วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

จะทำยังไงดี เมื่อต้องทำงานร่วมกับคนที่นับถือศาสนาต่างจากเรา



ไม่ว่าท่านเป็นใคร จงทำส่วนของท่านให้ดี: หลีกเลี่ยงการสวมหน้ากากเพื่อซ่อนอัตลักษณ์

จงดำเนินชีวิตตามความเชื่อที่แท้จริงของท่าน
การดำเนินชีวิตตามความเชื่อที่แท้จริงของท่านโดยใช้เวลาในสิ่งที่จะเสริมสร้างและพัฒนาบุคลิกลักษณะของท่าน และช่วยให้ท่านเป็นเหมือนพระคริสต์ ข้าพเจ้าหวังว่าจะไม่มีท่านคนใดมองชีวิตว่าเป็นเพียงเรื่องสนุกและเกม แต่ควรมองว่าเป็นเวลาที่จะ “เตรียมพบพระผู้เป็นเจ้า”
เอ็ลเดอร์เควนทิน แอล. คุก

บางคนอาจพบเจอกับปัญหาแต่ก่อนนับถือศาสนาอื่นแล้วมานับถือคริสต์ ต้องเจอประสบการณ์การโดนข่มเหง ดูถูก เหยียดหยามจากศาสนาที่ตนเคยนับถือมาก็ก่อน( ซึ่งในความเป็นจริงแล้วก็เป็นแค่บางคน คนส่วนน้อย เท่านั้น ไม่ได้เป็นทุกคนหรอก เน้นนะคะ เฉพาะคนบางคน) เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่ว่าจะศาสนาใดก็ต่างสอนให้คิดดี ทำดี พูดดี กับคนบางคนเขามีจิตใจที่ต่อต้านพระเจ้า เขาจะคิดว่าตนฉลาด มาทางที่ถูกที่สุดแล้ว แต่เขาลืมตัวว่า เขาไม่มีสิทธิ์ในการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน เขาเหล่านั้นเองที่หลุดออกจากทางที่ถูก เพราะเขาได้ข่มเหงคนศาสนาอื่นๆ (ไม่ใช่แค่คริสต์ รวมถึงหลายๆศาสนาด้วย ฯลฯ ด้วย)

แต่อย่างไรก็ตาม หากเราสามารถใช้ชีวิตจริง ด้วยความเชื่อที่ว่า  "จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง" ถึงแม้จะทำได้ยากภายใต้ภาวะแวดล้อมปัจจุบัน แต่ถ้าทำได้ก็เป็นสุข และเกิดสันติสุขที่ใจเรา ตัวเรา และยังเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วย เพราะหากเราคริสตชน สามารถทำข้อนี้ได้ ก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้เพื่อนมนุษย์ที่ต่างความเชื่อได้เห็น สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ได้เห็นว่าเรามีความคิดและการกระทำ และวาจาดี การกระทำย่อมดังกว่าคำพูด  หากเราดำรงชีวิตแต่ละวัน ตามหลักคำสอนในพระคัมภีร์ เชื่อเถอะว่า เพื่อนๆที่เขาเคยตำหนิเรา หรือมีอคติ จะค่อยๆเปลี่ยนความคิดไป เพราะเขาได้เห็นการกระทำจริงๆของเรา ไม่ใช่ว่าเราเชื่อแต่ปากเพียงอย่างเดียว แต่เรายังได้พยายามทำคนให้เห็นจริงในการดำเนินชีวิตจริงของเรา ว่าเราได้พยายามทำตามหลักคำสอนของพระเยซูคริสต์ อย่างจริงจัง จริงใจ

"เพราะทรัพย์สมบัติของเรามีมาก แต่ไม่ใช่บนแผ่นดินโลก แต่เราเป็นมาโดยพระเจ้า เราจึงต้องกลับไปยังบ้านที่แท้จริง นั่นคือสวรรค์นิรันดร์"

วิธีแก้ไขคือ
1.ปล่อยให้เขาเป็นเขาต่อไป เพราะเราคงไปบอกให้คนนั้นคนนี้ เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิด และการกระทำของเขาคงไม่ได้ ถึงจะมีเหตุการณ์ที่สร้างความโกรธ โมโห แต่เราก็ต้องอภัยได้ ฉะนั้นปล่อยเรื่องการตัดสินเป็นของงานของพระองค์ (ทุกครั้งที่เขาพูดเสียดสีศาสนาคริสต์  เราห้ามด่ากลับนะ ปล่อยให้เขาพูดๆๆๆไป เชื่อเถอะว่า เดี๋ยวเหนื่อยก็หยุดเอง แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ)

2.อธิฐานขอพระองค์ทรงอย่านำเราไปสู่การทดลอง ในความจริงนั้น จิตใจขของเขาอาจตกอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตาน เขาไม่รู้ เข้าไม่เห็น เข้าไม่ได้ยิน เขาทำไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเราควรอภัยได้เสมอ

