วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558

พระวาจาหนุนใจในเวลาที่เรารู้สึกโกรธ




คุณเคยถูกใครสักคนทำคุณให้โกรธ  โมโห  จนเดือดปุดปุดหรือไม่  หากเคย  คุณไม่ได้ผิดปกติอะไร  เราทุกคนต่างมีร่างกาย  เนื้อหนัง  อารมณ์และความรู้สึก  การถูกทดลองให้เกิดความรู้สึกดังกล่าวไม่ทำให้คุณบาปใดใดทั้งสิ้น


วิธีที่คุณตอบสนองต่อการทดลองดังกล่าวต่างหากที่จะเป็นตัวกำหนดว่าคุณทำบาปหรือไม่

การทำบาปไม่ได้เริ่มต้นเวลาที่คุณเกิดอารมณ์โกรธ  การทำบาปเริ่มต้นเมื่อคุณปล่อยให้อารมณ์ดังกล่าวชักนำให้คุณพูดหรือลงมือทำอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ความรักออกมา

พระคัมภีร์กล่าวว่า “จะโกรธก็โกรธได้  แต่อย่าทำบาป  อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่  และอย่าให้โอกาสแก่มาร” (อฟ. 4:26-27)


วิธีระงับความโกรธ ดับอารมณ์โมโหที่สูงปรี๊ดได้ แค่ต้องทำตามนี้



          เวลาโกรธ ทำไงดี ปัญหาที่คิดไม่ตก ลองมาดูวิธีกำจัดความโกรธ ดับอารมณ์ร้อน ควบคุมความโกรธให้อยู่หมัดด้วยวิธีเหล่านี้ ก่อนจะกลายเป็นนิสัยร้าย ๆ ที่ใครก็เบือนหน้าหนี

          ความโกรธ อารมณ์ในแง่ลบที่ส่งผลเสียทั้งต่อร่างกายและจิตใจ ที่หลายคนต้องเคยประสบพบเจอ ซึ่งถ้าหากเราไม่สามารถควบคุมความโกรธได้ก็รังแต่จะมีผลร้ายตาม­­­มา และถ้ายิ่งปล่อยให้ความโกรธนั้นอยู่กับเรานาน ๆ ก็อาจจะกลายเป็นนิสัยที่ใครเจอก็แทบไม่อยากเข้าใกล้ ถ้าไม่อยากให้ชีวิตพังต้องมาดูวิธีระงับความโกรธที่เริ่มต้นได้­­­ด้วยตัวคุณเอง แค่เพียงใจเย็นลงเท่านั้น รับรองว่าทุกอย่างดีขึ้นแน่นอน


 วิธีระงับความโกรธ
1. ควบคุมลมหายใจ
          เมื่อไรที่คุณกำลังเริ่มรู้สึกโกรธละก็ ก่อนที่จะปล่อยให้ตัวเองขาดสติจนแสดงอารมณ์ด้านร้าย ๆ ออกมา ลองหยุดอยู่นิ่ง ๆ แล้วหายใจเข้า-ออกลึก ๆ ควบคุมลมหายใจให้เข้า-ออกช้า ๆ อย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับนับ 1-10 ช้า ๆ จะช่วยทำให้คุณใจเย็นลงได้ หรือถ้าจะให้ดี ลองทำสมาธิดูค่ะ

2. หยุดเพื่อให้เวลากับตัวเอง
          เวลาที่คุณโกรธ สิ่งที่ควรจะทำคือการหยุดพักสักครู่ เพื่อให้คุณมีเวลาอยู่กับตัวเอง และทำให้ตัวเองได้สงบสติอารมณ์ลง หรือถ้าหากคุณกำลังอยู่ท่ามกลางต้นเหตุที่ทำให้คุณรู้สึกโกรธละ­­­ก็ แค่เพียงเดินออกมาอยู่คนเดียวสักครู่จนเริ่มใจเย็นแล้วถึงค่อยก­­­ลับเข้าไปเผชิญหน้าใหม่อีกครั้ง แบบนี้จะช่วยทำให้ใจเย็นลงได้เยอะเลย

3. ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
          ร่างกายของเราเวลาที่โกรธนั้น กล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ในร่างกายก็จะตึงเครียดตามไปด้วย ดังนั้นวิธีระงับความโกรธอีกวิธีที่ง่าย ๆ คือการผ่อนคลายกล้ามเนื้อค่ะ โดยการยืดเส้นยืดสาย ขยับตัวบิดซ้ายบิดขวาสักหน่อย จะช่วยให้กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดจากอารมณ์โกรธค่อย ๆ ผ่อนคลายขึ้นและทำให้ใจเย็นลงค่ะ

4. คิดทบทวนให้ดี
          หากคุณยังพอมีสติอยู่บ้างในระหว่างที่โกรธ ลองหันกลับไปคิดถึงสาเหตุที่ทำให้คุณโกรธ ลองคิดถึงเหตุและผลอย่างใจเย็น วิธีนี้จะช่วยทำให้คุณใจเย็นและคลายความโกรธลงได้อย่างช้า ๆ แถมยังช่วยทำให้คุณมีเหตุผลมากขึ้นอีกด้วย

5. นึกถึงสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกสบายใจ
          ถ้าหากคุณตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถปลีกตัวไปเพื่อสงบสติอา­­­รมณ์ละก็ ลองนึกถึงสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย อย่างเช่น สถานที่ที่คุณไปพักร้อน บ้านที่คุณเคยอยู่สมัยเด็ก ๆ ลองคิดถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับสถานที่เหล่านั้น บอกได้เลยว่าวิธีนี้จะช่วยให้คุณอารมณ์เย็นลงได้ในเวลาเพียงไม่­­­นาน

6. มองโลกในแง่ดี
          ความโกรธเกิดขึ้นจากการมองโลกในแง่ลบ ฉะนั้นจะขจัดความโกรธได้ก็ต้องเปลี่ยนมุมมองความคิด แค่เพียงหันมามองเรื่องที่คุณโกรธในแง่บวกบ้าง ลองคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะมีเหตุผลที่จำเป็น ถึงทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มองหาแง่ดีของสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ แม้บางเรื่องอาจจะไม่ดีเท่าที่ควรแต่ก็ควรบอกตนเองว่าดีแล้วที่­­­เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น เพราะถ้าหากไม่เกิดขึ้นก็อาจจะมีเรื่องร้ายแรงกว่านี้เกิดขึ้นก็ได้

7. ปรึกษาใครสักคนที่คุณไว้ใจ
          หากคุณรู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้คุณรู้สึกโกรธละก็ การหันหน้าไปปรึกษาใครสักคนที่คุณไว้ใจก็สามารถช่วยให้ปัญหาเหล่านั้นคลี่คลายลงไปได้ เพราะหลาย ๆ ครั้งการที่จะทำให้คุณใจเย็นลงนั้น คำปลอบประโลมก็ไม่ได้ช่วยให้­คุณหายโกรธได้เสมอไป แต่คำพูดที่จริงใจและคำแนะนำที่ดีต่างหากที่สำคัญ

8. ออกกำลังกาย
          การปลดปล่อยความโกรธอีกวิธีหนึ่งที่ดีต่อสุขภาพจิตและดีต่อร่า­งกายก็คือการออกกำลังกาย หากคุณรู้สึกโมโหใครสักคน ลองปลดปล่อยออกมาผ่านการออกกำลังกาย วิธีนี้นอกจากจะช่วยทำให้คุณสบายใจขึ้นแล้วก็ยังช่วยให้สุขภาพแข็งแรงอ­­อีกด้วย

9. ปลดปล่อยออกมาเป็นตัวหนังสือ
          แม้ว่าการปลดปล่อยความโกรธจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร แต่ถ้าคุณไม่สามารถเก็บความโกรธเอาไว้ได้จริง ๆ ก็ลองเขียนระบายลงในกระดาษดูค่ะ เขียนในสิ่งที่ทำให้คุณโกรธ และสิ่งที่คุณไม่สามารถพูดออกมาได้ การได้ระบายก็สามารถทำให้คุณอารมณ์เย็นลงได้ แต่ขอแนะนำว่าควรจะเขียนลงในสมุดที่เก็บมิดชิดจะดีที่สุดนะคะ อย่าระบายลงในโซเชียลเน็ตเวิร์กเด็ดขาดไม่งั้นอาจจะนำมาสู่เรื่องเดือดร้อนในอนาคตได้เหมือนกันนะ

