ทำไมชาวคาทอลิกจึงสวดสายประคำ
(The Rosary)
การสวดบทภาวนาเดียวกันซ้ำหลายๆ
ครั้ง เป็นวิธีปฏิบัติในบางศาสนา เพราะคิดว่าการสวดภาวนาซ้ำไปซ้ำมาจะได้ผลดีกว่า
แนวคิดเรื่องการสวดซ้ำไปซ้ำมานั้นมีพลังเป็นต่อ
ในเมื่อมีแรงศรัทธาร้อนรนช่วยเสริมด้วย
ในหมู่คริสตชนเช่นกัน
มีการสวดซ้ำบทข้าแต่พระบิดาตั้งแต่ยุคกลาง บรรดาฤาษีชาวไอริช
ที่ไปเป็นธรรมทูตในทวีปยุโรป ได้ตั้งกฎให้บรรดาภราดาฆราวาสในอารามสวดบทเพลงสดุดี
50 บท หรือ สวดบทข้าแต่พระบิดา 50 ครั้ง เพื่อฤาษีผู้ล่วงลับ
ฆราวาสเองก็สวดบทข้าแต่พระบิดาซ้ำไปซ้ำมา แทนที่จะร้องเพลงสดุดี ดังนั้น
การสวดบทข้าแต่พระบิดาซ้ำ 50 ครั้ง จึงเป็นบทสดุดีของฆราวาส
การสวดซ้ำไปซ้ำมาจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสวดสายประคำ
มีเรื่องเล่าว่าพระนางพรหมจารีได้เผยแสดงเรื่องการสวดสายประคำให้นักบุญเบเนดิ๊ก
(ค.ศ. 1170-1221) ท่านเป็นผู้ก่อตั้งคณะภราดานักเทศน์ ชื่อคณะดอมิมีกัน
อย่างไรก็ตาม การสวดสายประคำนั้นค่อยๆ
เป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างที่เรารู้จักกันในทุกวันนี้
ตามรูปแบบการสวดบทข้าแต่พระบิดาซ้ำไปซ้ำมา
50 ครั้ง ในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 ได้มีการสวดบทวันทามารีย์ 150 ครั้ง
เป็นการแสดงความศรัทธาต่อพระแม่มารีย์ ซึ่งตรงกับการอ่านบทเพลงสดุดี 150
บทในพันธสัญญาเดิม ในช่วงต้นศตวรรษที่ 15 ฤาษีคณะคาร์ทูเซียน ชื่อดอมินิก
แห่งพรุสเซีย ได้ทำให้การสวดสายประคำด้วยบทวันทามารีย์เป็นที่แพร่หลายออกไป
ฤาษีคณะคาร์ทูเซียน อีกท่านหนึ่ง ชื่อ เฮ็นรี่ แห่งกัลการ์
ได้แบ่งการสวดสายประคำเป็นแบบ 10 เม็ด โดยมีการสวดบทข้าแต่พระบิดาขั้นทุกสิบเม็ด
การรำพึงถึงพระธรรมล้ำลึกข้อต่างๆ ก็ถูกเสริมเข้าไปในการสวดสายประคำ ฤาษีคณะดอมินีกันท่านหนึ่ง ได้เขียนหนังสือ
ชื่อ Our Dear Lady Psalter ในปี ค.ศ. 1483 ท่านกล่าวถึงพระธรรมล้ำลึก 15
ประการ
ในที่สุด
พระศาสนจักรยอมรับการสวดสายประคำอย่างเป็นทางการ โดยพระสันตะปาปา ปีโอ ที่ 5 (ค.ศ.
1566-1572) ทรงประกาศในปี ค.ศ. 1569 สองปีหลังจากนั้น คือวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ.
