วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ผลดี หรือ ผลเลว

 


ผลดี หรือ ผลเลว

“จงทำให้ต้นไม้ดีและได้ผลดี หรือทำให้ต้นไม้เลวและได้ผลเลว เพราะว่าพวกเรารู้จักต้นด้วยผลของมัน

มัทธิว 12:33

คุณเคยกินแอปเปิ้ลสักลูกแล้วพบว่าข้างในมันเน่าไหม? อึ๋ย! ไม่มีอะไรน่าขยะแขยงไปกว่าผลไม้เก่าที่เน่าเสีย คุณเคยกินกล้วยที่สุกงอมมากๆเปลือกเป็นสีน้ำตาล นุ่มนิ่มๆ ไหม? ไหนจะส้มเน่า สตรอว์เบอร์รี่เน่า หรือลูกพีชที่ขึ้นราอีกล่ะ? ไม่มีใครอยากจะกินมันหรอกใช่มั้ย?

ทำไมเราถึงพูดถึงผลไม้? พระคำวันนี้เกี่ยวข้องกับอะไรเหรอ? อาจมีมากกว่าที่คุณรู้หรือเข้าใจ! ผู้คนจะจดจำเราได้โดยผลของเรา เราไม่ได้พูดถึงผลแอปเปิ้ลหรือผลส้มนะ  แต่เรากำลังพูดถึงผลของวิญญาณ ความรัก ความยินดี ความสงบ ความอดทน ความเมตตา ความดี การควบคุมตนเอง ความซื่อสัตย์ และความอ่อนโยน การเพียงแต่พูดว่าตนเป็นคริสเตียนนั้น ไม่ได้ทำให้เราเป็นคริสเตียนจริงๆ การเชื่อด้วยปากเท่านั้นไม่ได้เป็นการพิสูจน์ที่เพียงพอว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า แต่คุณต้องยึดติดกับพระเยซู (เหมือนเช่นเถาวัลย์ที่เกาะกิ่งไม้ ) เพื่อคุณจะได้เกิดผลดี แต่ถ้าคุณเลือกทางเดินที่ห่างไกลออกไปจากพระองค์ คุณก็จะเกิดผลเลว ในพระธรรม 1 ยอห์น 2:4 กล่าวว่า ถ้าบุคคลหนึ่งยังคงไม่ยอมที่จะเชื่อฟังพระคริสต์เขากำลังสร้างหลักฐานว่า "ความเชื่อ" ของเขานั้นเป็นเพียงในนามเท่านั้น  

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น: เมื่อมีคนมองมาที่คุณ พวกเขาจะได้เห็นคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารี แสดงความรัก ความสุข และความอดทน ต่อคนรอบข้างอยู่ หรือพวกเขาจะได้เห็นคนที่เอาแต่ใจ เข้ากับคนยาก และใจร้อนมาก!  พวกเขากำลังเห็นผลของคุณดีหรือผลเลวของคุณ! พวกเขาจะได้เห็นคนที่มีทัศนคติเชิงบวกที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น หรือพวกเขาจะได้เห็นคนที่เห็นแก่ตัว คอยหาทางกอบโกยผลประโยชน์ให้กับตัวเองอยู่เสมอ

แล้วคุณกำลังผลิต ผลแบบไหนอยู่ล่ะตอนนี้? ผลที่ดี? ผลที่เลว? ผลแห่งความสุข? หรือผลแห่งความทุกข์และหดหู่? การตัดสินใจเป็นของคุณคนเดียว เลือกเอาเลยว่าคุณอยากจะเป็นผลแบบไหน!

พระคัมภีร์สอนว่าพฤติกรรมเป็นการทดสอบความเชื่อที่สำคัญมาก คนดีก็เอาของดีออกมาจากคลังแห่งความดีในตัวของเขา ส่วนคนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลังแห่งความชั่วในตัวของเขา และปากนั้นพูดสิ่งที่มาจากใจด้วยเช่นกัน

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก  โปรดช่วยลูกผลิตผลดี! เวลามีคนมองมาที่ลูก ลูกอยากให้พวกเขาเห็นความรัก ความสุข ความสงบ ความอดทน และสิ่งที่ดีอื่นๆ ที่ลูกควรจะผลิตออกมา! ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ใจที่ยินดีจิตวิญญาณก็เปรมปรีดิ์

 


เลือกที่จะมีความสุข

เพราะฉะนั้น ใจข้าพเจ้าจึงยินดีและจิตวิญญาณก็เปรมปรีดิ์

ร่างกายของข้าพเจ้าก็อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยด้วย

สดุดี 16:9

คุณเป็นคนที่มีเพื่อนเยอะหรือไม่?   " เพื่อน " เป็นส่วนสำคัญของมนุษย์ทุกคน บางคนจะเป็นจะตายก็เพราะเพื่อนนี่แหละเป็นผู้ชี้ขาด เพื่อน คำนี้มีความหมายอย่างไรสำหรับคุณ? เราทุกคนก็ต่างให้ความหมายของคำนี้แตกต่างกันไป การเป็นเพื่อนที่ดีไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การใช้เวลาบำรุงรักษามิตรภาพให้ยั่งยืนก็เป็นความพยายามที่แสนจะคุ้มค่าเช่นกัน  เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี เราจะเห็นว่ายังมีใครบางคนอยู่เคียงข้างเราและใครบางคนห่างหายไปจากชีวิตเรา อีกทั้งเราจะได้รู้ว่ามิตรภาพที่รักษาไว้นั้นมีค่ามากแค่ไหน การมีเพื่อนที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญและเราเองก็ต้องเป็นเพื่อนที่ดีของผู้อื่นด้วย จงเป็นเพื่อนที่ดีและรักษามิตรภาพให้ยั่งยืน

แต่การมีเพื่อนมากก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป เพราะการมีเพื่อนมาก เรื่องก็ย่อมมากตามจำนวนเพื่อน ตรงข้ามหากไม่มีเพื่อนเสียเลย ให้อยู่คนเดียวคงเหงาไม่ใช่เล่นเช่นกัน

เพื่อนของคุณอาจมีลักษณะนิสัยแตกต่างกันไป  เพื่อนมีหลากหลายประเภท เพื่อนที่มีทัศนคติเชิงลบ เป็นเพื่อนที่แสนจะเอาเปรียบ  เพื่อนช่างนินทา-พูดจาไร้สาระ เพื่อนปากร้าย  เพื่อนปากหวาน-ดูดี-แต่ร้ายลึก เพื่อนที่ชอบออกคำสั่งตลอดเวลา-เอาตนเองเป็นหลัก  เพื่อนที่พูดฉอดๆแต่ไม่ค่อยฟังคนอื่น เพื่อนโนสนโนแคร์และชอบทำร้ายความรู้สึกคนรอบข้างแล้วบอกว่าเป็นคนตรงๆ เพื่อนที่ต่อหน้าอีกอย่างลับหลังอีกอย่างไม่มีความจริงใจ   เพื่อนที่มีทัศนคติเชิงบวก เป็นเพื่อนที่คุณไว้ใจได้ เพื่อนที่รักษาคำพูด  เพื่อนที่พึ่งพาได้ เพื่อนที่รู้จักขอโทษเมื่อทำผิด เพื่อนที่ซื่อสัตย์และจริงใจ เพื่อนที่ให้เกียรติต่อกันแม้จะคิดต่างหรือเลือกต่างกัน เพื่อนที่ไม่หลอกใช้ผู้อื่นเพราะเขารู้ว่ามิตรภาพแท้จริงคือการให้และการรับ  เพื่อนที่มีความภักดีต่อกันเพราะเขาให้ความสำคัญของมิตรภาพที่มั่นคง-ยั่งยืน เพื่อนที่รับฟังคุณคอยให้กำลังใจได้คุยด้วยแล้วคุณสบายใจ เพื่อนที่กล้าตำหนิเมื่อคุณทำผิด  เพื่อนที่อยู่ในความทรงจำเสมอแม้ไม่ได้เจอกันบ่อยแต่ความสัมพันธ์ที่มีให้กันยังอบอุ่นใจเมื่อได้คิดถึงกัน

 เชื่อว่าเพื่อนแต่ละคนของคุณก็ต้องไม่มีใครเหมือนกัน!  แต่มันคงไม่สนุกเลยที่จะต้องอยู่ใกล้ ๆกับคนที่มีทัศนคติและการกระทำเชิงลบ  ใช่ไหม!

