วันพุธที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ชีวิตที่มีคุณค่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่นให้ราคา นะคะ



ชีวิตนั้นมันง่ายเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ในหลายปีที่ผ่านมา ได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งไป คือ อะไรก็ตามที่เราคิด หรือเราอยู่กับมันนานๆ สุดท้ายมันจะกลายเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเราเป็นคนยังไง ซึ่งทุกคนก็คงอยากที่จะประสบความสำเร็จ มีความสุขกันใช่ไหมล่ะ แต่วิธีการ “คิด” อย่างไรที่จะให้ได้ผลลัพธ์แบบที่ต้องการเนี่ย มันยากมากๆ หลายๆ คนเลยไม่ได้ทุ่มเทให้กับมันมากพอ (ก็เพราะมันยาก) ซึ่งมีประโยคหนึ่งที่ถูกกล่าวออกมาโดย Helen Keller ว่า

People don’t like to think, if one thinks, one must reach conclusions. Conclusions are not always pleasant.

อธิบายได้ประมาณว่า คนส่วนใหญ่ไม่ชอบการคิด ไม่ชอบการตั้งเป้าหมาย เพราะเมื่อคิด คาดหวังแล้ว ลงมือทำแล้ว บางครั้งสุดท้ายผลลัพธ์อาจจะไม่เป็นดังที่หวังไว้ก็เป็นได้ ฟังดูมันก็เจ็บปวดเหมือนกันนะ แต่ชีวิตก็แบบนี้แหละ
ไม่สำคัญว่าเราจะทำอะไร แต่บอกได้เลยว่าไม่มีอะไรที่ได้มาฟรีๆ ในชีวิตแน่ๆ เราต้องจ่าย “เงิน” หรือ “เวลา” โดยเฉพาะเวลาซึ่งเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อแลกกับสิ่งที่เราต้องการ

ชีวิตคนเรามันก็เหมือนการทำธุรกิจประเภทหนึ่ง ซึ่งนักธุรกิจเก่งๆ เขาใช้เวลาที่มีอยู่ทุกนาทีอย่างคุ้มค่า ถามว่าเขาทำได้อย่างไร? ตอบได้ง่ายๆ เลย คือ เขา “ประเมิน” ว่าสิ่งไหนทำแล้วคุ้มกับเวลาที่เสียไป ถึงจะทำ และรู้จัก “ปฏิเสธ” ในสิ่งที่ไม่จำเป็นด้วย เพราะการปล่อยเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ ถือเป็นสิ่งสุดท้ายในชีวิตที่พวกเขาเหล่านี้จะทำเลยทีเดียว

มีเหตุผลหลายๆ อย่าง ที่ทำให้มนุษย์ต้องออกไปแสวงหาความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ เช่น เรื่องเงิน ความกลัวที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว ความต้องการให้คนอื่นสนใจในตัวเรา เป็นต้น ซึ่งไหนๆ มันก็เป็นสิ่งที่เราต้องทำอยู่แล้ว ก็ให้มองมันในรูปแบบของ “ความรัก” ซะเลย เพราะเมื่อเรารักใครเข้าแล้ว เราก็คงไม่สามารถที่จะรู้สึกเกลียดเขาได้ในเวลาเดียวกัน เพราะฉะนั้นความมั่นคงของความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้อื่นควรจะต้องมีพื้นฐานมาจาก ความรัก ความเคารพให้เกียรติ การเชื่อใจกัน ความอดทน เพื่อนร่วมงานที่ดี เสียงหัวเราะ

บางครั้งเราอาจจะคิดว่า การที่เราอยู่เฉยๆ โดยไม่ต้องตัดสินใจอะไรในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จะทำให้เราปราศจากความผิดพลาด แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือการที่เราไม่ทำอะไรเลยเนี่ยแหละ เช่น การรอคอยคนอื่นมาทำแทน การผลัดวันประกันพรุ่ง การตั้งข้อสงสัยมากเกินไปแต่ไม่ลงมือทำ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันไม่ได้ช่วยให้ประโยชน์กับชีวิตเราขึ้นมาเลย เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อถึงเวลา จงกล้าที่จะตัดสินใจ “เลือก” อย่างหนักแน่น ถึงแม้ถ้าท้ายที่สุดแล้วเราตัดสินใจผิด ก็ไปขอโทษ ขออภัยกัน และเลือกตัดสินใจใหม่อีกครั้ง ยังดีเสียกว่าไม่ยอมตัดสินใจเสียอีก