1571 กองกำลังคริสตชนแห่งสหพันธ์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้การนำของนายกองชาวสเปน ชื่อ
ดอน ยอห์น แห่งออสเตรีย
ได้สยบกองกำลังเตริกต์ในสงครามเลปันโต
ชัยชนะที่ได้นั้นเกิดจากพลังของการสวดสายประคำ พระศาสนจักรสากลจึงได้จัดวันฉลองแม่พระลูกประคำขึ้นในวันที่
7 ตุลาคม โดยพระสันตะปาปา เคลเม็นต์ ที่ 11 (ค.ศ. 1667-1669)
ทรงเป็นผู้ประกาศอย่างเป็นทางการ
การสวดสายประคำเป็นรูปแบบการสวดภาวนาแสดงความศรัทธาต่อแม่พระที่เรียบง่าย
ใครๆ ก็สวดได้ นี่คือความศรัทธาของคริสตชนในประวัติศาสตร์พระศาสนจักร
จึงเป็นที่นิยมกันทั่วโลกในหมู่ชาวคาทอลิกทั้งหลาย
มีทั้งการสวดแบบออกเสียงและสวดในใจ ในขณะที่ริมฝีปากสวดบทวันทามารีอา
ใจก็รำพึงถึงธรรมล้ำลึกต่างๆ
บรรดานักบุญที่ศรัทธาต่อการสวดสายประคำและหาทางเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักทั่วไป
นักบุญที่น่าจะเอ่ยนาม คือ นักบุญ หลุยส์ มารีย์ กรีญอง เดอ มงฟอร์ต (ค.ศ.
1673-1716) ผู้ได้แต่งหนังสือเรื่อง the Secret of the Rosary (ความลับของสายประคำ)
อันเป็นที่รู้จักกันดี
เรื่องสำคัญที่ควรกล่าวถึง
คือ การประจักษ์มาของแม่พระที่ลูร์ดและฟาติมา โดยถือสายประคำ เป็นต้นที่ฟาติมานั้น
แม่พระขอให้สวดสายประคำด้วยความศรัทธาร้อนรน
แม่พระเผยแสดงให้เห็นถึงการจะได้อภิสิทธิ์พิเศษเมื่อสวดสายประคำ
จึงเป็นต้นกำเนิดการแสดงความศรัทธาร้อนรนของบรรดาสัตบุรุษ
ประวัติการสวดสายประคำ
“การสวดสายประคำเป็นรูปแบบหนึ่งของการอุทิศตนแด่พระนางมารีย์ที่เป็นที่นิยมอย่างมาก
ซึ่งเด่นชัดที่สุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 12
ฤาษีคณะซิสเตอร์เซียนได้เริ่มในศตวรรษต่อมา
และฤาษีคณะโดมินิกันซึ่งมีส่วนในการเผยแพร่อย่างมาก
โดยมีความตั้งใจที่จะสู้กับคำสอนนอกรีต...
เม็ดของสายประคำใช้เหมือนกับการวอนขอเช่นกัน ซึ่งมีการปรับให้ง่ายขึ้น
และสร้างความสนใจให้มากขึ้น
หลังจากนั้นมีการเริ่มการสวดด้วยการกล่าวถึงพระธรรมล้ำลึกแห่งชีวิตของพระเยซูเจ้าและพระนางมารีย์...
นักบุญดอมินิกและบรรดานักพรตของท่าน
ได้เทศน์สอนประชาชนในการแพร่ธรรมของท่านในเรื่องการสวดสายประคำเป็นอย่างมาก
แต่ไม่ง่ายนักที่จะกำหนดรูปแบบที่แน่นอนในการปฏิบัติ
และเผยแพร่รูปแบบหนึ่งที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการจากสมเด็จพระสันตะปาปา ปีอุส
ที่ 5 คือ กำหนดและให้มีรูปแบบเดียวกันในข้อความของบทวันทามารีอา”
พระนางพรหมจารีย์ได้ปลุกเร้าให้ประชาชนสวดสายประคำ
ทั้งจากการประจักษ์ที่เมืองลูร์ด และฟาติมา
ในระหว่างสหัสวรรษที่
2 สมเด็จพระสันตะปาปาได้สนับสนุนให้มีการวอนขอพระนางมารีย์
และตั้งแต่สมณสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปาเลโอที่ 13 ซึ่งได้รับพระนามว่า
“พระสันตะปาปาแห่งสายประคำ” ทรงแนะนำให้ทุกคนสวดสายประคำ
และทรงเพิ่มความสำคัญด้วยการประทานพระคุณการุณย์ในการสวดสายประคำด้วย
สมเด็จพระสันตะปาปา
ยอห์น ปอล ที่ 2 ทรงอุทิศพระองค์เองเป็นพิเศษแด่พระชนนีของพระเจ้า
ตราประจำพระองค์ก็มีอักษรตัวแรกของพระนาง (Totus tuus) เป็นการวิงวอนของพระนางพรหมจารีมารีย์
