใช้พลังงานไปมากมาย และทำหลายอย่าง แต่ได้ทำอะไรที่สำคัญๆเสร็จบ้างไหม?" การมีงานยุ่งไม่จำเป็นว่าต้องเกิดผลเสมอไป คุณอาจหมุนติ้วเป็นวงกลม แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันเลย

การเตรียมตัวทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย พูดอีกอย่างก็คือ การเตรียมตัวเป็นการป้องกันแรงกดดัน แต่การผัดวันประกันพรุ่ง สร้างแรงกดดันขึ้น การจัดการอย่างเป็นระบบ และการเตรียมการที่ดีลดความเครียดลงได้ เพราะคุณรู้ว่าคุณเป็นใคร คุณพยายามทำให้ใครพอใจ และคุณต้องการทำอะไรให้สำเร็จ การมีเป้าหมายชัดเจนทำให้ชีวิตง่ายขึ้นมาก ใช้เวลาวันละสักสองสามนาทีพูดกับพระเจ้าในคำอธิษฐาน มองดูตารางงานของคุณในวันนั้นแล้ว ตัดสินใจว่า "ฉันอยากใช้เวลาหนึ่งวันในชีวิตแบบนี้จริงๆใช่ไหม?" ฉันยอมแลก 24 ชั่วโมงในชีวิตเพื่อกิจกรรมเหล่านี้หรือไม่?"

การรวมศูนย์ :จดจ่อทีละเรื่อง
บางครั้งคุณเคยพบตัวเองถูกดึงไปคนละทิศคนละทางบ้างไหม?
หลายคนคนพยายามทำให้พระเยซูออกนอกตารางที่พระองค์วางแผนไว้ พวกเขาพยายามทำให้พระองค์เขวไปจากเป้าหมายในชีวิต "พอรุ่งเช้าพระเยซูเสด็จไปยังที่สงบเงียบ ประชาชนเที่ยวตามหาพระองค์ เมื่อพบแล้วพยายามหน่วงเหนี่ยวไม่ให้เสด็จไปจากพวกเขา"(ลก.4:42) พระเยซูกำลังจะจากไป แต่พวกเขาพยายามให้พระองค์อยู่ต่อพระเยซูตอบว่า "เราต้องประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าแก่เมืองอื่นๆ ด้วยเพราะเราถูกส่งมาก็เพื่อเหตุนี้" (ข้อ 43)

พระองค์ไม่ปล่อยให้เรื่องที่สำคัญน้อยกว่ามาทำให้พระองค์เขวไป
หลักการข้อสี่สำหรับการจัดการความเครียด คือ จดจ่อทีละเรื่องนี่เป็นหลักการของการรวมศูนย์ พระเยซูเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้เชียวล่ะ ดูเหมือนทุกคนพยายามขัดจังหวะพระองค์ ใครๆก็มีแผนสำรองไว้ให้พระองค์ แต่พระเยซูตอบว่า "ขอโทษที เราต้องมุ่งไปสู่เป้าหมายของเรา" พระองค์ตั้งหน้าตั้งตาทำสิ่งที่พระองค์รู้ว่าพระเจ้าบอกให้ทำนั่นคือ สั่งสอนเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า พระองค์แน่วแน่ ยืนหยัด และจดจ่อ

เวลาผมมีงานสามสิบอย่างที่ต้องทำอยู่บนโต๊ะ ผมจะกวาดโต๊ะให้โล่งแล้วทำงานอย่างเดียว แล้วพอทำเสร็จ ค่อยหยิบงานอื่นมาทำ คุณจะจับปลาสองมือในคราวเดียวไม่ได้ คุณต้องจดจ่อทีละอย่าง เมื่อเรากระจายความพยายามของเราไปทำทีละหลายๆอย่าง เราก็จะไม่มีประสิทธิภาพ แต่เมื่อเรารวบรวมกำลังของเรามุ่งไปยังจุด เดียว เราก็เกิดผลมากขึ้น แสงที่ถูกกระจายออกไปทำให้แสงที่ส่องออกมาพร่ามัว แต่แสงที่รวมศูนย์ทำให้เกิดประกายไฟขึ้นได้ พระเยซูคริสต์ไม่ปล่อยให้สิ่งที่มาขัดจังหวะเหล่านั้นกีดขวางพระองค์จากการจดจ่อที่เป้าหมาย พระองค์ไม่ยอมให้คนอื่นมาทำให้พระองค์ตึงเครียด กดดัน หรือรำคาญใจได้