เพื่อนที่ดีที่สุดคือเพื่อนที่มีสันติสุขได้ในทุกสถานการณ์ เขาเลือกที่จะมีความสุข แม้ว่าเขาจะต้องเจอเรื่องยากแค่ไหน เขามักจะเดินอยู่เหนือสถานการณ์ของเขาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าเสมอ และเขาก็ไม่ได้แกล้งทำ ไม่เลยสักนิด  นั่นอาจเป็นไปได้ว่าเขามีความสุขจากภายในสู่ภายนอกเพราะเขามีความปิติยินดีในหัวใจของเขา เพราะเขารู้ว่าเขาสามารถวางใจพระเจ้าได้ แม้ในยามยากลำบาก

นี่เป็นคำถามที่สำคัญ: ความสุข กับความทุกข์ คุณจะเลือกสิ่งไหน? คุณเป็นผู้ที่เลือกจะมีความสุขหรือไม่? คุณรู้หรือไม่ว่า รอยยิ้มของคนเรา ส่งผลต่อสารเคมีในสมอง นักวิจัยพบว่า “เมื่อเรายิ้มจะมีการหลั่งสารเคมีในสมองชื่อเอ็นดอร์ฟิน สารนี้ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย” รอยยิ้มไม่เพียงคลายสถานการณ์ตึงเครียด แต่ยังคลายความเครียดในตัวเราด้วย อารมณ์ของเรามีผลต่อทั้งตัวเองและต่อผู้อื่น พระคัมภีร์สอนให้เอา “ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดให้ร้าย กับการคิดปองร้ายทุกอย่างอยู่ห่างไกลจากท่านเถิด และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน” (เอเฟซัส 4:31-32)

ดังนั้นเมื่อคุณค้นพบสันติสุขที่แท้จริงในใจแล้ว ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบไหนคุณก็เลือกที่จะมีความสุข  คุณสามารถวางใจและขอบคุณพระเจ้าได้ ท่าทีที่คุณมีต่อสถานการณ์จะทำให้คนอื่นอยากมารู้ อยากมาสัมผัสว่าทำไมคุณยังยิ้มสู้ได้ในวันที่ยากลำบากเหล่านั้น แล้วสันติสุขที่เต็มล้นภายในจิตใจของคุณ(พลังงานบวก) ก็จะมีส่วนช่วยยกระดับจิตวิญญาณของคนอื่นได้ด้วย   

วันนี้ ทำไมไม่ลองขอให้พระเจ้าเติมเต็มความสุขความยินดีแท้จริงในใจให้กับคุณเพื่อที่คุณจะได้ส่งต่อความสุขนั้นไปยังเพื่อน ๆ และคนรอบข้าง

ข้อควรจำ และนำไปปฏิบัติ เราจะชื่นชมยินดีได้ ก็เมื่อเราเรียนรู้ที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในความรักของพระเยซู   แล้ว เพื่อนแบบไหนที่คุณอยู่ด้วยแล้วมีความสุข? เมื่อได้คำตอบแล้ว คุณก็ต้องเป็นเพื่อนที่ดีของผู้อื่นด้วย

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก  สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตของลูกไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบเลย แต่ก็ไม่เป็นไร วันนี้ลูกขอเลือกที่จะมีความสุขโดยการวางใจในพระองค์ โปรดเติมเต็มจิตใจของลูกด้วยความรักของพระองค์ เพื่อที่ลูกจะได้ส่งต่อความสุขนั้นออกไปให้กับคนรอบข้างได้!  โปรดช่วยให้ลูกคนที่มีพลังงานบวกในแบบของพระองค์ด้วยเทอญพระเจ้าข้า  ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

Thaiodb


วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ความท้อแท้

 


ความท้อแท้

เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”

ยอห์น 16:33

ในชีวิตเราแต่ละคน มีบางครั้งที่เรารู้สึกถึงความขมขื่นจากความผิดหวัง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สุดแสนจะทนไหว พระคัมภีร์กล่าวว่า “เมื่อไม่สมหวัง จิตใจก็เศร้าหมอง” เมื่อไม่สมหวังหรือผิดหวัง ก็พลิกฟื้นได้ยากมาก

คุณเคยท้อแท้หรือไม่? บางทีคุณอาจรู้สึกหดหู่ และดูเหมือนคุณจะยิ้มไม่ออกไม่ว่ารอบตัวจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แม้แต่คนรอบข้างทำเรื่องตลกคุณก็ยังหัวเราะไม่ได้เลย อาจเป็นเพราะในใจของคุณรู้สึกแย่มากๆ เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ ไม่ว่าในด้านการงาน การเงิน ความสัมพันธ์ เรื่องลูก ๆ เรื่องครอบครัว และโอกาสที่พลาดไป ซึ่งคุณได้หวังไว้ ก็ยากมาก และน่าท้อแท้ใจเหลือเกิน คุณจะรู้สึกโดดเดี่ยวมาก

แน่นอน ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับคุณเพียงคนเดียว  เราทุกคนต่างต้องเคยผ่านฤดูกาลแห่งความท้อแท้ พระเจ้าเข้าใจความรู้สึกนั้นดี แน่นอนว่าพระองค์จะเศร้าเล็กน้อยเมื่อเห็นลูกๆ (พวกเรา) เลือกที่จะออกห่างไปจากพระองค์

ความไม่สมหวังหรือผิดหวัง นำไปสู่ความท้อแท้ใจ ความหดหู่ และความสิ้นหวัง เมื่อคุณผิดหวัง ราวกับมีเมฆหมอกทึบปกคลุม นี่อาจส่งผลต่อศรัทธาของคุณ คุณอาจเริ่มสงสัยในความรักความห่วงใยที่พระองค์มีต่อคุณ นี่ก็คงถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องหันกลับไปหาพระเจ้า ให้คุณระบายกับพระองค์ คุณสามารถบอกพระองค์ตรง ๆ ว่ารู้สึกอย่างไร พระองค์จะไม่ขุ่นเคืองใจ เมื่อคุณตกอยู่ในวังวนของความผิดหวังและสิ้นหวัง คุณก็ควรหันไปหาพระองค์ อย่าปิดกั้นพระองค์ไว้ ทว่าจงเปิดใจให้พระองค์เข้ามา และบอกให้พระองค์รับรู้ว่าคุณหมายที่จะพึ่งพาความช่วยเหลือจากพระองค์ และฝากความผิดหวังทั้งหมดไว้ให้พระองค์ดูแล

