วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

อย่าพิพากษาเขา แล้วพวกท่านจะไม่ถูกพิพากษา



อย่าเพ่งสายตามองหาความผิดของผู้อื่น แต่จงค้นหาในตัวเองจะดีกว่า 
"อย่าพิพากษาเขา แล้วพวกท่านจะไม่ถูกพิพากษา อย่าตัดสินลงโทษเขา แล้วพวกท่านจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ จงยกโทษให้เขา แล้วพวกท่านจะได้รับการยกโทษ" (ลก.6:37)

ชีวิตนั้น ... ถ้าเรามองดูมันโดยไม่รู้ค่า มันก็จะเป็นเช่นหินหยาบ ถ้าเราไม่ขัดไม่เกลามัน มันก็จะไร้ค่า เป็นเช่นหินสะดุด!

อย่าเพ่งสายตามองหาความผิดของผู้อื่น แต่จงค้นหาในตัวเองจะดีกว่า อย่ามองหา ‘ผง’ ในตาเขา โดยไม่ใส่ใจ ‘ไม้ทั้งท่อน’ ในตาตน (ลก.6:41-42) จริงอยู่ บางคนก็เป็นเช่นหินนี้ ... แต่เราจะเปลี่ยนหินหยาบไม่ได้ ตราบใดที่ใจเราก็ยังหยาบอยู่ ความรักขัดความเกลียด เช่นความสว่างขับไล่ความมืดได้ ความรักนอกจากจะขจัดความกลัวก็ยังสามารถขับไล่ความเกลียดได้ด้วย (1ยน.4:18) ... รักคนที่รักเราจะแปลกอะไร คนชั่วเขาก็ทำกันได้...มิใช่หรือ? (ลก.6:31-34) แต่ถ้ารักคนที่เกลียดเรา ยื่นน้ำให้คนที่ทำร้ายเรา พระคำของพระเจ้า ได้ตกแต่งคนมากมายให้มีใจสะอาด เราไม่อาจชนะโลกด้วยวิถีอย่างโลก...ไม่อาจชนะใจคนด้วยความเกลียด หรือเปลี่ยนแปลงใครด้วยการแก้แค้น (รม.12:17-21)

"แต่ว่าถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขารับประทาน ถ้าเขากระหายน้ำก็จงให้น้ำดื่ม เพราะว่าการทำเช่นนั้น จะทำให้เขารู้สึกตัวและกลับมาคืนดี" (รม.12:20)

พระวจนะบอกเราว่า ;
- "เราจะสามารถตะลุยกองทัพใหญ่มากมายได้" (สดด.18:29ก.) ... แล้วทำไมปัญหาที่ขวางทางข้างหน้านี้ เราจะตะลุยไปต่อไม่ได้ เพราะพระเจ้าทรงเชี่ยวชาญในการทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติ และเปลี่ยนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ทั้งสิ้น
- "เราจะสามารถกระโดดข้ามกำแพงได้" (สดด.18:29ข.) ... แล้วทำไมเรามาสะดุดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น นั้นเพราะเราให้ 'ความรู้สึกส่วนตัวของเราใหญ่กว่า' ทำให้สะดุดง่ายๆ แต่พระคำบอกว่า "ความรักนั้นใหญ่ที่สุด ... และไม่มีความผิดใดที่ความรักจะให้อภัยไม่ได้!" (1คร.13:13, สภษ.10:12, 1ปต.4:8)

โดยการพึ่งพากำลังจากพระเจ้า ... เราสามารถทำได้ทุกสิ่ง (2ซมอ.22:30, สดด.108:13-14, ลก.1:37, 1คร.13:13, ฟป.4:13)

"มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวาระสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์ มีวาระเกิด และวาระตาย มีวาระปลูก และวาระถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง มีวาระฆ่า และวาระรักษาให้หาย มีวาระรื้อทลายลง และวาระก่อสร้างขึ้น มีวาระร้องไห้ และวาระหัวเราะ มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำ มีวาระโยนหินทิ้ง และมีวาระเก็บรวบรวมหิน มีวาระสวมกอด และวาระงดเว้นการสวมกอด มีวาระแสวงหา และวาระทำหาย วาระเก็บรักษาไว้ และวาระโยนทิ้งไป มีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ วาระนิ่งเงียบ และวาระพูด มีวาระรัก และวาระเกลียด วาระสงคราม และวาระสันติ" (ปญจ.3:1-9)

มองไปข้างหน้าสิ ... เชิดคอให้ตั้งตรงด้วยความหวัง อย่าให้ความตั้งใจของเราดับลงหรือริบหรี่ไป คาดความหวังไว้ให้มั่นที่บั้นเอว ตั้งความฝันให้สูงไว้ แม้มีอุปสรรคก็อย่าท้อที่จะเดินหน้าต่อไป “วันนี้เราได้แค่ไหนแล้ว ก็จงมุ่งตรงตามนั้นต่อไป” (ฟป.3:16) พระคัมภีร์เขียนไว้ เหมือนแสงจากประภาคารที่ส่องสว่าง เพื่อนำทางให้คนสู้ชีวิต ... เพื่อเขาจะได้รู้ว่า ... พระเจ้ามีหนทางให้กับคนที่มีความเชื่อเสมอ!

ดูสิ ทะเลแดงก็เปิดได้ น้ำได้ไหลออกมาจากหินให้ชนชาติของพระเจ้าดื่มฉันใด (อพย.14:21-22, กดว.20:11, สดด.78:20) จงอย่าขาดความเชื่อศรัทธา และจงอย่าเป็นคนที่ไม่สู้ “ขอเป็นกำลังใจให้นะ...คนที่ไม่ยอมแพ้”

เราจะเชื่อว่า 'เราจะชนะ' โดยพระเจ้าสัญญาว่า "จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรือครั่นคร้ามเขาเลย เพราะว่าผู้ที่ไปกับท่านคือพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่าน" (ฉธบ.31:6)

ขอพระเจ้าอวยพระพรและเสริมกำลัง
Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

ไม่ว่าที่ใด ไม่ว่าที่ไหน ต่างคนต่างจิตใจ ต่างคนต่างความคิด เราไม่สามารถห้ามความคิดของใครได้ ใครจะคิดอย่างไรกับเราก็ช่างเขา

แต่เราไม่มีสิทธิ์ "ตัดสินคนอื่น" ไม่มีสิทธิ์ "ห้ามความคิดคนอื่น" อย่าตัดสินคนอื่นเพราะคิดเองฝ่ายเดียว โดยที่ไม่ถาม ไม่คุย

ในมุมๆหนึ่ง อาจมีคนๆนึงที่คุณมองว่าเค้าร้ายกาจ เลยตัดสินเค้าว่าเค้า ไม่ดี ไม่ช่วย เห็นแก่ตัว ไม่ชอบเรา แต่ที่จริงแล้ว คนๆ นั้นกลับเป็นคนที่พร้อมช่วยเหลือคุณเสมอ

แต่บางคนอาจยิ้ม หรือ ทักทายคุณ ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ แต่แท้ที่จริงแล้ว มีอะไรที่แฝงอยู่ หรือพร้อมที่จะทำร้ายคุณ "อย่าตัดสินคนอื่น ถ้ายังไม่รู้จักเค้าดีพอ"

บางครั้งสิ่งที่เราเห็น อาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิด ฉะนั้นระวังอย่าติดสินคนอื่นจากความรู้สึกส่วนตัว!