10. รู้จักการให้อภัย
          การให้อภัยมีพลังอันยิ่งใหญ่มากเกินกว่าที่คุณจะคาดถึง เพราะไม่เพียงแต่มีผลต่อคนที่คุณโกรธเท่านั้น แต่ยังช่วยในเรื่องของจิตใจของผู้ที่ให้อภัยได้อีกด้วย เพราะเมื่อคุณให้อภัยใครสักคน ความโกรธที่คอยทำให้คุณมีแต่ความทุกข์ก็จะหมดไป ทำให้คุณสบายใจและมีความสุขมากขึ้นนั่นเอง

          ความโกรธ เป็นสิ่งที่เราสามารถหลีกเลี่ยงได้ แค่เพียงเรามองโลกในแง่ดีและเข้าอกเข้าใจคนอื่นให้มากขึ้น แค่เพียงเท่านี้ แม้ว่าจะเจอปัญหาหรืออุปสรรคใด ๆ ก็รับรองได้เลยว่าจะไม่มีทางโกรธจนหน้าดำหน้าแดงอย่างแน่นอน

ความโกรธเป็นความผิดหรือเปล่า
ความโกรธเป็นความผิดหรือเปล่า ส่วนใหญ่คนบอกว่าผิด แต่ความจริงแล้ว ความโกรธไม่ผิด แต่มันอยู่ที่เราทำอะไรไปด้วยความโกรธต่างหากที่บ่อยครั้งจะเป็นความผิด

เมื่อเราโกรธ และใช้ความโกรธในทางที่ผิด เราจะรู้สึกโกรธตนเอง และนั่นยิ่งเพิ่มพูนความรู้สึกผิดให้ตัวเองมากยิ่งขึ้น

การโกรธมาก และมีความรู้สึกผิดกับตัวเองมาก จะมีผลกระทบต่างร่างกาย ความคิด และจิตวิญาณด้วย ซึ่งได้แก่ ” ความรุ้สึกเศร้า หดหู่ ทำงานไม่เกิดผล ป่วย ประสบอุบัติเหตุ เสียเวลาทำงาน และเสียเงินเสียทอง ขมขื่น อย่าแก้แค้น” เป็นต้น

นักวิจัยท่านอื่นได้พูดถึงเรื่องปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ โรคความด้านสูง ความเครียด และหัว ไมเกรน โรคกระเพาะ นอนไม่หลับ อาเจียน มีโรคแทรากซ้อน การวนกระวาย นอกจากนั้นยังมีคนอีกมากมายที่ถูกรบกวน และบาดเจ็บเพราะความโกรธ ดังนั้น เราจึงเข้าใจว่าพระเจ้าทรงหยั่งรู้ จึงทรงตรัสไว้ในสุภาษิต 19: 19 ว่า ” คนที่โมโหฉุนเฉียวจะได้รับโทษ และถ้าเจ้าช่วยกู้เขาแล้ว จะต้องช่วยกู้เขาอีก ” และในสุภาษิต 14: 20 ” ใจสงบให้ชีวิตแก่เนื้อหนัง แต่กิเลสกระทำให้กระดุกผุ ”

แท้จริง ความโกรธไม่ใช่ความผิด เราจะพบว่าพระเจ้าและองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราก็เคยโกรธเหมือนกัน (อพย.4:14, มก.3 :15 ) พระพิโรธของพระเจ้าต่อความบาป และต่อการกบฎเป็นความจริงของชีวิต และเป็นหัวใจที่สำคัญของข่าวประเสริฐ

“เพราะว่าพระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ ต่อความหมิ่นประมาท พระองค์ทรงลงพระอาญาแก่ผู้ที่ไม่เชื่อฟัง ” ( อฟ. 5: 6 )

มีเพียงพระโลหิตของพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่สามารถปกป้องเราจากพระพิโรธนั้นได้ พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนพระพิโรธอันชอบธรรมของพระเจ้าที่มีต่อการกบฎของเรา และนำผู้ที่เชื่อเข้าสู่ความสัมพันธ์อันมีชีวิตกับพระบิดา และเป็นส่วนของเราที่จะต้องมีชีวิตอยู่ให้เป้นที่พอพระทัยของพระบิดา ความโกรธของมนุษย์ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เหมือนความโกรธของพระเจ้า

