วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

การนับถือบิดามารดา



จงนับถือบิดามารดา
    ในพระบัญญัติของพระเจ้าประการที่ 4 ถึงประการที่ 10 เป็นเรื่องราวของแนวทางการปฏิบัติตนของเราในการอยู่กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ว่าด้วยเรื่องสิ่งที่ต้องปฏิบัติและละเว้น เพื่อทำไห้การอยู่ร่วมกันในโลกนี้มีความสุขที่แท้จริง

  พระบัญญัติประการที่ 4 ที่บอกว่า “จงนับถือบิดามารดา” เป็นเสมือนแม่บทของการดำเนินชีวิตที่จะต้องมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น    เรามาดูความหมายที่แฝงไว้ว่าพระบัญญัติประการนี้สั่งให้เราทำอะไร และห้ามเราทำอะไร

    แน่นอนว่าจงนับถือบิดามารดาเป็นการสั่งให้รักเคารพเชื่อฟังและดูแลบิดามารดาของตน ส่วนการห้ามนั้นได้แก่ การห้ามการกระทำใดๆ ที่เป็นสิ่งตรงกันข้ามกับการสั่งให้ทำนั่นเอง

    สำหรับสาเหตุของการที่ต้องปฏิบัติตามพระบัญญัติข้อนี้เพราะว่าบิดามารดาเป็นผู้มีพระคุณ เป็นผู้ให้กำเนิดเรา เป็นผู้ดูแลเลี้ยงดูเรามาตังแต่อยู่ในครรภ์มารดา จนเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่และรับผดชอบตัวเองได้ และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ บิดามารดายังเป็นผู้แทนของพระเจ้าอีกด้วย

ในพระบัญญัติข้อนี้ มีสิ่งที่จะต้องเข้าใจเพิ่มเติมอีกหลายประการ เช่น
1.  คำว่าบิดามารดา ในที่นี้มิได้มีความหมายเพียงแค่บิดาและมารดาผู้ให้กำเนินเรามาเท่านั้น หากแต่ยังหมายถึงผู้หลักผู้ใหญ่ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นพี่ ป้า น้า อา ปู่ย่า ตายาย ครูอาจารย์ รวมไปถึงผู้ปกครองของเราทั้งฝ่ายกายและวิญญาณ (บรรดาพระสงฆ์-นักบวช)    อีกทั้งผู้ปกครองบ้านเมือง (รัฐบาล) ด้วยเหมือนกัน เรียกว่าครอบคลุมและกินความครบถ้วนเลยก็ว่าได้

2. ความหมายของพระบัญญัติในข้อนี้ นอกจากจะพูดถึงหน้าที่ของบุตรที่จะต้องมีต่อบิดามารดาและผู้อื่นตามนัยในข้อที่ 1 แล้ว    ในทางกลับกันยังหมายถึงหน้าที่ของบิดามารดาและผู้อื่นตามข้อที่ 1 ที่จะต้องมีต่อบุตรของตนด้วย ซึ่งจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป

3. นอกจากนั้น พระบัญญัติประการที่ 4 ยังหมายถึงหน้าที่ ที่จะต้องมีต่อปิตุภูมิหรือบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง และต่อเพื่อนมนุษย์ด้วย

ต่อไปนี้เป็นสรุปหน้าที่สำคัญๆ ที่จะต้องปฏิบัติต่อกันและกัน
1. หน้าที่ของบุตรต่อบิดามารดา    ดังที่ได้กล่าวไปบ้างแล้วว่า บุตรมีหน้าที่ที่จะต้องให้ความเคารพ นับถือ ต้องรักบิดามารดาของตน ต้องแสดงออกด้วยการกตัญญูรู้คุณ ตอบแทนพระคุณของท่าน ต้องมีความนบนอบเชื่อฟัง ไม่ทำให้ท่านเสียใจ ต้องดูแลเอาใจใส่เมื่อท่านเจ็บไข้ได้ป่วย หรือ เป็นทุกข์ หรือ ยามท่านสูงอายุ อกจากนั้น นอกเหนือจากบิดามารดาแล้วเรายังต้องเคารพปู่ ย่า ตา ยาย พี่ป้า น้าอา และผู้มีพระคุณต่อเราทุกคนด้วยเหมือนกัน

น่าเสียดายที่ในปัจจุบัน การให้ความเคารพต่อบิดามารดาและผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมของเราลดน้อยถอยลงไปเป็นอย่างมาก มีการละเมิดต่อผู้มีพระคุณในลักษณะต่างๆ มากมาย