คุณจะยกชูจิตวิญญาณของคุณเมื่อรู้สึกท้อแท้ได้อย่างไร? คุณจะเปลี่ยนวันที่เศร้าเป็นวันที่มีความสุขได้อย่างไร? คำตอบนั้นง่ายมาก: ให้คุณสรรเสริญพระเจ้า อาจฟังดูยาก แต่เเมื่อใดก็ตามมื่อคุณรู้สึกท้อแท้จริง ๆ แทนที่จะจดจ่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ ให้คุณหันมาขอบคุณพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงมีคำตอบ พระองค์จะทำเช่นนั้น ซึ่งคุณเองก็รู้ดี จงสรรเสริญและขอบคุณพระองค์สำหรับชัยชนะ ซึ่งจะมาถึง แม้ว่าคุณจะยังมองไม่เห็นหรือไม่รู้สึก ถึงแม้คุณจะรู้สึกว่า"คงจะไม่มีวันที่คุณจะฟันฝ่าความผิดหวังนี้ไปได้" ขอเพียงคุณเชื่อในพระองค์  แล้วพระองค์จะยกชูจิตวิญญาณของคุณขึ้นอีกครั้ง

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก บางครั้งลูกก็รู้สึกหดหู่ แม้คนรอบข้างดูมีความสุขกันดี แต่ทำไมลูกถึงอยากจะร้องไห้ ในช่วงเวลาที่ท้อแท้แบบนี้ โปรดช่วยเตือนลูกว่าลูกสามารถสรรเสริญพระองค์ได้ พระบิดาเจ้าข้า! ลูกมาขอพึ่งพาพระองค์ ขอให้ศรัทธาของลูกเข้มแข็ง เพื่อที่ลูกจะได้เลิกบ่นว่า แล้วหันกลับมาสรรเสริญ  และขอบพระคุณพระองค์ได้ในทุกสถานการณ์    ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

directors.tfionline

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2564

จงอย่าลำเอียง

 


จงอย่าลำเอียง

พี่น้องของข้าพเจ้า ในเมื่อพวกท่านมีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งศักดิ์ศรีของเรานั้น ก็จงอย่าลำเอียง

ยากอบ 2:1

คุณเป็นคนลำเอียง(เลือกที่รักมักที่ชัง รักแต่พวกพ้องของตนเอง)หรือไม่? เข้ากับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่วางตัวเป็นกลาง ไม่เที่ยงธรรม บางทีคุณอาจมีเพื่อนคนพิเศษ แล้วคุณปฏิบัติต่อพวกเขาดีกว่าที่คุณปฏิบัติต่อผู้อื่น ฟังดูมันก็โอเคดีใช่ไหม แต่พระคัมภีร์บอกว่าเราไม่ควรลำเอียง หรือเลือกที่รักมักที่ชัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณไม่ควรมีเพื่อนคนพิเศษนะ พระวจนะของพระเจ้าต้องการบอกคุณว่าคุณต้องปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความกรุณาในแบบเดียวกัน

มีเรื่องเล่าในพระคัมภีร์เกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาในโบสถ์เขาสวมเสื้อผ้าราคาแพง และเขาได้รับการปฏิบัติดีกว่าคนจนเพราะเขาดูดี ดูรวย พระเจ้าไม่ถูกใจในสิ่งนี้เลย! เราต้องปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนกัน ไม่ว่าพวกเขาจะแต่งตัวอย่างไร มีเงินมากหรือน้อยแค่ไหน หรือพวกเขาจะมีพักพวกกี่คนก็ตาม เราก็ไม่ควรลำเอียงแค่เพียงเพราะเราชอบรูปลักษณ์ภายนอกของเขาเท่านั้น  พระเจ้ารักคนทุกชาติ ทุกเผ่าพันธ์ ทุกรูปลักษณ์ เราทุกคนเท่าเทียมกันในสายพระเนตรของพระเจ้า

การเลือกปฏิบัติ หรือ 'discrimination' คือ การปฏิบัติที่แตกต่าง การกีดกัน การจำกัด หรือความพึงพอใจที่ไม่เท่ากัน ต่อคน/กลุ่มคนที่เหมือนกันและที่ไม่เหมือนกัน รวมไปถึงการปฏิบัติที่เหมือนกันแต่ส่งผลให้เกิดความเสียเปรียบต่อบางกลุ่มด้วย ซึ่งการปฏิบัติเหล่านี้เป็นพฤติกรรมที่เป็นอุปสรรคต่อหลักการความเท่าเทียมของมนุษย์

ดังนั้นอย่าเป็นคนลำเอียง  อย่าเลือกปฏิบัติดีแต่เฉพาะคนที่ตนเองรัก คนที่ตนเองชอบ คนที่ภายนอกดูดีและเลือกเมินเฉยต่อคนที่ดูตรงกันข้าม จงรักทุกคนเหมือนกัน พระเจ้าทรงทำเช่นนั้น คุณรู้ดี! และคุณต้องการที่จะเป็นเหมือนพระองค์ใช่ไหม? เอาล่ะ! นับจากนี้คุณต้องไม่เลือกที่รักมักที่ชัง หรือเลือกแต่เพื่อนพ้องของตนเองนะ!

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก ลูกมีเพื่อนคนพิเศษ และลูกก็รักพวกเขามาก บางครั้งก็ยากที่จะจำได้ว่าพระองค์อยากให้รักทุกคนเท่าๆ กัน ขอพระองค์โปรดช่วยลูกด้วย เพราะลูกต้องการรักผู้อื่นเท่าเทียมกันเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงทำ! ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2564

พูดความจริง

 


ฝึกพูดความจริง

พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง

5นี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และบอกกับพวกท่าน คือว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย 6ถ้าเราจะว่า เรามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ขณะที่ยังเดินอยู่ในความมืด เราก็โกหก และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง

1ยอห์น 1:5-6

คุณคิดว่าตัวเองเป็นหนึ่งในประชากรของพระเจ้าหรือไม่? ถ้าใช่ ฟังทางนี้! คนของพระเจ้าต้องพูดความจริง ทำไม? เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่เราจะต้องทำ แม้จะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากก็ตาม

การพูดความจริงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเ แต่เมื่อคุณแต่งเติมเรื่องที่ไม่จริงเข้าไปเพิ่มนั่นก็ผิดแล้ว คุณอาจจะพูดว่า "ฉันไม่ได้โกหกนะแต่” ฉันแค่ออกความคิดเพิ่มนิดหน่อยเอง  มีคริสตชนหลายคนที่ไม่เคยคิดว่าพวกเขาโกหก แต่นี่เป็นวิธีหนึ่งที่พวกเขาพลาดไป: การพูดว่าเราเป็นคริสตชน แต่ตัวเรากลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระวจนะของพระเจ้าหรือทำนอกเหนือไปจากนั้น  อุ๊ย! “นี่ก็เป็นการโกหกเหรอ?”  . ใช่! เพราะว่า คำพูดและการกระทำของเราต้องตรงกัน ถ้าเราจะพูดว่า เรามีสามัคคีธรรมกับพระเจ้าขณะที่เรายังเดินอยู่ในความมืด เราก็ได้โกหกแล้ว