บุคคลที่โกรธช้า ก็มีความเข้าใจมาก แต่บุคคลที่โมโหเร็วก็ยกย่องความโง่” (สุภาษิต 14: 19 )
พระเจ้าได้ทรงเตือนเรื่องความโกรธของมนุษย์ และตักเตือนผู้ที่ไม่สามารถควบคุมความโกรธของตนเองได้
“อย่าให้ใจของเจ้าโกรธเร็ว เพราะความโกรธมีประจำอยู่ในทรวงอกของคนเขลา” ( ปญจ.7: 9 )
“สามัญสำนึกที่ดีกระทำให้คนโกรธช้า และการที่มองข้ามการทรยศเสียก็เป็นศักดิ์ศรีแก่เขา” (สภษ. 19 :11 )
“ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ ” (ยก.1: 19 )
การยอมเป็นคนผิดก็ดีกว่าตกอยู่ในอารตาบอด มีความโกรธรุนแรง และทำบาป
“โกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตก ท่านยังโกรธอยู่ “(อฟ.4: 25 )

ทำไมจึงโกรธ โกรธแล้วได้อะไร ?
ความโกรธเป็นปฎิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติ การถูกกล่าวหา ถูกดูถูก ถูกกล่าวหา ถูกข่มเหงรังแก ถูกเข้าใจผิด ..ฯลฯ

อย่างไรก็ดี ทำไมจึงโกรธ ? โกรธแล้วได้อะไร ?
ไม่เป็นความจริงที่การควบคุมความโกรธไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ และไม่เห็นได้ผลดีอะไร เราก็รู้สึกหัวเสียเท่า ๆ คนอื่นๆ กำปั้นของเราหลังจากทุบประตูแล้ว ด้วยความโกรธ เราก็เจ็บเอง เราจะได้แต่ความเจ็บปวด และผลเสียที่ตามมา

เราจะทำอย่างไรกับเรื่องยาก ๆ เหล่านี้
พระคำพระเจ้ากล่าวว่า “โกรธก็โกรธเถิดแต่อย่าทำบาป” ถ้าเราโกรธ เราก็ทำบาป ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ดีสำหรับตัวเราเองเลย พระคำพระเจ้าเชื่อมโยงกับสิ่งไม่ดีต่างๆ เพราะถ้าเราไม่สามารถคงบคุมอารมณ์ของเราได้ มันก็จะเดือดและระเบิดออกมา

“จงให้ใจขมขื่น ใจขัดเคือง และใขโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดเสียดสี กับการปองร้ายทุกอย่างอยู่ห่างไกลจากท่านเถิด” (อฟ.4 31 )

และยังตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงมีเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น ” (อฟ. 4 32 )

เหตุผล 6 ประการที่ท่านไม่ควรโกรธ
1. ถ้าสิ่งที่เราทำไม่เป็นสิ่งที่ถวายเกียรติพระเจ้า
2. เป็นสิ่งที่ทำร้ายผู้อื่น ซึ่งอาจจะรุนแรงมาก
3. เป็นการทำร้ายตนเอง
4. มันไม่ได้ผลหรอก ถ้าเราจะใช้ความโกรธในการแก้ไขปัญหา
5. มันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นแม้แต่น้อย มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แน่นอน
6. เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี

ความโกรธไม่ได้ทำให้การพูดคุย หรือความสัมพันธ์ดีขึ้นมาเลย แต่ความรักทำได้ ความโกรธมีแต่ทำลายเท่านั้น เพราะว่าเป็นแรงจูงใจที่ผิด เราใช้ความโกรธข่ม และบังคับคนอื่น เพราะเราไม่มั่นใจในตัวเอง

“ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนที่ดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ( 1 โครินโธ 13: 4 – 7 )

นี่เป็นสิ่งที่ดีกว่าการโกรธมากทีเดียว ไม่เพียงแต่ว่าเราควรจะควบคุมความโกรธเท่านั้น เรายังต้องเปลี่ยนความโกรธให้แก้ปัญหาได้ด้วย

พระเจ้าทรงปราถนาให้เรากระทำสิ่งที่ดี (ยก.1: 19 – 20 ) พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างให้กับเรา (1 ปต.2:23 ) พระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยเราให้มีการแสดงออกที่ดี (อฟ. 4: 30-32 ) และความรักเป็นการสำแดงจุดยืนของเราในพระคริสต์ (กท.2: 20 ,ฟป.4: 13)