สิ่งที่น่ากลัวกว่าสถานการณ์ตรงหน้าคือ 'การคิดไปเอง' ของตัวเราเอง ... พระคำจึงสอนเราว่า "จงไวในการฟัง ช้าในการพูด และช้าในการโกรธ [ตัดสิน]" (ยก.1:19) และ "อย่าตัดสินสิ่งใดก่อนถึงเวลา จงคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความมืด และจะทรงเผยความมุ่งหมายของจิตใจทั้งหลาย เมื่อนั้นแต่ละคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้า" (1คร.4:5)

พระเจ้าไม่ได้สัญญาที่จะให้วันเวลาที่ปราศจากความเจ็บปวด เสียงหัวเราะที่ปราศจากความเศร้าเสียใจ แสงอาทิตย์ที่สดใสโดยปราศจากท้องฟ้าที่มืดมิดมีพายุที่ฝนพรำ ... แต่พระองค์สัญญาว่า จะประทานความเข้มแข็งในแต่ละวัน การปลอบโยนเมื่อมีคราบน้ำตา และมีแสงสว่างเพื่อจะนำทางชีวิตของเรา! ... จำไว้เสมอว่า "หูที่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าจะไม่โต้เถียงกับพระวจนะของพระองค์"

อย่าลืมพระสัญญา "ถ้าเราเชื่อ เราจะได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า" (ยน.11:40)



วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

อย่า​เปรียบ​เทียบ​ตัว​คุณ​กับ​คน​อื่น



อย่า​เปรียบ​เทียบ​ตัว​คุณ​กับ​คน​อื่น

คัมภีร์​ไบเบิล​สอน​อย่าง​ไร? แต่​ละ​คน​ควร​สำรวจ​การ​กระทำ​ของ​ตน​เอง​จึง​จะ​มี​ข้อ​ภาคภูมิ​ใจ​ใน​ตัว​เอง​โดย​ไม่​ต้อง​เอา​ตัว​ไป​เปรียบ​เทียบ​กับ​คน​อื่น.”—กาลาเทีย 6:4, ฉบับ​อมตธรรม​ร่วม​สมัย

ปัญหา​คือ​อะไร? เรา​มัก​จะ​เอา​ตัว​ไป​เปรียบ​เทียบ​กับ​คน​อื่น บาง​ครั้ง​ก็​เปรียบ​เทียบ​กับ​คน​ที่​ด้อย​กว่า​และ​บ่อย​ครั้ง​ก็​เปรียบ​เทียบ​กับ​คน​ที่​แข็งแรง​กว่า รวย​กว่า หรือ​เก่ง​กว่า​เรา. แต่​ไม่​ว่า​จะ​เปรียบ​เทียบ​อย่าง​ไร​ก็​ไม่​เป็น​ผล​ดี​ทั้ง​นั้น. เรา​มัก​จะ​เข้าใจ​ผิด ๆ ว่า​ค่า​ของ​คน​อยู่​ที่​สิ่ง​ที่​เขา​มี​หรือ​สิ่ง​ที่​เขา​ทำ​ได้. นอก​จาก​นั้น เรา​อาจ​ทำ​ให้​คน​อื่น​เกิด​ความ​อิจฉา​หรือ​รู้สึก​อยาก​แข่งขัน​กับ​เรา.—ท่าน​ผู้​ประกาศ 4:4

คุณ​จะ​ทำ​อย่าง​ไร? ขอ​ให้​พยายาม​มอง​ดู​ตัว​เอง​เหมือน​ที่​พระเจ้า​มอง. จง​ยอม​ให้​ทัศนะ​ของ​พระเจ้า​โน้ม​นำ​จิตใจ​คุณ​ให้​มอง​เห็น​ค่า​ของ​ตัว​เอง. “มนุษย์​ดู​ที่​รูป​ร่าง​ภาย​นอก​แต่​พระเจ้า​ทอด​พระ​เนตร​จิตใจ.” (1 ซามูเอล 16:7, ฉบับ R​73) พระ​ยะโฮวา* ไม่​ได้​ประเมิน​ค่า​ตัว​คุณ​โดย​เอา​คุณ​ไป​เปรียบ​เทียบ​กับ​คน​อื่น แต่​พระองค์​ทรง​อ่าน​หัวใจ​คุณ​หรือ​ตรวจ​ดู​ความ​คิด ความ​รู้สึก และ​เจตนา​ของ​คุณ. (ฮีบรู 4:12, 13) พระ​ยะโฮวา​ทรง​เข้าใจ​ข้อ​จำกัด​ของ​คุณ​และ​อยาก​ให้​คุณ​ยอม​รับ​ข้อ​จำกัด​เหล่า​นั้น​ด้วย. ถ้า​คุณ​ประเมิน​ค่า​ตัว​เอง​โดย​การ​เปรียบ​เทียบ​กับ​คน​อื่น สุด​ท้าย​คุณ​ก็​จะ​เป็น​คน​ที่​หยิ่ง​ยโส​หรือ​ไม่​ก็​กลาย​เป็น​คน​ที่​หา​ความ​สุข​ความ​พอ​ใจ​ไม่​ได้​เลย. ดัง​นั้น จง​ถ่อม​ใจ​ยอม​รับ​ว่า​คุณ​ไม่​ได้​เก่ง​หรือ​ดี​ไป​เสีย​ทุก​เรื่อง.—สุภาษิต 11:2

