วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

การมีใจเฟื้อเผื่อแผ่

 


แนวคิดของการมีใจกว้างขวาง

ในทุกๆ วันให้เราลองถามตนเองว่า ฉันจะทำอะไรเพื่อคนอื่นได้บ้าง? ฉันไม่รู้ว่าคุณเข้าใจกันไหมว่า อันที่จริงแล้วการให้นั้นมีพลังแค่ไหน

ฉันเชื่อจริงๆว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีฤทธิ์เดชที่จะนำความสุขมาสู่ชีวิตเรา วันนี้เราจะมาแบ่งปันเรื่องของการมีใจกว้างขวาง คุณรู้ไหมว่าถ้าชีวิตของคุณเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ คุณจะมีความสุขมากขึ้นๆ พระคัมภีร์บอกว่า การให้เป็นเหตุให้มีความสุข ยิ่งกว่าการรับ ฉันกำลังพูดถึงการให้ในทุกรูปแบบ ตั้งแต่ การชมเชย การให้กำลังใจ การยิ้ม การช่วยเหลือทางร่างกาย การช่วยเหลือด้านการเงินกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ การถวายให้กับงานของพระเจ้า เพื่อเราจะได้ประกาศพระกิตติคุณต่อไปได้ เราต้องมีความคิดที่จะเป็นผู้ให้ อย่าอยู่เพื่อจะเป็นแต่ผู้รับอย่างเดียว ให้เราอยู่เพื่อที่จะให้ด้วย

ถ้าคุณเป็นคนใจกว้างขวาง คุณจะเป็นคนที่มีความสุขมาก ถ้าคุณเป็นคนใจกว้างขวางคุณก็จะเป็นคนที่มีอำนาจ  คุณเคยเจอสถานการณ์ที่แบบว่า คุณรักและชอบของชิ้นหนึ่งมากๆ แต่แล้วคุณก็รู้สึกได้ว่าพระเจ้าอยากให้คุณยกมันให้กับผู้อื่น ให้คุณใช้มันเป็นพระพรกับผู้อื่น คุณจะไม่รู้สึกอะไรหรอกถ้ามันเป็นของที่เราไม่ได้รักหรือใส่ใจมันเท่าไหร่ แต่มันจะยากขึ้นมา ถ้ามันเป็นของที่คุณรักและชอบมากจริงๆ

ฉันเคยถามพระเจ้าว่า ข้าแต่พระเจ้าลูกเชื่อฟังพระองค์และยกมันให้เขาไปแล้ว และพระองค์บอกให้เขาเอามาคืนให้ลูก แล้วตอนนี้ทำไมลูกกลับรู้สึกไม่ชอบมันแล้ว แล้วพระเจ้าก็สอนบทเรียนให้ฉัน พระองค์ตรัสว่า เมื่อไหร่ที่เราบอกให้เจ้ายกของสิ่งนั้นให้คนอื่น แต่ใจของเจ้ายังอยากเก็บมันไว้อยู่ ต่อให้ได้มันคืนมามันก็จะไม่มีการเจิมอีกแล้ว นี่เป็นคำที่พระองค์ใช้ ซึ่งมันหมายถึงฤทธิ์เดชที่จะเป็นพระพรแก่เจ้า ฉันอยากให้คุณใคร่ครวญสิ่งที่ฉันเพิ่งพูดไป เพราะเรื่องนี้สำคัญมาก หรืออีกนัยหนึ่งก็คือถ้าคุณอยากมีความสุขกับชีวิตและเพลิดเพลินกับสิ่งที่คุณมี บางครั้งพระเจ้าให้คุณมี ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือเงินทอง บางครั้งก็เพื่อให้คุณเสียสละ แต่ถ้าคุณยังเลือกที่จะเก็บเอาไว้ ในสิ่งที่พระเจ้าบอกให้คุณยกหรือแบ่งปันให้คนอื่น มารซาตานจะหาวิธีการมาขโมยสิ่งนั้นไปจากคุณ หรือคุณจะไม่มีความสุขกับของชิ้นนั้นอีกเลย นี่เป็นบทเรียนที่ดีมากๆ สำหรับฉัน และฉันหวังว่ามันจะเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับคุณด้วย

ในฐานะคริสตชนการให้ถือว่าเป็นส่วนใหญ่ของชีวิต(ไม่ใช่แค่ส่วนหนึ่ง) พระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศแต่จะมีชีวิตนิรันดร์ พระเจ้าคือผู้ให้ พระองค์ไม่ใช่ผู้ให้ที่ตระหนี่  พระองค์เป็นผู้ให้อย่างล้นเหลือ พระองค์เป็นพระเจ้าที่ให้มากกว่าแค่เพียงพอ ไม่ใช่พระเจ้าที่มีแค่พอดีๆ และ เราถูกสร้างตามพระฉายของพระองค์ และในฐานะผู้เชื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ที่อยู่ในเรา