2. หน้าที่บิดา-มารดาที่ต้องมีต่อบุตร    ในเวลาเดียวกันพระบัญญัติประการที่ 4 นี้ก็สั่งให้ผู้ที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่โดยเฉพาะบิดามารดา ต้องดูแลเอาใจใส่บุตรหลานของตนเองอย่างดีด้วยเช่นกัน ซึ่งหน้าที่ที่ต้องกระทำคือ...
ต้องดูแลให้บุตรหลานของตนเองเป็นคริสตชนที่ดี    มีความเชื่อความศรัทธาในพระเจ้าด้วยการให้บุตรหลานได้รับศีลล้างบาป เป็นคริสตชนที่สมบูรณ์ อีกทั้งยังต้องอบรมฝึกสอนและปลูกฝังความเชื่อความศรัทธา ให้เขารู้จักปฏิบัติศาสนกิจอย่างดีมีความหมาย นอกจากนี้ ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เขาในทุกๆ เรื่อง
ต้องเลี้ยงดูเขาให้เจริญเติบโตขึ้นมายอย่างดีด้วยการรักษาสุขภาพอนามัย มีอาหารรับประทาน มีเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นแก่ชีวิตของเขาอย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีการกระทำผิดเรื่องนี้มากขึ้น เราจะเห็นได้จากการไม่ดูแลเอาใจใส่บุตรหลานของตนเอง ทิ้งให้เด็กๆ อยู่กันตามยถากรรมขาดการอบรมสั่งสอน ทำให้เด็กๆ เติบโตท่ามกลางความเลวร้ายของสังคมและเสียไปในที่สุด

3. หน้าที่ของเราต่อประเทศชาติ    พระบัญญัติประการนี้สั่งให้เราเป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติของตน ด้วยการไม่กระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองใดๆโดยให้ความเคารพต่อรัฐบาลและข้าราชการ    ในประเด็นนี้มีข้อแนะนำว่า ถ้าพวกรัฐบาลหรือข้าราชการที่ไม่ดีที่อยุติธรม เราก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม แต่ต้องระวังว่าต้องพิสูจน์ได้จริงๆ ว่าเขาไม่ดีจริงๆมิใช่ใช้เพียงความคิดเห็นส่วนตัวเท่านั้น

นอกจากนี้การกระทำผิดกฎหมายบ้านเมืองใดๆ ก็ตามต่อหน้าพระศาสนจักรก็คือ เป็นความผิดด้วยเหมือนกัน    นอกจากกฎหมายนั้นๆ จะขัดต่อพระบัญญัติของพระศาสนจักรเราก็ไม่ต้องปฏิบัติ เช่น การทำแท้ง

ดังนั้น คริสตชนที่ดีจะต้องเสียภาษีอย่างถูกต้อง ต้องปกป้องประเทศชาติด้วยชีวิต ต้องใช้สิทธิใช้เสียงของตนในการเป็นพลเมืองที่ดีอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม เป็นที่น่าเสียดายเหมือนกันที่มีคริสตชนจำนวนไม่น้อยกระทำผิดในเรื่องนี้ เช่น การซื้อสิทธิ์ขายเสียง

4. ต่อเพื่อนพี่น้องร่วมชาติ    เราต้องให้ความเคารพในสิทธิ์ของเขา และรักเขาฉันท์พี่น้องตามที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงสั่งไว้

ส่วนผู้ที่เป็นรัฐบาล เป็นข้าราชการ ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนที่มีนั้นอย่างดีอย่างยุติธรรม ซื่อสัตย์ เช่น ดูแลความสงบเรียบร้อย จัดการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากด้วยความเอาใจใส่
ที่มา : หนังสือ หลักธรรมคำสอนคาทอลิก (คุณพ่อวุฒิเลิศ แห่ล้อม)


ทุกชาติทุกภาษาต่างยกย่องเทิดทูลพ่อแม่ไว้เหนือสิ่งใด  ทั้งนี้เนื่องจากสายสัมพันธ์ตามธรรมชาติ

สรุป     สำหรับสังคมไทยเรายิ่งให้เกียรติและยกย่องพ่อแม่เป็นทวีคูณถึงกับมีความเชื่อถือว่า  ใครนับถือพ่อแม่จะประสบความเจริญรุ่งเรือง  ใครไม่นับถือพ่อแม่จะอับโชค  ทำกินไม่ขึ้น