พระองค์ทรงมีสายประคำอยู่กับพระองค์เสมอ และสวดเป็นประจำ
สมณสาสน์เรื่องการสวดสายประคำเป็นสิ่งที่ยืนยันอย่างมั่นคงถึงความนับถือของพระองค์ต่อการสวดสายประคำ
สายประคำ
สายประคำ
หรือ “มงกุฎดอกกุหลาบ” เป็นการสวดภาวนาแบบไตร่ตรองถึงชีวิตของพระเยซูเจ้า
ซึ่งเกี่ยวพันกับการรำพึงไตร่ตรองเหตุการณ์ในพระวรสาร พระธรรมล้ำลึกที่เกี่ยวกับพระนางมารีย์
การสวดสายประคำมิใช่อะไรอื่นนอกจากการเพ่งพินิจดูพระพักตร์ของพระคริสตเจ้าพร้อมกับพระแม่มารีย์”
การสวดสายประคำมีมานานหลายศตวรรษ
มีนักบุญจำนวนมากรักการภาวนาแบบนี้
พระศาสนจักรผู้มีอำนาจสอนก็ส่งเสริมเชิญชวนคริสตชนให้ภาวนาด้วย
มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เชื่อมโยงกับพระนางพรหมจารีย์มารีย์ซึ่งพระนางได้ส่งเสริมให้สวดสายประคำ
ทุกคนมีอิสระที่ได้รับประโยชน์จากสารของเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้
บทรำพึงในหนังสือเล่มนี้อยู่บนพื้นฐานของพระคัมภีร์
คำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิกและสมณสารเรื่องการสวด สายประคำ
ของสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2
นี่เป็นวิธีการที่รับรองด้วยความซื่อสัตย์ที่วางไว้ในความเชื่อ
สมเด็จพระสันตะปาปา
ยอห์น ปอล ที่ 2 ได้ทรงเพิ่มเติมมิติทางคริสตวิทยาของสายประคำ โดยเพิ่ม
พระธรรมล้ำลึกแห่งความสว่าง
ซึ่งเป็นเหตุการณ์เกี่ยวกับพระชนมชีพเปิดเผยของพระคริสตเจ้า ด้วยเหตุผลนี้จึงสามารถกล่าวได้อย่างแท้จริงว่า
การสวดสายประคำเป็นการ “สรุปพระวรสาร”
การสวดสายประคำเป็นการภาวนาแบบใด
ในพระสมณสาสน์
เรื่องการสวดสายประคำ ของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ทรงเขียนไว้ว่า
“เนื่องจากการสวดสายประคำเริ่มต้นจากประสบการณ์ของแม่มารีย์
จึงเป็นการภาวนาแบบเพ่งพินิจที่วิเศษสุด
ถ้าหากว่าการสวดสายประคำขาดมิติการเพ่งพินิจนี้แล้ว ก็จะไม่มีความหมายอะไร ดังที่สมเด็จพระสันตะปาปา เปาโล ที่ 6
ทรงเตือนไว้อย่างชัดเจนว่า
“ถ้าการสวดสายประคำไม่มีการเพ่งพินิจ ก็เป็นเหมือนร่างกายไร้วิญญาณ
และการสวดก็จะกลายเป็นการท่องสูตรอย่างเครื่องจักร”
การสวดสายประคำ ซึ่งเป็นการพูดซ้ำ การคาดคะเนล่วงหน้าถึงความเชื่อที่มีพลัง
และความรักจริงใจต่อพระคริสตเจ้าพระผู้ไถ่กู้ และพระนางพรหมจารีมารีย์
“การสวดสายประคำไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากวิธีการเพ่งพินิจแบบหนึ่ง
ในฐานะที่เป็นวิธีการ จึงเป็นเพียงอุปกรณ์ที่นำไปสู่จุดหมาย
และจะเป็นจุดหมายไปไม่ได้ ถึงกระนั้นในฐานะที่เป็นผลจากประสบการณ์นานหลายศตวรรษ
วิธีการนี้จึงต้องไม่ถูกมองว่าไม่สำคัญ
ประสบการณ์ของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากเป็นพยานได้ในเรื่องนี้”
kamsonbkk.com
ทำไมต้องสวดสายประคำตามแนวหนังสือคำสอนพระศาสนจักร
หนังสือคำสอนพระศาสนจักร
เริ่มต้นให้เหตุผลว่า ทำไมคริสตชนถึงต้องสวดสายประคำด้วยข้อความที่มาจากนักบุญลูกา
“มนุษย์ทุกสมัย จะเรียกข้าพเจ้าว่าผู้มีบุญ” (ลก.1:48) อธิบายต่อด้วย...
