คนเราคิด “แตกต่าง”...เพื่อสร้างเสริม
เป็นสิ่งที่ดี
แต่ไม่ควรใช้ ความแตกต่าง สร้างความแตกแยก
พระเยซูเจ้าจำเป็นต้องเตือนสติว่า..
“ถ้าอาณาจักรใดแตกแยกภายใน
อาณาจักรนั้นย่อมพินาศ"
ในวันที่อ่อนล้า....
พระองค์ทรงเป็นกำลัง
ในวันที่พลาดพลั้ง...
พระองค์ทรงให้อภัย
4 เหตุผลที่คนคิดต่างกัน
ความไม่เข้าใจของคนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในทุกๆ
ที่ที่เราต้องอยู่ร่วมกันในสังคม
ไม่ว่าจะเป็นการอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว ร่วมกับเพื่อนๆ ในโรงเรียน หรือในที่ทำงาน
หรืออยู่ร่วมกันในสังคมใหญ่ ระดับชุมชน หรือใหญ่กว่านั้น คือ
อยู่ร่วมกันในโลกใบนี้ ความไม่เข้าใจกันและความขัดแย้งจึงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ในทุกสังคมที่เราต้องอยู่ร่วมกัน
ซึ่งหนึ่งในสาเหตุของความไม่เข้าใจทีเกิดขึ้น น่าจะมาจากสาเหตุคือ
เรื่องของความคิดหรือทัศนคติที่ไม่ตรงกัน โดยเหตุของความคิดและทัศนคติที่ต่างกัน
มาจากปัจจัย 4 ข้อ ดังนี้
1. แต่ละคนรู้ไม่เท่ากัน – รู้ไม่ตรงกัน
คนทุกคนย่อมมีความรู้ในทุกๆ เรื่อง
“ไม่เท่ากัน” และ “ไม่ตรงกัน” แน่นอน
ประสบการณ์ที่แตกต่างกันที่ผ่านเข้ามาในชีวิตแต่ละคน จะทำให้แต่ละคนมีข้อมูลที่
“ไม่เท่ากัน” เมื่อมีข้อมูลไม่เท่ากัน
ปฏิกิริยาของคนแต่ละคนที่แสดงออกก็จะไม่เหมือนกัน นอกจากเรื่องข้อมูลที่มีไม่เท่ากันแล้ว
ข้อมูลที่แต่ละคนมีก็อาจจะไม่ตรงกันด้วยก็ได้ บางครั้งในเรื่องเดียวกัน
อาจจะมีข้อมูลในการรับรู้ไม่ตรงกัน ทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน
นี่คือปัญหาพื้นฐานในเรื่องของ “ข้อมูล”
สมาชิกในแต่ละสังคม, ในแต่ละครอบครัวหรือแต่ละชุมชนมักจะมีข้อมูลที่
“ไม่เท่ากัน” และ “ไม่ตรงกัน”
ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของนำมาซึ่งความคิดที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น
เราต้องปรับให้คนในครอบครัว ในสังคม หรือชุมชนมีความรู้ที่ “ตรงกัน”
และมีความรู้ที่ “เท่ากัน” ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเพื่อลดช่องว่างของความคิดที่แตกต่าง
เครื่องมือที่ใช้ในการปรับข้อมูลให้ตรงกัน คือ “การรับฟังให้มากขึ้น”
เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยให้ข้อมูลที่มีตรงกัน และเท่ากัน
(การรับฟังให้มากขึ้นถึงอาจจะยังไม่ยอมรับก็ยังดีกว่าไม่รับฟังอะไรเลย)
2. แต่ละคนมี “จุดสนใจ” ไม่สอดคล้องกัน
“จุดสนใจ” หรือ “Interest” ในความหมายง่ายๆ คือ
สิ่งที่เราต้องการจริงๆ ลึกๆ ในใจ (ไม่ใช่แค่ฉาบฉวย) ในหลายครั้ง
สิ่งที่เป็นความสนใจหรือความต้องการลึกๆ จริงๆ
ในใจที่เรียกว่าจุดสนใจนั้นย่อมมีความแตกต่างกันได้
ซึ่งถ้าแตกต่างกันแต่ไม่ขัดกันก็รอดไปไม่มีข้อขัดแย้ง แต่ถ้า “ต่างกัน” และ
“ขัดกัน” อันนี้ก็จะเกิดความคิดที่ขัดแย้งต่อเนื่องกันไป
เครื่องมือที่ใช้ในการสื่อสารที่เราอาจนำมาใช้ในกรณีที่จุดสนใจไม่สอดคล้องกัน
หรือไม่ตรงกัน ก็คือ “การรับฟัง” และพูดคุยระบุจุดสนใจลึกๆ จริงๆ ว่า
ในใจเขาต้องการอะไร โดยไม่ได้มองแค่ผิวเผิน แต่ต้องมองให้ทะลุไปเลยว่า จริงๆ
