วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เราจะมีความสุขได้อย่างไรและเราจะขอบคุณพระเจ้าได้ดีอย่างไรหากใจเรามีคำถามมากมายเหล่านี้อยู่ในใจ



“คนรักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน และคนรักสมบัติไม่รู้จักอิ่มกำไร นี่ก็อนิจจังด้วย”

เราจะมีความสุขได้อย่างไรและเราจะขอบคุณพระเจ้าได้ดีอย่างไรหากใจเรามีคำถามมากมายเหล่านี้อยู่ในใจ

คุณเคยตั้งคำถามกับตัวเองแบบนี้หรือไม่
“ฉันจะมีความสุขถ้าได้แต่งงานและมีลูก”

“ฉันจะมีความสุขถ้ามีบ้านสักหลัง”

“ฉันจะมีความสุขถ้าได้งานที่ชอบ”

“ฉันจะมีความสุขถ้า . . .”

คุณเคยรู้สึกอย่างนั้นไหม? พอคุณได้อย่างที่ต้องการแล้ว สิ่งเหล่านั้นทำให้คุณมีความสุขนานไหม? หรือไม่นานความสุขนั้นก็จางหายไป? การพยายามไปให้ถึงเป้าหมายหรือได้สิ่งของที่ต้องการทำให้มีความสุขได้จริงแต่ความสุขแบบนั้นก็อยู่ไม่นาน เช่นเดียวกับการมีสุขภาพดี ความสุขแท้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสำเร็จหรือสิ่งของที่ได้มาเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง

เราแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราอาจมีความสุขกับสิ่งหนึ่ง แต่คนอื่นอาจมีความสุขกับอีกสิ่งหนึ่ง และเมื่อเวลาผ่านไปเราก็เปลี่ยนไปด้วย เห็นได้ชัดว่าคนเราจะมีความสุขแท้ได้ต้องมีปัจจัยอื่นด้วย เช่น รู้สึกพอใจในชีวิต ไม่อิจฉาริษยา รักคนอื่น พร้อมจะปรับเปลี่ยนและมีจิตใจที่เข้มแข็ง ให้เรามาดูว่าทำไมเรื่องเหล่านี้จึงสำคัญ

 1. พอใจในชีวิต
คนฉลาดคนหนึ่งที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ได้สังเกตว่า “เงินเป็นเครื่องป้องกัน” แต่ก็ยังเขียนด้วยว่า “คนรักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน และคนรักสมบัติไม่รู้จักอิ่มกำไร นี่ก็อนิจจังด้วย”   (ปัญญาจารย์ 5:10  คน​ที่​รัก​เงิน​ไม่​เคย​พอ​ใจ​กับ​เงิน​ที่​หา​มา​ได้ และ​คน​ที่​รัก​สมบัติ​ก็​ไม่​พอ​ใจ​กับ​ราย​ได้​ของ​ตัว​เอง นี่​ก็​ไร้​ประโยชน์​เหมือน​กัน  ) เขาหมายความว่าอย่างไร? เงินเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่เราต้องระวังก็คือความโลภ เพราะความโลภทำให้คนเราไม่รู้จักพอ! ผู้เขียนคนนี้คือ โซโลมอนกษัตริย์ของชาติอิสราเอลโบราณ เขาได้ลองดูว่าความมั่งคั่งร่ำรวยและชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยจะทำให้มีความสุขจริง ๆ ไหม เขาเขียนว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยปฏิเสธสิ่งใดที่ . . . ข้าพเจ้าปรารถนา มิได้ห้ามใจจากความยินดีใด ๆ”— ( ปัญญาจารย์ 1:13  เรา​ตั้งใจ​ศึกษา​และ​ใช้​สติ​ปัญญา​ตรวจ​สอบ​งานทุก​อย่าง​ที่​คน​เรา​ทำ​อยู่​ใต้​ฟ้า คือ​งาน​ที่​ยาก​ลำบาก​ซึ่ง​พระเจ้า​ให้​มนุษย์​ทำ​อยู่  )

โซโลมอนสะสมทรัพย์สมบัติไว้มากมาย เขาสร้างบ้านใหญ่โตหลายหลัง สร้างสวนและสระน้ำที่สวยงามหลายแห่ง และมีคนรับใช้มากมาย เขามีทุกอย่างที่ต้องการ แต่เขาได้เรียนรู้อะไรจากการลองใช้ชีวิตแบบนี้? เขามีความสุขอยู่บ้างแต่ก็ไม่นาน เขาบอกว่า “การทั้งหลายเป็นอนิจจังเหมือนวิ่งไล่ตามลม และมิได้มีผลประโยชน์อะไร” เขาถึงกับเกลียดชีวิตด้วยซ้ำ! (ปัญญาจารย์ 2:11  แต่​เมื่อ​เรา​คิด​ถึง​ทุก​สิ่ง​ที่​เรา​ทำ​และ​งาน​หนัก​ที่​เรา​บากบั่น​ทำ​จน​เสร็จ เรา​ก็​เห็น​ว่า​ทุก​สิ่ง​ไร้​ประโยชน์​และ​เป็น​การ​วิ่ง​ไล่​ตาม​ลม และ​ไม่​มี​อะไร​ภาย​ใต้​ดวง​อาทิตย์​ที่​มี​ค่า*จริง ๆ) โซโลมอนได้เรียนรู้ว่าการทำตามใจตัวเอง สุดท้ายก็เหลือแต่ความว่างเปล่าและไม่พอใจกับชีวิต *

ผลการวิจัยสมัยใหม่สอดคล้องกับสติปัญญาสมัยโบราณไหม? บทความหนึ่งที่ได้ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Happiness Studies ให้ข้อสังเกตว่า “ถ้าคุณมีสิ่งจำเป็นในชีวิตแล้ว แม้จะมีเงินมากขึ้นก็ไม่ได้ทำให้คุณมีความสุขมากขึ้นไปด้วย” ที่จริง จากผลวิจัยพบว่า การมีวัตถุสิ่งของเพิ่มขึ้นโดยไม่สนใจว่าจะต้องเสียอะไรไปไม่ได้ทำให้คนเรามีความสุขจริง ๆ

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: “จงให้วิถีชีวิตของพวกท่านปราศจากการรักเงิน และจงพอใจในสิ่งที่พวกท่านมีอยู่”—(ฮีบรู 13:5  อย่า​ใช้​ชีวิต​แบบ​คน​รัก​เงิน แต่​ให้​พอ​ใจ​ใน​สิ่ง​ที่​มี​อยู่ เพราะ​พระเจ้า​บอก​ไว้​ว่า “เรา​จะ​ไม่​มี​วัน​ทิ้ง​เจ้า เรา​จะ​ไม่​ทอดทิ้ง​เจ้า​เลย”  )

2. ไม่อิจฉาริษยา
ความอิจฉาริษยาคือ “ไม่พอใจหรือเจ็บใจที่เห็นคนอื่นได้ดีและอยากได้อยากมีอย่างเขาบ้าง” ความอิจฉาริษยาเป็นเหมือนเนื้อร้ายที่สามารถทำลายชีวิตและความสุขของคนเราได้ ความอิจฉาอาจเกิดขึ้นได้อย่างไร? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเริ่มมีนิสัยแบบนี้? และเราจะเอาชนะนิสัยนี้ได้อย่างไร?

