วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เราจะมีความสุขได้อย่างไรและเราจะขอบคุณพระเจ้าได้ดีอย่างไรหากใจเรามีคำถามมากมายเหล่านี้อยู่ในใจ



“คนรักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน และคนรักสมบัติไม่รู้จักอิ่มกำไร นี่ก็อนิจจังด้วย”

เราจะมีความสุขได้อย่างไรและเราจะขอบคุณพระเจ้าได้ดีอย่างไรหากใจเรามีคำถามมากมายเหล่านี้อยู่ในใจ

คุณเคยตั้งคำถามกับตัวเองแบบนี้หรือไม่
“ฉันจะมีความสุขถ้าได้แต่งงานและมีลูก”

“ฉันจะมีความสุขถ้ามีบ้านสักหลัง”

“ฉันจะมีความสุขถ้าได้งานที่ชอบ”

“ฉันจะมีความสุขถ้า . . .”

คุณเคยรู้สึกอย่างนั้นไหม? พอคุณได้อย่างที่ต้องการแล้ว สิ่งเหล่านั้นทำให้คุณมีความสุขนานไหม? หรือไม่นานความสุขนั้นก็จางหายไป? การพยายามไปให้ถึงเป้าหมายหรือได้สิ่งของที่ต้องการทำให้มีความสุขได้จริงแต่ความสุขแบบนั้นก็อยู่ไม่นาน เช่นเดียวกับการมีสุขภาพดี ความสุขแท้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสำเร็จหรือสิ่งของที่ได้มาเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง

เราแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราอาจมีความสุขกับสิ่งหนึ่ง แต่คนอื่นอาจมีความสุขกับอีกสิ่งหนึ่ง และเมื่อเวลาผ่านไปเราก็เปลี่ยนไปด้วย เห็นได้ชัดว่าคนเราจะมีความสุขแท้ได้ต้องมีปัจจัยอื่นด้วย เช่น รู้สึกพอใจในชีวิต ไม่อิจฉาริษยา รักคนอื่น พร้อมจะปรับเปลี่ยนและมีจิตใจที่เข้มแข็ง ให้เรามาดูว่าทำไมเรื่องเหล่านี้จึงสำคัญ

 1. พอใจในชีวิต
คนฉลาดคนหนึ่งที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ได้สังเกตว่า “เงินเป็นเครื่องป้องกัน” แต่ก็ยังเขียนด้วยว่า “คนรักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน และคนรักสมบัติไม่รู้จักอิ่มกำไร นี่ก็อนิจจังด้วย”   (ปัญญาจารย์ 5:10  คน​ที่​รัก​เงิน​ไม่​เคย​พอ​ใจ​กับ​เงิน​ที่​หา​มา​ได้ และ​คน​ที่​รัก​สมบัติ​ก็​ไม่​พอ​ใจ​กับ​ราย​ได้​ของ​ตัว​เอง นี่​ก็​ไร้​ประโยชน์​เหมือน​กัน  ) เขาหมายความว่าอย่างไร? เงินเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่เราต้องระวังก็คือความโลภ เพราะความโลภทำให้คนเราไม่รู้จักพอ! ผู้เขียนคนนี้คือ โซโลมอนกษัตริย์ของชาติอิสราเอลโบราณ เขาได้ลองดูว่าความมั่งคั่งร่ำรวยและชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือยจะทำให้มีความสุขจริง ๆ ไหม เขาเขียนว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยปฏิเสธสิ่งใดที่ . . . ข้าพเจ้าปรารถนา มิได้ห้ามใจจากความยินดีใด ๆ”— ( ปัญญาจารย์ 1:13  เรา​ตั้งใจ​ศึกษา​และ​ใช้​สติ​ปัญญา​ตรวจ​สอบ​งานทุก​อย่าง​ที่​คน​เรา​ทำ​อยู่​ใต้​ฟ้า คือ​งาน​ที่​ยาก​ลำบาก​ซึ่ง​พระเจ้า​ให้​มนุษย์​ทำ​อยู่  )