“ความศรัทธาของพระศาสนจักรต่อพระนางพรหมจารีมารีอา
เป็นสิ่งที่อยู่ในเนื้อแท้แห่งพิธีคารวะบูชาของคริสตศาสนา” “พระแม่มารีย์”
ได้รับการยกย่องให้เกียรติอย่างสมควรจากพระศาสนจักร ในพิธีคารวะที่จัดขึ้นเป็นพิเศษ
และแท้จริงแล้ว ตั้งแต่ยุคสมัยก่อนโน้น
แม่พระก็ได้รับเกียรติให้ได้รับตำแหน่ง “พระมารดาของพระเจ้า”
สัตบุรุษพากันไปหลบอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระแม่
วิงวอนขอให้พระแม่ช่วยเมื่อตกอยู่ในอันตราย หรือเมื่อขาดแคลนสิ่งใด.. พิธีคารวะพระมารดานี้...
แม้ว่าจะมีลักษณะไม่ซ้ำแบบใคร แต่ก็แตกต่างในสาระสำคัญอยู่มิใช่น้อย
จากพิธีนมัสการบูชาที่ถวายแด่พระวจนาตถ์ผู้รับเอากาย รวมทั้งพระบิดาและพระจิต
เป็นพิธีที่เหมาะสม อย่างยิ่งยวดแก่การรับใช้พระวจนาตถ์
มีการแสดงออกอยู่ในงานฉลองทางพิธีกรรมที่จัดถวายแด่พระมารดาของพระเจ้า
และในบทภาวนาถวายแม่พระ เช่น การสวดสายประคำ “อันเป็นบทย่อของพระวรสารทั้งอัน”
ในความสัมพันธ์กับพระมารดาของพระเจ้า 1
จากหนังสือคำสอนพระศาสนจักร
จะเห็นว่า พระศาสนจักรสอนให้คริสตชนถวายเกียรติแด่พระแม่มารีย์ในฐานะที่เป็น
“พระมารดาของพระเจ้า”
และการสวดสายประคำเป็นการแสดงออกถึงสายสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคริสตชนและมารดาของพระเจ้า
ในการภาวนาสายประคำ
พระจิตเจ้ารวมเราไว้กับพระบุตรแต่องค์เดียว ในความเป็นมนุษย์ที่ได้รับพระสิริแล้ว
ซึ่งโดยทางการภาวนาของเราฐานะบุตรรวมเราเข้าในพระศาสนจักร
พร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้า 2
ด้วยเหตุนี้พระศาสนจักร จึงบอกว่า
“สัตบุรุษพากันไปหลบอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระแม่
วิงวอนขอให้พระแม่ช่วยเมื่อตกอยู่ในอันตราย หรือเมื่อขาดแคลนสิ่งใด..
พิธีคารวะพระมารดานี้..” ในหนังสือบุตรสิรา ได้เขียนว่า
“บุตรที่ให้เกียรติมารดาก็เหมือนกับสะสมทรัพย์สมบัติไว้...เมื่อเขาอธิษฐานภาวนา
พระเจ้าก็จะทรงฟังเขา” (บุตรสิรา 3:4-5)
หนังสือคำสอนพระศาสนจักร
ได้ยืนยันว่า ในฐานะพระแม่พระมารีย์ เป็นมารดาของพระเป็นเจ้า เปรียบเสมือนเป็นมารดาของคริสตชนด้วย
“พระนางพรหมจารีมารีอา...
เป็นที่ยอมรับและเป็นที่เคารพในฐานะพระมารดาที่แท้จริงของพระเจ้าและพระผู้ไถ่...