ลองนึกภาพว่าคุณได้พบกับเพื่อนใหม่ที่โรงเรียน หรือที่ทำงาน แล้วคุณบอกเขาว่าคุณเป็นคริสตชน  หลายคนอาจตื่นเต้นมากที่จะมีคุณเป็นเพื่อนใหม่ คุณเริ่มทำกิจกรรมร่วมกันกับคนอื่นๆ พวกเขาเริ่มแบ่งปันความลับให้คุณฟัง มีเพื่อนใหม่เชิญคุณไปพักที่บ้านของเขา  แต่พอนานวันผ่านไปคุณก็ได้แสดงตัวตนออกมามากขึ้น คุณเริ่มไม่มีความรับผิดชอบ ไม่มีระเบียบวินัย ไม่มีความซื่อสัตย์ ไม่มีความสามัคคี ไม่มีความเสียสละ ไม่มีมารยาททางสังคม ไม่รู้จักการวางตน ไม่รู้จักการประมาณตน ไม่รู้จักควบคุณอารมณ์และการพูดจา ไม่มีน้ำใจไมตรี ไม่มีสัมมาคารวะ คนรอบข้างเริ่มสับสนกับการกระทำของคุณ หากให้เปรียบเปรย มันก็คงเหมือนกับแผ่นซีดีที่ไม่ตรงกับปกนอก  ทั้งที่คุณบอกว่าคุณเป็นคริสตชน..แต่การกระทำของคุณไม่ได้มีสามัคคีธรรมกับพระเจ้าเลย  

ในฐานะลูกของพระเจ้า(คริสตชน)เราต้องรักษาความจริง พูดความจริง มันอาจฟังง่ายแต่ทำได้ยาก แต่เราเองก็ต้องคอยฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ หากเราพูดว่าเรามีสามัคคีธรรมกับพระเจ้า เราก็ต้องหมั่นรักษาให้แสงแห่งความจริงส่องสว่างอยู่เสมอเช่นกัน! ถึงแม้มันจะยากแต่มันเป็นสิ่งที่เราต้องทำ พระเยซูสอนสาวกของพระองค์ว่า  จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ พูดแต่เพียงนี้ก็พอ คำพูดที่เกินจากนี้ไป ถือว่ามาจากความชั่ว

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า หลายครั้งที่ลูกล้มเหลวในการรักษาความจริง ลูกต้องการเป็นแสงที่ส่องสว่าง ซึ่งแปลว่าลูกต้องพูดความจริงเสมอ และลูกต้องทำในสิ่งที่พูดด้วย ดังนั้นลูกจึงต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ในการทรงนำลูกทั้งทางด้านจิตใจ วาจา และกิจการ ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ฉันจะเอาชนะความรู้สึกที่ถูกปฏิเสธได้อย่างไร?



ฉันจะเอาชนะความรู้สึกที่ถูกปฏิเสธได้อย่างไร?

“ถ้าโลกนี้เกลียดชังพวกท่าน ก็จงรู้ว่าโลกเกลียดชังเราก่อน

ยอห์น 15:18

คุณรู้ไหมว่าการถูกปฏิเสธหมายความว่าอย่างไร มันหมายความว่าเขาไม่รับ หรือไม่ยอมรับเรา เมื่อมีการปฏิเสธเกิดขึ้นย่อมหมายความว่าต้องมี “ผู้ปฏิเสธ” และ “ผู้ถูกปฏิเสธ” ถ้าเราใส่ใจความคิดเห็นของคนอื่นมากเกินไป คุณเองนั่นแหละจะกลายเป็นนักโทษ ดังนั้นอย่าปล่อยให้คำพูดของคนอื่นมามีอิทธิพลต่อชีวิตของคุณ อย่าทิ้งตัวตนของตนเองเพียงเพราะคนอื่นไม่ชอบหรือเพราะเราไม่เข้าพวก ไม่มีใครสามารถทำให้คุณด้อยค่าได้หรอกถ้าคุณไม่ได้เป็นคนมอบอำนาจเหล่านั้นให้พวกเขาเอง

การถูกปฏิเสธมีมาในทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นความรัก การงาน ในทุกความสัมพันธ์ หรือจะเรื่องอะไรก็ตาม คุณไม่ควรจะปล่อยให้มันมามีผลกระทบต่อความสุขของคุณ การถูกปฏิเสธอาจจะรู้สึกไม่ค่อยดีนักแต่คุณไม่ควรปล่อยให้มันมาพรากความสุขไปจากชีวิตของคุณ ความจริงของชีวิตคือเราทุกคนจะต้องเผชิญกับการถูกปฏิเสธ มันมีโอกาสที่การสมัครงาน การขอความรัก หรือการแสดงความคิดของคุณจะถูกปฏิเสธโดยคนบางคนในบางสถานที่ แต่มันคงจะดีกว่าถ้าเราจะยอมรับว่าการถูกปฏิเสธคือส่วนหนึ่งของชีวิตและรับรู้ว่าสิ่งที่สำคัญคือการค้นหาวิธีพัฒนาและพยายามให้มากขึ้นอีกครั้ง

เราทุกคนต้องเคยเผชิญกับการถูกปฏิเสธ มันเป็นช่วงเวลาที่ทำใจยากและยากเกินจะเข้าใจมากนะ ทั้ง ๆที่ตัวเราก็คิดว่าเราได้รับการยอมรับจากคนอื่นมาระดับหนึ่งแล้วแล้ว เราได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีแล้ว เรามีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและผู้อื่นอย่างดีแล้ว  แต่แล้วทำไมพวกเขายังแสดงท่าทีที่ ปฏิเสธเรา

"ทำไมพวกเขาทำเช่นนี้ละ? ก็ใครมันจะไปรู้ละ! ก็ใครมันจะไปเข้าใจ?  นั่นอาจเป็นเพราะมนุษย์เรามีเหตุผลที่แตกต่างกันไปในการปฏิเสธผู้อื่น สิ่งที่คุณต้องทำคือ ทำใจ และอย่าเอาการถูกปฏิเสธมาเป็นตัวตัดสินตนเอง. จำไว้ว่าการถูกปฏิเสธไม่ได้บ่งบอกความเป็นคุณ การถูกปฏิเสธเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและไม่ใช่การโจมตีเฉพาะบุคคล ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม

คุณต้องการคำแนะนำที่ยอดเยี่ยมในการจัดการกับการถูกปฏิเสธหรือไม่? ก่อนอื่นคุณต้องปฏิเสธความรู้สึกโทษตัวเอง! แล้วปล่อยมันไป. อย่ารู้สึกเสียใจกับตัวเอง แค่คุณต้องให้อภัยคนที่ทำร้ายคุณแล้วก้าวต่อไป สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้คือ: ตัดสินใจว่าจะไม่ปฏิเสธผู้อื่นแม้ว่าพวกเขาจะปฏิเสธคุณก่อนก็ตาม จงยอมรับพวกเขา รักพวกเขา และอธิฐานเผื่อพวกเขา.