สารานุกรมเล่มหนึ่ง (Encyclopedia of Social Psychology ) ให้ข้อสังเกตว่า ผู้คนมักจะอิจฉาคนที่มีอะไร ๆ เท่าเทียมกับตัวเอง ไม่ว่าจะอายุ ประสบการณ์ หรือฐานะทางสังคม เช่น พนักงานขายอาจอิจฉาเพื่อนพนักงานขายที่ประสบความสำเร็จมากกว่าเขา แต่เขาอาจไม่อิจฉานักแสดงที่มีชื่อเสียง

ตัวอย่างเช่น ข้าราชการระดับสูงหลายคนในอาณาจักรเปอร์เซียโบราณไม่ได้อิจฉากษัตริย์ แต่อิจฉาริษยาดาเนียลซึ่งเป็นข้าราชการที่ฉลาดหลักแหลม พวกเขาคงไม่มีความสุขแน่ ๆ เห็นได้จากการที่พวกเขาวางแผนจะฆ่าดาเนียล แต่ก็ไม่ สำเร็จ (ดาเนียล 6:1-24) สารานุกรมที่อ้างถึงก่อนหน้านี้บอกว่า “ควรจำไว้ว่าความอิจฉาริษยาทำให้คุณอยากทำร้ายคนอื่น เหตุการณ์ที่รุนแรงหลายครั้งในประวัติศาสตร์จึงมักเกี่ยวโยงกับความริษยา” *

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นคนขี้อิจฉา? ลองถามตัวเองว่า ‘ถ้าเห็นเพื่อนได้ดีฉันไม่มีความสุขไหม? ถ้าลูกพี่ลูกน้อง เพื่อนนักเรียนที่เก่ง ๆ หรือเพื่อนร่วมงาน ทำบางอย่างผิดพลาดล้มเหลว ฉันสะใจไหม?’ ถ้าคุณตอบว่า “ใช่” ก็แสดงว่าคุณเริ่มเป็นคนขี้อิจฉาแล้ว (ปฐมกาล 26:12-14  แล้ว​อิสอัค​ก็​เริ่ม​เพาะ​ปลูก​ใน​แผ่นดิน​นั้น ใน​ปี​นั้น​เขา​เก็บ​เกี่ยว​พืช​ผล​ได้ 100 เท่า​ของ​เมล็ด​ที่​หว่าน​เนื่อง​จาก​พระ​ยะโฮวา​อวยพร​เขา 13  เขา​จึง​มี​ฐานะ​ดี​และ​ดี​ขึ้น​เรื่อย ๆ จน​ร่ำรวย​มาก 14  เขา​มี​ฝูง​แกะ ฝูง​วัว และ​คน​รับใช้มาก​มาย​จน​ชาว​ฟีลิสเตีย​อิจฉา) สารานุกรมยังบอกอีกว่า “ความอิจฉาริษยาสามารถทำให้คนเราหมดความยินดีและไม่เห็นค่าสิ่งดี ๆ ในชีวิต . . . นิสัยแบบนี้ทำให้ไม่ค่อยมีความสุข”

เราเอาชนะนิสัยขี้อิจฉาได้โดยพัฒนาความอ่อนน้อมถ่อมตนจากใจจริง คุณลักษณะนี้จะช่วยให้เรารู้สึกยินดีและเห็นคุณค่าความสามารถของคนอื่นรวมทั้งสิ่งดี ๆ ที่เขามี คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ไม่ทำอะไรด้วยน้ำใจชิงดีชิงเด่นหรือด้วยความถือดี แต่ให้ถ่อมใจถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว”  (ฟีลิปปี 2:3  )

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: “ขอให้เราอย่าถือดี อย่ายั่วยุให้มีการแข่งขันชิงดีกัน อย่าอิจฉากัน”—(กาลาเทีย 5:26   )


3. พัฒนาความรักต่อคนอื่น
หนังสือจิตวิทยาสังคม (ภาษาอังกฤษ) บอกว่า “การมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทำให้ผู้คนมีความสุขในชีวิตมากกว่าการมีงาน มีรายได้ มีสังคม หรือแม้แต่มีสุขภาพที่ดีด้วยซ้ำ” พูดง่าย ๆ ก็คือ คนเราจะมีความสุขแท้ต้องมีทั้งให้และได้รับความรัก คัมภีร์ไบเบิลเขียนว่า “ถ้าข้าพเจ้า . . . ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย”—1 โครินท์ 13:2

ไม่สายเกินไปที่จะพัฒนาความรัก เช่น ตัวอย่างของวาเนสซาที่เคยถูกพ่อขี้เมาทำร้ายร่างกาย เธอหนีออกจากบ้านตอนอายุ 14 ปี และไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอยังไปอยู่บ้านพักของคนจรจัดซึ่งเป็นที่ที่เลวร้ายจนเธอต้องอธิษฐานอ้อนวอนพระเจ้าให้ช่วย และพระองค์อาจฟังคำอธิษฐานของเธอเพราะมีครอบครัวหนึ่งรับเธอไปอยู่ด้วย พวกเขาทำตามคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “ความรักอดกลั้นไว้นานและแสดงความกรุณา” (1 โครินท์ 13:4) ทั้งสภาพแวดล้อมที่วาเนสซาอยู่บวกกับเรื่องที่เธอได้เรียนจากคัมภีร์ไบเบิลช่วยเยียวยาเธอให้มีอารมณ์และจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น เธอบอกว่า “ที่โรงเรียนผลการเรียนของฉันดีขึ้นมาก”

ถึงแม้วาเนสซายังรู้สึกเจ็บปวดทางอารมณ์อยู่บ้าง แต่ตอนนี้เธอมีครอบครัวที่มีความสุขและมีลูกสาวสองคน

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: “จงสวมความรัก เพราะความรักเป็นสิ่งที่ผูกพันผู้คนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์”—โคโลสี 3:14

 4. มีจิตใจเข้มแข็ง
มีใครบ้างที่ไม่มีปัญหาในชีวิตเลย? คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้ว่า มี “เวลาร้องไห้” และ “เวลาไว้ทุกข์” (ปัญญาจารย์ 3:4  เวลา​ร้องไห้​และ​เวลา​หัวเราะเวลา​คร่ำ​ครวญ​และ​เวลา​เต้น​รำ*) การมีจิตใจเข้มแข็งช่วยเราให้คิดบวกและก้าวเดินต่อไปแม้เจอปัญหา ให้เรามาดูตัวอย่างของป้าแครอลกับป้ามิลเดรด

ป้าแครอลเป็นโรคกระดูกสันหลังเสื่อม เบาหวาน หยุดหายใจขณะนอนหลับ และจอประสาทตาเสื่อมทำให้ตาข้างซ้ายบอด ถึงจะเป็นอย่างนั้นป้าบอกว่า “ฉันพยายามไม่ท้อใจนานเกินไป แม้ว่าบางครั้งฉันรู้สึกสงสารตัวเอง แต่แทนที่จะคิดอย่างนั้นฉันขอบคุณพระเจ้าที่ฉันยังทำอะไร ๆ ได้และทำเพื่อคนอื่นได้ด้วย”

ป้ามิลเดรดก็ป่วยหลายโรคด้วยทั้งโรคข้ออักเสบ มะเร็งเต้านม และเบาหวาน แต่ก็เหมือนกับป้าแครอล ป้ามิลเดรดพยายามไม่จมอยู่กับปัญหาของตัวเอง ป้าบอกว่า “ฉันเรียนรู้ที่จะรักผู้คนและให้กำลังใจคนอื่นช่วงที่พวกเขาป่วย การทำอย่างนั้นช่วยฉันด้วยเหมือนกัน ที่จริง เมื่อฉันให้กำลังใจคนอื่น ฉันก็ลืมเรื่องของตัวเอง”

ถึงแม้ป้าสองคนนี้อยากได้รับการรักษาที่ดี แต่ก็ไม่ได้หมกมุ่นกับปัญหาสุขภาพของตัวเองเท่านั้น พวกเธอสนใจวิธีคิดและวิธีใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ผลก็คือ ทั้งสองมีความสุขในใจที่ไม่มีใครแย่งไปได้ แถมยังเป็นที่รักของคนอื่นและเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่เจอปัญหาหรือการทดสอบหลายอย่างในชีวิต

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: “ผู้ที่ทนการทดสอบเรื่อยไปก็มีความสุข เพราะเมื่อพระองค์พอพระทัยเขา เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต”—(ยากอบ 1:12  คน​ที่​อด​ทน​กับ​ความ​ลำบาก*เรื่อย​ไป​ก็​มี​ความ​สุข เพราะ​เมื่อ​พระ​ยะโฮวา*ยอม​รับ​เขา​แล้ว พระองค์​จะ​ให้​ชีวิต​กับ​เขา​เป็น​รางวัล*ตาม​ที่​พระองค์​สัญญา​ไว้​ว่า​จะ​ให้​กับ​คน​ที่​รัก​พระองค์  )