เมื่อมีความโกรธ ให้นำพลังนี้ไปใช้ในการแก้ไขปัญหา
ท่านเคยสังเกตุตัวเอง หรือไม่ว่า เมื่อท่านโกรธ ความเสียหายได้เกิดขึ้น การควบคุมความโกรธเท่านั้นยังไม่เพียงพอ เพราะเราควบคุมได้เพีบงชั่วคราว แล้วภายหลัง เมื่อเรากลับบ้าน เราอาจจะเกรี้ยวกราดต่อคนอื่นๆ เราควรเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนนิสัยใหม่เหมือนอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว ต่อไปนี้เป็นหลาย ๆ วิธีที่อาจจะช่วยเราได้

1. มองที่พระเจ้า แสวงหาการช่วยเหลือจากพระเจ้า ยอมรับว่าความโกรธของท่านเป็นความบาป (1 ยน.1: 8-9 ) และขอกำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ฟป.4: 8- 9 ,ลก. 11: 13 )

2.หลีกเลี่ยงเพื่อนที่ชอบโกรธ อารมณ์เสียง่าย (สภษ. 22: 24 ,25 )

3.หลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่จะทำให้เราโกรธ (สภษ.20 :3 )

4. หลีกเลี่ยงความเร่งรีบ ความเครียด และความกดดันต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพักผ่อนให้เพียงพอ (สดด. 127:2 ,ปฐจ. 5: 120 )

5.จัดการกับความโกรธ เวลาเราโกรธเรามีพลังมหาศาล ให้คิดถึงความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ เมื่อมีความโกรธ ให้นำพลังนี้ไปใช้ในการแก้ไขปัญหา ( ยน. 2: 16- 17 )

6. แสดงความรักที่อดทนนานดีกว่าการตะโกนใส่กัน และกัน ถ้าเรามีความรักที่แท้จริง ความรักนั้นจะรักษาช่วยเหลือ และเสริมสร้างไม่ใช่ทำลาย “สามัญสำนึกที่ดีทำให้คนโกรธช้า ” (สภษ. 19: 11 )

ความโกรธถ้าเราไม่ควบคุมไว้ อารมณ์ของเราจจะควบคุมตัวเอง แต่ความรักควบคุมได้ เพราะความรักจะควบคุมอารมณ์ของเรา

“คนเจ้าโมโหย่อมเร้าการวิวาท และคนที่มักโกรธก็เป็นเหตุให้มีการทรยศมากขึ้น” (สภษ.29:22)

“จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกดินท่านยังโกรธอยู่ และอย่าให้โอกาสแก่มาร” (อฟ. 4: 26 ,27 )
ดังนั้นการควบคุมความคิดจึงเป็นเรื่องสำคัญ

อารมณ์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่พระเจ้าประทานให้ แล้วอยู่คู่กับจิตใจของเราตลอดชีวิต อารมณ์เป็นตัวกระตุ้นให้เราแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ แล้วแต่ว่าเราจะมีอารมณ์อย่างไร อารมณ์มีทั้งดีมีประโยชน์ เช่น อารมณ์ขัน อารมณ์ร่าเริง และอารมณ์ที่เป็นโทษ เช่นโมโหฉุนเฉียว หงดหงิด ซึมเศร้า เบื่อหน่าย อารมณ์ไม่ดีเหล่านี้ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บแก่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นความดัน ,ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โรคกระเพาะ โรคประสาท (สุภาษิต 17: 22 )

เมื่อเราไม่สามารถขจัดอารมณ์ออกไปจากชีวิต เราต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์ เพื่อให้มันเป็นเครื่องมือนำชีวิตเราไปในทางเสริมสร้าง และเกิดประโยขน์ พระเจ้าปราถนาที่จะให้ลูกของพระองค์มีความรู้สึกในด้านบวกเสมอ คริสเตียนที่เจริญเติบโตเข้มแข็ง และเกิดผลเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้เกิดผลที่ดีจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตาม กท. 5:22, 23