ดังนั้นเราทุกคนควรจะเป็นผู้ให้เช่นกัน  ถึงแม้ว่าฉันจะเป็นผู้ให้อยู่แล้วแต่ฉันก็พบว่าในชีวิตของฉันนั้นยังคงต้องให้คำมั่นในเรื่องนี้อีกครั้ง ไม่ใช่ว่า ฉันจะเลิกให้ เพราะฉันให้มาเยอะแล้ว แต่ฉันต้องมุ่งมั่นที่จะเติบโตในเรื่องการให้ให้มากขึ้นกว่าเก่า คุณรู้ไหมใน 2โครินธ์ 8:7 ท่านเปาโลได้พูดกับผู้เชื่อในเมืองโครินธ์ว่า ท่านทั้งหลายก็จงมีคุณความดีนี้อย่างเหลือล้นด้วย คุณรู้ไหม อย่างเหลือล้นหมายถึง การทำมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นฉันจึงไม่ติดอยู่กับการให้แค่ระดับหนึ่ง แล้วมาภาคภูมิใจในตนเองว่า ฉันเป็นผู้ให้ที่ดี ฉันคิดว่า เราต้องตั้งใจที่จะเติบโตในเรื่องของการให้อยู่เสมอ  เราจะต้องทำให้แน่ใจว่าการให้ของเราแต่ละครั้งนั้นออกมาจากใจจริงๆด้วยความรู้สึกที่อยากให้(ไม่มีความเสียดาย) ยกตัวอย่างก็คือ ฉันมีเสื้อโคทในตู้เสื้อผ้าที่ใส่มาแล้วห้าปี ตอนนี้ก็ไม่ได้ใส่มาแล้วสองปี  ฉันก็เลยยกให้คนอื่นไป ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเลย ฉันเหมือนไม่ได้เสียอะไรไปเลย เพราะถึงยังไงฉันก็ไม่ได้ใช้มันอยู่แล้ว แต่สองสามปีก่อน ฉันซื้อเสื้อโคทตัวใหม่ที่ฉันรักมันมาก ฉันไม่ได้แค่ชอบนะ แต่ฉันรักมาก ทุกครั้งที่ฉันหยิบมันมาใส่ ก็มักจะมีคนมาชมอยู่บ่อยๆ จนวันหนึ่งฉันอยู่ในร้านแล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันเองก็รู้จักออกปากชมว่า โอ้โหคุณซื้อมันมาจากไหนเนี่ย ฉันอยากได้แบบนี้สักตัว ฉันชอบมากเลย พอฉันกลับบ้านไป ฉันรู้สึกเลยจากข้างใน โดยที่พระเจ้าไม่จำเป็นต้องตะโกนใส่หูฉัน ฉันรู้ทันทีเพราะฉันสัมผัสได้จากข้างในเลยว่า ฉันควรจะยกมันให้กับเธอไปเถอะ แต่อีกใจก็บอกว่าฉันไม่ได้อยากยกให้เธอนี่นา ฉันอยากจะเก็บไว้ รู้ไหมว่าพระเจ้าจะไม่ปล่อยให้ทำในสิ่งที่เราอยากทำเสมอไป  ทันทีที่ฉันยกให้เธอ เธอดีใจมาก และฉันก็โทรกลับไปหาที่ร้านที่ฉันซื้อมาเพื่อจะสั่งอีกตัว มันเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม ที่ร้านแจ้งว่ารุ่นนั้นมันหมดไปแล้ว

ดังนั้นฉันชอบที่จะคอยเตือน คอยย้ำตนเองว่า ฉันจะตั้งใจมีชีวิตที่เป็นผู้ให้ ไม่ใช่แค่รับอย่างเดียว และบางครั้งฉันชอบที่จะให้มากขึ้นหรือบางครั้งฉันก็ชอบให้เป็นพิเศษ ฉันไม่รู้ว่าคุณเข้าใจหรือเปล่าว่า การให้นั้นมีพลังมากแค่ไหน เวลาที่เราเห็นแก่ตัวชีวิตเราจะเล็กลงเรื่อยๆ และไม่มีความสุข และวิธีที่ดีที่สุดที่จะต่อสู้กับความเห็นแก่ตัวคือการมีใจกว้างขวาง หรือจะพูดแบบนี้ก็ได้ว่าการมีใจกว้างขวางเป็นยาถอนพิษของความเห็นแก่ตัว วิธีที่ดีที่สุดคือความเอื้ออาทร จริงๆแล้วความเอื้ออาทรเป็นอาวุธที่พระเจ้ามอบให้เราเป็นวิธีที่เราจะใช้ต่อสู้กับศัตรูในชีวิตที่จะเพิ่มความสุขให้กับเรา ฉันบอกคุณตอนนี้เลยว่าซาตานมันเกลียดๆๆและเกลียดใจที่กว้างขวาง 1 ยอห์น 3:16 กล่าวว่า เช่นนี้เราจึงรู้ว่าความรักคืออะไร คือที่พระเยซูคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อเราและเราควรสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้องเพราะทรงรักเรา และเราก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่นน้อง อีกนัยหนึ่งก็คือพระเจ้าคาดหวังให้เราประพฤติตนตามแบบอย่างพระองค์  พระเจ้าทรงมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อและการมีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ก็คือการเป็นเหมือนพระเจ้า