ทำไมเราควรทำเช่นนี้? เพราะเราจะไม่มีวันชนะผู้อื่นต่อหน้าพระเจ้าได้ถ้าเราปฏิเสธพวกเขา  อย่างไรก็ตามในฐานะเป็นผู้เชื่อ ที่บังเกิดใหม่แล้วเรามีทรัพยากรในพระวจนะของพระเจ้าที่สามารถนำการปลอบโยน และความชัดเจนมายังสถานการณ์นี้ได้ นั่นคือตำแหน่งของเราในพระคริสต์สำคัญที่สุด การปฏิเสธของคนหนึ่งคนไม่ได้หมายความว่า เราไม่น่ารัก หรือเราไม่ได้เป็นที่รักของพระเจ้า

ฉันจะเอาชนะความรู้สึกที่ถูกปฏิเสธได้อย่างไร? เราจึงต้องทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความรักและการได้รับการยอมรับ เมื่อเราทำเช่นนี้ เราก็กำลังแสดงความรักของพระเจ้าแก่พวกเขา ดังนั้นปฏิเสธความคิดลบๆจากการถูกปฏิเสธ! กำจัดมันออกไปจากใจเรา. เพราะมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน จงรักทุกคนและพระเจ้าจะอวยพรคุณ

ดังนั้นถ้าคุณเป็นลูกของพระเจ้า คุณอาจทุกข์ทรมานกับความผิดหวังในชีวิตนี้ก็จริง แต่คุณต้องจำไว้ว่า  การถูกปฏิเสธนี้เป็นเพียงแค่ปัญหาชั่วขณะ คุณสามารถเลือกที่จะให้ปัญหานั้นทำให้คุณหยุดชะงักและเดินต่อไปด้วยร่างกายที่มีบาดแผล หรือคุณสามารถเลือกที่จะอ้างสิทธิ์ในมรดกสำหรับลูกของพระเจ้าและเดินหน้าต่อไปด้วยพระคุณ การให้อภัยของผู้อื่นและการให้อภัยของตัวเราเองเป็นของของขวัญที่เราสามารถ ให้แก่ผู้อื่นได้เพราะว่ามันเป็นของขวัญที่องค์พระเยซูคริสต์ได้มอบให้แก่เรา (เอเฟซัส 4:32)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก ความรู้สึกของการถูกคนอื่นปฏิเสธมันทำร้ายความรู้สึกของลูกอย่างมาก  ลูกไม่ชอบมันเลย โปรดช่วยลูกให้อภัยและยอมรับคนอื่นๆเพื่อที่ลูกจะได้แสดงความรักของพระองค์ออกไปให้กับเขาเหล่านั้นได้อย่างจริงใจ ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

gotquestions

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2564

เผชิญหน้ากับยักษ์โกลิอัท(อุปสรรค)ในชีวิตของคุณ

 


เผชิญหน้ากับยักษ์โกลิอัท(อุปสรรค)ในชีวิตของคุณ

มีชายคนหนึ่งชื่อโกลิอัทเป็นยอดทหาร ออกมาจากค่ายพวกฟีลิสเตีย เป็นชาวเมืองกัท สูง 3 เมตรกว่า

1ซามูเอล17:4

คุณเคยได้ยินคำว่าอุปสรรคไหม? อุปสรรคคือสิ่งที่ขวางทางคุณ ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังวิ่งแข่งอยู่ดีๆ ก็มีภูเขาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาขวางอยู่ต่อหน้าคุณ นี่คงเป็นอุปสรรคที่ใหญ่มากๆ! ใช่ไหม

มีเรื่องเล่าในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเด็กเลี้ยงแกะเขาเป็นเด็กผู้ชายตัวน้อยที่มีชื่อว่าดาวิด เขาได้เจอสิ่งกีดขวางที่ใหญ่มาก นั่นก็คือ ยักษ์ที่ชื่อว่า โกลิอัท! ดาวิดเผชิญหน้ากับสิ่งกีดขวางที่ทุกคนว่าใหญ่และน่ากลัวนั้น เขากระแทกโกลิอัทเข้าที่กลางหน้าผากของมันด้วยการใช้หนังสติ๊กที่ยิงด้วยหินเพียงก้อนเดียว  ว้าว!เลยใช่ไหมละ มันต้องมีบางอย่างที่ยอดเยี่ยมมากที่มาช่วยเพิ่มเติมความกล้าหาญเพื่อให้ดาวิดยืนหยัดต่อสู้อย่างเข้มแข็งแบบนี้ได้ คำตอบก็คือ ดาวิดมีศรัทธาในพระเจ้า  แม้ว่าทุกอย่างในชีวิตตอนนี้หรือที่ผ่านมาจะดูยากเกินไปสำหรับคุณ ขอเพียงคุณมีศรัทธาในพระเจ้า คุณก็จะสามารถพิชิตยักษ์ในชีวิตของคุณได้เหมือนอย่างที่ดาวิดทำแน่นอน

แล้วอุปสรรคที่คุณเจอคืออะไรละ? เกรดคะแนนที่ไม่ดี? สถานการณ์ทะเลาะกับพ่อแม่ที่บ้าน? ปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียน-เพื่อนร่วมงาน-คนรัก-ญาติพี่น้อง? การเปลี่ยนงานใหม่?  การเริ่มต้นใหม่?  มันอาจจะดูเป็นปัญหาใหญ่โตก็จริง แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย ให้คุณทูลขอพระเจ้า มอบความกล้าหาญให้กับคุณ ขอความกล้าหาญเดียวกันกับดาวิดเด็กเลี้ยงแกะ และด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า อุปสรรคใดที่ว่า "ใหญ่" ทั้งหมดที่คุณเจอก็จะหายไปในพริบตา  วันนี้อย่าลืมเอาหนังสติ๊กของคุณออกมาแล้วเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อรับมือกับอุปสรรคยักษ์ๆของคุณได้เลย!

บางครั้งฉันก็ประสบปัญหาใหญ่และน่ากลัว แต่เมื่อฉันทูลขอความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงช่วยให้ฉันเข้มแข็ง

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า บางครั้งลูกต้องเผชิญกับอุปสรรคใหญ่หลวงมากมายนัก พวกมันดูยิ่งใหญ่เกินกว่าแรงของลูกจะต้านทานไหวจริงๆ ! ลูกไม่สามารถปีนข้ามมันไปได้ จะขยับไปทางไหนก็ไม่ได้  ขอพระองค์ทรงช่วยให้ลูกมีศรัทธาเหมือนกับดาวิด ลูกอยากใช้หนังสติ๊กแห่งศรัทธาที่ลูกมีพิชิตกับทุกอุปสรรคที่ผ่านเข้ามา เพื่อที่ลูกจะได้มีพลังก้าวต่อไปได้อีกแม้ในยามยากลำบาก! ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

romyenchurch

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2564

อย่าวิ่งหนีพระเจ้า

 


อย่าวิ่งหนีพระเจ้า

แต่โยนาห์ได้ลุกขึ้นหนีไปยังเมืองทารชิชจากพระพักตร์พระยาห์เวห์ ท่านได้ลงไปยังเมืองยัฟฟา และพบเรือกำปั่นลำหนึ่งกำลังไปเมืองทารชิช ดังนั้นท่านจึงชำระค่าโดยสาร และลงเรือเดินทางร่วมกับเขาทั้งหลายไปยังเมืองทารชิช ให้พ้นจากพระพักตร์พระยาห์เวห์

โยนาห์ 1:3

คุณเคยต้องรับผิดชอบทำงานอะไรที่ใหญ่โตจนคุณเกิดกลัวและอยากจะวิ่งหนีไปบ้างไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณก็ควรอ่านเรื่องราวของโยนาห์! พระเจ้าขอให้โยนาห์ทำอะไรที่ยากจริงๆ และโยนาห์ก็เกิดกลัว เขาจึงหนีไป! แต่ด้วยวิธีพิเศษของพระองค์โยนาห์ ได้กลับมาหาพระเจ้าอีกครั้ง

โยนาห์ผู้ซึ่งพยายามจะแล่นเรือหนีออกห่างจากพระเจ้า เขาถูกโยนออกจากเรือลำใหญ่ และถูกปลายักษ์กลืนเข้าไป   เขาอยู่ในปลานั้นเป็นเวลาสามวันแต่ในที่สุดก็ออกมาได้ เขามีสิ่งมากมายที่ต้องสำนึกผิด นั่นหมายความว่าเขาต้องบอกพระเจ้าว่าเขาได้เสียใจที่เขาคิดหนีพระองค์ไปตั้งแต่แรก

เราเรียนรู้อะไรได้บ้างจากเรื่องราวของโยนาห์?  จำไว้ว่า อย่าวิ่งหนีจากแผนการของพระเจ้าที่มีไว้สำหรับชีวิตของคุณ แน่นอนว่าคุณจะต้องทำสิ่งที่ยากในบางครั้ง คุณอาจจะกลัว แต่จงวางใจในพระเจ้า พระองค์จะให้ความกล้าหาญแก่คุณในการทำสิ่งที่ต้องทำ อย่าวิ่งหรือแล่นเรือหนีออกไป แต่จงเผชิญหน้ากับเรื่องใหญ่นั้นเถิด!