คุณ​ต้อง​ทำ​อะไร​เพื่อ​จะ​มี​ค่า​ใน​สาย​พระ​เนตร​ของ​พระเจ้า? พระองค์​ดล​ใจ​ผู้​พยากรณ์​มีคา​ให้​เขียน​ว่า “โอ มนุษย์​เอ๋ย พระองค์​ทรง​สำแดง​แก่​เจ้า​แล้ว​ว่า​อะไร​ดี และ​พระ​เยโฮวาห์​ทรง​มี​พระ​ประสงค์​อะไร​จาก​เจ้า นอก​จาก​ให้​กระทำ​ความ​ยุติธรรม และ​รัก​ความ​เมตตา และ​ดำเนิน​ด้วย​ความ​ถ่อม​ใจ​ไป​กับ​พระเจ้า​ของ​เจ้า.” (มีคา 6:8, ฉบับ​แปล​คิงเจมส์) ถ้า​คุณ​ทำ​ตาม​คำ​แนะ​นำ​นี้​พระเจ้า​จะ​ใฝ่​พระทัย​คุณ. (1 เปโตร 5:6, 7) จะ​มี​อะไร​ที่​ทำ​ให้​พึง​พอ​ใจ​กับ​ชีวิต​ได้​มาก​ไป​กว่า​นี้​อีก​หรือ?
ข้อมูลจาก wol.jw.org

เราหยุดเปรียบเทียบตัวเองกันคนอื่นๆ เพราะว่าพระเจ้าทำเราให้ ‘ดี’ ตามแบบที่พระองค์สร้างให้เราเป็น!

“พระยาห์เวห์จอมทัพพระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า จงซ่อมทางและการกระทำของเจ้าเสีย และเราจะให้เจ้าอาศัยอยู่ในสถานที่นี้” (ยรม.7:3)

ทุกๆครั้งที่มองเห็นความผิดพลาดของคนอื่น ... จงให้อภัยและคงความรักกับเขาไว้เช่นเคย (2คร.2:8, คส.2:13)
ทุกๆครั้งที่ตัวเองทำสิ่งที่ผิดพลาด ... จงสารภาพบาปและรับแก้ไข เพราะว่าทรงรัก และทรงให้อภัยทุกการล่วงละเมิดของเราได้ (สภษ.10:12ข.)

อย่าให้ ‘เรื่อง [ผิด] ที่เกิดขึ้น’ สำคัญกว่า ‘เขาที่มี’ ตรงหน้า (ลก.15:31-32)

อย่าให้ ‘ความรู้’ พระคัมภีร์ สำคัญกว่า ‘ความรัก’ ที่สำแดงออกผ่าน ‘การยกโทษ’ (ลก.17:4)

อย่าให้ ‘การคิดมาก’ ทำให้เสียเวลาที่มีค่าสำหรับ ‘การอธิษฐาน’ (สดด.32:6-7)

อย่าให้ ‘ความรู้สึก’ นำให้เราให้ต้องทำตามอารมณ์ ... แต่จงทำตามน้ำพระทัย (กดว.20:10-12)

จำไว้ว่าทุกคนสามารถผิดพลาดกันได้ จงอย่ากล่าวโทษตัวเอง แต่จงใช้ชีวิตให้ ‘คุ้มค่า’ กับการเสียสละของพระเยซูคริสต์เพื่อเรา (2คร.13:4, ฮบ.12:3)

อย่าให้คุณค่ากับ ‘ความสำเร็จ’ สำคัญมากกว่า ‘น้ำพระทัย’ เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้วัดคนที่ ‘ตำแหน่ง’ แต่วัดคนที่ใจว่า ‘รักและยอมจำนน’ ต่อพระองค์แค่ไหน? (ลก.21:2-4)

จำไว้ คนส่วนมากแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง แต่เราคนของพระเจ้าแสวงหาน้ำพระทัยเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณของเราให้มีความเชื่อเข้มแข็งขึ้น (กจ.17:11)

ระวัง ‘อย่าหลงผิด’ ให้ความสำคัญกับ ‘สิ่งที่มองเห็น’ มากกว่า เพราะว่า “พระเจ้าทรงทำให้สิ่งที่มองเห็นเกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น” (ฮบ.11:3)

ระวัง ‘อย่าหลงทาง’ ให้ความสำคัญกับ ‘สิ่งที่โลกให้’ เพราะว่า “โลกและสิ่งยั่วยวนของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่คนที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์” (1ยน.2:17)

ระวัง ‘อย่าหลงเชื่อ’ คำมุสาของมารที่เอา ‘สิ่งถูกใจ’ มาล่อลวง แต่จงเชื่อฟังและเลือกทำสิ่งที่ถูกต้องน้ำพระทัยพระเจ้า เพราะว่า “ถ้าพวกเจ้าเต็มใจและเชื่อฟัง เจ้าจะได้กินผลดีแห่งแผ่นดิน” (อสย.1:19)

ระวัง ‘อย่าหลงตัวเอง’ ว่าเราดี เราแน่ เราเก่ง เราสุดยอด มันเป็น ‘อีโก้’ ที่จะทำให้เราเย่อหยิ่งแล้วเลยเป็น ‘ศัตรู’ ของพระเจ้า เพราะทุกสิ่งที่เรามี ‘ล้วนพระเจ้าประทาน’ และทุกอย่างที่เราเป็นก็ ‘ล้วนโดยพระองค์’ จงถ่อมและสุภาพ (1พศด.29:14, สดด.18:32-36, รม.11:20-22, ฟป.4:5) เพราะว่า “ประทานพระคุณแก่คนที่ถ่อมใจ แล้วพระองค์จะยกชูเราขึ้น” (ยก.4:6, 10)

ไม่ว่าจะอย่างไร ... ชีวิตของเราเป็นของพระเจ้า ก็จงใช้ ‘เพื่อพระองค์’ เพื่อให้ “ทุกคนได้สรรเสริญพระเจ้าก็เพราะเรา” (กท.1:24) จงยอมให้พระวิญญาณฯปลูกสิ่งที่เป็นของพระองค์ในเรา จนทำให้เรามีใจปรารถนาจะทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อพระองค์ (ยน.15:4-8, ฟป.1:21, ยก.1:21) แล้วชีวิตของเราจะจบลงด้วยดีในทุกๆวัน (สดด.127:2)
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
แบ่งปันBy.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

ระวังความคิด
1. อย่าเอาตัวไปเปรียบเทียบใคร
2. อย่าเอาตนเองเป็นมาตฐาน
3. อย่าคิดร้ายต่อผู้อื่น
4. อย่าหวังว่าทุกคนต้องเข้าใจเรา
5. อย่าคิดแข่งขันกับใคร
6. อย่าอิจฉาใครจงให้เขาเป็นที่ท้าทาย
7. อย่าหมกมุ่นแต่ความผิดของผู้อื่น
#เรียนรู้ที่จะไม่คิดบางเรื่องไม่พูดไม่บ่นบางเรื่องแล้วชีวิตจะสงบสุข