ให้จำไว้เลยว่า การที่คุณจะมีความมั่นใจในการทำสิ่งใดๆ มันเกิดจากเรียนรู้ ลงมือทำ วิเคราะห์ผลลัพธ์ นำมาปรับปรุงแก้ไข ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร

เพราะฉะนั้นแล้วอย่าเชื่อในทุกๆ เรื่องราวความสำเร็จของคนอื่นที่คุณได้พบเจอมา ไม่ว่าจะเป็น YouTubers, นายแบบนางแบบต่างๆ ใน Instagram, เศรษฐีเงินล้านจากการทำธุรกิจ มันก็จริงอยู่ที่ว่า พวกเขาเหล่านั้นดูดี ไร้ที่ติ แต่จริงๆ แล้วคุณมองเห็นแต่เพียงภายนอกเท่านั้น แต่คุณก็ห้ามไปมองพวกเขาในแง่ร้ายนะ แค่อย่าสนใจกับเปลือกนอกมากจนเกินไปก็พอ

สิ่งสำคัญในชีวิตของเรา คือต้องเรียนรู้ที่จะรับฟังคำวิจารณ์ เวลามีใครก็ตามมาวิจารณ์คุณ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงที่ดีหรือไม่ดีก็ตามแต่ คุณควรจะขอบคุณเขา เพราะว่ามันเหมือนเป็นแหล่งพลังงานในการขับดันให้ชีวิตคุณก้าวต่อไปข้างหน้าได้เป็นอย่างดี

มีเพียงตัวเราเองเท่านั้นที่ควบคุมความคิดของตนเองได้ ซึ่งมันส่งผลกับสิ่งที่เราจะทำต่อไปในภายภาคหน้า ถ้าเราเลือกที่จะไม่พอใจ โกรธ สิ้นหวัง นั่นแหละ คือ ตัวเราเองในอนาคต

บางครั้งคนเราก็มีความคิดที่ว่า “ฉันไม่สามารถมีความสุขได้ ฉันต้องรวย ซื้อรถหรูๆ ขับ มีบ้านหลังใหญ่ๆ อยู่” แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เราสามารถที่จะมีความสุขได้ในทุกๆ ขณะของช่วงชีวิต มันขึ้นอยู่กับมุมมองชีวิตของเราเองต่างหาก ว่าเลือกที่จะมองมันแบบไหน

ชีวิตที่มีคุณค่าไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่นให้ราคา ... แต่มันขึ้นอยู่กับ ‘ตัวของเรา’ เพราะพระเจ้าไม่ได้สร้างเราขึ้นมาแล้วติดป้ายราคามาด้วย นั้นเพราะว่า ‘คุณค่าชีวิตของเรา’ ในสายพระเนตรพระองค์นั้นมัน ‘ประเมินค่าไม่ได้’ ต่างหากละ! (อพย.19:5, ฉธบ.7:6-9)

“เพราะว่าเจ้ามีค่าในสายตาของเรา เจ้าได้รับเกียรติและเราเองรักเจ้า เราจึงให้คนเพื่อแลกกับเจ้า และให้ชนทั้งหลายเพื่อแลกกับชีวิตของเจ้า” (อสย.43:4)

คุณค่าของชีวิตมิได้วัดกันตรง ‘สิ่งที่มี’
ความล้ำค่าของชีวิตมิได้ตัดสินกันตรง ‘ฐานะที่เป็น’
ความเลอค่าของชีวิตมิได้มองกันตรง ‘สภาพภายนอกที่เห็น’
ศัลยกรรมอาจจะทำให้ดูดีได้ แต่มิได้หมายความว่าจะ ‘เป็นคนดี’ ยอมเสียเงินเท่าไรก็ได้เพื่อความดูดี แต่เงินถวายพระเจ้าคิดแล้วคิดอีกจนสุดท้ายก็ไม่ถวาย! (ฮกก.1:4-9, มลค.3:8)

