วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ความอุดมสมบูรณ์ของพระองค์

 


สรรเสริญพระเจ้าสำหรับความอุดมสมบูรณ์ของพระองค์

ขโมยนั้นมาเพียงเพื่อลัก ฆ่า และทำลาย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะมีชีวิตและมีชีวิตอย่างครบบริบูรณ์

ยอห์น 10:10

ของขวัญจากพระเจ้ามีไว้ให้ทุกคน แต่ก็ขึ้นอยู่กับคุณที่จะต้องใช้สิทธิ์นั้นเรียกร้องโดยการเลือกติดตามพระคริสต์ ในฐานะผู้เชื่อ เรามีอิสระที่จะรับของขวัญจากพระเจ้าหรือไม่ก็ได้ และจากการเลือกนั้นและผลที่ตามมานั้นมันจะเป็นของเราเท่านั้น

บทที่ 10 ของยอห์นบอกเราว่าพระคริสต์เสด็จมาบนแผ่นดินโลกเพื่อชีวิตของเราจะเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ แล้วพระเยซูทรงหมายความว่าอย่างไร เมื่อพระองค์สัญญาว่า "ชีวิตอย่างครบบริบูรณ์"? พระเยซูหมายถึงทรัพย์สินทางวัตถุหรือความมั่งคั่งทางการเงินหรือไม่? แทบจะไม่ใช่เลย. เมื่อพระเยซูประกาศพระองค์ว่าเป็นผู้เลี้ยงแกะของมนุษยชาติ (ยอห์น 10:7-9) พระองค์ประทานความอุดมสมบูรณ์ในอีกรูปแบบหนึ่ง ความบริบูรณ์ที่พระเยซูหมายถึงไม่อาจวัดโดยมาตรฐานของโลกเช่น ความร่ำรวย หรือบ้านและที่ดิน แต่เป็นหัวใจ ความคิด จิตวิญญาณ และกำลังที่เต็มด้วยการขอบพระคุณที่พระผู้เลี้ยงผู้ประเสริฐได้ประทาน “ชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ (ข้อ 11) และทรงดูแลเราและความต้องการประจำวันของเรา นี่คือชีวิตที่บริบูรณ์ ชีวิตที่ชื่นชมยินดีในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ที่เราแต่ละคนมีได้

หากคุณเป็นผู้เชื่อที่มีความคิดไตร่ตรอง คุณจะเปิดรับความอุดมสมบูรณ์ทางวิญญาณของพระคริสต์โดยการติดตามพระองค์อย่างสมบูรณ์และไม่มีข้อจำกัดเมื่อทำเช่นนั้น คุณจะได้รับความรัก สันติสุข และความปิติยินดีที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้

ความบริบูรณ์ของชีวิตในพระคริสต์มีให้สำหรับทุกคนที่แสวงหาและอ้างสิทธิ์ในสิ่งนั้น อย่าลืมนับตัวเองในคนจำนวนนั้น แสวงหาความรอดที่มีอยู่ผ่านความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเยซูก่อน แล้วจึงเรียกร้องความอุดมสมบูรณ์ที่สามารถและที่ควรจะเป็นของคุณ

คุณได้แสวงหาความบริบูรณ์ที่พระผู้ช่วยให้รอดของเราได้มอบให้คุณอย่างจริงใจบ้างหรือไม่? ถ้าใช่ ก็ขอให้ติดตามพระองค์ไป-และรับพรที่พระองค์สัญญาไว้ เมื่อคุณสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและหลงใหลไปกับพระคริสต์ คุณจะมีอิสระที่จะเรียกร้องความรัก การปกป้อง และความอุดมสมบูรณ์ทางวิญญาณที่ผู้เลี้ยงแกะมอบให้แกะของพระองค์

คำอธิษฐานประจำวันนี้

ลูกขอสรรเสริญพระบิดาาสำหรับชีวิตที่ครบบริบูรณ์ซึ่งประทานผ่านทางพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ พระองค์อวยพรลูกมากมายไร้ขอบเขต ขอทรงโปรดให้ลูกเป็นผู้สัตย์ซื่อในของกำนัลซึ่งพระองค์ประทานแก่ลูก เพื่อลูกจะได้แบ่งปันความอุดมสมบูรณ์ของพระองค์แก่ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตของลูก ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจจาก

100 Days of Praising God

thaiodb


วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ความฉลาดรอบคอบ

 


ความฉลาดรอบคอบ

คุณเคยทำอะไรโง่ๆ แล้วต้องมานั่งเสียใจภายหลังไหม? แต่ถ้าคุณได้นำเอาคำสอนในหนังสือสุภาษิตมาปฏิบัติในชีวิตจริง เรื่องที่ว่านี้จะไม่เกิดขึ้น เพราะถ้าคุณมีปัญญา คุณจะไม่ทำอะไรโง่ๆ แน่นอน

ในพระธรรมสุภาษิต กษัตริย์โซโลมอนทรงเผยให้เห็นพระทัยของพระเจ้าในเรื่องราวใหญ่โต  และในเรื่องธรรมดา และสถานการณ์ปกติในชีวิตประจำวันด้วย ดูเหมือนว่ายังไม่มีหัวข้อใดที่กษัตริย์โซโลมอนจะไม่สนพระทัย ในพระธรรมสุภาษิตนี้ได้พูดถึงเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับความประพฤติส่วนตัว ความสัมพันธ์ทางเพศ ธุรกิจ ความมั่งคั่ง การกุศล ความทะเยอทะยาน ระเบียบวินัย การเลี้ยงดูเด็ก นิสัย เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, การเมือง, การแก้แค้น และความเคร่งศาสนา  

หนังสือสุภาษิตเต็มไปด้วยภูมิปัญญาที่ยอดเยี่ยมสำหรับชีวิตประจำวัน   ภูมิปัญญาสามารถช่วยให้ใจที่เชื่อฟังสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย  

ข่าวทุกวันนี้เผยให้เห็นความเจ็บปวดและความตายที่น่าเศร้าของโลกที่เพิกเฉยต่อพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงประทานพระวจนะก็เพื่อให้ชีวิตแก่เรา สัญญาซ้ำซากไม่รู้จบในพระธรรมสุภาษิต ก็คือว่าบรรดาผู้ที่เลือกพระปัญญาและติดตามตามพระเจ้า จะได้รับพระพรในหลายรูปแบบ และมีชีวิตที่ยืนยาวนาน

พระธรรมสุภาษิตเป็นหนังสือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่รวบรวมเกี่ยวกับความเกลียดชังและการเป็นที่รักที่มีมากที่สุด   พระธรรมสุภาษิตสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่อัดแน่นในใจของเราได้อย่างทรงพลัง ทั้งหมดนี้เป็นชุดภูมิปัญญาของพระเจ้า เป็นหนังสือแห่งปัญญาที่พระองค์ต้องบอกเราถึงวิธีจัดการกับปัญหา หลุมพราง และความสุขในชีวิต

แล้วคุณจะรอช้าอยู่ทำไม? วันนี้ ให้เราทูลขอพระเจ้า ขอพระองค์ประทานสติปัญญาจากเบื้องบนแก่เรา ขอให้เรามีความเข้าใจในขณะที่อ่านและศึกษา และนำมาใช้ให้เกิดผลจริงในชีวิต

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ Think on this things.


จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

 


จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

สุดท้ายนี้ท่านทั้งปวงจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จงเห็นอกเห็นใจกัน จงรักกันฉันพี่น้อง จงมีใจอ่อนโยนและถ่อมสุภาพ

1เปโตร 3:8

ถ้าคุณสามารถนำทุกสิ่งที่เราเรียนรู้ในหนังสือการให้ข้อคิดทางวิญญาณเล่มนี้มารวมไว้ในประโยคสั้นๆ ประโยคเดียวได้ คุณจะว่าอย่างไร? พระเจ้าต้องการให้เรารักพระองค์และรักผู้อื่น พระองค์ไม่เพียงแค่ต้องการให้เรารักในแบบผิวเผินเท่านั้น แต่ให้แสดงความรักอย่างเต็มที่ ความรักที่เต็มเปี่ยมนั้นไม่หยิ่งผยอง เห็นอกเห็นใจผู้อื่น มีความเอื้ออาทร เอาใจเขามาใส่ใจเรา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหยาบคายกับเราก็ตาม

ที่สำคัญที่สุด เราจำเป็นต้องมีความรักอย่างเต็มที่ต่อพระเจ้า นี่หมายความว่าเรายังคงรักพระองค์ต่อไปแม้ในขณะที่ชีวิตไม่ได้เป็นไปอย่างใจเราหวัง แต่เราเชื่อมั่น. เราเชื่อฟัง เราติดตามพระองค์ทุกวันในชีวิต ไม่ยอมแพ้เมื่อคนอื่นพยายามดึงเราออกจากสิ่งที่เราเชื่อ

พระเจ้ารักคุณคุณคือคนที่มีค่า พระองค์ทรงรัก และความรักที่พระองค์มีต่อคุณจะไม่สิ้นสุด จงรักพระองค์สิ้นสุดจิตใจของคุณ  แต่ถ้าท่านยังไม่ได้ทำอย่างนี้ จงทูลขอพระเยซูคริสต์บุตรของพระองค์ เสด็จมาประทับอยู่ในใจของคุณ เป็นนายชุมพาบาลแห่งชีวิตของคุณ นี่จะเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดที่คุณเคยทำมาแน่นอน

คำอธิษฐาน

พระเจ้าพระเยซูเจ้า ลูกขอให้พระองค์เสด็จมาและประทับอยู่ในใจของลูกในวันนี้ โปรดเปลี่ยนแปลงชีวิตของลูก! ลูกขอใกชีวิตไว้กับพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของลูก โปรดช่วยให้ลูกรักคนอื่นๆและรักพระองค์ในทุกวันของชีวิตลูก อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

 thaiodb


วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

การบังเกิดใหม่

 


การบังเกิดใหม่

พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่

ยอห์น 3:3

คุณเคยได้ยินคำว่าการบังเกิดใหม่หรือไม่? บางทีคุณอาจเคยได้ยินมัน แต่ยังไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร การเกิดใหม่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องกลับเข้าไปในท้องแม่แล้วออกมาใหม่อีกครั้ง แต่มันหมายความว่าพระเจ้าสามารถให้ชีวิตใหม่กับคุณ ชีวิตที่แตกต่างจากที่คุณเคยเป็นอยู่มาก่อน

ทำไมต้องบังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ ?

เราจะมีชีวิตใหม่ในพระคริสต์ แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์คือ ความบาป

ในพระธรรมโรม 3:23 กล่าวไว้ว่า “เพราะว่าทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า”

ในพระธรรมเอเฟซัส 2:1 กล่าวไว้ว่า ” ท่านตายแล้วโดยการละเมิดและการบาป”

เราทุกคนได้ทำบาปต่อพระเจ้า ทำให้จิตวิญญาณของเราตาย ไม่สามารถสัมพันธ์กับพระเจ้าพระผู้สร้างของเราได้ เราจึงดำเนินชีวิตที่แยกออกจากพระองค์

การบังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณหมายความว่าอะไร ?

พระเจ้าทรงรักเรามาก จึงส่งพระเยซูคริสต์มาตายเพื่อความบาปผิดของเรา พระองค์ไม่ต้องการที่จะให้เราพรากจากพระองค์ พระเจ้าจึงประทานหนทางเพื่อให้เราได้รับการอภัยจากความบาปผิดของเรา โดยการประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตายบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของเรา พระคัมภีร์กล่าวว่า “โดยข้อนี้ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราทั้งหลาย คือพระเจ้าทรงใช้พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราทั้งหลายจะได้ดำรงชีวิตโดยพระบุตร “(1 ยอห์น 4:9-10)

คำว่าบังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณหมายความว่า “เกิดอีกครั้งหนึ่ง” คือจิตวิญญาณของเราซึ่งตายแล้ว กลับมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง  

เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราได้รับการอภัยจากพระเจ้า รับได้รับชีวิตใหม่ ได้บังเกิดใหม่เป็นทารกฝ่ายวิญญาณในครอบครัวพระองค์ (ยน.1:11-13) และรับสิทธิในการเป็นบุตรของพระเจ้า (ยน.1:12)

ในการใช้ชีวิตใหม่นี้ คุณต้องเชื่อว่าพระเจ้าได้ส่งพระบุตรสุดที่รักของพระองค์มายังโลกนี้ คุณต้องเชื่อว่าพระเยซู เป็นบุตรของพระผู้เป็นเจ้า และคุณต้องดำเนินชีวิตที่ปราศจากบาป (ปราศจากบ่นว่า) แล้วจึงนำบาปทั้งหมดของเรา (ความผิดพลาด) ไปที่ไม้กางเขน

ในการสถิตอยู่ของพระเจ้า ทุกอย่างที่คุณเคยเป็นและเคยทำมาก่อนที่คุณจะบังเกิดใหม่นั้นไม่มีการบันทึกไว้ เพราะว่าคุณเป็นผู้ที่ถูกสร้างใหม่ เป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ ยังมีคริสตชนหลายคนที่ยังไม่เข้าใจสิ่งนี้เขาจึงถูกจองจำอยู่ในอดีตของพวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขาไม่เกิดผลในทางของพระเจ้า

 ให้คุณเข้าใจว่าวิญญาณของคุณได้มีชีวิตต่อพระเจ้า และแสวงหาที่จะทำให้พระองค์พอพระทัย และทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ เมื่อคุณได้บังเกิดใหม่แล้ว คุณอาจสงสัยและถามว่า “ทำไมบางคนยังคงทำสิ่งที่ไม่ดีหลายอย่างจากที่เขาบังเกิดใหม่แล้ว?” ความจริงคือว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ได้มาจากวิญญาณมนุษย์ของพวกเขา แต่มาจากความคิดและความรู้สึกที่ “ยังไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่” นี่คือเหตุผลที่คุณจะต้องเปลี่ยนแปลงความคิดของคุณอยู่เสมอด้วยพระคำ เรียนรู้การภาวนา และฝึกดำเนินชีวิตด้วยพระคำของพระเจ้า โดยวิธีนี้ คุณจะฝึกฝนวิญญาณของคุณให้ปกครองเหนือความคิดและเนื้อหนังของคุณ คุณจะเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ คุณได้บังเกิดเข้าสู่ชีวิตใหม่ จงดำเนินชีวิตตามนั้น

คำอธิษฐาน

ข้าพเจ้ามีชีวิตในชัยชนะ และเดินในความชอบธรรม พระคำของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงความคิดของข้าพเจ้า เสริมกำลังวิญญาณของข้าพเจ้า และชำระจิตใจของข้าพเจ้า พระสิริของพระเจ้าสำแดงภายในข้าพเจ้าในวันนี้ ในขณะที่ข้าพเจ้าภาวนาพระคำของพระเจ้า ในนามพระเยซู อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

ศจ. มนูญศักดิ์ กมลมาตยากุล

rorthai


วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ท้องฟ้าสำแดงฝีพระหัตถ์ของพระองค์

 


มองไปที่สวรรค์!