- -สุภาษิต 27:19 ในน้ำ คนเห็นหน้าคนฉันใด
ความคิดของคนก็ส่อคนฉันนั้น- -

อย่าอิจฉาใครเลย

1. ให้มองหาส่วนที่ดีที่สุดในเรา
2. ทุกคนย่อมมีจุดแย่ แต่เราไม่รู้
3. เราเป็นเราง่ายที่สุด สุขที่สุด
4. เลิกเปรียบเทียบกับคนเด่นกว่า
5. ลองคิดถึงคนที่ด้อยกว่าเรา เขายังอยู่ได้เลย
#ความสุขแท้เมื่อเราภูมิใจจุดแข็งและแก้ไขจุดอ่อนไปพร้อมๆกัน

- -กาลาเทีย 6:4 -5 ทุกคนจงสำรวจการกระทำของตนเอง จึงจะมีอะไรๆที่จะอวดได้ในตัวไม่ใช่เปรียบกับผู้อื่น เพราะว่าทุกคนต้องรับภาระของตัวเอง- -

ข้อมูลจากเพจเรียนพระคัมภีร์ ออนไลน์ กับ เจริญ ยธิกุล


เหตุใดเราจึงมีความทุกข์ยาก



เหตุใดเราจึงมีความทุกข์ยาก
ส่วนหนึ่งของแผนพระบิดาบนสวรรค์คือ เราต้องประสบความทุกข์ยากในช่วงความเป็นมรรตัย ในบางกรณี ความทุกข์ยากเป็นผลจากการเลือกที่ไม่ดีของเราหรือของผู้อื่น การทดลองอื่นๆ เป็นเพียงเรื่องปกติธรรมดาของประสบการณ์มรรตัยของเรา แม้ว่าความทุกข์ยากไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การท้าทายต่างๆ สามารถช่วยให้เราเติบโตทางวิญญาณและเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์มากขึ้นได้

ความยากลำบากเป็นส่วนหนึ่งในแผนของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อความเจริญก้าวหน้านิรันดร์ของเรา
“ความยุ่งยากของชีวิต ทำให้เรารู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ขัดเกลาเรา สอนเรา และเป็นพรแก่เรา สิ่งเหล่านั้นสามารถเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อทำให้เราเป็นคนดีขึ้น” ทำให้เราสำนึกคุณมากขึ้น รักมากขึ้น เห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้นในยามยากลำบากของพวกเขา

ในเวลาต่างกันในชีวิตเรา อาจจะมีหลายครั้งในชีวิตเรา ที่เราต้องยอมรับว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรู้สิ่งที่เราไม่รู้และทรงเห็นสิ่งที่เราไม่เห็น “เพราะความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของเจ้า และทางของพวกเจ้าก็ไม่ใช่ทางของเรา พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ” (อิสยาห์ 55:8)

ถ้าท่านมีเรื่องทุกข์ใจที่บ้านกับลูกที่หลงผิด ถ้าท่านประสบความผันผวนทางการเงินและความตึงเครียดทางอารมณ์ที่คุกคามครอบครัวและความสุขของท่าน ถ้าท่านต้องพบการสูญเสียชีวิตหรือสุขภาพ ขอให้สันติสุขมาสู่จิตวิญญาณท่าน เราจะไม่ถูกล่อลวงเกินกว่าที่เราจะต้านทานได้ [ดู 1 โครินธ์ 10:13; แอลมา 13:28; 34:39] ทางที่ไม่คาดคิดและความผิดหวังของเราเป็นทางตรงและแคบไปหาพระองค์6


"ความยากลำบากเป็นเรื่องปกติ"
เราเคยเหนื่อยจนคิดจะยอมแพ้ไหม?
เราเคยเบื่อมากจนคิดจะวางมือไหม?
เราเคยท้อจนคิดจะปล่อยวาง หันหลังกลับไหม?
เราเคยคิดว่า เพราะร่างกายแบบนี้ไม่สมประกอบ เรียนมาน้อย ต้นทุนชีวิตน้อย เงินมีน้อย ... คงทำได้แค่นี้แล้วคิดจะหยุดไหม?

"เมื่อข้าพเจ้าได้คิดว่า 'เท้าของข้าพลาด' ข้าแต่พระยาห์เวห์ ความรักมั่นคงของพระองค์ค้ำจุนข้าพระองค์ไว้ เมื่อความกังวลมีมากในใจข้าพระองค์ การปลอบโยนของพระองค์ก็ทำให้จิตใจข้าพระองค์ปีติยินดี" (สดด.94:18-19)
ไม่สำคัญว่าถนนสายนี้จะยาวไกลแค่ไหน ... แต่สำคัญใครร่วมเส้นทางไปกับเรา และเราเดินทางไปอย่างไร? และแน่นอนพระเจ้าทรงสถิตและไปกับเราทุกนาที ก้าวต่อก้าว เรามั่นใจเราจะสามารถไปได้จนถึงเป้าหมาย เพราะเรามีพระเจ้าคอยเสริมกำลัง ... เพราะพระเจ้าเปลี่ยน 'นกกระจิ๊บ' ให้กลายเป็น 'นกอินทรี' ได้ ...! เพราะพระเจ้าจะให้เราลิ้มรสความล้มเหลว แต่จะไม่ปล่อยให้เราแช่นาน เพราะนั้นคือ 'ความล้มจม' แต่จะทรงนำเราไปจนถึงความสำเร็จและเกิดผลเป็นอย่างดีแน่นอน ... นั้นคือ แผนงานและพระประสงค์ที่แท้จริงของพระเจ้าสำหรับทุกชีวิตที่เชื่อในพระนามพระองค์ (ฉธบ.31:6-8, ยชว.1:6-9, 1พศด.28:20, สดด.1:3, มธ.28:20, ฟป.4:13)

อย่าลืม 'อีกครั้ง' ... พระเจ้าให้คำๆนี้กับเรา เมื่อไรที่เราล้มเหลว อย่าท้อ จงเริ่มต้นใหม่ 'อีกครั้ง' และ 'อีกครั้ง' และ 'อีกครั้ง' ....ๆๆๆๆ จนกว่าจะ 'สำเร็จ' เพราะนั้นคือรางวัลของคนที่ไม่ยอมแพ้ และเขามีความเชื่อ + พระเจ้าคอยเสริมกำลัง = ทุกสิ่งจึงสามารถจะเป็นไปได้ทั้งสิ้น
Ps.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