การศึกษาอาจจะทำให้มีความรู้เพิ่มขึ้นได้ แต่มิได้บอกว่าจะ ‘มีความรักดีๆ’ ได้
มีแอ๊ปพิเคชั่นแต่งรูปให้ ‘ดูดี’ เย่อะ เพราะทุกคนอยากถูกมองให้ ‘ดูดี’ แต่ไม่มีอะไรแต่งใจให้งดงามและเมตตาได้ (กจ.17:11, 1ทธ.6:17-19)

มนุษย์สามารถสร้างตึกสูงเทียมฟ้าได้ แต่ไม่มีใครจะสนใจทำจิตใจให้สูงขึ้นนั้นต้องทำอย่างไร? (ปฐก.11:1-5)
ทุกวันนี้มนุษย์ให้ความสำคัญกับ ‘การดูดี’ มากกว่า ‘ความดี’ ที่จะต้องทำ (1ปต.3:3-4)

แต่อย่าลืมพระเจ้ากำลังทรงสร้างสิ่งที่งดงาม และสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้กับลูกของพระองค์ที่เชื่อ และสิ่งนั้นคือ ‘หัวใจ’ ของเราเองที่จะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ให้เป็นเหมือน ‘พระทัยพระเยซูคริสต์’ มากขึ้น

“ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงลองใจข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงถลุงพวกข้าพระองค์อย่างถลุงเงิน พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ทั้งหลายเข้ามาในข่าย พระองค์ทรงวางความทุกข์ยากไว้บนหลังพวกข้าพระองค์ พระองค์ทรงให้คนขับรถแล่นทับศีรษะของข้าพระองค์ทั้งหลาย พวกข้าพระองค์ต้องลุยน้ำลุยไฟ แต่พระองค์ยังทรงนำข้าพระองค์ทั้งหลายมาสู่ที่กว้าง” (สดด.66:10-12)

นั้นแสดงว่า เราไม่จำเป็นต้องพยายามสร้างภาพให้ตัวเองดูดีหรอก เพราะสำหรับทุกคนที่เข้ามาเชื่อในพระคริสต์เขาจะถูกสร้างใหม่อยู่แล้ว (2คร.5:17, อสย.48:9-10) เพื่อทำให้เราเป็นคนใหม่ ที่จะ “ไม่ทำให้พระนามของพระเจ้าเสื่อมเกียรติ” (ลวต.18:21) ไม่ให้ใครตัดสินดูหมิ่นพระเจ้าของเรา (อสย.48:11) ดังนั้นเราต้องรู้ตัวเองว่า ‘กำลังถูกสร้าง’ โดยพระเจ้าทรงกำลังทำ และยังสร้างไม่เสร็จ จึงต้องอดทนต่อกระบวนการสร้างของพระองค์ (1คร.13:11-12)

บางทีต้องตัดบางสิ่งออกเพื่อจะปรับเราให้เข้ากันกับส่วนอื่นๆ ให้ได้เหลี่ยมที่สวยงาม ... ก็จงทำใจที่จะ ‘สูญเสีย’ บางอย่างไป! (ฮกก.2:23)

บางครั้งต้องตอกตะปูเสียบทะลุหัวใจของเรา ด้วยบางคำพูดที่เจ็บ ก็เพื่อจะยึดเราให้ติดสนิทกับพระองค์ ... เพื่อจะรู้ว่า ‘พระเจ้าดีที่สุดแล้ว’ ทำให้เรามีจิตใจเข้มแข็งขึ้นกว่าเก่า (ยน.15:1-7)

บางคราวต้องใช้ไฟที่ร้อนและรุนแรงเผาผลาญเพื่อทำให้จิตใจที่แข็งกระด้างดั่ง ‘เหล็ก’ มันอ่อนลง เพื่อจะตีให้ได้รูปทรงใหม่ที่ต้องการได้ (อสย.45:9-10, 1คร.3:13-15) จำไว้เหล็กจะดัดใหม่ได้ ต้องยอมให้มันอยู่ในไฟที่ร้อน และมันต้องยอมให้ไฟเข้ามาอยู่ในมันฉันใด ชีวิตคริสเตียนจะเปลี่ยนแปลงใหม่ไม่ได้หากไม่เอาเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ และยอมให้พระวิญญาณฯ เข้าไปอยู่ในชีวิตของเขาเต็ม 100% ฉันนั้น (รม.12:1-2, กท.2:20)