การกระจายงาน :อย่าทำทุกอย่างเองหมด
วันหนึ่ง "พระเยซูเสด็จขึ้นบนภูเขาและทรงเรียกบรรดาผู้ที่ทรงประสงค์มาพบ และพวกเขาก็มาหาพระองค์" (มก.3:13) พระองค์แต่งตั้งชายสิบสองคนที่พระองค์มอบหมายให้เป็นอัครทูตเพื่อให้อยู่กับพระองค์ และพระองค์จะได้ส่งพวกเขาออกไปเทศนา สั่งสอนกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ พระเยซูกระจายอำนาจของพระองค์ นี่คือ หลักการที่ห้า อย่าพยายามทำทุกอย่างเองหมด ใช้หลักการกระจายงาน
คุณรู้มั้ยว่าทำไมเราจึงวิตกกังวลและตึงเครียด? เพราะเราคิดว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับเราหมด "ผมนี่แหละ – เป็นแผนที่ – โอบอุ้มความห่วงใยของโลกไว้หมด ทุกอย่างอยู่บนบ่าผม ถ้าผมปล่อยมันลง โลกก็จะแตกเป็นเสี่ยงๆ" แต่เมื่อผมปล่อยจริงๆ โลกก็ไม่ได้แตกเป็นเสี่ยงๆ! พระเยซูไปเกณฑ์สาวกสิบสองคนมาฝึก เพื่อให้พวกเขาแบ่งเบาภาระของพระองค์ พระองค์ทรงกระจายงาน และให้คนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม
ทำไมเราไม่กระจายงาน? ทำไมเราไม่ให้คนอื่นเข้ามามีส่วน?
ทำไมเราพยายามทำทุกอย่างเองหมด? มีเหตุผลสองข้อ เหตุผลแรกคือ การนิยมความสมบูรณ์แบบ เราคิดว่า "ถ้าฉันต้องการให้งานออกมาดี ฉันต้องทำเอง" นี่เป็นความคิดที่ดี แต่ก็มักไม่ได้ผลบ่อยๆเพราะมีหลายสิ่งที่ต้องทำมากเกินกำลัง เราไม่มีเวลาทำทุกสิ่งทุกอย่างได้เองหมด นี่เป็นท่าทีแบบชอบยกตัวเองที่ว่า "ไม่มีใคร ไม่มีใครเลยสามารถแบบที่ฉันทำได้"
คุณคิดว่าพระเยซูน่าจะทำงานได้ดีกว่าพวกสาวกเหล่านี้ไหม?
แน่นอน พระองค์ทำได้ดีกว่าแน่ๆ แต่พระองค์ปล่อยให้พวกเขาทำทั้งๆที่พระองค์ก็ทำได้ดีกว่า เราต้องปล่อยให้คนอื่นทำผิดพลาดบ้าง เพื่อพวกเขาจะได้เรียนรู้ แบบเดียวกับพวกสาวก อย่าปล้นการเรียนรู้ไปจากคนอื่น!
อีกเหตุผลหนึ่งที่เราไม่กระจายงาน ก็คือ ความไม่มั่นคงส่วนตัว
"ถ้าฉันมอบความรับผิดชอบนี้ให้คนอื่น แล้วเขาเกิดทำได้ดีกว่าล่ะ?
ความคิดเช่นนี้ทำให้เรากลัว แต่คุณจะไม่กลัวความเป็นไปได้แบบนี้ ถ้าคุณรู้ว่า คุณเป็นใคร คุณกำลังพยายามทำให้ใครพอใจ คุณต้องการบรรลุผลอะไร และสิ่งเดียวที่คุณต้องจดจ่อคืออะไร การที่จะมีประสิทธิภาพได้ คุณต้องให้คนอื่นเข้ามามีส่วนด้วย เพราะคุณไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้มากกว่าครั้งละเรื่องอย่างมีประสิทธิภาพได้