ฟ้าสวรรค์ประกาศพระเกียรติสิริของพระเจ้า

ท้องฟ้าสำแดงฝีพระหัตถ์ของพระองค์

สดุดี 19:1

สดุดี 19 กล่าวถึงพระสิริของพระเจ้า ฤทธิ์อำนาจของกฎหมายของพระเจ้า และการตอบสนองของเราต่อความดีและความรักของพระเจ้า เพื่อให้ครอบคลุมความลึกซึ้งอันทรงพลังของสดุดีนี้ ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า ท้องฟ้าประกาศการงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์ เราจะเห็นพระสิริของพระเจ้าปรากฏขึ้นทุกหน้าในพระคัมภีร์ได้เปิดเผยสง่าราศีของพระเจ้าเป็นแสงจ้า สว่างมากจนในฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลก ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องมีดวงอาทิตย์ด้วยซ้ำ ในสดุดีบทนี้ยังแสดงให้เห็นว่าการนมัสการพระเจ้าของเราเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากทรงคุณค่าอันหาประมาณมิได้ของพระองค์ 

คุณเคยออกไปข้างนอกตอนกลางคืนและแหงนมองดวงดาวบนท้องฟ้าเบื้องบนหรือไม่? เมื่อฟ้ามืดสนิท  ดาวก็จะสว่างกว่าที่เคย พวกมันระยิบระยับ ระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้าสีดำราวกับเพชรที่ส่องประกายแสง ! เวลาที่เรามองด้วยตาเปล่าพวกมันดูตัวเล็กมากใช่ไหม?

จริงแล้วดวงดาวนั้นใหญ่มาก! พวกมันเป็นสิ่งสร้างขนาดยักษ์ที่ดูเล็กจิ๋วเมื่อมองจากโลกเท่านั้น! ดวงดาวและดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ถูกพระบิดาบนสวรรค์ของคุณวางมันเอาไว้บนท้องฟ้า ทำไมระเหรอ? แน่นอนว่าพวกมันมีความหมายและพระเจ้าสร้างมันขึ้นมาด้วยจุดประสงค์! ดวงดาวเหล่านั้นสามารถบอกทิศทางให้แก่ลูกเรือ  การควบคุมกระแสน้ำ ทำให้โลกของเราอบอุ่น และเพื่อประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ เพื่อแสดงถึงความเป็นสง่าราศีของพระเจ้า ความยิ่งใหญ่ของพระองค์ ถ้าคุณลองหลับตาลงสักครู่   คุณอาจจะจินตนาการได้เลยว่าดวงดาวเหล่านั้นกำลังร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า และมันกำลังเล่าถึงความมหัศจรรย์ของพระผู้สร้างที่ยอดเยี่ยม ที่ได้สร้างพวกมันขึ้นมา

ครั้งต่อไปที่คุณแหงนมองท้องฟ้าและเห็นดวงดาวสีเงินสว่างไสวหรือดวงจันทร์สีทอง ให้หยุดสักครู่ หลับตาลงนะ แล้วให้ คิดถึงพระเจ้าผู้ทรงประทับบนบัลลังก์ของพระองค์ในฟ้าสวรรค์และประทับบนบัลลังก์แห่งหัวใจของคุณ ไม่ใช่แค่การคิดถึงพระองค์เท่านั้นแต่มันยังทำให้คุณยิ้มกว้างได้ด้วยใช่ไหม ให้เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่ง

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา เมื่อใดก็ตามที่ลูกยุ่งลสาละวนกับชีวิตมากจนลืมไปว่าพระองค์เป็นพระเจ้าที่มหัศจรรย์ โปรดเตือนลูกให้แหงนหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้า เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจลูกว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์สามารถทำอะไรก็ได้ เพราะพระองค์คือผู้สร้างทุกสิ่ง และเป็นเจ้าของของทุกสิ่ง ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ผู้ปลอบโยน

 


ผู้ปลอบโยน

และเราจะทูลขอต่อพระบิดาและพระองค์จะประทานที่ปรึกษาอีกองค์หนึ่งให้มาอยู่กับพวกท่านตลอดนิรันดร์

ยอห์น14:16

คุณเคยนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มหรือผ้านวมในคืนฤดูหนาวที่หนาวเย็นหรือไม่? มันเป็นอะไรที่ดีมากๆ ความนุ่มของผ้านวมทำให้คุณ รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย มันช่วยบรรเทาความหนาว ทำให้คุณสามารถนอนหลับได้ดีขึ้นและรู้สึกสบายมากเมื่อตื่นขึ้นมา (การได้ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกได้ถึงความปลอบโยน)

พระเจ้าเป็นผู้ปลอบโยนของเราหมายความว่าอย่างไร

อัครสาวกเปาโลบอกเราใน 2 โครินธ์ว่าพระเจ้าเป็น “พระบิดาแห่งความเมตตาและเป็นพระเจ้าแห่งการปลอบโยนทั้งปวง” คำแปลของคำปลอบโยนที่ใช้ในข้อนี้ในภาษากรีกคือ ปารากาเลโอ ซึ่งแปลว่า “เรียกเข้าข้าง พูดตาม ตักเตือน ปลอบโยน หรือสั่งสอน” พระองค์ทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาที่เรา เป็นของเรา

คุณรู้หรือไม่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่ในตัวคุณ?เมื่อใดก็ตามคุณขอให้พระเยซูเสด็จมาประทับอยู่ในหัวใจของคุณ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสถิตอยู่กับคุณ! นี่เป็นความจริง!  พระวิญญาณบริสุทธิ์คือ "ผู้ปลอบโยน" พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเหมือนผ้าห่มที่ให้ความอุ่นสบายในค่ำคืนที่หนาวเย็น

ลองนึกภาพว่าพระเจ้าทรงโอบแขนของพระองค์รอบตัวคุณและกอดคุณไว้ใกล้ ๆ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง  เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์นำมาซึ่งการปลอบโยน คุณจะรู้สึกปลอดภัยและมั่นคง เมื่ออยู่ในอ้อมแขนอันเป็นที่รักของพระเจ้า

ถ้าคุณรู้สึกเหงาหรือกลัว: บอกพระเจ้าถึงสิ่งที่คุณรู้สึกหรือต้องการ และขอบคุณพระองค์สำหรับทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทำ ขอบคุณพระเจ้า สำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ บอกพระองค์ว่าคุณดีใจมากที่มีผู้ปลอบโยนคนสำคัญคอยอยู่กับคุณทุกที่ทุกเวลา!"  