ฝ่ายผลของพระวิญญาณ คือ ความรัก ความปลามปลื้มใจ สันติสุข และความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุขภาพอ่อนน้อม และการรู้จักบังคับตน การที่จะควบคุมอารมณ์ได้ต้องควบคุมความคิดให้ได้ อ. เปาโล กล่าวไว้ ใน ฟบ. 2: 5 ” ท่านจงมีน้ำใจ (ความคิด) ต่อกันเหมือนอย่างมีในพระคริสต์ ในโรม 12: 2 “จงรับการเปลี่ยนแปลงใจ (ความคิด) ดังนั้นการควบคุมความคิดจึงเป็นเรื่องสำคัญ และจะส่งผลต่อการควบคุมความรู้สึกด้วย

คำแนะนำ 5 ประการนี้จะช่วยให้เราพัฒนาความคิดและสามารถควบคุมอารมณ์

1. ตรวจสอบความคิดของท่าน ให้คอบตรวจสอบความคิดที่มีอยู่เสมอ ให้เป็นความคิดในด้านบวก

2. ขจัดความคิดในด้านลบออกไปให้เร็วที่สุด อย่าเก็บเอาไว้ เพราะมันจะแพร่เชื้อร้ายในความคิดด้านอื่น ๆ และทำลายความคิดดี ๆ ทำลายอารมณ์ความรู้สึกดี ๆ ไปได้ และนำอารมณ์ที่ไม่ดีให้เกิดขึ้นในจิตใจ

3.พยายามจัดระบบความคิดไปในทางบวก ด้านสร้างสรรค์ คิดว่าเป็นไปได้โดยพระเจ้า สร้างความคิดในด้านบวก ไม่ว่าอยู่ในสถานการณ์ใดในชีวิต เพราะการคิดในด้านบวกทำให้เราต้านความรู้สึกในด้านลบได้ และทำให้จิตใจของเราได้รับการหล่อเลี้ยงในด้านดีอยู่เสมอ มีความเชื่อความหวังใจเสมอ คิดถึงพระสัญญาพระเจ้ามาก ๆ (ฟป. 4: 8)

4.พยายามมองให้เห็นภาพของความเป็นไปได้โดยความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า คาดหวังสิ่งที่ดีจากพระเจ้า มองเห็นความสำเร็จที่มาจากพระเจ้า บ่อยครั้งความจำกัด ความรู้สึกท้อใจ ความกลัวในใจ ก็คือ การขยายความคิดของเราให้กว้างขึ้น เมื่อเราคิดถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ความเป็นไปได้โดยพระองค์ เราก็จะสามารถขจัดความกลัวได้ เช่น กลัวอดอยาก ก็ให้คิดถึงพระเจ้าผู้ทรงสามารถเลี้ยงอิสราเอลหลายบล้านคนในทะเลทรายเป็นเวลา 40 ปี โดยไม่มีใครอดตาย ความคิดเช่นนี้จะเสริมสร้างความเชื่อ และทำลายความกลัวไปได้

5.การปฎิบัติตามความเชื่อในใจ อารมณ์นอกจากจะเกี่ยวข้องกับความคิดแล้วก็ยังเกี่ยวข้องกับการกระทำด้วย การทำบางอย่างจะช่วยเปลี่ยนอารมณ์และความรู้สึกได้ เช่น การพูดคุยกับคนที่วางใจได้ ระบายความคิด ความรู้สึกออกมาก็จะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น การคุกเข่าอธิษฐานกับพระเจ้าเป็นส่วนตัว ระบายความในใจออกมาช่วยได้มาก การได้ร้องเพลงนมัสการสรรเสริญพระเจ้าทำให้อารมณ์ดีขึ้น การพยายามหาส่วนที่ดีในเหตุการณ์ต่างๆ การได้รับใช้ผู้อื่น ให้การช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน การเยี่ยมเยียนผู้ที่มีความทุกข์ใจหนุนใจผู้อื่น ล้วนเป็นตัวอย่างการประพฤติที่ดีที่สามารถช่วยเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกจากแง่ลบมาเป็นบวกได้
บทความโดย อ. ประยูร ลิมะหุตะเศรณี

รวมพระวาจาหนุนใจในเวลาที่เรารู้สึกโกรธ
สภษ. 14:29 ผู้ระงับความโกรธได้ย่อมมีความเข้าใจลึกซึ้ง แต่ผู้โกรธง่ายย่อมแสดงความโง่เขลา