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา บางครั้งลูกมีเรื่องยากที่ต้องทำ  มันเป็นสิ่งที่ลูกไม่อยากทำ หรือยังไม่พร้อมที่จะทำ ลูกเคยคิดอยากหันหลังแล้ววิ่งหนีไป แต่ลูกก็ไม่อยากเป็นอย่างโยนาห์! ขอโปรดมอบความกล้าเพื่อที่ลูกจะได้ทำในสิ่งที่พระองค์ทรงมีแผนการไว้แล้วสำหรับชีวิตของลูกด้วยเถิด ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

siamchristian


วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2564

แค่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ

 


แค่น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ

ถ้าศัตรูของเจ้าหิว จงให้อาหารเขากิน

และถ้าเขากระหาย จงให้น้ำเขาดื่ม

สุภาษิต25:21

คุณจะทำอย่างไรถ้าจู่ๆ เพื่อนสนิท-เพื่อนร่วมงานของคุณเกิดเปลี่ยนใจว่าเขาไม่ต้องการเป็นเพื่อนกับคุณอีกต่อไป และถ้าเพื่อนคนอื่นของคุณทำแบบเดียวกัน ทั้งที่คุณเองก็ไม่รู้ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร? อาจมีเรื่องที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดโดยที่คุณเองก็ไม่ได้เป็นคนทำเลย มันคงเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากใช่ไหม? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ใช่แค่กับวัยเด็ก มันเกิดขึ้นกับวัยรุ่น วัยทำงาน วัยผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน และอาจนำมาซึ่งปัญหาและความวุ่นวายใจ  ในทุกความสัมพันธ์แรกเริ่มเราอาจเริ่มต้นจากการเป็นเพื่อนเป็นมิตรที่ดีแต่บางครั้งก็จบลงด้วยการเป็นศัตรู อันที่จริงมันอาจมีเรื่องแย่ๆตามมาอีกมากมายก็เป็นได้

คุณรู้มั้ยว่าพระเจ้าทรงเสียใจทุกครั้งเมื่อเห็นลูกๆของพระองค์ไม่เข้าใจกัน? มันเป็นความจริง. เพราะพระองค์ต้องการให้ลูก ๆ ของพระองค์รักกัน เห็นอกเห็นใจกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่จะเป็นไปได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีคนอื่นใจร้ายกับคุณก่อน แล้วคุณจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น?

แทนที่จะโกรธหรือโมโห ทำไมไม่ลองเปลี่ยนมาเป็นคิดดีและใจดีกับเขาเหล่านั้นหน่อยล่ะ? พระคัมภีร์กล่าวว่าเราไม่ควรทำชั่วตอบแทนความชั่ว ประสบการณ์จะแสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติต่อผู้อื่นไม่ดีนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาเลย อันที่จริงมันทำให้สิ่งต่าง ๆ แย่ลงหนักกว่าเดิมเสียอีก!

นี้อาจฟังดูบ้าบอไม่น่ามีใครทำได้ แต่ครั้งต่อไปที่เพื่อนหรือคนรู้จัก-คิด-พูด-ปฏิบัติกับคุณไม่ดี ให้คุณลองทำอะไรดีๆ ตอบกลับให้พวกเขา อาจจะเป็นคำพูดดีๆ บวกรอยยิ้มสวยๆ บวกความจริงใจ อธิษฐานเผื่อเขา และแสดงความมีน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ กับพวกเขาเมื่อมีโอกาสทำ บางทีนี่อาจจะเป็นอะไรที่มีความหมายมากสำหรับคุณก็ได้  แล้วมาคอยดูว่าน้ำใจดีเล็กๆ น้อยๆ ของคุณจะช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้นได้หรือไม่!

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก บางครั้งความรู้สึกของลูกก็เจ็บปวดมาก ลูกไม่รู้ว่าทำไมบางความสัมพันธ์มันถึงได้วุ่นวาย-ซับซ้อน-ยากที่จะเข้าใจได้นัก ลูกขอขอบพระคุณที่ทรงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งลูก โปรดแสดงให้ลูกเห็นวิธีตอบสนองต่อผู้อื่นด้วยท่าทีที่ถูกต้องและมีความรักความเมตตานำทาง ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2564

การทรงสร้าง

 


การทรงสร้าง

ดังเช่น ในพระคริสต์ พระเจ้าทรงเลือกเราตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลก เพื่อให้เราบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์

เอเฟซัส1:4

ความมีระบบระเบียบของพระเจ้าสำแดงผ่านการทรงสร้าง ที่เป็นขั้นเป็นตอน ทรงเรียงลำดับก่อนหลัง และ มีการตรวจวัดอย่างละเอียดว่า “ดียิ่งนัก” ในทุกสิ่ง นั่นแสดงว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงสร้างแบบส่งๆไป แต่ทรงสร้างอย่างบรรจง อย่างงดงาม ไร้ที่ติ ทรงตรวจสอบด้วยพระองค์เองในทุกรายละเอียด = เมื่อพระเจ้าทรงสร้าง หรือ กระทำสิ่งใดๆ ในชีวิตของเรา ย่อมผ่านกระบวนการ “ดียิ่งนักแล้ว”

เมื่อพระเจ้าสร้างชั้นฟ้าและแผ่นดินทั้งหลาย พระองค์มิได้ทรงเอาสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงให้เป็นบางสิ่งแทน พระองค์ทรงตั้งใจออกแบบในทุกผลงาน ทุกสิ่งสร้างของพระองค์ช่างน่าอัศจรรย์ใจใช่มั้ย? พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่ง !  และพระองค์มิได้หยุดอยู่เพียงชั้นฟ้าและแผ่นดินทั้งหลาย แต่พระองค์ทรงทำให้โลกเต็มไปด้วยแม่น้ำและภูเขา สัตว์และปลา และอื่นๆอีกมากมาย!  