คำอธิษฐาน

พระเจ้าที่รัก ลูกรู้สึกขอบคุณสำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ลูกรู้สึกปลอดภัย และ สบายใจมากขึ้้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ปลอบโยนที่แสนวิเศษที่สุดของลูก! ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

ความจริงจะทำให้คุณเป็นอิสระ

 


พูดความจริง

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชิงชังปากที่มุสาหลอกลวง

แต่ทรงชื่นชมผู้ที่ซื่อสัตย์

สุภาษิต 12:22

คุณเคยโกหกไหม บางทีมันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นความจริงที่ไม่จริงทั้งหมดเลยทีเดียว แต่คุณรู้ไหม ในสายพระเนตรพระเจ้าแม้คำโกหกเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นคำโกหกที่ใหญ่แล้ว พระองค์ตรัสไว้ได้ชัดเจนมากในพระวจนะของพระองค์ในพระคัมภีร์ว่า เราควรเป็นผู้บอกความจริงไม่ว่ามันจะยากสักเพียงใด

คุณเป็นคนที่ชอบพูดความจริงหรือไม่ (ยึดความจริงและความถูกต้อง ใช่ก็ตอบว่าใช่ ไม่ก็ตอบว่าไม่ ไม่มีการปรุงแต่งเพิ่มเติมเข้าไป)? ต่อไปนี้คือการทดสอบเล็กน้อย สมมติว่าคุณบังเอิญทำโคมไฟในห้องนั่งเล่นพัง แม่ของคุณเห็นโคมไฟที่พังและกล่าวโทษเจ้าลูกสุนัขตัวใหม่ของคุณ คุณเองก็ไม่พูดอะไรสักคำ คุณแค่ปล่อยให้แม่คิดว่าลูกสุนัขเป็นคนทำ คุณคิดว่า หากเงียบๆไป ก็คงจะไม่มีใครรู้เลยใช่ไหม? เพราะท้ายที่สุดแล้ว เจ้าลูกสุนัขตัวน้อยมันก็คงไม่สามารถพูดและปกป้องตัวเองและบอกความจริงได้แน่นอน

ในสถานการณ์เช่นนี้ การนิ่งเงียบก็เหมือนกับการโกหก นี่คือความจริง คุณจะต้องซื่อสัตย์และกล้าพูดความจริงออกมา แม้ว่าคุณจะรู้ว่าคุณอาจจะถูกลงโทษทางวินัยก็ตาม ถึงกระนั้น คุณอาจจะไม่ต้องเจอการลงโทษก็ได้ และมันจะดีมากกว่าการที่คุณต้องมานั่งรู้สึกผิดในใจไปตลอดกับเรื่องที่คุณไม่พูดความจริงกับแม่?

ฉันจะพูดความจริงได้ยังไง?

แม้จะยากเพียงใด พระเจ้าก็อยากให้เราพูดความจริงดีกว่า นี่เป็นขั้นตอนเล็กๆ น้อยๆ ในการพูดความจริง

-         จงจำไว้ว่าการไม่พูดความจริงคือหนึ่งในเจ็ดสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียด

-         ซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น

-         เชื่อมั่นในความถูกต้อง  

-         พูดมันด้วยความรัก   

-         การพูดความจริงจะทำให้คุณเป็นอิสระเสมอ ดังนั้นจงพูดมันออกไป!

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก  ลูกเองก็ไม่ได้เป็นคนที่พูดความจริงทั้งหมดเสมอไป บางครั้งลูกก็ละเลย หรือนิ่งเงียบไปเลยทั้งที่มันเป็นเวลาที่ลูกควรจะพูดมันออกไป โปรดช่วยลูกให้เป็นคนที่ซื่อสัตย์ จริงใจ และ กล้าหาญที่จะพูดความจริง ที่สำคัญให้ลูกพูดมันด้วยความรัก แม้จะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากและลำบากใจก็ตาม! ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

การจัดลำดับความสำคัญ

 


ลำดับความสำคัญ

แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย

มัทธิว 6:33

คุณเคยได้ยินคำว่า “ลำดับความสำคัญ”หรือไม่? การจัดลำดับความสำคัญที่ถูกต้อง หมายความว่าคุณรู้ว่าอะไรสำคัญที่สุด และคุณจะลงมือทำสิ่งเหล่านั้นก่อน

ในโลกการทำงานยุคใหม่ ปัญหาที่หลาย ๆ คนต้องเจอคือการจัดระบบเวลาในชีวิตและการทำงาน เพราะมีปัจจัยเยอะมากที่พร้อมกินเวลาของเราไป ไม่ว่าจะเป็นรถติด รถไฟฟ้าเสีย ฝนตก น้ำท่วม และรวมถึงงานที่เข้ามากองรวมกันมากมาย ถึงแม้จะเคลียร์วันนี้ไปได้แล้ว แต่พรุ่งนี้ก็ได้รับงานมาเพิ่มอีก  ปัญหาพวกนี้ทำให้ทั้งการทำงานและชีวิตวุ่นวาย จัดการได้ยาก แต่จะดีกว่าเดิมแน่นอน ถ้าเราเรียนรู้ที่จะจัดลำดับและเวลา

นี่คือตัวอย่าง: บางทีคุณอาจตื่นนอนในเช้าวันเสาร์และมีหลายสิ่งที่ต้องทำ คุณต้องการจะออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ แต่แม่ของคุณต้องการให้คุณจัดระเบียบตู้เสื้อผ้าและทำความสะอาดห้องของคุณให้เรียบร้อยในขณะที่แม่ของคุณออกไปซื้อกับข้าว และหน้าที่ประจำของคุอีกอย่างณคือคุณต้องเปลี่ยนกระบะทรายให้น้องแมวด้วย  ไม่ใช่มีแค่นี้นะ นอกจากนี้คุณยังมีเสื้อผ้ากองโตที่ยังไม่ได้ซักอีกด้วย โอ้อะไรกันเนี่ย ฟังแล้วอยากจะบ้าตาย!

แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรที่สำคัญที่สุด? ให้เริ่มต้นด้วยสิ่งที่คุณได้รับคำสั่งให้ทำแล้วทำสิ่งนั้นก่อนเสมอ หลังจากนั้นก็ลงมือทำในสิ่งที่ถือว่าสำคัญรองลงมาและในลำดับๆต่อๆไป

ดังนั้นวันนี้ของคุณอาจดำเนินไปด้วยการ: เริ่มต้นด้วยการจัดระเบียบตู้เสื้อผ้าและทำความสะอาดห้องนอนของคุณอย่างที่แม่บอกไว้ และต่อด้วยการทำความสะอาดกระบะทรายแมว แล้วเอาเสื้อผ้าในตะกร้าไปซัก-ตากให้เรียบร้อย หลังจากนั้นคุณก็สามารถออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน ๆ ของคุณได้ ถ้าแม่ของคุณโอเคนะ

คุณรู้หรือไม่ว่า ฝ่ายวิญญาณก็ต้องมีการจัดลำดับความสำคัญด้วยเช่นกัน. พระเยซูบอกให้คุณแสวงหาพระองค์ก่อนและทำสิ่งต่าง ๆ ตามทางของพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงดูแลอย่างอื่นให้คุณเอง

เมื่อคุณจัดลำดับความสำคัญทั้งทางโลกและทางสวรรค์แล้วได้อย่างดีและเมื่อทุกงานเสร็จเรียบร้อย แม่ของคุณก็มีความสุข แมวก็มีความสุข คุณก็จะมีความสุขและมีเสื้อผ้าที่สะอาดๆใส่ มีห้องนอนสะอาดๆนอนในคืนนี้ มีตู้เสื้อผ้าที่เป็นระเบียบหาของได้ง่ายขึ้น  และที่สำคัญคือพระเจ้าก็มีความสุข! เช่นกัน

ฉันจะให้ความสำคัญกับพระเจ้าได้อย่างไร

เมื่อคำนึงถึงสิ่งนี้ ต่อไปนี้คือเคล็ดลับบางประการที่สามารถช่วยให้คุณกำหนดให้พระเจ้าเป็นอันดับแรกในชีวิตของคุณ:

เริ่มในแต่ละวันด้วยพระคำของพระเจ้า การใช้เวลาในพระคำทุกเช้าสามารถช่วยให้คุณตั้งเป้าหมายสำหรับวันนั้นและจัดลำดับแผนของคุณให้สอดคล้องกับแผนการของพระเจ้าได้

อธิษฐานต่อพระเจ้าและยอมรับว่าคุณต้องการความช่วยเหลือให้พระองค์มาก่อนสิ่งอื่นใด ขอให้พระเจ้าช่วยคุณในทุกด้านของชีวิต    

ทำไมเราต้องให้พระเจ้ามาก่อน?