เหตุการณ์ในพระคัมภีร์
พระเยซูคริสได้ทรงวางแบบอย่างอันพึงปฏิบัติต่อพ่อแม่ไว้ให้เราคริสตชนได้เห็นและปฏิบัติตาม  คือ  “เมื่อพระกุมารมีพระชนมายุได้สิบสองพรรษา  พวกเขา  (พระกุมาร  พระนางมารีอา  นักบุญยอแซฟ)  ได้ไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในเทศกาลปัสกาตามธรรมเนียม  เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว  ขณะที่เดินทางกลับพระกุมารยังค้างอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยบิดามารดาไม่รู้  เขาทั้งสองคิดว่าพระกุมารคงปะปนมากับผู้ที่เดินทางมาด้วยกัน  พอเดินทางมาได้หนึ่งวันออกตามหาพระกุมารในหมู่ญาติพี่น้องและคนรู่จัก  แต่ไม่พบ  จึงรีบกลับไปกรุงเยรูซาเล็มอีกเที่ยวตามหาอยู่สามวัน  จึงพบพระกุมารประทับอยู่ในพระวิหารท่ามกลางบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย  กำลังฟังและไต่ถามอาจารย์เหล่านั้นอยู่  คนทั้งปวงที่ได้ยินที่ได้ฟังต่างก็พิศวงในสติปัญญาและคำตอบของพระกุมารยั้น  ฝ่ายบิดามารดาเห็นก็ประหลาดใจ  มารดาจึงกล่าวว่า  “ลูกเอ๋ย     ทำไมจึงทำเช่นนี้  ดูซิ  พ่อกับแม่ตามหาลูกด้วยความเป็ฯห่วงยิ่ง”  พระกุมารตอบว่า  “คุณพ่อคุณแม่ตามหาลูกทำไม  ?   ไม่ทราบหรือว่าลูกจะต้องกระทำภารกิจของพระบิดา  ?”  แต่บิดามารดาไม่เข้าใจคำตอบนี้  แล้วพระกุมารก็กลับไปนาซาแร็ธกับบอดามารดาและอยู่ใต้โอวาทของท่านทั้งสอง  ฝ่ายพระมารก็เก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจและพระกุมารก็เจริญเติบโตขึ้นทั้งสติปัญญาและวัยวุฒิ  เป็นที่พอพระทัยของพระเป็นเจ้า  และของเพื่อนบ้าทุกคน”  (ลก. 2,42 – 52)

จากเหตุการณ์นี้ทำให้เราเห็นพระกุมารกำลังทำหน้าที่ต่อบิดามารดาในสองระดับคือ  
1)  ต่อพระบิดา  คือ  พระเป็นเจ้าในสวรรค์และ  2)  ต่อบิดามารดา  คือพระนางมารีอาและนักบุญยอแซฟในโลกนี้  หน้าที่ต่อพระบิดาในสวรรค์ต้องมาก่อน  เพราะพระองค์ทรงเป็นพระบิดาเที่ยงแท้นิรันดรของพระองค์  ส่วนหน้าที่ต่อพระนางมารีอาและนักบุญยอแซฟมาทีหลัง  เพราะท่านทั้งสองเป็ฯบิดามารดาของพระองค์ในโลกนี้  พระกุมารจึงตอบว่าพระองค์ต้องทำภารกิจของพระบิดา  และแล้วก็ทำหน้าที่บิดามารดา  คือกลับไปนาซาแร็ธกับท่าน  และอยู่ใต้โอวาทของท่าน

หน้าที่เอกของลูกจึงได้แก่ความนบนอบเชื่อฟังบิดามารดา  เป็นต้น  เมื่อลูกๆ ยังอยู่กับท่าน  พระคัมภีร์ยังเตือนย้ำถึงหน้าที่นี้อยู่บ่อยๆ  เช่น  “ลูกเอ๋ย  จงถือบัญญัติของพ่อเจ้า  และอย่าละทิ้งคำสั่งสอนของแม่เจ้ามัดมันติดไว้ในใจเจ้าเสมอ  เมื่อเจ้าเดินมันจะนำเจ้า  เมื่อเจ้านอนมันจะเฝ้าเจ้า  เมื่อเจ้าตื่นมันจะพูดกับเจ้า”  (สภษ. 6,20 – 22)  และ  เด็กๆทั้งหลาย  จงนบนอบพ่อแม่ของเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง  เพราะการกระทำเช่นนี้พอพระทัยพระเป็นเจ้า”  (คส. 3,20)