เมื่อทำตามคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล สติปัญญาที่มาจากคัมภีร์ไบเบิลก็เป็นเหมือน “ต้นไม้แห่งชีวิตแก่คนนั้น ๆ ที่ฉวยเอาพระองค์ไว้ได้ และทุกคนที่ยึดถือพระองค์ไว้นั้นก็จะมีความผาสุก” (สุภาษิต 3:13-18  คน​ที่​พบ​สติ​ปัญญาและ​มี​ความ​เข้าใจ​ก็​มี​ความ​สุข 14  เพราะ​ได้​สติ​ปัญญา​ก็​ดี​กว่า​ได้​เงินและ​มี​สติ​ปัญญา*ก็​ดี​กว่า​มี​ทอง
15  สติ​ปัญญา​มี​ค่า​ยิ่ง​กว่า​ปะการัง*ทุก​สิ่ง​ที่​ลูก​อยาก​ได้​ยัง​เทียบ​กับ​สติ​ปัญญา​ไม่​ได้​เลย16  ที่​มือ​ขวา​ของ​สติ​ปัญญา​มี​ชีวิต​ยืน​ยาวและ​ที่​มือ​ซ้าย​มี​ทรัพย์​สมบัติ​และ​เกียรติยศ 17  แนว​ทาง​ของ​สติ​ปัญญา​ทำ​ให้​มี​ความ​สุข
บน​ทาง​นี้​มี​แต่​ความ​สงบ​สุข 18  สติ​ปัญญา​เป็น​ต้น​ไม้​ที่​ให้​ชีวิต คน​ที่​ยึด​มั่น​ใน​สติ​ปัญญา​จะ​มี​ชีวิต​และ​มี​ความ​สุข) คุณน่าจะลองค้นหาความจริงที่ว่านี้ด้วยตัวคุณเอง โดยเอาคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ในชีวิต ที่จริง “พระเจ้าผู้มีความสุข” ที่ดลใจให้เขียนหนังสือศักดิ์สิทธิ์นี้อยากให้คุณมีความสุขด้วย—( 1 ทิโมธี 1:11  ตาม​ที่​บอก​ไว้​ใน​ข่าว​ดี​ที่​ยอด​เยี่ยม​ซึ่ง​พระเจ้า​ผู้​มี​ความ​สุข​ฝาก​ไว้​กับ​ผม )
Jw.org

‘จงแสดงความขอบคุณ’

ข้อความนี้อยู่ในหนังสือโคโลสี 3:15  ขอ​ให้​สันติ​สุข​จาก​พระ​คริสต์​เป็น​พลัง​ควบคุม​ใจ​พวก​คุณ เพราะ​พวก​คุณ​ถูก​เรียก​มา​เพื่อ​ให้​เป็น​อวัยวะ​ใน​ร่าง​กาย​เดียว​กัน​ที่​มี​สันติ​สุข และ​ให้​แสดง​ความ​ขอบคุณ​ด้วยซึ่งเป็นคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ! จากการศึกษาวิจัยพบว่า การมองชีวิตในแง่บวกและแสดงความขอบคุณที่คนอื่นมีน้ำใจต่อเราจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น

จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนั่นแหละเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับพวกท่านในพระเยซูคริสต์ (1เธสะโลนิกา 5:18)

นภาวะวิกฤติของชีวิต บางทีตัวเราเองก็กำลังถามพระเจ้าว่า พระองค์ทรงประสงค์อะไรจึงให้เราพบกับความยากลำบากหรือ? หากอัครทูตเปาโลอยู่ที่นี่ด้วย ท่านก็คงจะบอกเราอย่างที่ท่านบอกพี่น้องคริสเตียนที่เมืองเธสะโลนิกาว่า “จงขอบพระคุณในทุกกรณี” เรายังจะมีใจขอบพระคุณในช่วงเวลาที่มืดมิดได้อย่างไร?

ประการแรก หากเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็อยู่ในพระประสงค์ของพระเจ้า เมื่อสิ่งต่างๆ ดำเนินไปผิดทิศทาง เรามักจะคลำหาการชี้นำของพระเจ้า เราสงสัยว่าเมื่อเราได้มาถึงทางแยกของชีวิตนั้น เราได้เลือกทางถูกหรือไม่ เราได้เตลิดออกนอกแผนการของพระเจ้าหรือไม่ ความหมายที่สำคัญตรงนี้ก็คือ หากเรารู้ว่าเราอยู่ในแผนการของพระเจ้า เราก็ไม่่น่าจะอิดโรยอ่อนกำลังหรือทนทุกข์กับความกังวลใดๆ แต่ทุกครั้งที่เราพบกับความทุกข์ยากลำบาก เราก็มักจะสงสัยแผนการของพระเจ้า อัครทูตเปาโลสอนเราชัดเจนว่า หากเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็อยู่ในพระประสงค์ของพระเจ้า ถ้าเรากำลังสงสัยพระประสงค์ของพระเจ้า เราไม่ควรมองดูแค่สถานการณ์ว่าพระเจ้าจะทรงนำชีวิตเราไปทางไหน ตรงกันข้าม เราควรจะมองดูที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเยซูคริสต์ หากความรักของเราต่อพระเยซูคริสต์ค่อยๆ ลดลง แสดงว่าเราอยู่นอกพระประสงค์ของพระเจ้าไม่ว่าสถานการณ์รอบตัวเราจะเป็นอย่างไร (แม้ว่าอาจจะดูดีหรือไม่ดี - สมาคมพระคริสตธรรมไทย)

ประการที่สอง ในพระเยซูคริสต์ เราตระหนักว่าพระเจ้าทรงเลือกเรา ไม่ใช่เพราะเรามีคุณงามความดีสมควรได้รับพระกรุณาของพระเจ้า แต่เป็นเพราะพระคุณอันบริบูรณ์ของพระเยซูคริสต์สำหรับเราต่างหาก เราอยู่ในพระองค์เพราะพระคุณของพระองค์อยู่เหนือเรา นี่คือประเด็นเริ่มแรกที่ช่วยให้เราตระหนักว่าเราไม่ได้มีสิทธิอะไรที่จะเรียกร้องจากพระเจ้าว่าเราจะ “ต้อง” มีคุณความดีหรือมีสภาพชีวิตที่น่าพึงพอใจ ชีวิตของเราต้องพึ่งพิงพระเมตตาพระเจ้าเท่านั้น พระองค์ทรงเลือกที่จะโอบอุ้มเราไว้ ดังข้อพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์ผู้ไม่ทรงหวงพระบุตรของพระองค์เอง แต่ประทานพระบุตรนั้นเพื่อเราทุกคน ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ประทานสิ่งสารพัดให้เราด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ? (โรม8:32) หากพระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์แก่เรา พระองค์ก็จะประทานสิ่งดีที่สุดแก่เราด้วยกันกับพระบุตรนั้น ฉะนั้น เราจึงขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณเช่นนั้น
   
  ประการสุดท้าย เราขอบพระคุณพระเจ้า เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงละทิ้งลูกของพระองค์ พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ……แม้ความตายหรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้าหรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่น ที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ (โรม 8:38-39) ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร จะมีสิ่งใดรบกวนหรือบีบคั้นเรา พระเจ้าก็จะทรงอยู่กับเรา และถ้าเราอยู่ในความรักของพระเจ้า เราก็อยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าจะไม่มีวันทิ้งเราให้ต้องพึ่งตนเองหรือพึ่งทางเลือกสุดท้ายของมนุษย์ เราสามารถจะติดต่อและรับความช่วยเหลือของพระเจ้าได้ อัครทูตเปาโลยืนยันว่า... เรามีชัยเหลือล้น โดยพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย (โรม 8:37) ในยามยากลำบาก ให้เรามองไปยังพระเยซูคริสต์ อนาคตของเราอยู่ในพระองค์ เหตุการณ์ที่ดูเลวร้ายก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และอนาคตสดใสที่รอเราอยู่ก็อยู่ในพระองค์ และเมื่อเราอยู่ในพระองค์ เราก็สามารถมีใจขอบพระคุณได้ในทุกกรณี ดังนั้น ทุกปีก็เป็นปีใหม่ที่แสนสุขได้ จากวารสาร Vantage Point, March 2003 ขอขอบพระคุณ Dr. Peter Chao และ Eagles Communications ประเทศสิงคโปร์
thaibible.or.th

ให้เราเริ่มต้นทุกวันด้วยคำขอบคุณพระเจ้า

จงอย่ากังวลในสิ่งใด
จงอธิษฐานสำหรับสิ่งต่าง ๆ
และจงขอบคุณ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร

เราคุ้นเคยกับการภาวนาขอบคุณพระเจ้าที่โต๊ะอาหาร แต่เราเคยคิดถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำอย่างนั้น ตั้งแต่เริ่มต้นทุกวันบ้างไหม ? 

การฝึกเช่นนั้นจะช่วยนำเราให้มีท่าทีแห่งความรัก การให้อภัย และความมีเมตตา ทั้งยังช่วยให้เราระลึกได้ว่าที่จริงแล้ว แม้แต่ในขณะนี้ ความสุขก็ห้อมล้อมเราอยู่...