ประโยชน์ของการให้พระเจ้ามาก่อน –เมื่อเราให้พระเจ้ามาก่อน เรากำลังยอมจำนนต่อพระองค์เพื่อขอคำแนะนำ เราวางใจในอำนาจและการชี้นำของพระองค์ ในสุภาษิต 3:5-6 จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความเข้าใจของตนเอง จงยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้ทางของเจ้าราบรื่น

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ลูกขอขอบพระคุณสำหรับการเตือนว่าลูกต้องจัดลำดับความสำคัญในชีวิตและฝ่ายวิญญาณให้ถูกต้องอยู่เสมอ! เพราะสองสิ่งนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ลูกต้องทำควบคู่กันไป ขอพระองค์ทรงเสริมกำลังเพื่อว่าลูกจะได้ไม่อ่อนแอ และเกียจคร้าน โปรดช่วยให้ลูกมีความมานะอุตสาหะและทำหน้าที่ของตนเองให้สำเร็จเพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่พระองค์    ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

 ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

การมีใจเฟื้อเผื่อแผ่

 


แนวคิดของการมีใจกว้างขวาง

ในทุกๆ วันให้เราลองถามตนเองว่า ฉันจะทำอะไรเพื่อคนอื่นได้บ้าง? ฉันไม่รู้ว่าคุณเข้าใจกันไหมว่า อันที่จริงแล้วการให้นั้นมีพลังแค่ไหน

ฉันเชื่อจริงๆว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีฤทธิ์เดชที่จะนำความสุขมาสู่ชีวิตเรา วันนี้เราจะมาแบ่งปันเรื่องของการมีใจกว้างขวาง คุณรู้ไหมว่าถ้าชีวิตของคุณเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ คุณจะมีความสุขมากขึ้นๆ พระคัมภีร์บอกว่า การให้เป็นเหตุให้มีความสุข ยิ่งกว่าการรับ ฉันกำลังพูดถึงการให้ในทุกรูปแบบ ตั้งแต่ การชมเชย การให้กำลังใจ การยิ้ม การช่วยเหลือทางร่างกาย การช่วยเหลือด้านการเงินกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ การถวายให้กับงานของพระเจ้า เพื่อเราจะได้ประกาศพระกิตติคุณต่อไปได้ เราต้องมีความคิดที่จะเป็นผู้ให้ อย่าอยู่เพื่อจะเป็นแต่ผู้รับอย่างเดียว ให้เราอยู่เพื่อที่จะให้ด้วย

ถ้าคุณเป็นคนใจกว้างขวาง คุณจะเป็นคนที่มีความสุขมาก ถ้าคุณเป็นคนใจกว้างขวางคุณก็จะเป็นคนที่มีอำนาจ  คุณเคยเจอสถานการณ์ที่แบบว่า คุณรักและชอบของชิ้นหนึ่งมากๆ แต่แล้วคุณก็รู้สึกได้ว่าพระเจ้าอยากให้คุณยกมันให้กับผู้อื่น ให้คุณใช้มันเป็นพระพรกับผู้อื่น คุณจะไม่รู้สึกอะไรหรอกถ้ามันเป็นของที่เราไม่ได้รักหรือใส่ใจมันเท่าไหร่ แต่มันจะยากขึ้นมา ถ้ามันเป็นของที่คุณรักและชอบมากจริงๆ

ฉันเคยถามพระเจ้าว่า ข้าแต่พระเจ้าลูกเชื่อฟังพระองค์และยกมันให้เขาไปแล้ว และพระองค์บอกให้เขาเอามาคืนให้ลูก แล้วตอนนี้ทำไมลูกกลับรู้สึกไม่ชอบมันแล้ว แล้วพระเจ้าก็สอนบทเรียนให้ฉัน พระองค์ตรัสว่า เมื่อไหร่ที่เราบอกให้เจ้ายกของสิ่งนั้นให้คนอื่น แต่ใจของเจ้ายังอยากเก็บมันไว้อยู่ ต่อให้ได้มันคืนมามันก็จะไม่มีการเจิมอีกแล้ว นี่เป็นคำที่พระองค์ใช้ ซึ่งมันหมายถึงฤทธิ์เดชที่จะเป็นพระพรแก่เจ้า ฉันอยากให้คุณใคร่ครวญสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไป เพราะเรื่องนี้สำคัญมาก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือถ้าคุณอยากมีความสุขกับชีวิตและเพลิดเพลินกับสิ่งที่คุณมี บางครั้งพระเจ้าให้คุณมี ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือเงินทอง บางครั้งก็เพื่อให้คุณเสียสละ แต่ถ้าคุณยังเลือกที่จะเก็บเอาไว้ ในสิ่งที่พระเจ้าบอกให้คุณยกหรือแบ่งปันให้คนอื่น มารซาตานจะหาวิธีการมาขโมยสิ่งนั้นไปจากคุณ หรือคุณจะไม่มีความสุขกับของชิ้นนั้นอีกเลย นี่เป็นบทเรียนที่ดีมากๆ สำหรับฉัน และฉันหวังว่ามันจะเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับคุณด้วย

ในฐานะคริสตชนการให้ถือว่าเป็นส่วนใหญ่ของชีวิต(ไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่ง) พระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่จะมีชีวิตนิรันดร์ พระเจ้าคือผู้ให้ พระองค์ไม่ใช่ผู้ให้ที่ตระหนี่  พระองค์เป็นผู้ให้อย่างล้นเหลือ พระองค์เป็นพระเจ้าที่ให้มากกว่าแค่เพียงพอ ไม่ใช่พระเจ้าที่มีแค่พอดีๆ และ เราถูกสร้างตามพระฉายของพระองค์ และในฐานะผู้เชื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ที่อยู่ในเรา