จะเห็นได้ว่า การทรงสร้างของพระเจ้าแต่ละลำดับขั้น เพื่อจุดประสงค์สุดท้าย คือ ให้มนุษย์ครอบครอง = พระเจ้าทรงจัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่มนุษย์เป็นอย่างดี ให้ระบบนิเวศน์ดูแลกันเองได้ หมายถึง พืชพันธุ์จะเจริญงอกงาม เกิดผลออกมาด้วยระบบ น้ำ ดิน ลม และอากาศ ส่วนสัตว์จะได้อาศัยระบบนิเวศน์แรกในการดำรงชีพ เป็นอีกวงโคจรหนึ่ง หรือ อีกระบบนิเวศน์หนึ่งที่ซ้อนขึ้นมา ส่วนมนุษย์ก็จะใช้ระบบนิเวศน์ทั้ง 2 นั้นด้วยการครอบครอง = มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้ทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดดอกออกผล หรือ ขยายพันธุ์ แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงทำให้ และ ตั้งให้สิ่งเหล่านั้นเป็นระบบนิเวศน์ที่ออกผล ขยายพันธุ์ด้วยตัวของมันเอง (เปรียบเสมือนการตั้งระบบ automatic ไว้ในโลกนี้อยู่แล้ว)

ใช่ เรากำลังรับใช้พระเจ้าผู้เป็นพระผู้สร้างสรรค์  ผู้ซึ่งเอาใจใส่ในทุกสิ่งที่พระองค์สร้างเป็นอย่างดี การสร้างที่ดีที่สุดของพระองค์ก็คือพวกเราผู้เป็นประชากรของพระองค์ เรามีความสำคัญกับพระองค์มากกว่าสัตว์ ต้นไม้ มหาสมุทร หรือสิ่งอื่นใด เมื่อพระองค์ทรงสร้างเรา พระองค์ทรงสร้างจิตวิญญาณของพระองค์ไว้ในเราและทรงสร้างเราตามพระฉายาของพระองค์ พวกเราแต่ละคน รวมถึงคุณ ต่างก็มีความพิเศษมากสำหรับพระผู้สร้างของเรา!

พระคัมภีร์เริ่มต้นด้วยการทรงสร้างของพระเจ้า และ บรรจบด้วยแผ่นดินสวรรค์ นั่นหมายความว่า พระเจ้าทรงรู้อนาคตทุกอย่าง แต่ดวงพระทัยของพระเจ้ายังคงตั้งมั่นคงที่จะสำแดงให้แก่มนุษยชาติ และพระปัญญาของพระเจ้าได้มีทางออกให้แก่เราทั้งหลาย ด้วยการพิพากษาที่ทรงธรรม ด้วยการสร้างแผ่นดินสวรรค์นิรันดรไว้เรียบร้อยแล้ว

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดที่รัก ลูกขอขอบพระคุณที่ทรงสละเวลามาสร้างโลก.. และสร้างลูก! ลูกขอขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

harpandbowlministry

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2564

การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ

 


การให้

ข้าพเจ้าวางแบบอย่างให้ท่านแล้วในทุกเรื่อง เพื่อให้เห็นว่าโดยการตรากตรำงานแบบเดียวกันนี้ เราต้องช่วยพวกที่มีกำลังน้อย และระลึกถึงพระวจนะของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ตามที่พระองค์ตรัสว่า ‘การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ’ ”

กิจการ.20:35

ตามข้อพระคัมภีร์ข้างต้น การให้ย่อมดีกว่าการรับ มันน่าทึ่งใช่มั้ยละ แต่ว่าการเป็นผู้รับนั้นก็สนุกมากเหมือนกัน แน่นอนว่าการได้เปิดของขวัญในวันคริสต์มาส วันปีใหม่ วันเกิด หรือรับเงินสดจากญาติผู้ใหญ่ของคุณ มันตื่นเต้นมากเลย  แต่ทำไมคุณไม่ลองเป็นผู้ให้(ส่งต่อความสุข)กับผู้อื่นดูบ้างล่ะ แล้วมาดูว่าการเป็นผู้ให้หรือผู้รับ อันไหนมันจะให้ความรู้สึกดีกว่ากัน  คุณอาจจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพิ่มก็ได้นะ!

คุณสามารถเป็นผู้ให้ด้วยวิธีต่อไปนี้:  ลองไปพูดคุยกับคุณตาคุณยายข้างบ้าน หรือคนที่อยู่โดดเดี่ยวคนที่ไม่มีครอบครัวในละแวกที่คุณอาศัยอยู่บ้าง เพราะบางครั้งการแสดงความห่วงใยการเอาใจใส่ก็นับเป็นการให้ที่เยี่ยมยอดมากๆเช่นกัน  ลองซื้อน้ำขวดหรืออาหารกระป๋อง นม ขนม ไข่เพื่อไปมอบให้บ้านใกล้เรือนเคียงที่เรามองดูแล้วรู้สึกว่าเขากำลังต้องการน้ำใจเล็กๆน้อยๆจากเราอยู่  หรือจะแจกเสื้อผ้าที่คุณใส่ไม่ได้แล้วให้กับคนที่เขาต้องการมัน แทนที่คุณจะออกไปกินข้าวนอกบ้านบ่อยๆ  ก็เปลี่ยนมาเป็นไม่ต้องไปแล้วเก็บเงินนั้นไว้ไปทำบุญช่วยเหลือบริจาคให้กับกองทุนเด็กๆที่มีทั้งในประเทศและต่างประเทศ

มีหลายวิธีที่คุณสามารถเป็นผู้ให้ได้ ไม่ต้องไปมองหาคนอื่นคนไกล ให้เราเริ่มให้กับคนในครอบครัวของเรา โดยการให้ความสบายใจแก่คนในบ้าน ด้วยการ เป็นคนดี มีน้ำใจต่อคนในครอบครัว รับผิดชอบต่อหน้าที่ ต่อตนเองและต่อผู้อื่น ที่สำคัญต้องมีใจขอบพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอ ทั้งหมดนี้ก็เป็นการให้ที่ดีเยี่ยมได้แล้วคะ และหากคุณทำได้ดีคุณจะรู้สึกว่ามันมหัศจรรย์มากที่คุณสามารถทำอะไรเพื่อคนอื่นได้ แล้วคุณจะเข้าใจว่า การให้นั้นสุขใจเป็นสองเท่าและอาจจะมากกว่าการเป็นผู้รับเสียอีก !  คุณเองก็ได้ความสุขใจที่ได้แบ่งปัน ส่วนคนรับก็มีความสุขเช่นกัน แต่ถ้าจะให้ดีเราก็ต้องให้ในสิ่งที่คนเขาต้องการด้วยนะ(แต่ต้องไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน)และเราต้องไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เราต้องให้ด้วยใจจริง และทำเพื่อถวายเกียรติแด่พระบิดาบนสวรรค์ของเรา

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก ลูกต้องขอสารภาพว่าบางครั้งตัวลูกเองก็ชอบและมีความสุขกับการเป็นผู้รับ   ขอพระองค์โปรดช่วยให้ลูกมีใจกว้างกว่านี้ ! โปรดช่วยทำให้จิตใจของลูกเต็มล้นไปด้วยคำสอนของพระเยซู เพื่อที่ลูกจะได้ดำเนินชีวิตด้วยการเป็นผู้ให้เหมือนกับที่พระองค์ทรงสอนไว้ ลูกอยากเป็นผู้ให้ที่มีความสุข! ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ความพึงพอใจ

 


ความพึงพอใจ

6อันที่จริง การอยู่ในทางพระเจ้าพร้อมกับมีความพอใจก็เป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวง 7เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกเช่นไร เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้เช่นกัน 8ถ้ามีอาหารและเสื้อผ้า เราก็ควรพอใจในสิ่งเหล่านั้น