โซโลมอนสะสมทรัพย์สมบัติไว้มากมาย เขาสร้างบ้านใหญ่โตหลายหลัง สร้างสวนและสระน้ำที่สวยงามหลายแห่ง และมีคนรับใช้มากมาย เขามีทุกอย่างที่ต้องการ แต่เขาได้เรียนรู้อะไรจากการลองใช้ชีวิตแบบนี้? เขามีความสุขอยู่บ้างแต่ก็ไม่นาน เขาบอกว่า “การทั้งหลายเป็นอนิจจังเหมือนวิ่งไล่ตามลม และมิได้มีผลประโยชน์อะไร” เขาถึงกับเกลียดชีวิตด้วยซ้ำ! (ปัญญาจารย์ 2:11  แต่​เมื่อ​เรา​คิด​ถึง​ทุก​สิ่ง​ที่​เรา​ทำ​และ​งาน​หนัก​ที่​เรา​บากบั่น​ทำ​จน​เสร็จ เรา​ก็​เห็น​ว่า​ทุก​สิ่ง​ไร้​ประโยชน์​และ​เป็น​การ​วิ่ง​ไล่​ตาม​ลม และ​ไม่​มี​อะไร​ภาย​ใต้​ดวง​อาทิตย์​ที่​มี​ค่า*จริง ๆ) โซโลมอนได้เรียนรู้ว่าการทำตามใจตัวเอง สุดท้ายก็เหลือแต่ความว่างเปล่าและไม่พอใจกับชีวิต *

ผลการวิจัยสมัยใหม่สอดคล้องกับสติปัญญาสมัยโบราณไหม? บทความหนึ่งที่ได้ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Happiness Studies ให้ข้อสังเกตว่า “ถ้าคุณมีสิ่งจำเป็นในชีวิตแล้ว แม้จะมีเงินมากขึ้นก็ไม่ได้ทำให้คุณมีความสุขมากขึ้นไปด้วย” ที่จริง จากผลวิจัยพบว่า การมีวัตถุสิ่งของเพิ่มขึ้นโดยไม่สนใจว่าจะต้องเสียอะไรไปไม่ได้ทำให้คนเรามีความสุขจริง ๆ

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: “จงให้วิถีชีวิตของพวกท่านปราศจากการรักเงิน และจงพอใจในสิ่งที่พวกท่านมีอยู่”—(ฮีบรู 13:5  อย่า​ใช้​ชีวิต​แบบ​คน​รัก​เงิน แต่​ให้​พอ​ใจ​ใน​สิ่ง​ที่​มี​อยู่ เพราะ​พระเจ้า​บอก​ไว้​ว่า “เรา​จะ​ไม่​มี​วัน​ทิ้ง​เจ้า เรา​จะ​ไม่​ทอดทิ้ง​เจ้า​เลย”  )

2. ไม่อิจฉาริษยา
ความอิจฉาริษยาคือ “ไม่พอใจหรือเจ็บใจที่เห็นคนอื่นได้ดีและอยากได้อยากมีอย่างเขาบ้าง” ความอิจฉาริษยาเป็นเหมือนเนื้อร้ายที่สามารถทำลายชีวิตและความสุขของคนเราได้ ความอิจฉาอาจเกิดขึ้นได้อย่างไร? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเริ่มมีนิสัยแบบนี้? และเราจะเอาชนะนิสัยนี้ได้อย่างไร?

สารานุกรมเล่มหนึ่ง (Encyclopedia of Social Psychology ) ให้ข้อสังเกตว่า ผู้คนมักจะอิจฉาคนที่มีอะไร ๆ เท่าเทียมกับตัวเอง ไม่ว่าจะอายุ ประสบการณ์ หรือฐานะทางสังคม เช่น พนักงานขายอาจอิจฉาเพื่อนพนักงานขายที่ประสบความสำเร็จมากกว่าเขา แต่เขาอาจไม่อิจฉานักแสดงที่มีชื่อเสียง

ตัวอย่างเช่น ข้าราชการระดับสูงหลายคนในอาณาจักรเปอร์เซียโบราณไม่ได้อิจฉากษัตริย์ แต่อิจฉาริษยาดาเนียลซึ่งเป็นข้าราชการที่ฉลาดหลักแหลม พวกเขาคงไม่มีความสุขแน่ ๆ เห็นได้จากการที่พวกเขาวางแผนจะฆ่าดาเนียล แต่ก็ไม่ สำเร็จ (ดาเนียล 6:1-24) สารานุกรมที่อ้างถึงก่อนหน้านี้บอกว่า “ควรจำไว้ว่าความอิจฉาริษยาทำให้คุณอยากทำร้ายคนอื่น เหตุการณ์ที่รุนแรงหลายครั้งในประวัติศาสตร์จึงมักเกี่ยวโยงกับความริษยา” *