เริ่มต้นวันนี้ ด้วยการขอบคุณพระเจ้า
สำหรับเรื่องธรรมดา ๆ ในชีวิตที่นำความสุขยิ่งใหญ่มาให้

ขอบคุณพระองค์สำหรับงานอันสุจริต และมีประโยชน์
ตลอดจนทักษะความสามารถในการทำงานนั้น ๆ

ขอบคุณพระองค์สำหรับสิ่งสารพัดที่พระองค์ประทานให้
เพื่อตอบสนองความจำเป็นต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของคุณ

ขอบคุณพระองค์สำหรับความรักของครอบครัวและเพื่อน ๆ

และขอบคุณพระองค์สำหรับลมหายใจแห่งชีวิต
การกล่าวขอบคุณเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการนับพระพรของคุณ

บทความจาก : นิตยสารแม่พระยุคใหม่




วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ทำไมเราต้องสวดสายประคำ จำเป็นไหม?



ทำไมชาวคาทอลิกจึงสวดสายประคำ (The Rosary)
การสวดบทภาวนาเดียวกันซ้ำหลายๆ ครั้ง เป็นวิธีปฏิบัติในบางศาสนา เพราะคิดว่าการสวดภาวนาซ้ำไปซ้ำมาจะได้ผลดีกว่า แนวคิดเรื่องการสวดซ้ำไปซ้ำมานั้นมีพลังเป็นต่อ ในเมื่อมีแรงศรัทธาร้อนรนช่วยเสริมด้วย

ในหมู่คริสตชนเช่นกัน มีการสวดซ้ำบทข้าแต่พระบิดาตั้งแต่ยุคกลาง บรรดาฤาษีชาวไอริช ที่ไปเป็นธรรมทูตในทวีปยุโรป ได้ตั้งกฎให้บรรดาภราดาฆราวาสในอารามสวดบทเพลงสดุดี 50 บท หรือ สวดบทข้าแต่พระบิดา 50 ครั้ง เพื่อฤาษีผู้ล่วงลับ ฆราวาสเองก็สวดบทข้าแต่พระบิดาซ้ำไปซ้ำมา แทนที่จะร้องเพลงสดุดี ดังนั้น การสวดบทข้าแต่พระบิดาซ้ำ 50 ครั้ง จึงเป็นบทสดุดีของฆราวาส การสวดซ้ำไปซ้ำมาจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสวดสายประคำ

มีเรื่องเล่าว่าพระนางพรหมจารีได้เผยแสดงเรื่องการสวดสายประคำให้นักบุญเบเนดิ๊ก (ค.ศ. 1170-1221) ท่านเป็นผู้ก่อตั้งคณะภราดานักเทศน์ ชื่อคณะดอมิมีกัน อย่างไรก็ตาม การสวดสายประคำนั้นค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้

ตามรูปแบบการสวดบทข้าแต่พระบิดาซ้ำไปซ้ำมา 50 ครั้ง ในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 ได้มีการสวดบทวันทามารีย์ 150 ครั้ง เป็นการแสดงความศรัทธาต่อพระแม่มารีย์ ซึ่งตรงกับการอ่านบทเพลงสดุดี 150 บทในพันธสัญญาเดิม ในช่วงต้นศตวรรษที่ 15 ฤาษีคณะคาร์ทูเซียน ชื่อดอมินิก แห่งพรุสเซีย ได้ทำให้การสวดสายประคำด้วยบทวันทามารีย์เป็นที่แพร่หลายออกไป ฤาษีคณะคาร์ทูเซียน อีกท่านหนึ่ง ชื่อ เฮ็นรี่ แห่งกัลการ์ ได้แบ่งการสวดสายประคำเป็นแบบ 10 เม็ด โดยมีการสวดบทข้าแต่พระบิดาขั้นทุกสิบเม็ด การรำพึงถึงพระธรรมล้ำลึกข้อต่างๆ ก็ถูกเสริมเข้าไปในการสวดสายประคำ  ฤาษีคณะดอมินีกันท่านหนึ่ง ได้เขียนหนังสือ ชื่อ Our Dear Lady Psalter ในปี ค.ศ. 1483 ท่านกล่าวถึงพระธรรมล้ำลึก 15 ประการ

ในที่สุด พระศาสนจักรยอมรับการสวดสายประคำอย่างเป็นทางการ โดยพระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 5 (ค.ศ. 1566-1572) ทรงประกาศในปี ค.ศ. 1569 สองปีหลังจากนั้น คือวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1571 กองกำลังคริสตชนแห่งสหพันธ์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้การนำของนายกองชาวสเปน ชื่อ ดอน ยอห์น แห่งออสเตรีย  ได้สยบกองกำลังเตริกต์ในสงครามเลปันโต ชัยชนะที่ได้นั้นเกิดจากพลังของการสวดสายประคำ พระศาสนจักรสากลจึงได้จัดวันฉลองแม่พระลูกประคำขึ้นในวันที่ 7 ตุลาคม โดยพระสันตะปาปา เคลเม็นต์ ที่ 11 (ค.ศ. 1667-1669) ทรงเป็นผู้ประกาศอย่างเป็นทางการ

การสวดสายประคำเป็นรูปแบบการสวดภาวนาแสดงความศรัทธาต่อแม่พระที่เรียบง่าย ใครๆ ก็สวดได้ นี่คือความศรัทธาของคริสตชนในประวัติศาสตร์พระศาสนจักร จึงเป็นที่นิยมกันทั่วโลกในหมู่ชาวคาทอลิกทั้งหลาย มีทั้งการสวดแบบออกเสียงและสวดในใจ ในขณะที่ริมฝีปากสวดบทวันทามารีอา ใจก็รำพึงถึงธรรมล้ำลึกต่างๆ
บรรดานักบุญที่ศรัทธาต่อการสวดสายประคำและหาทางเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักทั่วไป นักบุญที่น่าจะเอ่ยนาม คือ นักบุญ หลุยส์ มารีย์ กรีญอง เดอ มงฟอร์ต (ค.ศ. 1673-1716) ผู้ได้แต่งหนังสือเรื่อง the Secret of the Rosary (ความลับของสายประคำ) อันเป็นที่รู้จักกันดี

เรื่องสำคัญที่ควรกล่าวถึง คือ การประจักษ์มาของแม่พระที่ลูร์ดและฟาติมา โดยถือสายประคำ เป็นต้นที่ฟาติมานั้น แม่พระขอให้สวดสายประคำด้วยความศรัทธาร้อนรน แม่พระเผยแสดงให้เห็นถึงการจะได้อภิสิทธิ์พิเศษเมื่อสวดสายประคำ จึงเป็นต้นกำเนิดการแสดงความศรัทธาร้อนรนของบรรดาสัตบุรุษ

ประวัติการสวดสายประคำ
 “การสวดสายประคำเป็นรูปแบบหนึ่งของการอุทิศตนแด่พระนางมารีย์ที่เป็นที่นิยมอย่างมาก ซึ่งเด่นชัดที่สุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 ฤาษีคณะซิสเตอร์เซียนได้เริ่มในศตวรรษต่อมา และฤาษีคณะโดมินิกันซึ่งมีส่วนในการเผยแพร่อย่างมาก โดยมีความตั้งใจที่จะสู้กับคำสอนนอกรีต... เม็ดของสายประคำใช้เหมือนกับการวอนขอเช่นกัน ซึ่งมีการปรับให้ง่ายขึ้น และสร้างความสนใจให้มากขึ้น หลังจากนั้นมีการเริ่มการสวดด้วยการกล่าวถึงพระธรรมล้ำลึกแห่งชีวิตของพระเยซูเจ้าและพระนางมารีย์... นักบุญดอมินิกและบรรดานักพรตของท่าน ได้เทศน์สอนประชาชนในการแพร่ธรรมของท่านในเรื่องการสวดสายประคำเป็นอย่างมาก แต่ไม่ง่ายนักที่จะกำหนดรูปแบบที่แน่นอนในการปฏิบัติ และเผยแพร่รูปแบบหนึ่งที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากสมเด็จพระสันตะปาปา ปีอุส ที่ 5 คือ กำหนดและให้มีรูปแบบเดียวกันในข้อความของบทวันทามารีอา”
พระนางพรหมจารีย์ได้ปลุกเร้าให้ประชาชนสวดสายประคำ ทั้งจากการประจักษ์ที่เมืองลูร์ด และฟาติมา
ในระหว่างสหัสวรรษที่ 2 สมเด็จพระสันตะปาปาได้สนับสนุนให้มีการวอนขอพระนางมารีย์ และตั้งแต่สมณสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 13 ซึ่งได้รับพระนามว่า “พระสันตะปาปาแห่งสายประคำ” ทรงแนะนำให้ทุกคนสวดสายประคำ และทรงเพิ่มความสำคัญด้วยการประทานพระคุณการุณย์ในการสวดสายประคำด้วย
สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ทรงอุทิศพระองค์เองเป็นพิเศษแด่พระชนนีของพระเจ้า ตราประจำพระองค์ก็มีอักษรตัวแรกของพระนาง (Totus tuus) เป็นการวิงวอนของพระนางพรหมจารีมารีย์ พระองค์ทรงมีสายประคำอยู่กับพระองค์เสมอ และสวดเป็นประจำ สมณสาสน์เรื่องการสวดสายประคำเป็นสิ่งที่ยืนยันอย่างมั่นคงถึงความนับถือของพระองค์ต่อการสวดสายประคำ