ความทุกข์ยากลำบาก
1. จะสร้างความอดทนให้แก่คุณ
2. จะสร้างชีวิตให้แข็งแกร่ง
3. จะทำให้เข้าใจผู้อื่น
4. จะเป็นการพิสูจน์ความเติบโตด้านจิตใจ
5. อะไรที่ได้มาง่ายๆมักมีค่าน้อยกว่าได้มาโดยยากลำบาก
6. ความสบายสร้างนิสัยไม่ได้แต่ความลำบากสร้างคนให้เข้มแข็ง
#อย่าบ่นเมื่อลำบากแต่ให้คิดเพื่อหาทางแก้ไข

- -ยากอบ 1:3-4 เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า
การทดลองความเชื่อของท่านนั้น
ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง
และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์
เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม
มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย- -
ข้อมูลจาก เพจเรียนพระคัมภีร์ ออนไลน์ กับ เจริญ ยธิกุล

ก่อนจากกันไป มาดูความหมายของคำว่า มรรตัย (ความเป็น) กันก่อนนะคะ
ดู การตกของอาดัมและเอวา; ความตาย, ทางร่างกาย; ร่างกาย; โลก ด้วย

เวลานับแต่การเกิดจนถึงความตายทางร่างกาย. บางครั้งเรียกว่าสถานะที่สอง.

ในวันใดที่เจ้าขืนกินเจ้าจะต้องตายแน่, ปฐก. ๒:๑๖–๑๗ (โมเสส ๓:๑๖–๑๗).

เมื่อเสียชีวิต วิญญาณจะกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้าและร่างกายกลับไปเป็นดินอย่างเดิม, ปญจ. ๑๒:๗ (ปฐก. ๓:๑๙; โมเสส ๔:๒๕).

อย่าให้บาปครอบงำกายที่ต้องตายของท่าน, รม. ๖:๑๒.

สภาพมตะนี้ต้องสวมสภาพอมตะ, ๑ คร. ๑๕:๕๓ (อีนัส ๑:๒๗; โมไซยาห์ ๑๖:๑๐; มอร. ๖:๒๑).

สภาพของมนุษย์กลายเป็นสภาพของการทดลอง, ๒ นี. ๒:๒๑ (แอลมา ๑๒:๒๔; ๔๒:๑๐).

อาดัมตกเพื่อมนุษย์จะเป็นอยู่, ๒ นี. ๒:๒๕.

ท่านตั้งตารอและมองดูร่างกายแห่งมรรตัยนี้ทรงยกขึ้นไปสู่ความเป็นอมตะหรือไม่ ? แอลมา ๕:๑๕.

ชีวิตนี้เป็นเวลาเตรียมพบพระผู้เป็นเจ้า, แอลมา ๓๔:๓๒.

อย่ากลัวความตายเลย, เพราะในโลกนี้ปีติของเจ้าไม่บริบูรณ์, คพ. ๑๐๑:๓๖.

คนที่รักษาสถานะที่สองจะมีรัศมีภาพ, อับรา. ๓:๒๖.

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สำหรับคริสเตียนแท้แล้ว ... ปัญหามิใช่วิกฤต หากแต่คือโอกาสที่เราจะฝึกฝนความเชื่อ เพื่อจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

คริสเตียน ... ไม่มีวิกฤต มีแต่โอกาส

คริสเตียน ... ไม่มีบ่น มีแต่ขอบพระคุณ ... ในทุกกรณี เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับชีวิตเรา (1ธส.5:18)

คริสเตียน ... ไม่มีกลุ้ม มีแต่เชื่อวางใจ เพราะไม่มีอะไรจะขัดขวาง หรือทำอันตรายเราได้ (ลก.10:19)

คริสเตียน ... ไม่มีกลัว มีแต่ยิ่งรัก เพื่อให้รักขจัดความกลัวจากใจ (1ยน.4:18)

คริสเตียน ... ไม่เหงา มีแต่ความชื่นชมยินดี เพราะเรารู้ค่าของชีวิต เราจึงใช้ชีวิตให้คุ้มสมกับที่พระคริสต์ตายเพื่อไถ่บาปเรา (ฟป.4:4, 2คร.5:9)

คริสเตียน ... ไม่เคยถอดใจ มีแต่จะสวมหัวใจให้เข้มแข็งและกล้าหาญ เพราะโกลิอัทไม่ใหญ่เท่าพระเจ้าในใจของดาวิด ดาวิดจึงคว่ำโกลิอัทได้ (1ซมอ.17:41-49) ฉะนั้น ก็ไม่มีปัญหาใดใหญ่กว่าพระเจ้าของเรา โดยความเชื่อเราจะคว่ำทุกปัญหาได้แน่เช่นกัน!

คริสเตียน ... ไม่สนว่าจะพร้อมไหม แต่สำคัญว่าวันนี้เราจะรับใช้ ทำเพื่อใคร ... พระเจ้าหรือตัวเอง เราทำเพื่อใคร เราก็จะรักผู้นั้นมากกว่า แต่เราจะทำทุกสิ่งเพื่อพระเจ้า ก็เพราะเรารักพระเจ้ามากกว่า (กจ.20:22-24)

ฉะนั้น ... การข่มเหงในวันนี้ ก็แค่เป็นการกระตุ้นให้เราต้องถ่อมใจให้มากขึ้น ... จงชื่นใจเถิด ก้าวต่อไป เพราะผู้ที่สัญญาว่าจะไปกับเราในทุกหนแห่ง คือ พระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย "องค์อิมมานูเอล" (มธ.1:23, 5:11-12)

"ขอให้พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลกสันติสุขจงมีท่ามกลางทุกๆคนที่พระเจ้าทรงโปรดปรานนั้น" (ลก.2:14)

จำไว้ ... พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่มากกว่าสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญ เพราะว่า “พระองค์ทรงทำได้ทุกสิ่ง” (โยบ 42:2)
แบ่งปันBy.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ชีวิตที่มีคุณค่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่นให้ราคา นะคะ



ชีวิตนั้นมันง่ายเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ในหลายปีที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งไป คือ อะไรก็ตามที่เราคิด หรือเราอยู่กับมันนานๆ สุดท้ายมันจะกลายเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเราเป็นคนยังไง ซึ่งทุกคนก็คงอยากที่จะประสบความสำเร็จ มีความสุขกันใช่ไหมล่ะ แต่วิธีการ “คิด” อย่างไรที่จะให้ได้ผลลัพธ์แบบที่ต้องการเนี่ย มันยากมากๆ หลายๆ คนเลยไม่ได้ทุ่มเทให้กับมันมากพอ (ก็เพราะมันยาก) ซึ่งมีประโยคหนึ่งที่ถูกกล่าวออกมาโดย Helen Keller ว่า

People don’t like to think, if one thinks, one must reach conclusions. Conclusions are not always pleasant.