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นคนขี้อิจฉา? ลองถามตัวเองว่า ‘ถ้าเห็นเพื่อนได้ดีฉันไม่มีความสุขไหม? ถ้าลูกพี่ลูกน้อง เพื่อนนักเรียนที่เก่ง ๆ หรือเพื่อนร่วมงาน ทำบางอย่างผิดพลาดล้มเหลว ฉันสะใจไหม?’ ถ้าคุณตอบว่า “ใช่” ก็แสดงว่าคุณเริ่มเป็นคนขี้อิจฉาแล้ว (ปฐมกาล 26:12-14  แล้ว​อิสอัค​ก็​เริ่ม​เพาะ​ปลูก​ใน​แผ่นดิน​นั้น ใน​ปี​นั้น​เขา​เก็บ​เกี่ยว​พืช​ผล​ได้ 100 เท่า​ของ​เมล็ด​ที่​หว่าน​เนื่อง​จาก​พระ​ยะโฮวา​อวยพร​เขา 13  เขา​จึง​มี​ฐานะ​ดี​และ​ดี​ขึ้น​เรื่อย ๆ จน​ร่ำรวย​มาก 14  เขา​มี​ฝูง​แกะ ฝูง​วัว และ​คน​รับใช้มาก​มาย​จน​ชาว​ฟีลิสเตีย​อิจฉา) สารานุกรมยังบอกอีกว่า “ความอิจฉาริษยาสามารถทำให้คนเราหมดความยินดีและไม่เห็นค่าสิ่งดี ๆ ในชีวิต . . . นิสัยแบบนี้ทำให้ไม่ค่อยมีความสุข”

เราเอาชนะนิสัยขี้อิจฉาได้โดยพัฒนาความอ่อนน้อมถ่อมตนจากใจจริง คุณลักษณะนี้จะช่วยให้เรารู้สึกยินดีและเห็นคุณค่าความสามารถของคนอื่นรวมทั้งสิ่งดี ๆ ที่เขามี คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “ไม่ทำอะไรด้วยน้ำใจชิงดีชิงเด่นหรือด้วยความถือดี แต่ให้ถ่อมใจถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว”  (ฟีลิปปี 2:3  )

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: “ขอให้เราอย่าถือดี อย่ายั่วยุให้มีการแข่งขันชิงดีกัน อย่าอิจฉากัน”—(กาลาเทีย 5:26   )


3. พัฒนาความรักต่อคนอื่น
หนังสือจิตวิทยาสังคม (ภาษาอังกฤษ) บอกว่า “การมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทำให้ผู้คนมีความสุขในชีวิตมากกว่าการมีงาน มีรายได้ มีสังคม หรือแม้แต่มีสุขภาพที่ดีด้วยซ้ำ” พูดง่าย ๆ ก็คือ คนเราจะมีความสุขแท้ต้องมีทั้งให้และได้รับความรัก คัมภีร์ไบเบิลเขียนว่า “ถ้าข้าพเจ้า . . . ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย”—1 โครินท์ 13:2

ไม่สายเกินไปที่จะพัฒนาความรัก เช่น ตัวอย่างของวาเนสซาที่เคยถูกพ่อขี้เมาทำร้ายร่างกาย เธอหนีออกจากบ้านตอนอายุ 14 ปี และไปอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอยังไปอยู่บ้านพักของคนจรจัดซึ่งเป็นที่ที่เลวร้ายจนเธอต้องอธิษฐานอ้อนวอนพระเจ้าให้ช่วย และพระองค์อาจฟังคำอธิษฐานของเธอเพราะมีครอบครัวหนึ่งรับเธอไปอยู่ด้วย พวกเขาทำตามคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “ความรักอดกลั้นไว้นานและแสดงความกรุณา” (1 โครินท์ 13:4) ทั้งสภาพแวดล้อมที่วาเนสซาอยู่บวกกับเรื่องที่เธอได้เรียนจากคัมภีร์ไบเบิลช่วยเยียวยาเธอให้มีอารมณ์และจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น เธอบอกว่า “ที่โรงเรียนผลการเรียนของฉันดีขึ้นมาก”

ถึงแม้วาเนสซายังรู้สึกเจ็บปวดทางอารมณ์อยู่บ้าง แต่ตอนนี้เธอมีครอบครัวที่มีความสุขและมีลูกสาวสองคน

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: “จงสวมความรัก เพราะความรักเป็นสิ่งที่ผูกพันผู้คนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์”—โคโลสี 3:14