ดังนั้นเราทุกคนควรจะเป็นผู้ให้เช่นกัน  ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นผู้ให้อยู่แล้วแต่ฉันก็พบว่าในชีวิตของฉันนั้นยังคงต้องให้คำมั่นในเรื่องนี้อีกครั้ง ไม่ใช่ว่า ฉันจะเลิกให้ เพราะฉันให้มาเยอะแล้ว แต่ฉันต้องมุ่งมั่นที่จะเติบโตในเรื่องการให้ให้มากขึ้นกว่าเก่า คุณรู้ไหมใน 2โครินธ์ 8:7 ท่านเปาโลได้พูดกับผู้เชื่อในเมืองโครินธ์ว่า ท่านทั้งหลายก็จงมีคุณความดีนี้อย่างเหลือล้นด้วย คุณรู้ไหม อย่างเหลือล้นหมายถึง การทำมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นฉันจึงไม่ติดอยู่กับการให้แค่ระดับหนึ่ง แล้วมาภาคภูมิใจในตนเองว่า ฉันเป็นผู้ให้ที่ดี ฉันคิดว่า เราต้องตั้งใจที่จะเติบโตในเรื่องของการให้อยู่เสมอ  เราจะต้องทำให้แน่ใจว่าการให้ของเราแต่ละครั้งนั้นออกมาจากใจจริงๆด้วยความรู้สึกที่อยากให้(ไม่มีความเสียดาย) ยกตัวอย่างก็คือ ฉันมีเสื้อโคทในตู้เสื้อผ้าที่ใส่มาแล้วห้าปี ตอนนี้ก็ไม่ได้ใส่มาแล้วสองปี  ฉันก็เลยยกให้คนอื่นไป ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ฉันเหมือนไม่ได้เสียอะไรไปเลย เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่ได้ใช้มันอยู่แล้ว แต่สองสามปีก่อน ฉันซื้อเสื้อโคทตัวใหม่ที่ฉันรักมันมาก ฉันไม่ได้แค่ชอบนะ แต่ฉันรักมาก ทุกครั้งที่ฉันหยิบมันมาใส่ ก็มักจะมีคนมาชมอยู่บ่อยๆ จนวันหนึ่งฉันอยู่ในร้านแล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันเองก็รู้จักออกปากชมว่า โอ้โหคุณซื้อมันมาจากไหนเนี่ย ฉันอยากได้แบบนี้สักตัว ฉันชอบมากเลย พอฉันกลับบ้านไป ฉันรู้สึกเลยจากข้างใน โดยที่พระเจ้าไม่จำเป็นต้องตะโกนใส่หูฉัน ฉันรู้ทันทีเพราะฉันสัมผัสได้จากข้างในเลยว่า ฉันควรจะยกมันให้กับเธอไปเถอะ แต่อีกใจก็บอกว่าฉันไม่ได้อยากยกให้เธอนี่นา ฉันอยากจะเก็บไว้ รู้ไหมว่าพระเจ้าจะไม่ปล่อยให้ทำในสิ่งที่เราอยากทำเสมอไป  ทันทีที่ฉันยกให้เธอ เธอดีใจมาก และฉันก็โทรกลับไปหาที่ร้านที่ฉันซื้อมาเพื่อจะสั่งอีกตัว มันเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม ที่ร้านแจ้งว่ารุ่นนั้นมันหมดไปแล้ว

ดังนั้นฉันชอบที่จะคอยเตือน คอยย้ำตนเองว่า ฉันจะตั้งใจมีชีวิตที่เป็นผู้ให้ ไม่ใช่แค่รับอย่างเดียว และบางครั้งฉันชอบที่จะให้มากขึ้นหรือบางครั้งฉันก็ชอบให้เป็นพิเศษ ฉันไม่รู้ว่าคุณเข้าใจหรือเปล่าว่า การให้นั้นมีพลังมากแค่ไหน เวลาที่เราเห็นแก่ตัวชีวิตเราจะเล็กลงเรื่อยๆ และไม่มีความสุข และวิธีที่ดีที่สุดที่จะต่อสู้กับความเห็นแก่ตัวคือการมีใจกว้างขวาง หรือจะพูดแบบนี้ก็ได้ว่าการมีใจกว้างขวางเป็นยาถอนพิษของความเห็นแก่ตัว วิธีที่ดีที่สุดคือความเอื้ออาทร จริงๆแล้วความเอื้ออาทรเป็นอาวุธที่พระเจ้ามอบให้เราเป็นวิธีที่เราจะใช้ต่อสู้กับศัตรูในชีวิตที่จะเพิ่มความสุขให้กับเรา ฉันบอกคุณตอนนี้เลยว่าซาตานมันเกลียดๆๆและเกลียดใจที่กว้างขวาง 1 ยอห์น 3:16 กล่าวว่า เช่นนี้เราจึงรู้ว่าความรักคืออะไร คือที่พระเยซูคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อเราและเราควรสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้องเพราะทรงรักเรา และเราก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่นน้อง อีกนัยหนึ่งก็คือพระเจ้าคาดหวังให้เราประพฤติตนตามแบบอย่างพระองค์  พระเจ้าทรงมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อและการมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ก็คือการเป็นเหมือนพระเจ้า

ฉันจะพูดกับตัวเองเสมอว่าๆสิ่งดีๆจะเกิดขึ้นกับฉันและสิ่งดีๆจะเกิดขึ้นจากตัวฉัน คุณเห็นไหม พระเจ้าให้อภัยคุณและพระองค์คาดหวังให้คุณให้อภัยคนอื่นด้วย พระเจ้าประทานความอดทนกับคุณและพระองค์คาดหวังว่าคุณจะอดทนกับผู้อื่นด้วยเช่นกัน ทุกอย่างที่พระเจ้าประทานให้เราเราจะเก็บไว้เฉยๆแล้วทำให้ตนเองเป็นเหมือนบ่อน้ำตายไม่ได้   ดังนั้นทุกครั้งที่คุณให้บางอย่างไหลผ่านคุณออกไป คุณจะมีที่ว่างเพื่อให้พระเจ้าได้ทำอย่างอื่นให้คุณอีกแล้วกระแสนั้นก็จะไหลออกไปไม่มีที่สิ้นสุดจากชีวิตเรา

ดังนั้นคุณเคยกลับมาคิดถึงการให้ของคุณเองบ้างไหม? คุณเคยถามตนเองบ้างไหมว่า ฉันขยันที่จะเป็นผู้ให้หรือเปล่า ฉันทำมากเท่าที่จะทำได้หรือยัง มีคนรอบๆตัวที่กำลังต้องการความช่วยเหลือบ้างไหม คนที่ฉันสามารถช่วยเขาได้ง่ายๆ แต่ฉันไม่ได้คิดจะช่วยหรือก็คิดอยู่แต่ยังไม่อยากทำ กาลาเทีย  6:7 กล่าวว่า ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไรย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ฉันชอบหลักการของการหว่านกับการเก็บเกี่ยวนี้มาก ที่จริงแล้วมันทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันสามารถควบคุมชีวิตตนเองได้ นึกออกไหม ถ้าฉันอยากให้คนอื่นเป็นมิตรกับฉันมากขึ้นฉันก็จะหว่านเมล็ดพืชของการเริ่มต้นเป็นมิตรให้กับเขามากขึ้น แล้วถ้าฉันให้ออกไปมันก็จะกลับคืนมาหาฉันแบบยัดสั่นแน่นพูนพื้นล้นเต็มหน้าตัก พระคัมภีร์ลูกา 6:38 ได้บอกเอาไว้ว่า จงให้แล้วท่านจะได้รับ และทะนานที่ตวงเต็มยัดสั่นแน่นพูนล้นจะถูกเทลงในตักของท่าน เพราะท่านใช้ทะนานอันใดก็จะใช้ทะนานอันเดียวกันนั้นตวงแก่ท่าน”