3.การทำดีของเราจะเป็นแบบอย่างให้กับคนทั่วไป เมื่อไรที่คนเห็นถึงความดีของเราที่ซึ่งมาจากพระเจ้า เขาจะมาถามเราถึงทางสว่าง เมื่อนั้นเราจึงประกาศข่าวประเสริฐ แต่ข้อระวังคืออย่าไปประกาศโดยที่เข้าไม่เปิดใจ เพราะจะเป็นการยัดเยียดความเชื่อ(ศาสนา)

4.จงมีความสุขทุกวันในชีวิตแบบคริสตชน เพราะบางหน่วยงาน บางสังคม เราอาจมีกันน้อย ในสถานที่ทำงานต่างๆ  เราอาจถูกเลือกปฎิบัติ ด้วยเหตุเพราะคนหมู่มากที่ต่างความเชื่อ อาจมีคริสตชนหลายคนที่ท้อแท้ กับสิ่งที่ต้องเจอ และปัญหากับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งได้มีหลายคนได้สละความเชื่อไปเลยก็มี หรืออาจรู้สึกว่าตนดูแตกต่าง และค่อยๆกลืนไปกับความเชื่ออื่นๆ (ขออย่าให้เกิดขึ้นเลย) ขอให้เราจงมั่นใจในพระเจ้าและหมั่นสวดภาวนา เพื่อขอสติปัญญา ขอการนำทางจากพระองค์ให้เราสามารถผ่านปัญหาความแตกต่างเหล่านี้ไปได้ด้วยดี

5.หมั่นศึกษาพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์เป็นความจริง เป็นหนังสือที่อ่านได้ทั้งชีวิตไม่รู้จบ มีทั้งคำหนุนใจ สรรเสริญพระเจ้า คำสอน แนวทางการปฏิบัติ การแก้ไขปัญหาต่างๆ และความหวังความวางใจของคริสตชน พระคัมภีรฺคือยาวิเศษในการเยียวยารักษาทุกสิ่งจริงๆนะคะ ที่สำคัญสามารถแนะแนว นำทางให้เราดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกที่ควร ของแบบนี้ใครรู้เร็ว จะสามารถพบความสุขที่แท้จริงเร็วนะคะ (ไม่ใช่แค่ความสุขที่มองเห็นในโลกนี้นะคะ แต่เป็นความแท้จริงหลังจากเราสิ้นสุดบนโลกนี้ไปแล้ว)

คนไทยหลายภาคส่วนอาจถูกสอนมาว่าโลกนี้ไม่มีพระเจ้า และการที่เราจะไปเปลี่ยนคนที่ไม่เชื่อให้กลายเป็นเชื่อมันก็คงยาก ซึ่งเราก็ต้องเข้าใจ  แต่สิ่งพื้นฐานที่ทุกคนควรจะมีและเข้าใจ ก็คือ สำหรับคนบางคน ความเชื่อตามที่ครอบครัวมีมาโดยกำเนิด หรือหลักปฎิบัติ ต่างๆมันอาจไม่เหมาะกับเขาจริงๆ และการที่คนคนนั้น ตัดสินใจจะเปลี่ยนศาสนามันไม่ได้เป็นเรื่องปัญญาอ่อนอะไร แต่เป็นเพราะความเชื่อส่วนตัวเค้า ถ้าเค้าทำไปแล้ว มันไม่เดือดร้อนใคร แล้วเค้าก็มีความสุขก็ให้เค้าทำไปเถอะค่ะ อย่าอคติกับคนเหล่านั้นมากเลย จริงไหมคะ

 ในการเป็นลูกของพระเจ้าและเป็นการเป็นคริสตชน ไม่มีใครสามารถที่จะมาชี้ขาดว่าให้ผู้ใดผู้หนึ่งที่ไม่เคยได้ยินเรื่องพระเจ้าหรือ เพียงแค่ว่าเขาไม่รู้จักพระเจ้า แล้วจะถูกโยนเข้าสู่บึงไฟนรก แต่จิตฝ่ายดีของเขาย่อมคุ้มครองเขาแม้ในวันพิพากษา  เพราะพระเจ้าเองนั่นแหละที่จารึกบทบัญญัติไว้ในใจเขาแม้เขาไม่รู้จักพระองค์

13 เพราะผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรพระเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังบทบัญญัติ แต่ผู้ที่ทำตามบทบัญญัติต่างหากที่พระเจ้าจะทรงประกาศว่าเป็นผู้ชอบธรรม 14 (อันที่จริงเมื่อคนต่างชาติผู้ไม่มีบทบัญญัติได้ทำสิ่งที่บทบัญญัติกำหนดไว้โดยปกติวิสัยของเขา เขาก็เป็นบทบัญญัติให้ตนเองแม้ว่าเขาไม่มีบทบัญญัติ 15 เพราะเขาแสดงให้เห็นว่าข้อกำหนดต่างๆ ของบทบัญญัติได้จารึกอยู่ในใจของเขา จิตสำนึกของเขาก็เป็นพยานด้วยและความคิดของเขานั่นแหละที่ฟ้องร้องหรือปกป้องเขา)

13 Here’s my point: just because a person hears the law read or recited does not mean he is right before the one True God; it is following the law that makes one right, not just hearing it. 14-15 For instance, some outsiders who are not required to follow the law often live quite naturally by its teachings. Even though the law wasn’t given to them, in themselves they have the law. Here’s the thing: their lives demonstrate that God has inscribed the law’s teachings on their hearts. On judgment day, their consciences will testify for them, and their thoughts will both accuse and defend them.