 4. มีจิตใจเข้มแข็ง
มีใครบ้างที่ไม่มีปัญหาในชีวิตเลย? คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้ว่า มี “เวลาร้องไห้” และ “เวลาไว้ทุกข์” (ปัญญาจารย์ 3:4  เวลา​ร้องไห้​และ​เวลา​หัวเราะเวลา​คร่ำ​ครวญ​และ​เวลา​เต้น​รำ*) การมีจิตใจเข้มแข็งช่วยเราให้คิดบวกและก้าวเดินต่อไปแม้เจอปัญหา ให้เรามาดูตัวอย่างของป้าแครอลกับป้ามิลเดรด

ป้าแครอลเป็นโรคกระดูกสันหลังเสื่อม เบาหวาน หยุดหายใจขณะนอนหลับ และจอประสาทตาเสื่อมทำให้ตาข้างซ้ายบอด ถึงจะเป็นอย่างนั้นป้าบอกว่า “ฉันพยายามไม่ท้อใจนานเกินไป แม้ว่าบางครั้งฉันรู้สึกสงสารตัวเอง แต่แทนที่จะคิดอย่างนั้นฉันขอบคุณพระเจ้าที่ฉันยังทำอะไร ๆ ได้และทำเพื่อคนอื่นได้ด้วย”

ป้ามิลเดรดก็ป่วยหลายโรคด้วยทั้งโรคข้ออักเสบ มะเร็งเต้านม และเบาหวาน แต่ก็เหมือนกับป้าแครอล ป้ามิลเดรดพยายามไม่จมอยู่กับปัญหาของตัวเอง ป้าบอกว่า “ฉันเรียนรู้ที่จะรักผู้คนและให้กำลังใจคนอื่นช่วงที่พวกเขาป่วย การทำอย่างนั้นช่วยฉันด้วยเหมือนกัน ที่จริง เมื่อฉันให้กำลังใจคนอื่น ฉันก็ลืมเรื่องของตัวเอง”

ถึงแม้ป้าสองคนนี้อยากได้รับการรักษาที่ดี แต่ก็ไม่ได้หมกมุ่นกับปัญหาสุขภาพของตัวเองเท่านั้น พวกเธอสนใจวิธีคิดและวิธีใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ผลก็คือ ทั้งสองมีความสุขในใจที่ไม่มีใครแย่งไปได้ แถมยังเป็นที่รักของคนอื่นและเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่เจอปัญหาหรือการทดสอบหลายอย่างในชีวิต

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: “ผู้ที่ทนการทดสอบเรื่อยไปก็มีความสุข เพราะเมื่อพระองค์พอพระทัยเขา เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต”—(ยากอบ 1:12  คน​ที่​อด​ทน​กับ​ความ​ลำบาก*เรื่อย​ไป​ก็​มี​ความ​สุข เพราะ​เมื่อ​พระ​ยะโฮวา*ยอม​รับ​เขา​แล้ว พระองค์​จะ​ให้​ชีวิต​กับ​เขา​เป็น​รางวัล*ตาม​ที่​พระองค์​สัญญา​ไว้​ว่า​จะ​ให้​กับ​คน​ที่​รัก​พระองค์  )

เมื่อทำตามคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล สติปัญญาที่มาจากคัมภีร์ไบเบิลก็เป็นเหมือน “ต้นไม้แห่งชีวิตแก่คนนั้น ๆ ที่ฉวยเอาพระองค์ไว้ได้ และทุกคนที่ยึดถือพระองค์ไว้นั้นก็จะมีความผาสุก” (สุภาษิต 3:13-18  คน​ที่​พบ​สติ​ปัญญาและ​มี​ความ​เข้าใจ​ก็​มี​ความ​สุข 14  เพราะ​ได้​สติ​ปัญญา​ก็​ดี​กว่า​ได้​เงินและ​มี​สติ​ปัญญา*ก็​ดี​กว่า​มี​ทอง
15  สติ​ปัญญา​มี​ค่า​ยิ่ง​กว่า​ปะการัง*ทุก​สิ่ง​ที่​ลูก​อยาก​ได้​ยัง​เทียบ​กับ​สติ​ปัญญา​ไม่​ได้​เลย16  ที่​มือ​ขวา​ของ​สติ​ปัญญา​มี​ชีวิต​ยืน​ยาวและ​ที่​มือ​ซ้าย​มี​ทรัพย์​สมบัติ​และ​เกียรติยศ 17  แนว​ทาง​ของ​สติ​ปัญญา​ทำ​ให้​มี​ความ​สุข
บน​ทาง​นี้​มี​แต่​ความ​สงบ​สุข 18  สติ​ปัญญา​เป็น​ต้น​ไม้​ที่​ให้​ชีวิต คน​ที่​ยึด​มั่น​ใน​สติ​ปัญญา​จะ​มี​ชีวิต​และ​มี​ความ​สุข) คุณน่าจะลองค้นหาความจริงที่ว่านี้ด้วยตัวคุณเอง โดยเอาคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ในชีวิต ที่จริง “พระเจ้าผู้มีความสุข” ที่ดลใจให้เขียนหนังสือศักดิ์สิทธิ์นี้อยากให้คุณมีความสุขด้วย—( 1 ทิโมธี 1:11  ตาม​ที่​บอก​ไว้​ใน​ข่าว​ดี​ที่​ยอด​เยี่ยม​ซึ่ง​พระเจ้า​ผู้​มี​ความ​สุข​ฝาก​ไว้​กับ​ผม )
Jw.org