คุณอยากได้พระพรแบบเต็มล้นในชีวิตหรือเปล่า  วิธีที่จะได้รับก็คือ คุณต้องเป็นผู้ให้ ฉันอยากเป็นคนใจกว้างแบบเต็มที่และหวังว่าวันนี้ฉันจะช่วยจุดประกายเรื่องนี้ให้กับคุณหลายๆคนด้วย ฉันมีความสุขเสมอที่ได้ให้ อันที่จริงการให้เป็นหนึ่งในของขวัญที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่า เป็นของขวัญของการช่วยเหลือที่พระเจ้ามอบให้เราและฉันเชื่อว่า ฉันได้รับของขวัญชิ้นนั้นด้วย ฉันมีความสุขเสมอที่ได้ให้แม้ในตอนที่ยังเป็นเด็ก แต่ฉันอยากแน่ใจว่าฉันได้ให้มากที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้และทำเพื่อคนอื่นมากที่สุดเท่าที่ฉันทำได้ ใน มาลาคี  3 ข้อ 10 เป็นพระสัญญาที่น่าอัศจรรย์ และเป็นความท้าทาย เป็นเรื่องที่ท้าทาย พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “จงนำสิบลดมายังคลังพระวิหารให้ครบ เพื่อจะมีอาหารในพระนิเวศของเรา จงลองดูเราในข้อนี้ มีหรือที่เราจะไม่เปิดประตูฟ้าสวรรค์เทพรมาให้เจ้าอย่างเหลือล้นจนไม่มีที่จะเก็บ”  แล้วถ้าคุณดูดีๆ พระองค์ตรัสว่า จงลองดูเราในเรื่องนี้ คือพระเจ้าตรัสว่า ถ้าเจ้าไม่เชื่อว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในชีวิตเจ้า ก็ลองทำดู แล้วเจ้าจะได้เห็นว่าเราจะทำอะไรให้เจ้าได้บ้าง

บางคนมีความต้องการในชีวิตเยอะมาก และเขาอาจจะไม่เคยให้อะไรใครเลย คุณเองอาจไม่ได้หรือคุณให้น้อยที่สุดเท่าที่จะให้ได้ นั่นเป็นเพราะคุณไม่ได้อธิษฐานเรื่องการให้ของคุณเลย บางทีคุณไปโบสถ์คุณก็ถวายสิบ ยี่สิบ ร้อย ลงในถุงเพื่อให้ถุงถวายนั้นผ่านๆคุณไป แต่จริงๆแล้วเราควรถวายด้วยใจกว้างขวาง เพราะพระเจ้ามีใจกว้างขวาง และเราถูกสร้างขึ้นตามพระฉายของพระองค์ เรามักจะกลัวเสมอว่าถ้าเราให้ เราก็ต้องเสียสิ แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะพระคัมภีร์สอนเราว่า การถวายแด่พระเจ้าไม่มีวันสูญเปล่า

ให้เรามาดูพระธรรม 2 โครินธ์ บทที่ 9 ข้อ6-11บอกให้จำไว้ว่า คนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก นอกจากนั้นพระพรจะไหลผ่านไปถึงคนอื่นด้วย คุณไม่ได้ให้เพื่ออยากได้อะไรกลับคืนมา แต่คุณให้เพื่ออยากให้คนอื่นได้รับพระพร

ฉันอยากให้คนอื่นรับพระพร ฉันมีความสุขที่พระเจ้าใช้ฉันเป็นเครื่องมือที่จะเป็นพระพรในชีวิตของพวกเขา คุณรู้ไหมทำไมฉันจึงมีความสุข เพราะฉันได้เรียนรู้แล้วว่า คนมีใจกว้างขวางคือคนที่มีความสุข ฉันเศร้ามามากพอแล้วในชีวิต ฉันจึงไม่อยากเศร้าอีกต่อไป แต่ฉันอยากจะมีความสุข คนที่หว่านมากหมายถึงพระพรนั้นจะไปถึงคนอื่นๆด้วย และการเก็บเกี่ยวได้มาก คือตัวเขาจะได้พระพรด้วย

แต่ละคนจงให้ตามที่เขาคิดหมายไว้ในใจ ดังนั้น คุณจะไม่เอาแต่นั่งคิด แต่ไม่ลงมืออทำ คุณต้องทำตามและทำในสิ่งที่พระเจ้าใส่ไว้ในใจคุณ ไม่ใช่ให้ด้วยความเสียดาย หรือความจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนที่ให้ด้วยใจยินดี ผู้ที่มีใจยินดีและเบิกบานที่จะให้นั้น พระเจ้าสามารถประทานพรทุกอย่างทั้งความโปรดปรานและพระพรในโลกนี้แก่ท่านทั้งหลายอย่างเหลือล้น เพื่อว่าเมื่อมีทุกอย่างเพียงพออยู่เสมอสำหรับทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะต้องการอะไรก็ตามจะรู้สึกพอใจตนเองเสมอและมีอย่างเพียงพอโดยที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือหรือการสนับสนุน ท่านยังจะมีเหลือล้นสำหรับการดีทุกอย่างด้วย

ตามที่เขียนไว้ว่า เขาแจกจ่าย เขาให้ แก่บรรดาคนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิจและพระองค์ผู้ประทานเมล็ดพืชแก่คนที่หว่าน และอาหารแก่คนที่กิน พระเจ้าจะให้เงินทองและสิ่งของไว้สำหรับแจกจ่ายคนอื่น และพระองค์จะประทานเงินทองและสิ่งของสำหรับตัวเราเองด้วย และจะทำให้การเก็บเกี่ยวของท่านจำเริญขึ้น ดังนั้น ทุกครั้งที่คุณให้ พระเจ้าจะให้คุณคืนกลับมาแล้วสิ่งหนึ่งที่พระองค์ประทานให้คุณก็คือ เมล็ดพันธ์ที่จะแจกจ่ายออกไปอีก เพราะวิธีเดียวที่คุณจะเก็บเกี่ยวกับสิ่งที่คุณหว่าน คุณจะเก็บเกี่ยวซ้ำไม่ได้ ยกเว้นถ้าคุณจะหว่านมันอีกครั้ง 

ดังนั้น นี่คือสิ่งที่คุณควรทำเป็นนิสัยส่วนตัวที่เราทำเป็นประจำ คือการเป็นผู้ให้เสมอ โดยทรงให้ท่านทั้งหลายมั่งคั่งขึ้นในทุกสิ่ง เพื่อบริจาคด้วยใจกว้างขวางอยู่เสมอ และจะทำให้เกิดการขอบคุณพระเจ้าผ่านเรา คุณรู้ไหมว่านี่คือส่วนที่สวยงามของเรื่องนี้  บางครั้งน้ำใจที่เราแสดงออกไปนั้นช่วยหนุนและเสริมใจใครบางคนได้ นอกจากเขาจะรู้สึกขอบคุณเราแล้ว เขายังจะขอบคุณพระเจ้าด้วยที่ส่งใครสักคนมาให้ความช่วยเหลือเขา มาซัพพอร์ตเขา มาให้กำลังใจเขา เคยสังเกตไหม เวลาที่มีใครยื่นมามาช่วยเหลือคุณ คุณจะรู้ได้ว่าเขารักเรา แต่ที่สำคัญกว่านั้นบางครั้งมันทำให้เรารู้ว่าพระเจ้ารักเรา ผ่านทางเขา  พระเจ้าทรงใช้มนุษย์

พระเจ้าอาจจะใช้คุณเพื่อไปเป็นกำลังใจให้คนอื่นก็ได้ วันนี้คุณอาจจะส่งข้อความไปบอกคนที่คุณรักว่า ฉันอยากให้คุณรู้ว่าคุณเป็นคนสำคัญในชีวิตของฉัน คุณอาจจะส่งข้อความบอกว่า ฉันอยากให้คุณรู้ ว่าฉันซาบซึ้งใจกับทุกอย่างที่คุณทำ เพื่อฉัน