บางหนต้องใช้ค้อนทุบให้แตกสลาย เพราะของบางอย่างเมื่อมันชำรุดแล้วซ่อมก็ไม่ได้ เหมือนแก้วที่มันร้าวต่อให้จะทากาวตราช้างมากขนาดไหนไม่นานก็คงจะแตก ... เมื่อไม่คุ้มค่าจะซ่อม คงต้องทุบและสร้างใหม่จะดีกว่า เช่นเดียวกันพระเจ้าอาจจะให้ปัญหาเกิดขึ้นกดดันเรามาก ทุบเราจนพัง แตกสลาย ดังชีวิตเหมือนโดนทำร้าย ข่าวดีคือ “พระองค์ไม่ได้ทำลาย” แต่นั้นเป็นการ ‘รื้อชีวิต’ เพื่อจะสร้างใหม่ให้ดีกว่าเก่ามากกว่าต่างหากละ ท่องไว้ ‘ยอมให้พระเจ้ารื้อชีวิตดีกว่าปล่อยให้มารทำลายชีวิต’ (ฮบ.12:1-11)

“พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘ถ้อยคำของเราเหมือนไฟและเหมือนค้อนที่ทุบหินให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่ใช่หรือ?’” (ยรม.23:29)

อย่าลืมบ้านที่มั่นคงต้องสร้างบน ‘ศิลา’ สร้างยาก งานที่หนัก และต้องอดทน และอาจจะมีบาดเจ็บเพราะการสร้างบ้าง แต่ก็เพื่อเราจะเข้มแข็งและยืนหยัดอยู่ได้ไม่ว่าเจอสถานการณ์ใดก็ตาม (มธ.7:24-27) จงเข้าใจหลักการนี้ “ผู้ใดสกัดหิน ผู้นั้นอาจเจ็บเพราะหินนั้น ผู้ใดผ่าขอนไม้ ผู้นั้นจะประสบอันตรายเพราะขอนไม้นั้นได้” (ปญจ.10:9) ฉะนั้น อย่าท้อใจกับอะไรๆที่เข้ามาทำให้เจ็บ [บ้าง] หากคิดจะสร้างชีวิต และอย่ากลัวจนไม่อยากไปต่อเมื่อต้องผิดหวังกับบางเรื่อง หากคิดจะสร้างอนาคต (ฮบ.10:35-39, โยบ 5:17-18) ... แต่โดยพระเจ้าทรงสร้างเราจะ ‘ใหม่และงดงาม’ แน่ๆ และสิ่งที่พระองค์สร้างจะต้อง ‘ดีเยี่ยมและเป็นประโยชน์’ ด้วย (กจ.13:22, 1คร.10:23-24, กท.1:15-24) จำไว้ผู้คนอาจจะชม ‘ความดูดี’ ของเราได้ แต่เขาจะไม่จำเท่า ‘ความดี’ ที่เราได้ทำหรอก! (ยน.15:16)

สุดท้าย เกิดเป็นคนอย่าคิดดูถูกใคร สูงได้ก็ต่ำได้ เพราะสุดท้ายก็ตายทุกคน และอย่าคิดว่าตัวเองแน่และใหญ่โตกว่าใคร เพราะสุดท้ายตายไปก็ไม่ใหญ่กว่าโลงศพหรอกนะ! หัดเจียมตัวเสมอเมื่ออยู่ในโลก แต่ให้ยกย่องพระเจ้าตลอดเวลา ให้พระหัตถ์พระองค์ยกชูแล้วจะไม่มีใครเอาลงได้เลย (ยน.3:30, ยก.4:6, 10, อพย.33:19, วว.3:7)
By.เนตรศักดิ์ ใสรังกา