แล้วลึกๆ นั้นเขาต้องการอะไร หาหนทางตอบโจทย์ของเขาว่า จุดสนใจของเขาจริงๆ
แล้วคืออะไร ก็จะเป็นเรื่อง win-win ของทุกคน
3. แต่ละคนมี “หลักคิด” ที่ไม่เหมือนกัน
“หลักคิด” คือ สิ่งที่ยากที่สุดที่จะเปลี่ยน
เพราะมันเป็นเหมือน “ตะกอน” ของความคิด
ความเชื่อและประสบการณ์ที่สั่งสมมาตลอดทั้งชีวิต ซึ่งคนเรามีความเชื่อ มีค่านิยม
หรือหลักคิดที่แตกต่างกัน โดยอาจจะเกิดจากการเลี้ยงดูในวัยเด็ก การศึกษา
หรือสังคมที่เติบโตมา
หลักคิดที่แตกต่างกันไปเหล่านี้หรือหลักคิดที่ขัดแย้งกันนั้น
เราไม่สามารถบอกได้เลยว่าใครคิดผิด ใครคิดถูก ไม่มีหลักคิดใดดีกว่าหรือแย่กว่า
เพราะเราไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด ดังนั้น
สิ่งที่เราทำได้ไม่ว่าเราจะเป็นใครในสังคมก็ตาม คือ
พยายามทำความเข้าใจและยอมรับมันก่อนในเบื้องต้น จงยอมรับในความแตกต่างของหลักคิด
ยอมรับว่านั่นคือหลักคิดของเขา และจงอย่าพยายามที่จะไปเปลี่ยนเขาในทันที
เพราะต้องเข้าใจว่า หลักคิด
นั้นใช้เวลาสั่งสมมานานกว่าจะเป็นตะกอนทางความคิดได้ขนาดนี้
เพราะฉะนั้นไม่มีวันที่เราจะคิดเปลี่ยนแปลงหลักคิดของเขาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย แต่อาจจะต้องอาศัยระยะเวลา โดยเอาเรื่องจริง
เอาเหตุผลจริงๆ
หรือเหตุการณ์ใกล้ตัวที่เกิดขึ้นมาจูงใจเพื่อช่วยปรับหลักคิดหรือความคิดให้โอนเอนเข้าหากันได้ในที่สุด
4. แต่ละคนมี “การรับรู้” ที่ต่างกัน
และแม้ว่าคนสองคนที่มี “หลักคิด” เหมือนกัน มี
“จุดสนใจ” เหมือนกัน และมี “ข้อมูล” ที่เท่ากันและตรงกัน
ก็ยังจะมีความคิดที่แตกต่างกันได้อีก เพราะว่า “การรับรู้” หรือ “Perception” ที่เกิดขึ้นในสมองแตกต่างกันออกไป
โดยมีหลัก 3 ประการ คือ
- Selection มนุษย์จะเลือกเรื่องที่ตนเองสนใจก่อนอื่น
เรื่องไหนที่ตนเองไม่สนใจก็จะไม่เกิดการรับรู้ หรือเกิดการรับรู้น้อย
- Organization คือการจัดระเบียบสิ่งเร้าที่เข้ามาในสมอง
ให้เป็นไปตามหมวดหมู่ โดยใช้ประสบการณ์หรือความรู้เดิมในการจัดระเบียบ
- Interpretation คือการนำเอาสิ่งที่รับรู้นั้น นำมาตีความ
โดยอาศัยความรู้, ประสบการณ์, ความเชื่อ, ค่านิยม, จุดสนใจ เพื่อตีความสิ่งเร้านั้น
ดังนั้น การสร้างความรับรู้ ในขั้นตอนแรก (Selection) จึงเกี่ยวพันกับศิลปะของการสื่อสารเพื่อ
“เปิดใจ” ให้ผู้ฟังรับเอาสิ่งที่อยากรู้ และสื่อเข้าไปอยู่ในความคิดของผู้ฟังให้ได้
โดยไม่ใช่ใช้วิธีการบังคับ หรือกรอกหู
แต่ต้องใช้วิธีการพูกสื่อสารเพื่อให้ผู้ฟังเปิดใจรับฟังและนำมันไปจัดระเบียบพร้อมตีความสิ่งที่รับเข้ามานั้น
ให้ตรงตามที่เราอยากจะสื่อออกไปให้เขารู้
http://www.maruey.com
//////----//////
ความกลัวที่จะคิดและเปลี่ยนปลงหรือการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเราเองให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น
เป็นการเปิดโอกาสและเป็นเครื่องมือที่ปีศาจใช้ และทำให้เราเป็นทาสของมัน ตรงข้าม
พระเยซูเจ้าใช้ความรักและความเมตตา
พระองค์เสด็จมาปลดปล่อยประชากรให้พ้นจากการเป็นทาสของความกลัว การเดินทางทางอากาศ
การพบกับคนแปลกหน้า หรือรู้ตัวว่าเป็นมะเร็ง การสูญเสียเงินทอง