สายประคำ
สายประคำ หรือ “มงกุฎดอกกุหลาบ” เป็นการสวดภาวนาแบบไตร่ตรองถึงชีวิตของพระเยซูเจ้า ซึ่งเกี่ยวพันกับการรำพึงไตร่ตรองเหตุการณ์ในพระวรสาร     พระธรรมล้ำลึกที่เกี่ยวกับพระนางมารีย์  การสวดสายประคำมิใช่อะไรอื่นนอกจากการเพ่งพินิจดูพระพักตร์ของพระคริสตเจ้าพร้อมกับพระแม่มารีย์”

การสวดสายประคำมีมานานหลายศตวรรษ มีนักบุญจำนวนมากรักการภาวนาแบบนี้   พระศาสนจักรผู้มีอำนาจสอนก็ส่งเสริมเชิญชวนคริสตชนให้ภาวนาด้วย
มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เชื่อมโยงกับพระนางพรหมจารีย์มารีย์ซึ่งพระนางได้ส่งเสริมให้สวดสายประคำ ทุกคนมีอิสระที่ได้รับประโยชน์จากสารของเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้
บทรำพึงในหนังสือเล่มนี้อยู่บนพื้นฐานของพระคัมภีร์    คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกและสมณสารเรื่องการสวด สายประคำ ของสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2
นี่เป็นวิธีการที่รับรองด้วยความซื่อสัตย์ที่วางไว้ในความเชื่อ
สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ได้ทรงเพิ่มเติมมิติทางคริสตวิทยาของสายประคำ โดยเพิ่ม พระธรรมล้ำลึกแห่งความสว่าง ซึ่งเป็นเหตุการณ์เกี่ยวกับพระชนมชีพเปิดเผยของพระคริสตเจ้า  ด้วยเหตุผลนี้จึงสามารถกล่าวได้อย่างแท้จริงว่า การสวดสายประคำเป็นการ “สรุปพระวรสาร”

การสวดสายประคำเป็นการภาวนาแบบใด
ในพระสมณสาสน์ เรื่องการสวดสายประคำ ของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ทรงเขียนไว้ว่า “เนื่องจากการสวดสายประคำเริ่มต้นจากประสบการณ์ของแม่มารีย์ จึงเป็นการภาวนาแบบเพ่งพินิจที่วิเศษสุด ถ้าหากว่าการสวดสายประคำขาดมิติการเพ่งพินิจนี้แล้ว ก็จะไม่มีความหมายอะไร    ดังที่สมเด็จพระสันตะปาปา เปาโล ที่ 6 ทรงเตือนไว้อย่างชัดเจนว่า “ถ้าการสวดสายประคำไม่มีการเพ่งพินิจ ก็เป็นเหมือนร่างกายไร้วิญญาณ และการสวดก็จะกลายเป็นการท่องสูตรอย่างเครื่องจักร”
การสวดสายประคำ    ซึ่งเป็นการพูดซ้ำ  การคาดคะเนล่วงหน้าถึงความเชื่อที่มีพลัง และความรักจริงใจต่อพระคริสตเจ้าพระผู้ไถ่กู้ และพระนางพรหมจารีมารีย์
“การสวดสายประคำไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากวิธีการเพ่งพินิจแบบหนึ่ง ในฐานะที่เป็นวิธีการ จึงเป็นเพียงอุปกรณ์ที่นำไปสู่จุดหมาย และจะเป็นจุดหมายไปไม่ได้ ถึงกระนั้นในฐานะที่เป็นผลจากประสบการณ์นานหลายศตวรรษ วิธีการนี้จึงต้องไม่ถูกมองว่าไม่สำคัญ ประสบการณ์ของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากเป็นพยานได้ในเรื่องนี้”
kamsonbkk.com

ทำไมต้องสวดสายประคำตามแนวหนังสือคำสอนพระศาสนจักร
หนังสือคำสอนพระศาสนจักร เริ่มต้นให้เหตุผลว่า ทำไมคริสตชนถึงต้องสวดสายประคำด้วยข้อความที่มาจากนักบุญลูกา “มนุษย์ทุกสมัย จะเรียกข้าพเจ้าว่าผู้มีบุญ” (ลก.1:48) อธิบายต่อด้วย...

               ความศรัทธาของพระศาสนจักรต่อพระนางพรหมจารีมารีอา เป็นสิ่งที่อยู่ในเนื้อแท้แห่งพิธีคารวะบูชาของคริสตศาสนา” “พระแม่มารีย์” ได้รับการยกย่องให้เกียรติอย่างสมควรจากพระศาสนจักร ในพิธีคารวะที่จัดขึ้นเป็นพิเศษ และแท้จริงแล้ว ตั้งแต่ยุคสมัยก่อนโน้น

               แม่พระก็ได้รับเกียรติให้ได้รับตำแหน่ง “พระมารดาของพระเจ้า” สัตบุรุษพากันไปหลบอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระแม่ วิงวอนขอให้พระแม่ช่วยเมื่อตกอยู่ในอันตราย หรือเมื่อขาดแคลนสิ่งใด.. พิธีคารวะพระมารดานี้... แม้ว่าจะมีลักษณะไม่ซ้ำแบบใคร แต่ก็แตกต่างในสาระสำคัญอยู่มิใช่น้อย จากพิธีนมัสการบูชาที่ถวายแด่พระวจนาตถ์ผู้รับเอากาย รวมทั้งพระบิดาและพระจิต เป็นพิธีที่เหมาะสม อย่างยิ่งยวดแก่การรับใช้พระวจนาตถ์

               มีการแสดงออกอยู่ในงานฉลองทางพิธีกรรมที่จัดถวายแด่พระมารดาของพระเจ้า และในบทภาวนาถวายแม่พระ เช่น การสวดสายประคำ “อันเป็นบทย่อของพระวรสารทั้งอัน” ในความสัมพันธ์กับพระมารดาของพระเจ้า 1

               จากหนังสือคำสอนพระศาสนจักร จะเห็นว่า พระศาสนจักรสอนให้คริสตชนถวายเกียรติแด่พระแม่มารีย์ในฐานะที่เป็น “พระมารดาของพระเจ้า” และการสวดสายประคำเป็นการแสดงออกถึงสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคริสตชนและมารดาของพระเจ้า

               ในการภาวนาสายประคำ พระจิตเจ้ารวมเราไว้กับพระบุตรแต่องค์เดียว ในความเป็นมนุษย์ที่ได้รับพระสิริแล้ว ซึ่งโดยทางการภาวนาของเราฐานะบุตรรวมเราเข้าในพระศาสนจักร พร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้า 2

               ด้วยเหตุนี้พระศาสนจักร จึงบอกว่า “สัตบุรุษพากันไปหลบอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระแม่ วิงวอนขอให้พระแม่ช่วยเมื่อตกอยู่ในอันตราย หรือเมื่อขาดแคลนสิ่งใด.. พิธีคารวะพระมารดานี้..” ในหนังสือบุตรสิรา ได้เขียนว่า “บุตรที่ให้เกียรติมารดาก็เหมือนกับสะสมทรัพย์สมบัติไว้...เมื่อเขาอธิษฐานภาวนา พระเจ้าก็จะทรงฟังเขา” (บุตรสิรา 3:4-5)