พระนางยังเป็น “มารดาของบรรดาสมาชิกของพระคริสต์อย่างแท้จริง” 3
เมื่อคริสตชนได้ถวายเกียรติแด่พระแม่พระมารีย์ เสมือนให้เกียรติมารดาของเรา...เราก็ได้สะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์แล้ว
พระนางมารีย์เป็นผู้ภาวนาที่สมบูรณ์ เป็นภาพลักษณ์ของพระศาสนจักร
เมื่อเราภาวนาต่อพระนาง เรายึดแผนการของพระบิดา
ผู้ส่งพระบุตรมาช่วยมนุษย์ทั้งมวลให้รอด เราต้อนรับพระมารดาของพระเยซูเข้ามาในบ้าน
เหมือนศิษย์ที่พระองค์ทรงรัก (เทียบ ยน.19:27) เพราะพระนางกลายเป็นมารดาของทุกสิ่งที่มีชีวิต
เราสามารถภาวนากับพระนางและถึงพระนาง คำภาวนาของพระนางค้ำจุนคำภาวนาของพระศาสนจักร
และทำให้เป็นหนึ่งเดียวกันในความหวัง 4
ดังนั้น
เหตุผลที่ต้องสวดสายประคำเพราะพระแม่มารีย์ เป็นมารดาพระเป็นเจ้า
เป็นมารดาของเราด้วย
คริสตชนแสดงความเคารพและถวายเกียรติแด่พระแม่มารีย์ด้วยการภาวนาสายประคำ...
"เพราะพระนางมารีย์ร่วมงานกับพระจิต
พระศาสนจักรจึงรักที่จะภาวนาในความสัมพันธ์กับพระนางมารีย์พรหมจารี
เพื่อสรรเสริญสิ่งมหัศจรรย์ที่พระเป็นเจ้ากระทำสำหรับพระนาง
และมอบคำเสนอวิงวอนและการสรรเสริญแด่พระนาง"
kamsonchan.com
หลายคนคงเคยสงสัยว่าเป็นคาทอลิกแล้วจำเป็นไหมที่จะสวดสายประคำหรือที่จะต้องขอคำภาวนาจากแม่พระเสมอไปหรือ? แล้วเราสามารถขอพระเจ้าโดยตรงได้หรือไม่
คำตอบคือ
ได้
แต่การวอนขอผ่านทางแม่พระเราก็ขอในนามพระเจ้าก่อนคือการทำเครื่องหมายกางเขนกล่าวว่าเดชะพระนามพระบิดาพระบุตรพระจิต
หลายท่านอาจวอนขอพระเจ้าโดยตรงและจากการได้ศึกษาคำสอนพระศานจักร เเละพระคำภีร์มากขึ้นก็ทำให้เมั่นใจ
การขอผ่านทางเเม่พระนั้นไม่ได้เป็นการลดทอนพระเยซูเจ้าเลย
เพราะพระเยซูรักเเม่พระมาก เเละมอบแม่พระให้เป็นเเม่ของเรา การภวานาผ่านเเม่พระไม่ผิดจากพระคัมภีร์เลย
"เป็นธรรมดาที่พระเยซูคริสตเจ้าจะทรงพาเราไปหาพระบิดา
และก็เป็นธรรมดาที่พระเเม่มารีย์พรหมจารี จะพาเราไปหาพระเยซูเจ้า"
(นักบุญหลุยส์ มารีย์.เดอมงฟอร์ต)
แม่พระภวานาเพื่อเราในพระนามของพระบุตรของพระนางคือพระเยซูคริสตเจ้า
ซึ่งเป็นทั้งพระเจ้าเเท้เเละมนุษย์เเท้ การสวดสายประคำก็คือการรำพึงพระคัมภีร์เเละพระธรรมลํ้าลึกของพระเยซูเจ้า
พร้อมๆกับเเม่พระ
เพราะพระนางเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับพระเยซูมากที่สุดในแผนการไถ่กู้มนุษย์
การสวดสายประคำเป็นกิจศรัทธาส่วนตัว
และถ้าใครไม่อยากสวดก็ทำได้
การภาวนาผ่านทางแม่พระสามาถทำได้
เเต่ไม่ได้บังคับ ให้ภาวนาผ่านทางเเม่พระเท่านั้น หรือทุกครั้งไป
ถ้าอยากจะภาวนาต่อพระเจ้าโดยตรงเลยก็ได้
เหมือนนักบุญหลายๆท่าน
ท่านก็ภาวนาต่อพระเยซูโดยตรงเเต่ท่านก็รักแม่พระเหมือนกัน
หรือมีนักบุญบางท่านมีความศรัทธาต่อเเม่พระเป็นพิเศษท่านจึงมีบทภาวนาต่อเเม่พระ