อธิบายได้ประมาณว่า คนส่วนใหญ่ไม่ชอบการคิด ไม่ชอบการตั้งเป้าหมาย เพราะเมื่อคิด คาดหวังแล้ว ลงมือทำแล้ว บางครั้งสุดท้ายผลลัพธ์อาจจะไม่เป็นดังที่หวังไว้ก็เป็นได้ ฟังดูมันก็เจ็บปวดเหมือนกันนะ แต่ชีวิตก็แบบนี้แหละ
ไม่สำคัญว่าเราจะทำอะไร แต่บอกได้เลยว่าไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ในชีวิตแน่ๆ เราต้องจ่าย “เงิน” หรือ “เวลา” โดยเฉพาะเวลาซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อแลกกับสิ่งที่เราต้องการ

ชีวิตคนเรามันก็เหมือนการทำธุรกิจประเภทหนึ่ง ซึ่งนักธุรกิจเก่งๆ เขาใช้เวลาที่มีอยู่ทุกนาทีอย่างคุ้มค่า ถามว่าเขาทำได้อย่างไร? ตอบได้ง่ายๆ เลย คือ เขา “ประเมิน” ว่าสิ่งไหนทำแล้วคุ้มกับเวลาที่เสียไป ถึงจะทำ และรู้จัก “ปฏิเสธ” ในสิ่งที่ไม่จำเป็นด้วย เพราะการปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ ถือเป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิตที่พวกเขาเหล่านี้จะทำเลยทีเดียว

มีเหตุผลหลายๆ อย่าง ที่ทำให้มนุษย์ต้องออกไปแสวงหาความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ เช่น เรื่องเงิน ความกลัวที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว ความต้องการให้คนอื่นสนใจในตัวเรา เป็นต้น ซึ่งไหนๆ มันก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำอยู่แล้ว ก็ให้มองมันในรูปแบบของ “ความรัก” ซะเลย เพราะเมื่อเรารักใครเข้าแล้ว เราก็คงไม่สามารถที่จะรู้สึกเกลียดเขาได้ในเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้นความมั่นคงของความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้อื่นควรจะต้องมีพื้นฐานมาจาก ความรัก ความเคารพให้เกียรติ การเชื่อใจกัน ความอดทน เพื่อนร่วมงานที่ดี เสียงหัวเราะ

บางครั้งเราอาจจะคิดว่า การที่เราอยู่เฉยๆ โดยไม่ต้องตัดสินใจอะไรในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จะทำให้เราปราศจากความผิดพลาด แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือการที่เราไม่ทำอะไรเลยเนี่ยแหละ เช่น การรอคอยคนอื่นมาทำแทน การผลัดวันประกันพรุ่ง การตั้งข้อสงสัยมากเกินไปแต่ไม่ลงมือทำ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันไม่ได้ช่วยให้ประโยชน์กับชีวิตเราขึ้นมาเลย เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อถึงเวลา จงกล้าที่จะตัดสินใจ “เลือก” อย่างหนักแน่น ถึงแม้ถ้าท้ายที่สุดแล้วเราตัดสินใจผิด ก็ไปขอโทษ ขออภัยกัน และเลือกตัดสินใจใหม่อีกครั้ง ยังดีเสียกว่าไม่ยอมตัดสินใจเสียอีก

ให้จำไว้เลยว่า การที่คุณจะมีความมั่นใจในการทำสิ่งใดๆ มันเกิดจากเรียนรู้ ลงมือทำ วิเคราะห์ผลลัพธ์ นำมาปรับปรุงแก้ไข ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร

เพราะฉะนั้นแล้วอย่าเชื่อในทุกๆ เรื่องราวความสำเร็จของคนอื่นที่คุณได้พบเจอมา ไม่ว่าจะเป็น YouTubers, นายแบบนางแบบต่างๆ ใน Instagram, เศรษฐีเงินล้านจากการทำธุรกิจ มันก็จริงอยู่ที่ว่า พวกเขาเหล่านั้นดูดี ไร้ที่ติ แต่จริงๆ แล้วคุณมองเห็นแต่เพียงภายนอกเท่านั้น แต่คุณก็ห้ามไปมองพวกเขาในแง่ร้ายนะ แค่อย่าสนใจกับเปลือกนอกมากจนเกินไปก็พอ

สิ่งสำคัญในชีวิตของเรา คือต้องเรียนรู้ที่จะรับฟังคำวิจารณ์ เวลามีใครก็ตามมาวิจารณ์คุณ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงที่ดีหรือไม่ดีก็ตามแต่ คุณควรจะขอบคุณเขา เพราะว่ามันเหมือนเป็นแหล่งพลังงานในการขับดันให้ชีวิตคุณก้าวต่อไปข้างหน้าได้เป็นอย่างดี

มีเพียงตัวเราเองเท่านั้นที่ควบคุมความคิดของตนเองได้ ซึ่งมันส่งผลกับสิ่งที่เราจะทำต่อไปในภายภาคหน้า ถ้าเราเลือกที่จะไม่พอใจ โกรธ สิ้นหวัง นั่นแหละ คือ ตัวเราเองในอนาคต

บางครั้งคนเราก็มีความคิดที่ว่า “ฉันไม่สามารถมีความสุขได้ ฉันต้องรวย ซื้อรถหรูๆ ขับ มีบ้านหลังใหญ่ๆ อยู่” แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เราสามารถที่จะมีความสุขได้ในทุกๆ ขณะของช่วงชีวิต มันขึ้นอยู่กับมุมมองชีวิตของเราเองต่างหาก ว่าเลือกที่จะมองมันแบบไหน

ชีวิตที่มีคุณค่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่นให้ราคา ... แต่มันขึ้นอยู่กับ ‘ตัวของเรา’ เพราะพระเจ้าไม่ได้สร้างเราขึ้นมาแล้วติดป้ายราคามาด้วย นั้นเพราะว่า ‘คุณค่าชีวิตของเรา’ ในสายพระเนตรพระองค์นั้นมัน ‘ประเมินค่าไม่ได้’ ต่างหากละ! (อพย.19:5, ฉธบ.7:6-9)