‘จงแสดงความขอบคุณ’

ข้อความนี้อยู่ในหนังสือโคโลสี 3:15  ขอ​ให้​สันติ​สุข​จาก​พระ​คริสต์​เป็น​พลัง​ควบคุม​ใจ​พวก​คุณ เพราะ​พวก​คุณ​ถูก​เรียก​มา​เพื่อ​ให้​เป็น​อวัยวะ​ใน​ร่าง​กาย​เดียว​กัน​ที่​มี​สันติ​สุข และ​ให้​แสดง​ความ​ขอบคุณ​ด้วยซึ่งเป็นคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ! จากการศึกษาวิจัยพบว่า การมองชีวิตในแง่บวกและแสดงความขอบคุณที่คนอื่นมีน้ำใจต่อเราจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น

จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนั่นแหละเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับพวกท่านในพระเยซูคริสต์ (1เธสะโลนิกา 5:18)

นภาวะวิกฤติของชีวิต บางทีตัวเราเองก็กำลังถามพระเจ้าว่า พระองค์ทรงประสงค์อะไรจึงให้เราพบกับความยากลำบากหรือ? หากอัครทูตเปาโลอยู่ที่นี่ด้วย ท่านก็คงจะบอกเราอย่างที่ท่านบอกพี่น้องคริสเตียนที่เมืองเธสะโลนิกาว่า “จงขอบพระคุณในทุกกรณี” เรายังจะมีใจขอบพระคุณในช่วงเวลาที่มืดมิดได้อย่างไร?

ประการแรก หากเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็อยู่ในพระประสงค์ของพระเจ้า เมื่อสิ่งต่างๆ ดำเนินไปผิดทิศทาง เรามักจะคลำหาการชี้นำของพระเจ้า เราสงสัยว่าเมื่อเราได้มาถึงทางแยกของชีวิตนั้น เราได้เลือกทางถูกหรือไม่ เราได้เตลิดออกนอกแผนการของพระเจ้าหรือไม่ ความหมายที่สำคัญตรงนี้ก็คือ หากเรารู้ว่าเราอยู่ในแผนการของพระเจ้า เราก็ไม่่น่าจะอิดโรยอ่อนกำลังหรือทนทุกข์กับความกังวลใดๆ แต่ทุกครั้งที่เราพบกับความทุกข์ยากลำบาก เราก็มักจะสงสัยแผนการของพระเจ้า อัครทูตเปาโลสอนเราชัดเจนว่า หากเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราก็อยู่ในพระประสงค์ของพระเจ้า ถ้าเรากำลังสงสัยพระประสงค์ของพระเจ้า เราไม่ควรมองดูแค่สถานการณ์ว่าพระเจ้าจะทรงนำชีวิตเราไปทางไหน ตรงกันข้าม เราควรจะมองดูที่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเยซูคริสต์ หากความรักของเราต่อพระเยซูคริสต์ค่อยๆ ลดลง แสดงว่าเราอยู่นอกพระประสงค์ของพระเจ้าไม่ว่าสถานการณ์รอบตัวเราจะเป็นอย่างไร (แม้ว่าอาจจะดูดีหรือไม่ดี - สมาคมพระคริสตธรรมไทย)