คุณเชื่อไหมแค่การคิดถึง การได้อวยพรและอธิษฐานเพื่อคนอื่น มันก็ทำให้เราเริ่มมีความสุขแล้ว การเจิมของพระเจ้าช่วยให้เรามีความสุขและพ่วงการมีใจให้ที่กว้างขวางเพิ่มมาด้วย แล้วการเจิมคืออะไร การเจิมคือการสถิตอยู่ของพระเจ้า เมื่อไหร่ที่คุณถูกเจิมให้ทำบางอย่างนั่นหมายความว่าเราจะทำได้และทำได้ดีด้วย เราจะมีกำลังและพระเจ้าจะช่วยให้เราทำได้ และฉันคิดว่าการเจิมสำหรับสิ่งนั้นก็จะเพิ่มขึ้นมากด้วย ถ้าในชีวิตฉันมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากขึ้น

ฉันอยากจะบอกคุณว่า การที่คุณให้ออกไปนั้น ไม่ได้ทำให้คุณเสียอะไรเลยนะ แต่คุณกำลังทำให้ตัวคุณเองได้รับพระพรที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ฉันขอถามคุณหน่อยว่า นานแค่ไหนแล้วที่คุณทำอะไรเพื่อคนอื่นที่ไม่ใช่การถวายทรัพย์ที่โบสถ์ และถ้าแบบนี้ละ ถ้าคุณลองตั้งใจจะทำให้คนอื่นมีรอยยิ้มอย่างน้อยสามคนต่อวันละ คุณรู้ไหมถ้าคุณชมใครสักคน เขาจะยิ้มให้คุณ ถ้าคุณให้ของขวัญใครสักคนพวกเขาก็จะยิ้มให้คุณ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคริสตชนทุกคน ตั้งใจว่า  ฉันจะทำให้คนยิ้มอย่างน้อยสามคนต่อวัน มันก็คงจะเพิ่มจำนวนคนที่มีความสุกเพิ่มขึ้นในโลกนี้ มากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนนี้

พระคัมภีร์ในมัทธิวบทที่6 สอนเราว่า สิ่งที่เราทำในที่ลับพระเจ้าจะให้รางวัลในที่แจ้ง บอกอีกว่า เมื่อท่านทำทานอย่าเป็นเหมือนพวกฟาริสีที่เป่าแตรอยู่ข้างหน้าเพื่อให้คนอื่นได้เห็นว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ เราต้องไม่ทำเพื่อให้ได้คำขอบคุณหรือให้คนอื่นเห็นหรือให้คนอื่นมามองเราในทางที่ดี แต่ขอให้เราทำเพราะเราอยากจะทำเพื่อพระเจ้า เพราะเราเชื่อว่านั่นเป็นหลักคำสอนของพระองค์ และเราอยากจะเป็นพระพรให้กับผู้อื่น เมื่อไหร่ก็ตามที่เราให้และถ้าเราทำด้วยเหตุผลสองประการที่พูดว่าเพื่อพระเจ้าและเพื่อเป็นพระพร พระเจ้าจะตอบแทนคุณมากกว่าที่คุณให้อีกเสมอ

คุณอาจจะพูดว่า ฉันไม่รู้จริงๆว่าจะต้องทำยังไง ให้คุณลองออกไปเป็นอาสาสมัครทำงานเพื่อชุมชนของคุณดู โดยเริ่มจากเดือนละครั้ง ลองออกไปช่วยเหลือคนอื่นดูบ้าง ออกไปดูให้เห็นว่าคนบางคนเขาแทบจะไม่มีอะไรเลย แล้วคุณจะได้เห็นคุณค่าของสิ่งที่คุณมีมากยิ่งขึ้น เพราะบางครั้งเรานั่งอยู่ที่บ้านกับพระพรของเราจนเรากลายเป็นคนโลภมากขึ้นเรื่อยๆ หรือจนเรากลายเป็นคนขี้หงุดหงิด บ้างก็มีมากจนต้องมาบ่นทีหลัง เพราะเราต้องมาคอยดูแลของเหล่านั้น  

ฉันเชื่อว่าการมีใจกว้างขวางนั้นเชื่อโยงกับการตอบคำอธิษฐานด้วยเหมือนกัน คุณอาจจะไม่เชื่อ ให้เราดูจากหนังสือกิจการ 10:2 บอกว่า ถ้าท่านและครอบครัวเป็นคนเคร่งศาสนาและเกรงกลัวพระเจ้า ท่านให้ทานแก่ประชาชนอย่างมากมายและอ้อนวอนพระเจ้าอยู่เสมอ วันนี้นอกจากจะให้เราเป็นผู้ให้แล้วขอให้เราเป็นนักอธิษฐานด้วย  เพราะพระเจ้าจะทรงนึกถึงคำอธิษฐานของท่านและพระองค์จะช่วยท่านด้วย

ของขวัญที่เราให้ด้วยใจที่ถูกต้องจะประจักษ์ต่อหน้าพระพักต์พระเจ้าเพื่อเป็นอนุสรณ์ พระเจ้าไม่เคยลืมสิ่งเหล่านั้น กี่ครั้งแล้วที่พระเจ้าวางโอกาสไว้อยู่ต่อหน้าคุณแต่คุณไม่ได้สนใจ พระเจ้าอยากใช้คุณแต่คุณไม่สนใจหรือไม่ได้คิดว่า คุณอาจจะเป็นคนๆนั้นที่พระเจ้าอยากจะใช้เพื่อช่วยเหลือคนอื่น

ดังนั้นถ้ามีโอกาส ขอให้เราทำดีต่อทุกคน ไม่ใช่แค่ช่วยเหลือเขา แต่ยังทำสิ่งที่จะช่วยพัฒนาฝ่ายวิญญาณของเขาให้เติบโตยิ่งขึ้นและเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนที่เป็นสมาชิกของครอบครัวแห่งความเชื่อ รวมถึงผู้เชื่อใหม่ด้วย จงคิดเสมอที่จะทำตัวให้เป็นพระพรแก่คนรอบข้าง ให้ความคิดของคุณเต็มไปด้วยวิธีการต่างๆ ที่จะเป็นพระพร ลองคิดทุกๆวันเลยว่า วันนี้เราจะทำอะไรให้คนอื่นได้บ้าง เวลาที่เจออื่นๆข้างนอก ลองถามพระเจ้าว่า มีอะไรที่คุณพอจะใช้เป็นพระพรให้เขาเหล่านั้นได้บ้าง หรือถ้าพระเจ้าไม่ได้บอกอะไรคุณเลย ก็ลองเอ่ยคำชมเชยเขา ว่าชุดที่เขาใส่เหมาะกับเขามาก หรือคุณชอบสีผมของพวกเขา เพราะมันไม่มีใครหรอกที่จะไม่ชอบคำชมเชย การทักทายด้วยรอยยิ้มและคำพูดสุภาพ การให้จึงเป็นเหตุให้มีความสุขมากกว่าการรับ

แนวคิดวันนี้

ไม่ว่าใครก็สามารถลุกขึ้นไปทำความดีได้ และเป็นผู้ให้ได้ ให้เรื่องนี้เป็นเป้าหมายของคุณในทุกๆวันเลยว่า วันนี้ฉันจะลุกขึ้นมาทำสิ่งดี ฉันจะไม่มัวมานั่งสงสารตนเอง ฉันจะไม่บ่น  ฉันจะไม่อารมณ์เสีย กับสิ่งที่ฉันยังไม่ได้อย่างที่ฉันอยากได้ แต่ฉันจะออกไปเป็นพระพรให้กับคนอื่น

ขอบคุณบทความหนุนใจจากชีวิตเปี่ยมสุข

จอยซ์ ไมเออร์

 


พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ อ่านมัทธิว 8:1 ถึง 11:1 ​    25 และพวกสาวกมาปลุกพระองค์ ทูลว่า “องค์พร...