“เพราะว่าเจ้ามีค่าในสายตาของเรา เจ้าได้รับเกียรติและเราเองรักเจ้า เราจึงให้คนเพื่อแลกกับเจ้า และให้ชนทั้งหลายเพื่อแลกกับชีวิตของเจ้า” (อสย.43:4)

คุณค่าของชีวิตมิได้วัดกันตรง ‘สิ่งที่มี’
ความล้ำค่าของชีวิตมิได้ตัดสินกันตรง ‘ฐานะที่เป็น’
ความเลอค่าของชีวิตมิได้มองกันตรง ‘สภาพภายนอกที่เห็น’
ศัลยกรรมอาจจะทำให้ดูดีได้ แต่มิได้หมายความว่าจะ ‘เป็นคนดี’ ยอมเสียเงินเท่าไรก็ได้เพื่อความดูดี แต่เงินถวายพระเจ้าคิดแล้วคิดอีกจนสุดท้ายก็ไม่ถวาย! (ฮกก.1:4-9, มลค.3:8)

การศึกษาอาจจะทำให้มีความรู้เพิ่มขึ้นได้ แต่มิได้บอกว่าจะ ‘มีความรักดีๆ’ ได้
มีแอ๊ปพิเคชั่นแต่งรูปให้ ‘ดูดี’ เย่อะ เพราะทุกคนอยากถูกมองให้ ‘ดูดี’ แต่ไม่มีอะไรแต่งใจให้งดงามและเมตตาได้ (กจ.17:11, 1ทธ.6:17-19)

มนุษย์สามารถสร้างตึกสูงเทียมฟ้าได้ แต่ไม่มีใครจะสนใจทำจิตใจให้สูงขึ้นนั้นต้องทำอย่างไร? (ปฐก.11:1-5)
ทุกวันนี้มนุษย์ให้ความสำคัญกับ ‘การดูดี’ มากกว่า ‘ความดี’ ที่จะต้องทำ (1ปต.3:3-4)

แต่อย่าลืมพระเจ้ากำลังทรงสร้างสิ่งที่งดงาม และสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับลูกของพระองค์ที่เชื่อ และสิ่งนั้นคือ ‘หัวใจ’ ของเราเองที่จะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ให้เป็นเหมือน ‘พระทัยพระเยซูคริสต์’ มากขึ้น

“ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงลองใจข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงถลุงพวกข้าพระองค์อย่างถลุงเงิน พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ทั้งหลายเข้ามาในข่าย พระองค์ทรงวางความทุกข์ยากไว้บนหลังพวกข้าพระองค์ พระองค์ทรงให้คนขับรถแล่นทับศีรษะของข้าพระองค์ทั้งหลาย พวกข้าพระองค์ต้องลุยน้ำลุยไฟ แต่พระองค์ยังทรงนำข้าพระองค์ทั้งหลายมาสู่ที่กว้าง” (สดด.66:10-12)

นั้นแสดงว่า เราไม่จำเป็นต้องพยายามสร้างภาพให้ตัวเองดูดีหรอก เพราะสำหรับทุกคนที่เข้ามาเชื่อในพระคริสต์เขาจะถูกสร้างใหม่อยู่แล้ว (2คร.5:17, อสย.48:9-10) เพื่อทำให้เราเป็นคนใหม่ ที่จะ “ไม่ทำให้พระนามของพระเจ้าเสื่อมเกียรติ” (ลวต.18:21) ไม่ให้ใครตัดสินดูหมิ่นพระเจ้าของเรา (อสย.48:11) ดังนั้นเราต้องรู้ตัวเองว่า ‘กำลังถูกสร้าง’ โดยพระเจ้าทรงกำลังทำ และยังสร้างไม่เสร็จ จึงต้องอดทนต่อกระบวนการสร้างของพระองค์ (1คร.13:11-12)

บางทีต้องตัดบางสิ่งออกเพื่อจะปรับเราให้เข้ากันกับส่วนอื่นๆ ให้ได้เหลี่ยมที่สวยงาม ... ก็จงทำใจที่จะ ‘สูญเสีย’ บางอย่างไป! (ฮกก.2:23)

บางครั้งต้องตอกตะปูเสียบทะลุหัวใจของเรา ด้วยบางคำพูดที่เจ็บ ก็เพื่อจะยึดเราให้ติดสนิทกับพระองค์ ... เพื่อจะรู้ว่า ‘พระเจ้าดีที่สุดแล้ว’ ทำให้เรามีจิตใจเข้มแข็งขึ้นกว่าเก่า (ยน.15:1-7)

บางคราวต้องใช้ไฟที่ร้อนและรุนแรงเผาผลาญเพื่อทำให้จิตใจที่แข็งกระด้างดั่ง ‘เหล็ก’ มันอ่อนลง เพื่อจะตีให้ได้รูปทรงใหม่ที่ต้องการได้ (อสย.45:9-10, 1คร.3:13-15) จำไว้เหล็กจะดัดใหม่ได้ ต้องยอมให้มันอยู่ในไฟที่ร้อน และมันต้องยอมให้ไฟเข้ามาอยู่ในมันฉันใด ชีวิตคริสเตียนจะเปลี่ยนแปลงใหม่ไม่ได้หากไม่เอาเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ และยอมให้พระวิญญาณฯ เข้าไปอยู่ในชีวิตของเขาเต็ม 100% ฉันนั้น (รม.12:1-2, กท.2:20)

บางหนต้องใช้ค้อนทุบให้แตกสลาย เพราะของบางอย่างเมื่อมันชำรุดแล้วซ่อมก็ไม่ได้ เหมือนแก้วที่มันร้าวต่อให้จะทากาวตราช้างมากขนาดไหนไม่นานก็คงจะแตก ... เมื่อไม่คุ้มค่าจะซ่อม คงต้องทุบและสร้างใหม่จะดีกว่า เช่นเดียวกันพระเจ้าอาจจะให้ปัญหาเกิดขึ้นกดดันเรามาก ทุบเราจนพัง แตกสลาย ดังชีวิตเหมือนโดนทำร้าย ข่าวดีคือ “พระองค์ไม่ได้ทำลาย” แต่นั้นเป็นการ ‘รื้อชีวิต’ เพื่อจะสร้างใหม่ให้ดีกว่าเก่ามากกว่าต่างหากละ ท่องไว้ ‘ยอมให้พระเจ้ารื้อชีวิตดีกว่าปล่อยให้มารทำลายชีวิต’ (ฮบ.12:1-11)

“พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ถ้อยคำของเราเหมือนไฟและเหมือนค้อนที่ทุบหินให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ใช่หรือ?’” (ยรม.23:29)