               หนังสือคำสอนพระศาสนจักร ได้ยืนยันว่า ในฐานะพระแม่พระมารีย์ เป็นมารดาของพระเป็นเจ้า เปรียบเสมือนเป็นมารดาของคริสตชนด้วย “พระนางพรหมจารีมารีอา... เป็นที่ยอมรับและเป็นที่เคารพในฐานะพระมารดาที่แท้จริงของพระเจ้าและพระผู้ไถ่... พระนางยังเป็น “มารดาของบรรดาสมาชิกของพระคริสต์อย่างแท้จริง” 3
               เมื่อคริสตชนได้ถวายเกียรติแด่พระแม่พระมารีย์ เสมือนให้เกียรติมารดาของเรา...เราก็ได้สะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์แล้ว

               พระนางมารีย์เป็นผู้ภาวนาที่สมบูรณ์ เป็นภาพลักษณ์ของพระศาสนจักร เมื่อเราภาวนาต่อพระนาง เรายึดแผนการของพระบิดา ผู้ส่งพระบุตรมาช่วยมนุษย์ทั้งมวลให้รอด เราต้อนรับพระมารดาของพระเยซูเข้ามาในบ้าน เหมือนศิษย์ที่พระองค์ทรงรัก (เทียบ ยน.19:27) เพราะพระนางกลายเป็นมารดาของทุกสิ่งที่มีชีวิต เราสามารถภาวนากับพระนางและถึงพระนาง คำภาวนาของพระนางค้ำจุนคำภาวนาของพระศาสนจักร และทำให้เป็นหนึ่งเดียวกันในความหวัง 4

               ดังนั้น เหตุผลที่ต้องสวดสายประคำเพราะพระแม่มารีย์ เป็นมารดาพระเป็นเจ้า เป็นมารดาของเราด้วย คริสตชนแสดงความเคารพและถวายเกียรติแด่พระแม่มารีย์ด้วยการภาวนาสายประคำ...

               "เพราะพระนางมารีย์ร่วมงานกับพระจิต พระศาสนจักรจึงรักที่จะภาวนาในความสัมพันธ์กับพระนางมารีย์พรหมจารี เพื่อสรรเสริญสิ่งมหัศจรรย์ที่พระเป็นเจ้ากระทำสำหรับพระนาง และมอบคำเสนอวิงวอนและการสรรเสริญแด่พระนาง"
kamsonchan.com

หลายคนคงเคยสงสัยว่าเป็นคาทอลิกแล้วจำเป็นไหมที่จะสวดสายประคำหรือที่จะต้องขอคำภาวนาจากแม่พระเสมอไปหรือ? แล้วเราสามารถขอพระเจ้าโดยตรงได้หรือไม่
คำตอบคือ ได้ แต่การวอนขอผ่านทางแม่พระเราก็ขอในนามพระเจ้าก่อนคือการทำเครื่องหมายกางเขนกล่าวว่าเดชะพระนามพระบิดาพระบุตรพระจิต หลายท่านอาจวอนขอพระเจ้าโดยตรงและจากการได้ศึกษาคำสอนพระศานจักร เเละพระคำภีร์มากขึ้นก็ทำให้เมั่นใจ การขอผ่านทางเเม่พระนั้นไม่ได้เป็นการลดทอนพระเยซูเจ้าเลย เพราะพระเยซูรักเเม่พระมาก เเละมอบแม่พระให้เป็นเเม่ของเรา การภวานาผ่านเเม่พระไม่ผิดจากพระคัมภีร์เลย

  "เป็นธรรมดาที่พระเยซูคริสตเจ้าจะทรงพาเราไปหาพระบิดา และก็เป็นธรรมดาที่พระเเม่มารีย์พรหมจารี จะพาเราไปหาพระเยซูเจ้า" (นักบุญหลุยส์ มารีย์.เดอมงฟอร์ต) แม่พระภวานาเพื่อเราในพระนามของพระบุตรของพระนางคือพระเยซูคริสตเจ้า ซึ่งเป็นทั้งพระเจ้าเเท้เเละมนุษย์เเท้ การสวดสายประคำก็คือการรำพึงพระคัมภีร์เเละพระธรรมลํ้าลึกของพระเยซูเจ้า พร้อมๆกับเเม่พระ เพราะพระนางเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูมากที่สุดในแผนการไถ่กู้มนุษย์
การสวดสายประคำเป็นกิจศรัทธาส่วนตัว และถ้าใครไม่อยากสวดก็ทำได้  
การภาวนาผ่านทางแม่พระสามาถทำได้ เเต่ไม่ได้บังคับ ให้ภาวนาผ่านทางเเม่พระเท่านั้น หรือทุกครั้งไป
ถ้าอยากจะภาวนาต่อพระเจ้าโดยตรงเลยก็ได้ เหมือนนักบุญหลายๆท่าน
ท่านก็ภาวนาต่อพระเยซูโดยตรงเเต่ท่านก็รักแม่พระเหมือนกัน
หรือมีนักบุญบางท่านมีความศรัทธาต่อเเม่พระเป็นพิเศษท่านจึงมีบทภาวนาต่อเเม่พระ
ส่วนตัวแล้วคิดว่าเวลาตัวเองภาวนาก็ภาวนาผ่านทางพระเจ้าโดยตรง เเล้วก็จะภาวนากับเเม่พระว่าช่วยวิงวอนเทอญ  ซึ่งขึ้นอยู่กับรูปแบบความศรัทธาของเเต่ละคน  พระศาสนจักรไม่ได้สอนว่าอะไรอะไรก็ต้องสวดผ่านแม่พระเท่านั้น ขอเพียงเราภาวนาอธิษฐานด้วยความเชื่อ ความรักความศรัทธา และจริงใจไม่ว่าเราจะภาวนาผ่านใคร  พระเจ้าจะทรงรับรู้ได้อย่างแน่นอน อย่าให้ความคิดที่แตกต่างเพียงเล็กๆน้อยมาทำให้การเป็นลูกของพระเจ้าของเราทุกคนต้องแตกแยกและทะเลาะกันเลย

โดยส่วนตัวแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่าการสวดสายประคำเป็นสิ่งที่ดีต่อชีวิตและจิตใจของข้าพเจ้า การภาวนาของแต่ละคนก็ย่อมมีรูปแบบและความแตกต่างกันไป ส่วนเราคริสตชนเติบโตมาก็ได้รับรู้และเรียนรู้การสวดสายประคำ สมัยเด็กข้าพเจ้าอาจจะไม่ค่อยใส่ใจในการสวดสักเท่าไหร่ เหมือนกับการท่องจำ แต่เมื่อเติบโตขึ้น ในชีวิตต้องพบเจอกับเรื่องราวมากมาย บางครั้งเราได้หลงลืมสิ่งนี้ไป นั่นคือการสวดสายประคำ และเมื่อใดก็ตามที่ข้าพเจ้าได้สวดสายประคำอย่างตั้งใจ ข้าพเจ้าสัมผัสได้ว่าข้าพเจ้าจะสามารถพบทางออกและมีคำตอบให้กับปัญหาชีวิตทุกครั้ง และการสวดสายประคำไม่ใช่ว่านึกอยากจะทำแต่เฉพาะช่วงเวลาที่ชีวิตยากลำบากเท่านั้น  ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ เราควรสวดอย่างสม่ำเสมอ โดยส่วนตัวแล้วข้าพเจ้าคิดว่า เราสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา และเราควรหาเวลา อย่าเรียกว่าสละเวลาเลย เพราะในชีวิตของเราคริสตชน ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเวลาที่เราจะพูดคุยกับพระเจ้าอีกแล้ว เราไม่ควรใช้ชีวิตแบบแค่ผ่านไปวันๆ แต่ให้เราตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าในทุกๆวันในชีวิตของเรา ขอบคุณพระองค์ทุกๆสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต  ข้าพเจ้าจะให้เวลาไม่ว่าจะมากหรือน้อย ข้าพเจ้าจะพยายามสวดเพื่อเป็นการขอบพระคุณต่อพระเจ้า ผ่านการวิงวอนของพระแม่และพระเยซูเจ้า และข้าพเจ้ารู้สึกว่า การที่ข้าพเจ้าให้เวลากับการภาวนา ก็เหมือนกับว่าข้าพเจ้าได้ใช้เวลาในการบอกรักพระบิดาบนสวรรค์ของข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน

สำหรับข้าพเจ้าแล้วสายประคำ เป็นได้ทั้งอาวุธไว้ป้องกันภัยและเป็นพระพรที่ติดตามตัว ไม่ว่าเราจะอยู่ในอารมณ์แห่งความสุขความเศร้าความเหงาความโลภความหลงความโมโห หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่เราห่วงใยคนที่เรารัก ไม่ว่าดีหรือร้ายสายประคำเป็นอาวุธ และพระพรประจำตัว สามารถพกไปด้วยทุกที่สามารถสวดได้ทุกที่ทุกเวลาและไม่ว่าข้าพเจ้าจะสวดเมื่อไหร่ ก็จะรู้สึกดีและรับรู้ได้ทันทีว่าพระพรอยู่รอบกายเราจริงๆ ไม่เคยโดดเดี่ยวเลย อุ่นใจเสมอ
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
KC

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

พระเจ้าทรงรักโลกนี้



พระเจ้าทรงรักโลกนี้                    ยอมให้แม้ชีวีเพื่อเรา
ในพระคริสต์ผู้ไถ่บาปเรา             ผู้เป็นที่รักของพระองค์
 พระองค์ทรงมอบข่าวสารความรักแท้       เพื่อแปรเปลี่ยนใจทุกคน
ประกาศข่าวดีทั่วทุกแห่งทุกหน     ด้วยเสียงอันดังกังวานและชัดเจน
*บอกความรักพระองค์ให้โลกรู้     ความรักที่สูงค่าและยิ่งใหญ่
หาผู้ที่หลงเดินนอกทางไป  เพราะความผิด ช่วยเขากลับมา
แต่งเติมโลกให้พ้นความืดมน       ดับความสับสนด้วยแสงแห่งพระเจ้า
ก้าวเดินไปทุกหนแห่ง ทุกค่ำเช้าแล้วให้บอกเขา
 **พระรักเราสุดพรรณนา

ยอห์น 3:16-18
(16)พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศแต่จะมีชีวิตนิรันดร (17)เพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้ มิใช่เพื่อตัดสินลงโทษโลก แต่เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น (18)ผู้ที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษอยู่แล้วเพราะเขามิได้มีความเชื่อในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า

·       พระเจ้าทรงรักโลก
    สำหรับผู้ที่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจ นี่คือสาระสำคัญของข่าวดี
    ที่ว่าเป็นสาระสำคัญ เพราะพระพระเยซูเจ้าทรงเผยความจริงว่า “พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมาก จึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร” (ยน 3:16)
     ความจริงข้อนี้ทำให้เราทราบเรื่องราวเกี่ยวกับพระบิดา และบทบาทของพระองค์ใน “พระตรีเอกภาพ” ชนิดที่ไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อน นั่นคือ

    1.    พระบิดาคือผู้ริเริ่มแผนการแห่งความรอด
        หลายครั้ง ศาสนาของเราได้รับการนำเสนอราวกับว่า อับราฮัม โมเสส หรือบรรดาประกาศกต้องคอยทำให้พระบิดาทรงสงบสติอารมณ์ หรือต้องคอยชักนำพระองค์ให้ทรงยกโทษชาวอิสราเอลบ่อยครั้ง
        บางคนพูดถึงพระบิดาว่าทรงเป็นพระเจ้าที่น่าเกรงขาม โกรธง่าย และชอบจดจำความผิด  ส่วนความอ่อนโยน ความรัก และการให้อภัยนั้นเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของพระบุตร  ยิ่งไปกว่านั้นบางคนถึงกับพูดว่าเป็นพระบุตรนั่นเองที่ทรงเปลี่ยนทัศนคติของพระบิดาจากชอบลงโทษมาเป็นให้อภัยมนุษย์
        แต่วันนี้ พระเยซูเจ้าทรงฟันธงว่า พระบิดาคือผู้เริ่มต้นแผนการแห่งความรอด พระองค์คือผู้ที่ “ประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์” ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์
        พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพราะ “ทรงรักโลกอย่างมาก”
        “ความรัก” คือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังแผนการแห่งความรอด
         “ความรัก” คือสิ่งที่ทำให้พระบิดา พระบุตร และพระจิตเป็น “พระตรีเอกภาพ” นั่นคือ มีสามพระบุคคล แต่เป็นพระเจ้าหนึ่งเดียว

    2.    ธาตุแท้ของพระเจ้าคือความรัก
        เป็นการง่ายมากที่เราจะคิดและเชื่อว่า พระเจ้าทรงเฝ้าคอยจับผิดมนุษย์ที่เลินเล่อ ไม่เชื่อฟัง หรือทรยศพระองค์ แล้วทรงลงโทษเฆี่ยนตีเพื่อให้เขาหันกลับมาหาพระองค์
        และเป็นการง่ายอีกเช่นกันที่จะคิดว่า พระเจ้าทรงเรียกร้องให้มนุษย์สามิภักดิ์และจงรักภักดีต่อพระองค์ และให้ทั่วพิภพยอมจำนนต่อพระองค์ เพียงเพราะต้องการอวดศักดาบารมีของพระองค์เอง
        แต่พระเยซูเจ้าทรงตรัสชัดถ้อยชัดคำว่า พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งเพื่อมนุษย์จะ “ไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร” (ยน 3:16)
        นั่นคือพระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งมิใช่เพื่ออวดศักดาหรือทำให้โลกสยบอยู่แทบพระบาทของพระองค์ แต่เพื่อให้เรามนุษย์มีชีวิตนิรันดรเหมือนพระองค์
        พระองค์จะไม่มีวันมีความสุขจนกว่าบรรดาลูก ๆ อย่างเราจะกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
        ทั้งนี้เพราะธาตุแท้ของพระเจ้าคือ “ความรัก” !

    3.    สิ่งที่พระเจ้าทรงรักคือโลก
        พระวาจานี้บ่งบอกถึงความกว้าง ความยาว และความลึกแห่งความรักของพระตรีเอกภาพว่ายิ่งใหญ่เพียงใด
        พระเจ้าไม่ได้ทรงรักเฉพาะชาวยิว เฉพาะคนดี หรือเฉพาะผู้ที่รักพระองค์
        พระองค์ทรงรักคนทั้งโลก !
        แม้แต่ผู้ที่น่ารังเกียจ หรือโดดเดี่ยวไร้คนเหลียวแล ล้วนรวมอยู่ในความรักอันกว้างใหญ่ไพศาลของพระเจ้าโดยไม่เว้นใครเลย ดังที่นักบุญเอากุสตินกล่าวไว้ว่า “พระเจ้าทรงรักเราแต่ละคนราวกับว่ามีเราเพียงคนเดียวให้พระองค์รัก”

·       กำเนิดพระตรีเอกภาพ
    ในบท “ข้าพเจ้าเชื่อ” ของสภาสังคายนานีเชอาได้กล่าวถึงกำเนิดของพระบุตรไว้ ว่า “ทรงบังเกิดจากพระบิดา”  ในขณะที่พระจิต “ทรงเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตร”
    นักบุญโธมัส อะไควนัส อธิบายความแตกต่างระหว่าง “บังเกิด” และ “เนื่อง” ไว้ดังนี้
    1.    พระเจ้าทรงมีสติปัญญาสำหรับคิด และน้ำใจสำหรับรัก
    2.    สิ่งที่พระเจ้าทรงคิดตั้งแต่นิรันดรคือ “ตัวพระองค์เอง”
    3.    เมื่อทรงคิด “ย่อมก่อให้เกิดตัวแทน” ของสิ่งที่ทรงคิด (เช่น เวลาเราคิดถึงมนุษย์ต่างดาว เรากำลังก่อให้เกิดตัวแทนหรือ “มโนภาพ” ของมนุษย์ต่างดาวขึ้นในความคิดของเรา)
    4.    เนื่องจากพระเจ้าทรงไม่มีขอบเขต ความคิดของพระองค์ย่อมไม่มีขอบเขต นั่นคือทรงคิด “ครั้งเดียว” ก็ครบครันและครอบคลุมทุกสิ่ง  อีกทั้ง “ตัวแทน” ของสิ่งที่ “เกิด” จากความคิดของพระองค์ก็ย่อมไม่มีขอบเขตไปด้วย  พระคัมภีร์เรียก “ตัวแทน” ที่เกิดจากความคิดนี้ว่า “ภาพที่แลเห็นได้ของพระเจ้าที่แลเห็นไม่ได้”, “พระวจนาตถ์”, “พระปรีชาญาณ” ฯลฯ
    5.    เพราะความคิดของพระเจ้าก่อให้เกิดพระวจนาตถ์  ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับพระวจนาตถ์จึงได้แก่ “พ่อ-ลูก” หรือ “พระบิดาและพระบุตร”
    จากภาษาเชิงเปรียบเทียบเหล่านี้ จึงนำมาสู่การยืนยันว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเป็นเจ้า  ทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกัปก่อนกัลป์  เป็นพระเป็นเจ้าจากพระเป็นเจ้า  เป็นองค์ความสว่างจากองค์ความสว่าง  เป็นพระเป็นเจ้าแท้จากพระเป็นเจ้าแท้  มิได้ถูกสร้าง แต่ทรงบังเกิดร่วมพระธรรมชาติเดียวกับพระบิดา….”