การใคร่ครวญ :สร้างนิสัยการอธิษฐานส่วนตัว
พระเยซูมักจะตื่นมาอธิษฐานบ่อยๆ "ครั้นเวลาเช้ามืดพระเยซูทรงลุกขึ้นแล้วเสด็จออกจากบ้านไปยังที่สงบเงียบและอธิษฐาน" (มก.1:35) หลักการที่หกในการจัดการความเครียด คือ สร้างนิสัยการอธิษฐานส่วนตัว นี่คือหลักการใคร่ครวญ การอธิษฐานเป็นตัวบรรเทาความเครียดได้อย่างมหาศาล เป็นเครื่องมือที่พระเจ้าประทานให้เพื่อระบายความกระวนกระวายของคุณ ไม่ว่าพระเยซูจะยุ่งขนาดไหน พระองค์ก็ปฎิบัติแบบนี้เสมอที่จะใช้เวลาตามลำพังกับพระเจ้า ถ้าพระเยซูยังจัดเวลาอธิษฐานทั้งๆที่มีงานยุ่งมาก คุณและผมไม่ยิ่งต้องอธิษฐานมากกว่านั้นหรือ! เวลาเงียบๆ ตามลำพังกับพระเจ้าแม้จะสั้นๆ ก็อาจเป็นห้องลดความดันเพื่อคลายความตึงเครียดในชีวิตได้ เราพูดกับพระเจ้าในคำอธิษฐาน บอกพระองค์ถึงสิ่งที่อยู่ในความคิดเรา และให้พระองค์พูดกับเราขณะอ่านพระคัมภีร์จากนั้นมองดูตารางเวลาของเรา ประเมินลำดับความสำคัญก่อนหลังและรอคอยคำสั่ง (ในหนังสือที่ผมเขียนเรื่อง "Rick Warren’s Bible Study Methods" มีคำอธิบายละเอียดถึงวิธีสร้างและรักษานิสัยเวลาการเข้าเฝ้าพระเจ้าประจำวันไว้)

ปัญหามากมายของเรามาจากการที่เราไม่สามารถนั่งลงนิ่งๆได้
เราไม่รู้ว่าจะนิ่งเงียบเฉยๆได้อย่างไร พวกเราหลายคนไม่ สามารถนั่งในรถเงียบๆโดยไม่เปิดวิทยุได้ถึงห้านาทีเลยถ้าคุณเดินเข้าบ้าน แล้วพบว่าตัวเองอยู่คนเดียว คุณจะทำอะไรอย่างแรก? คุณก็อาจเปิดโทรทัศน์ หรือ เปิดเพลง ความเงียบทำให้เราอึดอัด แต่พระเจ้าตรัสว่า "จงนิ่งเสียและรู้ว่าเราเป็นพระเจ้า" (สดด.46:10) เหตุผลหนึ่งที่หลายคนไม่รู้จักพระเจ้าเป็นส่วนตัวก็เพราะพวกเขาอยู่นิ่งๆไม่ได้ พวกเขายุ่งเกินไปที่จะอยู่เงียบๆ แล้วใช้ความคิด ครั้งหนึ่งมีคนพูดว่า "ดูเหมือนเป็นนิสัยน่าประหลาดของมนุษย์ที่เมื่อเขาหลงทาง เขาก็ยิ่งเร่งความเร็วขึ้นอีกเท่าตัว" – เหมือนนักบินเครื่องบินรบในกองทัพอากาศสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่บินข้ามมหาสมุทรแปซิกฟิค เมื่อเขาส่งสัญญาณวิทยุเข้ามา ผู้คุมวิทยุการบินถามว่า "คุณอยู่ที่ไหน" นักบินตอบว่า "ผมไม่รู้ แต่ผมกำลังบินอย่างเร็วทำลายสถิติอยู่!"

หลายคนเป็นแบบนั้น คือ พวกเขากังลังเร่งสปีดชีวิต โดยไม่รู้ว่ากำลังมุ่งหน้าไปไหน เราจำเป็นต้องเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการอธิษฐานเหมือนพระเยซู แล้วก็หยุดอธิษฐานอีกเป็นช่วงๆตลอดวัน เพื่อชาร์ตไฟจิตพระวิญญาณของเรา

การพักผ่อนหย่อนใจ :หาเวลาพักเพื่อสนุกกับชีวิตบ้าง
ครั้งหนึ่งสาวกทั้งสิบสองของพระเยซูตั้งวงล้อมพระเยซู และรายงานทุกสิ่งที่ได้ทำและสั่งสอน "เนื่องจากขณะนี้มีผู้ไปๆมาๆ กันแน่นขนัดจนพวกเขาไม่มีโอกาสรับประทานอาหาร พระองค์จึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า ‘ท่านทั้งหลายจงตามเราไปหาที่สงบพักกันสักหน่อยเถิด’ " (มก.6:31) หลักการข้อเจ็ดสำหรับการจัดการความเครียด คือ หาเวลาพักเพื่อสนุกกับชีวิต นี่คือหลักการของการผ่อนคลายและพักผ่อนหย่อนใจ พระเยซูมองไปยังคนเหล่านี้ซึ่งตรากตรำงานหนักโดยไม่หยุดหย่อน แล้วพูดว่า "วันนี้พวกท่านสมควรได้พัก ไปพักผ่อนกัน หยุดงานกันเถอะ" แล้วพวกเขาก็ลงเรือ พายข้ามไปอีกฟากของทะเลสาบ และออกไปพักผ่อนในที่เปลี่ยว
เหตุผลหนึ่งที่ทำไมพระเยซูจึงรับมือกับความเครียดได้ก็คือ พระองค์รู้ว่าเมื่อไรควรพัก พระองค์มักออกไปที่ภูเขาหรือไม่ก็ที่เปลี่ยวๆอยู่บ่อยๆเพื่อผ่อนคลายการพักผ่อนหย่อนใจในชีวิตไม่ใช่ทางเลือก แท้จริง การพักผ่อนสำคัญมากจนพระเจ้าต้องรวบรวมไว้อยู่ในพระบัญญัติ 10 ประการ ด้วย วันสะบาโตถูกกำหนดไว้เพื่อมนุษยชาติเพราะพระเจ้ารู้ว่าองค์ประกอบทางกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณของเราต้องการการหยุดพักเป็นระยะๆ พระเยซูเอาตัวรอดจากความเครียดได้เพราะพระองค์สนุกกับชีวิต พระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่ผมชอบมาก คือ มัทธิว 11:19กล่าวไว้ทำนองนี้ว่า พระเยซูมา "สนุกกับชีวิต" เปาโลเขียนว่า พระเจ้าทรงจัดเตรียม "ทุกสิ่งให้เราอย่างบริบูรณ์เพื่อความเบิกบานใจของเรา" (1 ทธ.6:17) ชีวิตสมดุลย์ คือ กุญแจของการจัดการความเครียด