อย่าลืมบ้านที่มั่นคงต้องสร้างบน ‘ศิลา’ สร้างยาก งานที่หนัก และต้องอดทน และอาจจะมีบาดเจ็บเพราะการสร้างบ้าง แต่ก็เพื่อเราจะเข้มแข็งและยืนหยัดอยู่ได้ไม่ว่าเจอสถานการณ์ใดก็ตาม (มธ.7:24-27) จงเข้าใจหลักการนี้ “ผู้ใดสกัดหิน ผู้นั้นอาจเจ็บเพราะหินนั้น ผู้ใดผ่าขอนไม้ ผู้นั้นจะประสบอันตรายเพราะขอนไม้นั้นได้” (ปญจ.10:9) ฉะนั้น อย่าท้อใจกับอะไรๆที่เข้ามาทำให้เจ็บ [บ้าง] หากคิดจะสร้างชีวิต และอย่ากลัวจนไม่อยากไปต่อเมื่อต้องผิดหวังกับบางเรื่อง หากคิดจะสร้างอนาคต (ฮบ.10:35-39, โยบ 5:17-18) ... แต่โดยพระเจ้าทรงสร้างเราจะ ‘ใหม่และงดงาม’ แน่ๆ และสิ่งที่พระองค์สร้างจะต้อง ‘ดีเยี่ยมและเป็นประโยชน์’ ด้วย (กจ.13:22, 1คร.10:23-24, กท.1:15-24) จำไว้ผู้คนอาจจะชม ‘ความดูดี’ ของเราได้ แต่เขาจะไม่จำเท่า ‘ความดี’ ที่เราได้ทำหรอก! (ยน.15:16)

สุดท้าย เกิดเป็นคนอย่าคิดดูถูกใคร สูงได้ก็ต่ำได้ เพราะสุดท้ายก็ตายทุกคน และอย่าคิดว่าตัวเองแน่และใหญ่โตกว่าใคร เพราะสุดท้ายตายไปก็ไม่ใหญ่กว่าโลงศพหรอกนะ! หัดเจียมตัวเสมอเมื่ออยู่ในโลก แต่ให้ยกย่องพระเจ้าตลอดเวลา ให้พระหัตถ์พระองค์ยกชูแล้วจะไม่มีใครเอาลงได้เลย (ยน.3:30, ยก.4:6, 10, อพย.33:19, วว.3:7)
By.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

อย่าลืมนะคะ ความคิดของเราจะเป็นตัวกำหนดชีวิตของเรา เพราะฉะนั้น จงเลือกให้ดีคะ
เราต้องวางเป้าหมายให้สูงเข้าไว้สิ ยังไงเราก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ความล้มเหลวก็เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จเหมือนกัน แค่ให้แน่ใจว่าเราเริ่มทำจากสิ่งเล็กๆ หมั่นทำมันบ่อยๆ ให้คิดว่าสิ่งเดียวที่เราต้องการก็คือ เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่เราวางเอาไว้ตั้งแต่แรก แต่ถ้เราตั้งเป้าหมายไว้ต่ำเกินไป ผลลัพธ์ก็จะออกมาแบบต่ำๆ เช่นกันนะคะ
เออแล้วทำไม? คนเราชอบตื่นตระหนกเวลาเจอปัญหาใหญ่ๆ บางคนก็บอกว่า “มันเลวร้ายที่สุด ตั้งแต่เคยเจอมาแล้ว” ทุกครั้งๆ ที่เราใส่ความคิดเครียดๆ แบบนี้ ก็เหมือนกับการบั่นทอนชีวิตของเราเองไปเรื่อยๆ จนพังทลายลงไปในที่สุด นับจากนี้ ขอให้เราคิดแบบนี้แทนว่า
ปัญหามันก็แค่คำถามธรรมดาของชีวิต หรืออาจจะยากบ้าง ที่ยังหาคำตอบไม่เจอก็เท่านั้นเอง ให้เราใช้สติ พยายามหาคำตอบของคำถามเหล่านั้น ก็เท่านั้นเอง

"พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า 'ถ้าเจ้าไม่ฟัง และถ้าเจ้าไม่จำใส่ใจที่จะถวายเกียรติแก่นามของเรา เราจะส่งคำแช่งมาให้เจ้า และเราจะสาปแช่งพระพรซึ่งเคยมาถึงเจ้า เราได้สาปแช่งพระพรนั้นแล้วนะ เพราะเจ้าไม่จำใส่ใจ" (มลค.2:2)

'พระพร' ใครๆก็อยากได้ ... ยิ่งเป็นพระพรจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครจะปฏิเสธที่จะไม่อยากได้
"พระพรของพระยาห์เวห์ทำให้มั่งคั่ง และพระองค์ไม่ได้ทรงเพิ่มความโศกเศร้าเข้ากับพระพร" (สภษ.10:22)

และเรารู้ว่า "พระเจ้าทรงมีแผนงานที่ดี และเต็มด้วยสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ และมีอนาคตที่เต็มด้วยความหวังใจให้แก่มนุษย์ทุกคนในโลก" (ยรม.29:11) ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราในวันนี้ เราจึงสามารถขอบพระคุณได้ในทุกกรณี เพราะพระเจ้าจะทรงให้ทุกสิ่งส่งผลดีแก่เราที่รักพระองค์ (รม.8:28, 1ธส.5:18)

แต่พระพรนั้นไม่มี 'ฟรี' ไม่เหมือนกับ 'พระคุณ' ที่พระเจ้าทรงให้เรา 'ฟรี' เมื่อเราได้ต้อนรับพระองค์เข้ามาในชีวิต เราได้รอดบาป พ้นทุกข์พบสุข ได้เป็นบุตรพระเจ้าสูงสุด

แต่พระพรนั้นอยากได้ต้อง 'จ่าย' และเราสามารถซื้อด้วย 'การเชื่อฟัง' เท่านั้น ... "ผู้มีสติย่อมประสงค์อะไร? ย่อมประสงค์ลูกหลานที่เชื่อฟังพระเจ้า ..." (มลค.2:15ข.)

ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับการ 'เชื่อฟัง' ;
- ความเชื่อ มีพลังร่วมกับการประพฤติที่เชื่อฟัง (ยก.2:22)
- การเชื่อฟัง เป็นกุญแจที่จะเปิดประตูนำเราไปสู่การอวยพร (ฉธบ.28:1-14)

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านนะคะ
KC Love God

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ อ่านมัทธิว 8:1 ถึง 11:1 ​    25 และพวกสาวกมาปลุกพระองค์ ทูลว่า “องค์พร...