ฉันจะพูดกับตัวเองเสมอว่าๆสิ่งดีๆจะเกิดขึ้นกับฉันและสิ่งดีๆจะเกิดขึ้นจากตัวฉัน คุณเห็นไหม พระเจ้าให้อภัยคุณและพระองค์คาดหวังให้คุณให้อภัยคนอื่นด้วย พระเจ้าประทานความอดทนกับคุณและพระองค์คาดหวังว่าคุณจะอดทนกับผู้อื่นด้วยเช่นกัน ทุกอย่างที่พระเจ้าประทานให้เราเราจะเก็บไว้เฉยๆแล้วทำให้ตนเองเป็นเหมือนบ่อน้ำตายไม่ได้   ดังนั้นทุกครั้งที่คุณให้บางอย่างไหลผ่านคุณออกไป คุณจะมีที่ว่างเพื่อให้พระเจ้าได้ทำอย่างอื่นให้คุณอีกแล้วกระแสนั้นก็จะไหลออกไปไม่มีที่สิ้นสุดจากชีวิตเรา

ดังนั้นคุณเคยกลับมาคิดถึงการให้ของคุณเองบ้างไหม? คุณเคยถามตนเองบ้างไหมว่า ฉันขยันที่จะเป็นผู้ให้หรือเปล่า ฉันทำมากเท่าที่จะทำได้หรือยัง มีคนรอบๆตัวที่กำลังต้องการความช่วยเหลือบ้างไหม คนที่ฉันสามารถช่วยเขาได้ง่ายๆ แต่ฉันไม่ได้คิดจะช่วยหรือก็คิดอยู่แต่ยังไม่อยากทำ กาลาเทีย  6:7 กล่าวว่า ท่านไม่อาจหลอกลวงพระเจ้า ใครหว่านอะไรย่อมเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ฉันชอบหลักการของการหว่านกับการเก็บเกี่ยวนี้มาก ที่จริงแล้วมันทำให้ฉันรู้สึกว่า ฉันสามารถควบคุมชีวิตตนเองได้ นึกออกไหม ถ้าฉันอยากให้คนอื่นเป็นมิตรกับฉันมากขึ้นฉันก็จะหว่านเมล็ดพืชของการเริ่มต้นเป็นมิตรให้กับเขามากขึ้น แล้วถ้าฉันให้ออกไปมันก็จะกลับคืนมาหาฉันแบบยัดสั่นแน่นพูนพื้นล้นเต็มหน้าตัก พระคัมภีร์ลูกา 6:38 ได้บอกเอาไว้ว่า จงให้แล้วท่านจะได้รับ และทะนานที่ตวงเต็มยัดสั่นแน่นพูนล้นจะถูกเทลงในตักของท่าน เพราะท่านใช้ทะนานอันใดก็จะใช้ทะนานอันเดียวกันนั้นตวงแก่ท่าน”