การเปลี่ยนแปลง :มอบความเครียดของคุณให้พระคริสต์
หลักการที่แปดของการจัดการความเครียดเป็นหลักการที่พระเยซูไม่ต้องใช้ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่เราต้องการเพราะเราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาๆ พระเยซูตรัสว่า "บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านพักสงบ จงรับแอกของเราแบกไว้ และเรียนรู้จากเราเพราะเราสุภาพและถ่อมใจ แล้ววิญญาณของท่านจะพักสงบ เพราะแอกของเรานั้นพอเหมาะ และภาระของเราก็เบา" (มธ.11.28-30) ดังนั้นหลักการ
สุดท้ายในการจัดการความเครียด คือ มอบความเครียดของคุณให้พระคริสต์ คุณจะไม่มีทางมีความสุขกับสันติสุขในใจอย่างสมบูรณ์ได้ จนกว่าคุณจะมีความสัมพันธ์กับเจ้าชายแห่งสันติเสียก่อน พระคริสต์มิได้ตรัสว่า "จงมาหาเรา แล้วเราจะมอบความรู้สึกผิด ภาระหนัก ความเครียด และความกังวลให้เจ้ามากขึ้น" แม้ว่านี่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่หลายคนชอบสอนก็ตาม! บางคริสตจักรมีแนวโน้มชอบสร้างแรงกดดันแทนที่จะช่วยบรรเทา แต่พระเยซูตรัสว่า"เราอยากให้เจ้าพักผ่อน เราเป็นผู้บรรเทาความเครียด เมื่อเจ้าผูกพันกับเรา เราจะมอบกำลังจากภายในให้แก่เจ้า"  พระคริสต์สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณจากเครียดจัดให้มีความพึงพอใจได้ แหล่งความเครียดที่สำคัญมาจากการพยายามดำเนินชีวิตแยกจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างเรา แล้วพยายามไปตามทางของตัวเอง และเป็นพระเจ้าของตัวเอง

คุณต้องการอะไร? ถ้าคุณไม่เคยมอบชีวิตให้พระคริสต์ คุณต้องการการเปลี่ยนแปลง มอบชีวิตของคุณ รวมถึงความเครียดทั้งหมดให้พระองค์ แล้วพูดว่า "ข้าแต่พระเจ้า โปรดประทานชีวิตใหม่ให้ข้าพระองค์ ขอสันติสุขของพระองค์เข้ามาแทนความกดดันที่ข้าพระองค์รู้สึกอยู่นี้ ช่วยข้าพระองค์ให้ทำตามหลักการจัดการความเครียดของพระองค์ได้ด้วย"

อ่านแล้วอย่าลืมนำความคิดไปสู่การปฎิบัติ
1. ในหลักการทั้งแปด มีหลักการไหนบ้างสัก 2- 3 อย่างที่โดดเด่นซึ่งคุณจำเป็นต้องนำไปจัดการในเวลานี้?

2. ระบุวิธีการเฉพาะเจาะจง 3 วิธีที่คุณสามารถเริ่มทำชีวิตให้เรียบง่ายขึ้นได้ภายในสัปดาห์ถัดไป

เรียบเรียงโดย "Rick Warren’s

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ อ่านมัทธิว 26:3 ถึง 27:66 ยูดาสตอบรับการเรียกของพระเยซูให้ติดตามเช่นเดียวกับสาวกคนอื่นๆ เขาออ...