ที่เกิดขึ้นกับเรากระตุ้นความกลัว กันเราออกจากความรัก และอิสรภาพของเราที่มีต่อพระคริสตเจ้า
เราต้องเข้าใจให้ชัดว่าความกลัวเหล่านี้มาจากผู้ที่เข้มแข็งกว่าเรา
ใครก็ตามที่ตกอยู่ภายใต้ความกลัวที่ปีศาจล่อไว้ ไม่ว่าจะหาเหตุผลใดมาทัดทาน
หรือแม้แต่อยากจะเป็นอิสระก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
เราต้องการผู้ที่แข็งแรงกว่าเพื่อจะจัดการ และผู้นั้นก็คือพระเยซูเจ้า
เราไม่ต้องกลัวปีศาจ
เราไม่ต้องมีชีวิตภายใต้ความกลัว เราเป็นของผู้ที่เข้มแข็งกว่า
ทุกวันให้เราเชิญพระองค์ทำงานในตัวเรา เปิดประตูและขอพระองค์ให้จัดการกับปีศาจ
จงยอมอยู่ภายใต้พระฤทธานุภาพของพระจิตเจ้า
อย่าต่อสู้กับศัตรูด้วยกำลังของเราเอง ในการสวดภาวนา
จงมอบดวงใจและความคิดแด่พระเจ้า
ยอมให้พระจิตเจ้าไขแสดงสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการทำงาน ปล่อยให้พระองค์ทรงทำงาน
พระองค์จะทำให้เราเป็นอิสระ อย่างนุ่มนวล ด้วยความรักอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นหากเราต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่คนรอบข้างคิดต่างกัน
จงรู้ไว้เถิดว่า หลักคิดที่แตกต่างกันไปเหล่านี้หรือหลักคิดที่ขัดแย้งกันนั้น
เราไม่สามารถบอกได้เลยว่าใครคิดผิด ใครคิดถูก ไม่มีหลักคิดใดดีกว่าหรือแย่กว่า
เพราะเราไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด
ให้เราอาศัยการนำจากพระจิตเจ้าก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป เพราะผลจากการพึ่งพาพระเจ้ามักนำมาซึ่งความชื่นชมยินดีเสมอ
🍁“เชิญเสด็จมา ข้าแต่พระจิตเจ้า โปรดค้นหาดวงใจและความคิดของข้าพเจ้า ณ ที่ใดที่ปีศาจอาศัยอยู่
โปรดกำจัดออกไป ข้าพเจ้าต้องการที่จะมีชีวิตด้วยความอิสระของพระคริสตเจ้า”
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
KC
🍂น่าคิด🍂
หากอยากบังคับคนอื่น...ให้คิดเหมือนเรา
สักวัน...เราจะเหนื่อยใจ
หากบังคับปากคนอื่น...ให้พูดตามที่เราต้องการ
เราก็เป็น คนบ้าอำนาจคนหนึ่ง นั่นเอง
มนุษย์เราล้วนแตกต่างกัน
ถึงแม้จะเป็น ฝาแฝด กันก็ตาม
ก็จะมี ส่วนที่คล้ายกัน และ มีส่วนที่แตกต่างกัน
มนุษย์ทุกคนล้วนแตกต่างกัน
เพราะว่า ทัศนคติต่างกัน
ทัศนคติต่างกัน
เกิดจาก อายุต่างกัน + การเลี้ยงดูต่างกัน + การศึกษาต่างกัน
+ ประสบการณ์ชีวิตต่างกัน
+ การรับรู้ไม่เท่าเทียมกัน
มันคงเป็นเรื่องยาก
หากจะบังคับ “งู ให้กินแต่ผลไม้”
หากจะบังคับ “วัว ให้ไปกินงู”
หากจะบังคับ “เสือ ให้กินแต่หญ้า”
หากจะบังคับ “ปลา ให้ไปกินเสือ”
สิ่งที่คนฉลาดทำกัน คือ
การฝึกคนให้เก่ง ในสิ่งที่คนนั้นถนัด
อาจารย์สอนวิชาการต่อสู้
มักจะมองออกว่า ศิษย์คนใด เก่งหมัด
ศิษย์คนใด เก่งการใช้ดาบ เป็นอาวุธ
ศิษย์คนใด ต้องสอนวิชาตัวเบา
ศิษย์คนใด ต้องใช้มีดสั้น ขว้างจากระยะไกล
ศิษย์คนใด ควรจะเรียงไม้พลอง
“คนโง่ มักจะ
บังคับคนอื่น
ให้คิด และ ให้ทำ...อย่างที่เราคิด
มนุษย์ที่ฉลาด ไม่บังคับคนอื่น
ให้คิด และ ให้ทำ...อย่างที่เราคิด
แต่จะฉลาดพอ ที่จะ สอนให้เขาทำ
อย่างที่เราอยากให้เขาเป็น”
หนังสือ เกาสมอง ตอน สิ่งมีค่ามากกว่าเงิน
เขียนโดย ดำรงค์ พิณคุณ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น