    ดังได้กล่าวแล้วว่า พระเจ้าทรงมีสติปัญญาสำหรับคิด และน้ำใจสำหรับรัก
    1.    ตั้งแต่นิรันดร พระบิดาทรงรักพระบุตรอย่างไม่มีขอบเขต
    2.    แต่ความรักของพระบิดาไม่ได้ก่อให้เกิดมโนภาพของพระบุตรผู้เป็นที่รัก เพียงแต่โน้มน้าวให้ทั้งพระบิดาและพระบุตรมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน
    3.    ความรักซึ่งไม่มีขอบเขตของพระบิดาจึงไม่ได้เกิดจากพระบิดา แต่ “เนื่อง” มาจากพระบิดาและพระบุตรทรงรักกันและกัน
    4.    ความรักอันเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตรนี้ เป็นผลงานของ “น้ำใจ” หรือ “จิตใจ” ของพระเจ้า จึงได้รับพระนามว่า “พระจิต”
    เราจึงยืนยันว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระจิตทรงเป็นพระเป็นเจ้าผู้บันดาลชีวิต  ทรงเนื่องมาจากพระบิดาและพระบุตร  ทรงรับสักการะและพระสิริรุ่งโรจน์ร่วมกับพระบิดาและพระบุตร  พระองค์ดำรัสทางประกาศก”
นักเทววิทยามักยกคุณสมบัติให้แต่ละพระบุคคลแตกต่างกันไปทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง ทั้งสามพระบุคคลต่างมีคุณสมบัติทั้งหมดร่วมกัน
    สิ่งที่นักเทววิทยายกให้เป็นคุณสมบัติของพระบิดาคือทรงสรรพานุภาพ และผลงานที่เด่นชัดคือการเนรมิตสร้างโลก
    ปรีชาญาณและผลงานทั้งหมดของปรีชาญาณคือคุณสมบัติของพระบุตร เพราะว่าพระองค์ทรงบังเกิดจากสติปัญญาของพระบิดา
    ส่วนคุณสมบัติของพระจิต ผู้ทรงเนื่องมาจากความรักของพระบิดาและพระบุตร คือความรักและความดี  และเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว พระจิตเจ้าทรงประทานพระพรสองประเภทใหญ่ ๆ คือ
    1.    พระคุณเจ็ดประการเพื่อทำให้แต่ละคนศักดิ์สิทธิ์ ประกอบด้วยปรีชาญาณ ความเข้าใจ คำแนะนำ ความกล้าหาญ ความรู้ ความศรัทธา และความยำเกรงพระเจ้า
    2.    พระคุณพิเศษ (Charismata) ที่ทรงประทานแก่บางคนเพื่อความดีของส่วนรวม

·       ผู้ที่ไม่มีความเชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ
    เราพึ่งได้ยินว่า “พระเจ้าทรงรักโลกมากจนประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์แก่มนุษย์” แล้วอีกสองบรรทัดต่อมายอห์นกลับพูดว่า “ผู้ที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษ” (ยน 3:18)  ยิ่งไปกว่านั้น พระเยซูเจ้าเองยังตรัสว่า “เรามาในโลกนี้เพื่อพิพากษา” (ยน 9:39)
    ปัญหาคือ พระเจ้าทรงรักและตัดสินลงโทษมนุษย์ในเวลาเดียวกันได้อย่างไร ?
    เราสามารถอธิบายได้ดังนี้
    สมมุติว่าเรารักและคลั่งไคล้ดนตรีคลาสสิกมาก  เมื่อมีวงออแคสตราจากต่างประเทศเดินทางมาเปิดการแสดงในเมืองไทย เราอุตสาห์เก็บเงินนับหมื่นบาทเพื่อซื้อบัตรเข้าชมการแสดงสำหรับตนเองหนึ่งใบและสำหรับคนรักของเราอีกหนึ่งใบ โดยคิดว่าคนรักของเราต้องชอบและมีความสุขอย่างแน่นอน  แต่เมื่อการแสดงเริ่มไปได้สัก 10 นาที คนรักของเราเริ่มออกอาการหงุดหงิดและเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด
    จะเห็นว่าความรักของเรากลายเป็นการตัดสินคนรักของเราไปแล้ว
    และคนตัดสินย่อมไม่ใช่ตัวเราที่รักเขามากแน่ ๆ  แต่เป็นคนรักของเรานั่นเองที่ตัดสินตัวเองว่าเป็นผู้ไม่มีดนตรีอยู่ในหัวใจ !
    ปฏิกิริยาของคนรักที่มีต่อดนตรีคือการตัดสินตนเอง
    พระเยซูเจ้าทรงเปรียบได้กับวงดนตรี  พระบิดาทรงส่งพระองค์มาด้วยความรักเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดและมีชีวิตนิรันดร  เมื่อเผชิญหน้ากับพระองค์แล้วเราเชื่อ วางใจ และรักพระองค์ เรากำลังตัดสินตัวเองให้อยู่ในหนทางแห่งความรอด
    ตรงกันข้ามเมื่อเผชิญหน้ากับพระองค์แล้วเรารู้สึกเฉย ๆ  เย็นชา ซ้ำร้ายบางคนยังรู้สึกว่าพระองค์เข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของตนมากเกินไป หากพระองค์ถอยไปห่าง ๆ หน่อยก็จะดี  ถ้าปฏิกิริยาของเราเป็นดังนี้ เรานั่นแหละกำลังตัดสินลงโทษตัวเอง
    พระตรีเอกภาพทรงมี “ความรัก” เป็นธาตุแท้  เป็นเรานั่นเองที่ตัดสินลงโทษตัวเอง !
ผู้ที่เป็นศัตรูกับพระเยซูเจ้าจะเกลียด “ความสว่าง” เพราะความสว่างทำให้เขามองเห็นความเลวร้ายของตนเอง
    ส่วนผู้ที่เชื่อในพระองค์จะอยู่ฝ่ายเดียวกับความจริง และไม่กลัว “ความสว่าง”
    คำถามคือ “เรากลัวความสว่างหรือไม่ ?”
kamsonbkk.com



ของขวัญแห่งความรักของพระเจ้า เป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เมื่อเราทำบาป อย่าคิดว่าไม่เป็นไร เมื่อเวลากำหนดมาถึง เราทุกคนจะต้องรับโทษแห่งความบาปนั้นแน่นอน คือ “ความตายนิรันดร์” เราหว่านสิ่งใด เราก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่เราทำเสมอ แต่พระเจ้าทรงมอบความรักและการช่วยเหลือให้แก่มนุษย์ เป็นความรักที่พระเจ้าไม่ปรารถนาให้มนุษย์พินาศ แต่ได้รับพระพร และชีวิตนิรันดร์ ผ่านของขวัญคือองค์พระเยซูคริสต์

พระเยซูในรางหญ้าเป็นของขวัญที่ไม่มีเงื่อนไข สำแดงถึงความเสียสละ สัมผัสได้ มีค่ายิ่ง และเป็นของขวัญที่ทุกคนเข้าถึงได้ และสามารถรับของขวัญนี้ได้ เป็นของประทานจากพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงประทานของขวัญที่มีค่าและที่ดีที่สุดแก่คุณ คือ พระเยซูที่ประสูติในรางหญ้า เพื่อช่วยให้คุณหลุดพ้นจากกรรมเก่า หนี้กรรมเก่า เพื่อคุณจะได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่การรับ “ของขวัญแห่งความรักคือองค์พระเยซูคริสต์” เป็นการตัดสินใจของคุณ คุณอยากจะรับของขวัญที่มีค่าที่สุดที่พระเจ้าประทานให้คุณแล้วในวันนี้หรือไม่? เมื่อคุณรับของขวัญนี้ จะนำการอวยพร พระพร นำความสุข สันติสุข ความชื่นชมยินดีมาสู่ชีวิตคุณ อย่าลืมว่า “พระเยซูในรางหญ้าคือของขวัญแห่งความรัก ที่มีค่าสูงสุดจากพระเจ้าที่ประทานให้แก่คุณ“

ขอพระเจ้าทรงอวยพรท่าน
  

ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...