มัทธิว 7:21-23
ไม่​ใช่​ทุกคน​ที่​เรียก​เรา​ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะ​ได้​เข้า​ใน​แผ่นดิน​สวรรค์ แต่​ผู้​ที่​ปฏิบัติ​ตาม​น้ำพระทัย​พระบิดา​ของ​เรา ผู้​สถิต​ใน​สวรรค์​จึง​จะ​เข้า​ได้   เมื่อ​ถึง​วันนั้น​จะ​มี​คน​จำนวน​มาก​ร้อง​แก่​เรา​ว่า ‘องค์พระผู้เป็นจ้า ข้าพระองค์​ได้​เผยพระวจนะ​ ใน​พระนาม​ของ​พระองค์ และ​ได้​ขับผี​ออก​ใน​พระนาม​ของ​พระองค์ และ​ได้​ทำ​การ​แห่ง​ฤทธานุภาพ​มากมาย​ใน​พระนาม​ของ​พระองค์​ไม่​ใช่​หรือ?’  เมื่อ​นั้น​เรา​จะ​กล่าว​แก่​พวกเขา​ว่า ‘เรา​ไม่​เคย​รู้จัก​พวกเจ้า​เลย เจ้า​ผู้​ทำ​ความ​ชั่ว จง​ไป​เสีย​ให้​พ้นหน้า​เรา’

​ เราต้องเรียนรู้ที่จะเชื่อและวางใจในพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจของเรา ด้วยการทำตาม​น้ำพระทัยของพระเจ้า

เสริมด้วย ยอห์น 6:47
เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตนิรันดร์

“เราคงต้องยอมรับว่า สังคมของเราจำเป็นต้องเยียวยาบาดแผลของสังคม ที่มีความแตกต่าง และบานปลายไปจนแตกแยก และเราควรแทนที่การมองโลกในแง่ร้ายของยุคเรา ด้วยการมองโลกในแง่ดี และศรัทธา เราต้องยอมรับว่าเราไม่จำเป็นต้องโต้แย้งหรือวิพากษ์วิจารณ์กันเอง เราต้องใช้อิทธิพลของเราในการลดเสียงเกรี้ยวโกรธและการโต้เถียงด้วยเจตนาร้าย"

“พลังของเราอยู่ที่อิสรภาพในการเลือกของเรา มีพลังแม้ในความหลากหลายมากมายของเรา แต่มีพลังยิ่งกว่านั้นในข้อบัญญัติที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายให้เราแต่ละคนทำเพื่อยกระดับจิตใจและเป็นพรแก่บุตรธิดาทั้งหลายของพระองค์ โดยไม่คำนึงถึงเผ่าพันธุ์หรือชาติกำเนิดหรือความแตกต่างด้านอื่น …

“ขอพระเจ้าทรงอวยพรเราให้พร้อมใจกันขจัดองค์ประกอบทั้งหลายของความเกลียดชัง ทิฐิมานะ การเหยียดหยัน คำพูดตลอดจนการกระทำอันก่อให้เกิดความแตกแยกออกจากใจเราและสังคมของเรา คำพูดเหยียดหยาม การดูถูกเชื้อชาติ ศาสนา การนินทาว่าร้าย การกระพือข่าวลือด้วยความประสงค์ร้ายไม่ควรมีอยู่ในจิตใจเรา”

“ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรให้เราทุกคนมีสันติสุขที่มาจากพระองค์ ขอพระองค์ทรงอวยพรให้เรามีใจรู้คุณและตั้งใจจะอยู่รวมกันด้วยความเคารพกัน พร้อมใจกันเป็นพรแก่ชุมชนซึ่งเราโชคดีที่ได้อยู่”

“ขอให้เรายื่นมือช่วยเหลือชายหญิงผู้มีไมตรีจิต ไม่ว่าพวกเขาจะมีความเชื่อในศาสนาใดและอาศัยอยู่ที่ใด”
จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่านที่กำลังพบกับปัญหานี้ ขอให้ก้าวผ่านแบบทดสอบนี้ไปได้ด้วยดี
หากเรามีใจที่นบนอบ ข้าพเจ้าเชื่อว่า เราจะสามารถผ่านมันไปได้ด้วยดี
ถึงจะยากสักหน่อย นานสักหน่อย แต่ขอให้ทำหน้าที่ของเราให้ดี
และอย่าลืมการพึ่งพาและการวางใจในพระเจ้านะคะ
ไม่ว่าจะศาสนาไหน อย่าลืมว่า พระเจ้าต้องการเห็นเรารักกันมากกว่าสิ่งอื่นใดนะคะ
"เพราะพระเจ้า เป็นองค์แห่งความรัก"
KC LOVE GOD
GOD IS LOVE
GOD IS GOOD



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...