1 ทิโมธี 6:6-8

คุณรู้จักคำว่าพอใจไหม? มันเป็นคำที่มีความหมายยิ่งใหญ่และกว้างมาก  การพอใจกับสิ่งที่คุณมี คือคุณยินดีในสิ่งที่ได้” มันคือ “กุญแจสู่ความสุขและความก้าวหน้าของชีวิต การพอใจในสิ่งที่มีแปลว่าได้เท่าไรก็พอใจ แม้คนอื่นจะได้มากกว่าก็ไม่เป็นทุกข์ อย่างไรก็ตามเมื่อพอใจสิ่งที่ได้มาแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะมานั่งเฉย ๆ งอมืองอเท้า ตรงกันข้ามเราต้องขยันหมั่นเพียรต่อไป ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจความจริงในข้อนี้ก่อนว่าความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การมีมากๆ หรือการได้บริโภคเยอะๆ แต่มันอยู่ที่เราได้ทำงานและได้สร้างสรรค์สิ่งดีให้แก่คนอื่นๆด้วย

การพอใจในสิ่งที่คุณมี คือ คุณไม่ได้มีความอยากได้ของใหม่มาเติมเต็มตนเองอยู่ตลอดเวลา คุณไม่ได้ร้องขอให้พ่อแม่หรือตนเองซื้อ ซื้อ ซื้อของใหม่เพื่อตามกระแสโลกยู่เสมอ เช่นเสื้อผ้า  ของเล่น เกม ของใช้ โทรศัพท์ รถยนต์ กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา เครื่องประดับ ทองคำเพชรพลอย อุปกร์เทคโนโลยีใหม่ๆ คุณไม่ได้ต้องการมันเพิ่มเลยเพราะว่าคุณพอใจในสิ่งของต่างๆที่คุณมีอยู่แล้ว   และคุณรู้ดีว่าของที่คุณมีอยู่มันก็เพียงพอและยังใช้ประโยชน์ได้ดีอยู่ นั่นก็คือพอแล้วสำหรับคุณ

คำว่าพอใจในที่นี้เนื้อหาเป็นมากกว่าการพอใจในสิ่งของเท่านั้นแต่การพอใจจริงๆ หมายความว่าข้างในจิตใจของคุณนั้นคุณสบายดี แม้ว่าภายนอกจะต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากและชีวิตที่ไม่สมเหตุสมผล คุณก็ยังสามารถวางใจได้ว่าพระเจ้าจะดูแลสิ่งต่างๆ เมื่อคุณเชื่อใจพระองค์ คุณก็รู้สึกพอใจเพราะรู้ว่าทุกอย่างจะจบลงด้วยดี

คนที่พอใจ และพอเพียงเขาจะนอนหลับสบายในตอนกลางคืนและหลับไหลเหมือนเด็กทารกเพราะพวกเขารู้ดีว่าพระเจ้าเป็นผู้ควบคุมทุกสิ่ง แล้วคุณละเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่พึงพอใจหรือไม่? ถ้ายังไม่ใช่ ก็จงทูลขอให้พระเจ้าแสดงให้คุณเห็นว่าคุณจะพอใจในพระองค์ได้อย่างไรบ้าง?

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ลูกต้องการที่จะพอใจ และพอเพียง โปรดช่วยให้ลูกพอใจในสิ่งที่ตนมี ลูกจะไม่ขออะไรมากไปกว่านี้ และถึงแม้ชีวิตจะต้องพบเจอกับความยากลำบาก ก็โปรดช่วยให้ลูกคงความพอใจโดยวางใจว่าพระองค์กำลังทำทุกอย่างเพื่อลูกอยู่ โปรดให้ลูกมีความอดทนและก้าวเดินต่อไปในเส้นทางของพระองค์ ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2564

กลัวหรือมีศรัทธา

 


กลัวหรือมีศรัทธา

พระยาห์เวห์ทรงเป็นความสว่างและความรอดของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าจะกลัวผู้ใดเล่า?

สดุดี 27:1

คุณเคยเห็นโฆษณาในทีวีเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กำจัดคราบดำคราบสกปรก แล้วเขารับประกันว่าจะขจัดคราบที่ไม่พึงประสงค์ทั้งหมดออกบ้างหรือไม่? ฟังดูแล้วต้องร้องว้าวเลยใช่ไหม!  

ชีวิตคนเราก็เหมือนกัน คุณเองก็ต้องการมี "เครื่องกำจัดความกลัว" ใช่หรือไม่ เพื่อที่คุณจะได้ใช้มันเพื่อขจัดความกังวลและความกลัวทั้งหมดในชีวิตของคุณได้อย่างรวดเร็ว เดาสิว่าสิ่งนั้นคืออะไร? คุณทำได้ตอนนี้เลยนะ!

เพราะเมื่อคุณวางใจในพระเจ้า คุณจะไม่มีอะไรต้องกลัว แม้แต่ความมืด  ความตาย! การพลัดพรากจากลา บางคนกลัวการไปโรงเรียน  กลัวการไปเจอผู้คน! กลัวการล้มเหลว กลัวการเริ่มต้นใหม่ กลัวที่จะทำสิ่งใหม่ๆ กลัวจะทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร หลายคนกลัวจนไม่กล้าทำอะไรเลย หรือกลัวว่าจะกลายเป็นตัวตลกของคนอื่น  คุณสามารถอธิษฐานได้ทุกครั้งที่รู้สึกกลัว หรือรู้สึกกังวลใจ  ให้คุณพูดว่า ความกลัว จงหายไปลูกขออธิษฐานในพระนามพระเยซู!

ศรัทธาคือความมั่นใจและความวางใจในพระเยซูคริสต์ซึ่งนำบุคคลให้เชื่อฟังพระองค์. ศรัทธาต้องมีศูนย์กลางอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ศรัทธานำบุคคลสู่ความรอด. การมีศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าพระบิดา, พระวิญญาณบริสุทธิ์ ศรัทธายังรวมถึงความหวังในสิ่งซึ่งเรามองไม่เห็น

พระเจ้าไม่เคยต้องการให้ลูกๆของพระองค์ตกอยู่ในความกลัว แท้จริงแล้ว ความศรัทธาเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความกลัว ดังนั้นครั้งต่อไปที่คุณเริ่มกลัว จงจำไว้ว่าพระเจ้าคือแสงสว่างและความรอดของคุณ จ้องมองไปที่สิ่งที่ทำให้คุณกลัวและพูดคำเหล่านี้: "ความกลัวจงหายไป ลูกขออธิษฐานในพระนามพระเยซู"

การมีศรัทธาคือคุณเชื่อมั่นว่าคุณจะได้รับ มีความหวังในสิ่งซึ่งไม่เห็น, คนที่มีศรัทธาในพระคริสต์จะแนบสนิทอยู่กับทุกสิ่งที่ดี หากคุณทูลถามโดยมีศรัทธาในพระคริสต์, พระองค์จะทรงแสดงความจริงให้ประจักษ์ แต่ถ้าคุณปราศจากศรัทธาคุณจะทำอะไรไม่ได้ ฉะนั้นจงขอด้วยศรัทธา

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดที่รัก  ลูกดีใจมากที่ไม่ต้องกลัวอีกต่อไป ว้าว! ลูกรู้สึกโล่งใจในทันที  ลูกขอขอบคุณที่พระองค์ทรงช่วยนำเอาความกลัวออกไปอย่างรวดเร็วจากใจลูก ลูกรู้สึกสบายใจมากขึ้น นับจากนี้ลูกจะจำไว้เสมอว่าพระองค์ทรงเป็นความสว่างและความรอดของลูก ไม่มีสิ่งใดที่ลูกจะต้องกลัวอีกต่อไป ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ อ่านมัทธิว 8:1 ถึง 11:1 ​    25 และพวกสาวกมาปลุกพระองค์ ทูลว่า “องค์พร...