ส่วนตัวแล้วคิดว่าเวลาตัวเองภาวนาก็ภาวนาผ่านทางพระเจ้าโดยตรง
เเล้วก็จะภาวนากับเเม่พระว่าช่วยวิงวอนเทอญ
ซึ่งขึ้นอยู่กับรูปแบบความศรัทธาของเเต่ละคน พระศาสนจักรไม่ได้สอนว่าอะไรอะไรก็ต้องสวดผ่านแม่พระเท่านั้น
ขอเพียงเราภาวนาอธิษฐานด้วยความเชื่อ ความรักความศรัทธา และจริงใจไม่ว่าเราจะภาวนาผ่านใคร
พระเจ้าจะทรงรับรู้ได้อย่างแน่นอน
อย่าให้ความคิดที่แตกต่างเพียงเล็กๆน้อยมาทำให้การเป็นลูกของพระเจ้าของเราทุกคนต้องแตกแยกและทะเลาะกันเลย
โดยส่วนตัวแล้ว
ข้าพเจ้าเชื่อว่าการสวดสายประคำเป็นสิ่งที่ดีต่อชีวิตและจิตใจของข้าพเจ้า
การภาวนาของแต่ละคนก็ย่อมมีรูปแบบและความแตกต่างกันไป
ส่วนเราคริสตชนเติบโตมาก็ได้รับรู้และเรียนรู้การสวดสายประคำ สมัยเด็กข้าพเจ้าอาจจะไม่ค่อยใส่ใจในการสวดสักเท่าไหร่
เหมือนกับการท่องจำ แต่เมื่อเติบโตขึ้น ในชีวิตต้องพบเจอกับเรื่องราวมากมาย
บางครั้งเราได้หลงลืมสิ่งนี้ไป นั่นคือการสวดสายประคำ
และเมื่อใดก็ตามที่ข้าพเจ้าได้สวดสายประคำอย่างตั้งใจ ข้าพเจ้าสัมผัสได้ว่าข้าพเจ้าจะสามารถพบทางออกและมีคำตอบให้กับปัญหาชีวิตทุกครั้ง และการสวดสายประคำไม่ใช่ว่านึกอยากจะทำแต่เฉพาะช่วงเวลาที่ชีวิตยากลำบากเท่านั้น ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ เราควรสวดอย่างสม่ำเสมอ
โดยส่วนตัวแล้วข้าพเจ้าคิดว่า เราสามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา และเราควรหาเวลา
อย่าเรียกว่าสละเวลาเลย เพราะในชีวิตของเราคริสตชน ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเวลาที่เราจะพูดคุยกับพระเจ้าอีกแล้ว
เราไม่ควรใช้ชีวิตแบบแค่ผ่านไปวันๆ
แต่ให้เราตระหนักถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าในทุกๆวันในชีวิตของเรา ขอบคุณพระองค์ทุกๆสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
ข้าพเจ้าจะให้เวลาไม่ว่าจะมากหรือน้อย
ข้าพเจ้าจะพยายามสวดเพื่อเป็นการขอบพระคุณต่อพระเจ้า
ผ่านการวิงวอนของพระแม่และพระเยซูเจ้า และข้าพเจ้ารู้สึกว่า
การที่ข้าพเจ้าให้เวลากับการภาวนา
ก็เหมือนกับว่าข้าพเจ้าได้ใช้เวลาในการบอกรักพระบิดาบนสวรรค์ของข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน
สำหรับข้าพเจ้าแล้วสายประคำ
เป็นได้ทั้งอาวุธไว้ป้องกันภัยและเป็นพระพรที่ติดตามตัว
ไม่ว่าเราจะอยู่ในอารมณ์แห่งความสุขความเศร้าความเหงาความโลภความหลงความโมโห
หรือเมื่อไหร่ก็ตามที่เราห่วงใยคนที่เรารัก ไม่ว่าดีหรือร้ายสายประคำเป็นอาวุธ
และพระพรประจำตัว
สามารถพกไปด้วยทุกที่สามารถสวดได้ทุกที่ทุกเวลาและไม่ว่าข้าพเจ้าจะสวดเมื่อไหร่
ก็จะรู้สึกดีและรับรู้ได้ทันทีว่าพระพรอยู่รอบกายเราจริงๆ ไม่เคยโดดเดี่ยวเลย อุ่นใจเสมอ
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
KC
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น