ยก. 1:19-20 พี่น้องที่รัก พึงตระหนักว่า ทุกคนจงฉับไวที่จะฟัง แต่ช้าที่จะพูด และช้าที่จะโกรธ คนที่โกรธย่อมไม่ปฏิบัติตนชอบธรรมตามพระประสงค์ของพระเจ้า

ฟป. 2:14 จงทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่บ่นหรือโต้เถียง

สภษ. 21:19 การอยู่ในแผ่นดินทุรกันดาร ยังดีกว่าการอยู่กับภรรยาที่ชอบทะเลาะวิวาทและโกรธง่าย

คส. 3:21 บิดา ก็จงอย่าขัดใจบุตรเกินไป จนเขาท้อแท้หมดกำลังใจ

สภษ. 15:1 คำตอบอ่อนโยนทำให้ความโกรธสงบลง แต่คำพูดทิ่มแทงก่อให้เกิดความโกรธ

มธ. 5:22 แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่’ ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูงผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่บัดซบ’ ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงไฟนรก

สภษ. 22:24-25 อย่าเป็นมิตรกับคนโกรธง่าย อย่าคบหากับคนโมโหร้าย ท่านจะได้ไม่เรียนรู้พฤติกรรมของเขา และไม่นำตัวท่านเข้าไปติดบ่วงแร้ว

สภษ. 15:18 คนใจร้อนก่อการทะเลาะวิวาท แต่ผู้โกรธช้าย่อมทำให้ความขัดแย้งสงบลง

สภษ. 16:32 ผู้โกรธช้าย่อมดีกว่านักรบชำนาญศึก ผู้รู้จักบังคับใจตนเองย่อมดีกว่าผู้ที่ยึดเมืองได้

รม. 12:19 พี่น้องที่รักยิ่ง อย่าแก้แค้นเลย แต่จงให้พระเจ้าทรงตัดสินลงโทษเถิด ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า การแก้แค้นเป็นของเรา เราจะตอบแทนการกระทำของทุกคน  พระเจ้าตรัสดังนี้

สภษ. 17:1 กินขนมปังแห้งชิ้นหนึ่ง แต่มีความสงบย่อมดีกว่าบ้านที่มีการเลี้ยงเต็มที่ แต่มีการทะเลาะวิวาท

อฟ. 4:26 แม้ท่านจะโกรธ ก็อย่าให้เป็นบาป จงเลิกโกรธก่อนดวงอาทิตย์ตก


 ก่อนพระอาทิตย์ตกดิน  พยายามสวดภาวนา และให้อภัยเขาเหล่านั้นนะคะ

ข้าพเจ้าปล่อยความโกรธทั้งหมดให้ตกและจมลึกลงไป  ในพระนามของพระเยซูคริสต์  จะไม่มีใครรวมถึงข้าพเจ้าเองที่จะสามารถงมมันขึ้นมาได้อีก  ข้าพเจ้ายกโทษให้เขา  ข้าพเจ้ารักเขา  ข้าพเจ้าจะทำดีกับเขา  ข้าพเจ้าขอให้สิ่งที่ดีเกิดขึ้นในชีวิตของเขา”

เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว  ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่อยู่ในพระวจนะที่คุณประพฤติตามจะทำงานในวิญญาณของคุณ  คุณจะได้รับกำลัง  คุณจะเข้มแข็งขึ้น  และมีชัยชนะเหนืออารมณ์ของคุณ

หากเราใช้ชีวิตตามการทรงนำของพระเจ้า  ชีวิตเราจะไม่สะดุด  ถอยหลัง  เสียเวลากับเรื่องที่ถ่วงชีวิตเรา  คุณจะพ้นจากอาการเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย  แต่คุณจะก้าวต่อไปข้างหน้า  คุณจะดำเนินชีวิตใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้นทุกวัน  มีประสบการณ์กับพระพรและชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ

คำอธิษฐานด้วยความเชื่อ: พระบิดาเจ้า  ลูกขอบพระคุณพระองค์สำหรับคำตักเตือนจากพระองค์  ลูกจะระงับความโกรธ  และทิ้งความพิโรธ  ลูกจะไม่ให้ใจของลูกเดือดร้อน  ซึ่งมีแต่จะชั่วไป  ลูกสรรเสริญพระองค์  ในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า  อาเมน
oknation.nationtv.tv



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...