อย่าลืมนะคะ ความคิดของเราจะเป็นตัวกำหนดชีวิตของเรา เพราะฉะนั้น จงเลือกให้ดีคะ
เราต้องวางเป้าหมายให้สูงเข้าไว้สิ ยังไงเราก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ความล้มเหลวก็เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จเหมือนกัน แค่ให้แน่ใจว่าเราเริ่มทำจากสิ่งเล็กๆ หมั่นทำมันบ่อยๆ ให้คิดว่าสิ่งเดียวที่เราต้องการก็คือ เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่เราวางเอาไว้ตั้งแต่แรก แต่ถ้เราตั้งเป้าหมายไว้ต่ำเกินไป ผลลัพธ์ก็จะออกมาแบบต่ำๆ เช่นกันนะคะ
เออแล้วทำไม? คนเราชอบตื่นตระหนกเวลาเจอปัญหาใหญ่ๆ บางคนก็บอกว่า “มันเลวร้ายที่สุด ตั้งแต่เคยเจอมาแล้ว” ทุกครั้งๆ ที่เราใส่ความคิดเครียดๆ แบบนี้ ก็เหมือนกับการบั่นทอนชีวิตของเราเองไปเรื่อยๆ จนพังทลายลงไปในที่สุด นับจากนี้ ขอให้เราคิดแบบนี้แทนว่า
ปัญหามันก็แค่คำถามธรรมดาของชีวิต หรืออาจจะยากบ้าง ที่ยังหาคำตอบไม่เจอก็เท่านั้นเอง ให้เราใช้สติ พยายามหาคำตอบของคำถามเหล่านั้น ก็เท่านั้นเอง

"พระยาห์เวห์จอมทัพตรัสว่า 'ถ้าเจ้าไม่ฟัง และถ้าเจ้าไม่จำใส่ใจที่จะถวายเกียรติแก่นามของเรา เราจะส่งคำแช่งมาให้เจ้า และเราจะสาปแช่งพระพรซึ่งเคยมาถึงเจ้า เราได้สาปแช่งพระพรนั้นแล้วนะ เพราะเจ้าไม่จำใส่ใจ" (มลค.2:2)

'พระพร' ใครๆก็อยากได้ ... ยิ่งเป็นพระพรจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครจะปฏิเสธที่จะไม่อยากได้
"พระพรของพระยาห์เวห์ทำให้มั่งคั่ง และพระองค์ไม่ได้ทรงเพิ่มความโศกเศร้าเข้ากับพระพร" (สภษ.10:22)

และเรารู้ว่า "พระเจ้าทรงมีแผนงานที่ดี และเต็มด้วยสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ และมีอนาคตที่เต็มด้วยความหวังใจให้แก่มนุษย์ทุกคนในโลก" (ยรม.29:11) ฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราในวันนี้ เราจึงสามารถขอบพระคุณได้ในทุกกรณี เพราะพระเจ้าจะทรงให้ทุกสิ่งส่งผลดีแก่เราที่รักพระองค์ (รม.8:28, 1ธส.5:18)

แต่พระพรนั้นไม่มี 'ฟรี' ไม่เหมือนกับ 'พระคุณ' ที่พระเจ้าทรงให้เรา 'ฟรี' เมื่อเราได้ต้อนรับพระองค์เข้ามาในชีวิต เราได้รอดบาป พ้นทุกข์พบสุข ได้เป็นบุตรพระเจ้าสูงสุด

แต่พระพรนั้นอยากได้ต้อง 'จ่าย' และเราสามารถซื้อด้วย 'การเชื่อฟัง' เท่านั้น ... "ผู้มีสติย่อมประสงค์อะไร? ย่อมประสงค์ลูกหลานที่เชื่อฟังพระเจ้า ..." (มลค.2:15ข.)

ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับการ 'เชื่อฟัง' ;
- ความเชื่อ มีพลังร่วมกับการประพฤติที่เชื่อฟัง (ยก.2:22)
- การเชื่อฟัง เป็นกุญแจที่จะเปิดประตูนำเราไปสู่การอวยพร (ฉธบ.28:1-14)

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านนะคะ
KC Love God

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ อ่านมัทธิว 26:3 ถึง 27:66 ยูดาสตอบรับการเรียกของพระเยซูให้ติดตามเช่นเดียวกับสาวกคนอื่นๆ เขาออ...