หน้าที่ต่อมาของลูกต่อบิดามารดาก็คือความกตัญญูรู้คุณ  เพราะท่านเป็นผู้มีพระคุณสูงสุดในโลกนี้  เป็นผู้ให้กำเนิดลูกมา  เลี้ยงดูอบรมสั่งสอน  ปกป้องคุ้มครองจนเติบใหญ่  “จงนับถือดามารดาของเจ้าด้วยความเคารพเหนือเกล้า  จงอย่าลืมมารดาที่ให้กำเนิดเจ้ามาด้วยความเจ็บปวด  อย่าลืมว่าท่านทั้งสองเป็นผู้บังเกิดเกล้า  พระคุณของท่านต่อเจ้านั้นจะหาอะไรมาทดแทนได้  ?”  (บสร. 7,27 – 28)  ความกตัญญูรู้คุณนี้แสดงออกด้วยการให้ความช่วยเหลือพ่อแม่ทั้งทางกายและทางใจ  เป็นต้นในยามท่านแก่ชรา  เจ็บป่วย  อยู่โดดเดี่ยว  หรือประสบความยากลำบากใดๆ

ลูกๆยังต้องเคารพบิดามารดาของตนอยู่เสมอ  ให้เกียรติท่านยกย่องท่านไว้มนที่สูง  ไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นการลบหลู่ดูหมิ่น  แม้ด้วยวาจา  หนังสือบุตรสิรากล่าวว่า  “พระเจ้ายกย่องบิดามารดารเหนือบุตร  ทรงสนับสนุนสิทธิของบิดามารดาเหนือบุตร  บุตรที่เคารพนับถือบิดาก็ใช้หนี้บาปของตน  บุตรที่ให้เกียรติมารดาก็เท่ากับสะสมทรัพย์สมบัติไว้  ใครเคารพนับถือบิดาก็จะประสบความสุขสันต์หรรษากับบุตรของตนเอง  ในวาระที่เขาภาวนาอ้อนวอนพระเจ้าก็จะสดับฟัง  บุตรที่ให้เกียรติบิดาจะมีอายุยืน  บุตรที่เชื่อฟังพระเจ้าจะทำให้มารดาชื่นใจ  (บสร. 3,2 – 6)
เมื่อเราเคารพนับถือบิดามารดา  เราก็ต้องเคารพนับถือญาติพี่น้องของเราด้วย  เป็นต้นพี่น้องที่คลานตามกันมา  จงทำให้บ้านมีสันติด้วยการรักใคร่ปรองดองกันระหว่างพี่น้อง  ไม่ทะเลาะเบาะแว้งแก่งแย่งชิงดีกันอันจะทำให้พ่อแม่หนักใจ  และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจงทำตนเป็นลูกที่ดี  ประพฤติดี  มีสัมมาอาชีพ  ตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรมและมีศรัทธากล้าแข็งต่อพระเป็นเจ้าอยู่เสมอ  พ่อแม่จะได้ปลื้มใจที่ได้เห็นผลงานความสำเร็จในชีวิตของท่าน  คือเป็นผู้ให้กำเนิดทั้งกายและใจแก่ลูกๆตามหน้าที่ที่ท่านได้รับมาจากพระเป็นเจ้า  ท่านจะได้ตายตาหลับเหมือนผู้เฒ่าสิเมโอนที่กล่าวว่า  “บัดนี้ข้าพเจ้าหลับตาตายเป็นสุขได้แล้ว  เพราะตาข้าพเจ้าได้เห็นความรอดแล้ว”  (ลก. 2,29 – 30)

ข้อควรจำและไปปฏิบัติ
“จงนับถือบิดามารดา”
“พระเยซูกลับไปนาซาแร็ธกับบิดามารดาและอยู่ใต้โอวาทของท่านทั้งสอง” (ลก. 2,51)
“บุตรที่เกียรติบิดาจะมีอายุยืน บุตรที่เชื่อฟังพระเจ้าจะทำให้มารดารชื่นใจ”
“อย่าลืมว่าท่านทั้งสองเป็นผู้บังเกิดเกล้า พระคุณของท่านต่อเจ้าจะเอาอะไรมาทดแทนไม่ได้”  (บสร. 7,28)
จงทำตนเป็นลูกที่ดี ประพฤติดี  มีสัมมาอาชีพ  ตั้งมั่นในศีลในธรรม  และมีศรัทธากล้าแข็งต่อพระเป็นเจ้าอยู่เสมอ
kamsondeedee.com


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...