ประการที่สอง ในพระเยซูคริสต์ เราตระหนักว่าพระเจ้าทรงเลือกเรา ไม่ใช่เพราะเรามีคุณงามความดีสมควรได้รับพระกรุณาของพระเจ้า แต่เป็นเพราะพระคุณอันบริบูรณ์ของพระเยซูคริสต์สำหรับเราต่างหาก เราอยู่ในพระองค์เพราะพระคุณของพระองค์อยู่เหนือเรา นี่คือประเด็นเริ่มแรกที่ช่วยให้เราตระหนักว่าเราไม่ได้มีสิทธิอะไรที่จะเรียกร้องจากพระเจ้าว่าเราจะ “ต้อง” มีคุณความดีหรือมีสภาพชีวิตที่น่าพึงพอใจ ชีวิตของเราต้องพึ่งพิงพระเมตตาพระเจ้าเท่านั้น พระองค์ทรงเลือกที่จะโอบอุ้มเราไว้ ดังข้อพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์ผู้ไม่ทรงหวงพระบุตรของพระองค์เอง แต่ประทานพระบุตรนั้นเพื่อเราทุกคน ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ประทานสิ่งสารพัดให้เราด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ? (โรม8:32) หากพระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์แก่เรา พระองค์ก็จะประทานสิ่งดีที่สุดแก่เราด้วยกันกับพระบุตรนั้น ฉะนั้น เราจึงขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณเช่นนั้น
   
  ประการสุดท้าย เราขอบพระคุณพระเจ้า เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงละทิ้งลูกของพระองค์ พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ……แม้ความตายหรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้าหรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่น ที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้ (โรม 8:38-39) ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์เช่นไร จะมีสิ่งใดรบกวนหรือบีบคั้นเรา พระเจ้าก็จะทรงอยู่กับเรา และถ้าเราอยู่ในความรักของพระเจ้า เราก็อยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าจะไม่มีวันทิ้งเราให้ต้องพึ่งตนเองหรือพึ่งทางเลือกสุดท้ายของมนุษย์ เราสามารถจะติดต่อและรับความช่วยเหลือของพระเจ้าได้ อัครทูตเปาโลยืนยันว่า... เรามีชัยเหลือล้น โดยพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย (โรม 8:37) ในยามยากลำบาก ให้เรามองไปยังพระเยซูคริสต์ อนาคตของเราอยู่ในพระองค์ เหตุการณ์ที่ดูเลวร้ายก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และอนาคตสดใสที่รอเราอยู่ก็อยู่ในพระองค์ และเมื่อเราอยู่ในพระองค์ เราก็สามารถมีใจขอบพระคุณได้ในทุกกรณี ดังนั้น ทุกปีก็เป็นปีใหม่ที่แสนสุขได้ จากวารสาร Vantage Point, March 2003 ขอขอบพระคุณ Dr. Peter Chao และ Eagles Communications ประเทศสิงคโปร์
thaibible.or.th

ให้เราเริ่มต้นทุกวันด้วยคำขอบคุณพระเจ้า

จงอย่ากังวลในสิ่งใด
จงอธิษฐานสำหรับสิ่งต่าง ๆ
และจงขอบคุณ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร

เราคุ้นเคยกับการภาวนาขอบคุณพระเจ้าที่โต๊ะอาหาร แต่เราเคยคิดถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำอย่างนั้น ตั้งแต่เริ่มต้นทุกวันบ้างไหม ? 

การฝึกเช่นนั้นจะช่วยนำเราให้มีท่าทีแห่งความรัก การให้อภัย และความมีเมตตา ทั้งยังช่วยให้เราระลึกได้ว่าที่จริงแล้ว แม้แต่ในขณะนี้ ความสุขก็ห้อมล้อมเราอยู่...


เริ่มต้นวันนี้ ด้วยการขอบคุณพระเจ้า
สำหรับเรื่องธรรมดา ๆ ในชีวิตที่นำความสุขยิ่งใหญ่มาให้

ขอบคุณพระองค์สำหรับงานอันสุจริต และมีประโยชน์
ตลอดจนทักษะความสามารถในการทำงานนั้น ๆ

ขอบคุณพระองค์สำหรับสิ่งสารพัดที่พระองค์ประทานให้
เพื่อตอบสนองความจำเป็นต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของคุณ

ขอบคุณพระองค์สำหรับความรักของครอบครัวและเพื่อน ๆ

และขอบคุณพระองค์สำหรับลมหายใจแห่งชีวิต
การกล่าวขอบคุณเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการนับพระพรของคุณ

บทความจาก : นิตยสารแม่พระยุคใหม่




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ อ่านมัทธิว 26:3 ถึง 27:66 ยูดาสตอบรับการเรียกของพระเยซูให้ติดตามเช่นเดียวกับสาวกคนอื่นๆ เขาออ...