คุณอยากได้พระพรแบบเต็มล้นในชีวิตหรือเปล่า  วิธีที่จะได้รับก็คือ คุณต้องเป็นผู้ให้ ฉันอยากเป็นคนใจกว้างแบบเต็มที่และหวังว่าวันนี้ฉันจะช่วยจุดประกายเรื่องนี้ให้กับคุณหลายๆคนด้วย ฉันมีความสุขเสมอที่ได้ให้ อันที่จริงการให้เป็นหนึ่งในของขวัญที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่า เป็นของขวัญของการช่วยเหลือที่พระเจ้ามอบให้เราและฉันเชื่อว่า ฉันได้รับของขวัญชิ้นนั้นด้วย ฉันมีความสุขเสมอที่ได้ให้แม้ในตอนที่ยังเป็นเด็ก แต่ฉันอยากแน่ใจว่าฉันได้ให้มากที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้และทำเพื่อคนอื่นมากที่สุดเท่าที่ฉันทำได้ ใน มาลาคี  3 ข้อ 10 เป็นพระสัญญาที่น่าอัศจรรย์ และเป็นความท้าทาย เป็นเรื่องที่ท้าทาย พระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสว่า “จงนำสิบลดมายังคลังพระวิหารให้ครบ เพื่อจะมีอาหารในพระนิเวศของเรา จงลองดูเราในข้อนี้ มีหรือที่เราจะไม่เปิดประตูฟ้าสวรรค์เทพรมาให้เจ้าอย่างเหลือล้นจนไม่มีที่จะเก็บ”  แล้วถ้าคุณดูดีๆ พระองค์ตรัสว่า จงลองดูเราในเรื่องนี้ คือพระเจ้าตรัสว่า ถ้าเจ้าไม่เชื่อว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในชีวิตเจ้า ก็ลองทำดู แล้วเจ้าจะได้เห็นว่าเราจะทำอะไรให้เจ้าได้บ้าง

บางคนมีความต้องการในชีวิตเยอะมาก และเขาอาจจะไม่เคยให้อะไรใครเลย คุณเองอาจไม่ได้หรือคุณให้น้อยที่สุดเท่าที่จะให้ได้ นั่นเป็นเพราะคุณไม่ได้อธิษฐานเรื่องการให้ของคุณเลย บางทีคุณไปโบสถ์คุณก็ถวายสิบ ยี่สิบ ร้อย ลงในถุงเพื่อให้ถุงถวายนั้นผ่านๆคุณไป แต่จริงๆแล้วเราควรถวายด้วยใจกว้างขวาง เพราะพระเจ้ามีใจกว้างขวาง และเราถูกสร้างขึ้นตามพระฉายของพระองค์ เรามักจะกลัวเสมอว่าถ้าเราให้ เราก็ต้องเสียสิ แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะพระคัมภีร์สอนเราว่า การถวายแด่พระเจ้าไม่มีวันสูญเปล่า

ให้เรามาดูพระธรรม 2 โครินธ์ บทที่ 9 ข้อ6-11บอกให้จำไว้ว่า คนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก นอกจากนั้นพระพรจะไหลผ่านไปถึงคนอื่นด้วย คุณไม่ได้ให้เพื่ออยากได้อะไรกลับคืนมา แต่คุณให้เพื่ออยากให้คนอื่นได้รับพระพร

ฉันอยากให้คนอื่นรับพระพร ฉันมีความสุขที่พระเจ้าใช้ฉันเป็นเครื่องมือที่จะเป็นพระพรในชีวิตของพวกเขา คุณรู้ไหมทำไมฉันจึงมีความสุข เพราะฉันได้เรียนรู้แล้วว่า คนมีใจกว้างขวางคือคนที่มีความสุข ฉันเศร้ามามากพอแล้วในชีวิต ฉันจึงไม่อยากเศร้าอีกต่อไป แต่ฉันอยากจะมีความสุข คนที่หว่านมากหมายถึงพระพรนั้นจะไปถึงคนอื่นๆด้วย และการเก็บเกี่ยวได้มาก คือตัวเขาจะได้พระพรด้วย

แต่ละคนจงให้ตามที่เขาคิดหมายไว้ในใจ ดังนั้น คุณจะไม่เอาแต่นั่งคิด แต่ไม่ลงมืออทำ คุณต้องทำตามและทำในสิ่งที่พระเจ้าใส่ไว้ในใจคุณ ไม่ใช่ให้ด้วยความเสียดาย หรือความจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนที่ให้ด้วยใจยินดี ผู้ที่มีใจยินดีและเบิกบานที่จะให้นั้น พระเจ้าสามารถประทานพรทุกอย่างทั้งความโปรดปรานและพระพรในโลกนี้แก่ท่านทั้งหลายอย่างเหลือล้น เพื่อว่าเมื่อมีทุกอย่างเพียงพออยู่เสมอสำหรับทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะต้องการอะไรก็ตามจะรู้สึกพอใจตนเองเสมอและมีอย่างเพียงพอโดยที่ไม่ต้องการความช่วยเหลือหรือการสนับสนุน ท่านยังจะมีเหลือล้นสำหรับการดีทุกอย่างด้วย

ตามที่เขียนไว้ว่า เขาแจกจ่าย เขาให้ แก่บรรดาคนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิจและพระองค์ผู้ประทานเมล็ดพืชแก่คนที่หว่าน และอาหารแก่คนที่กิน พระเจ้าจะให้เงินทองและสิ่งของไว้สำหรับแจกจ่ายคนอื่น และพระองค์จะประทานเงินทองและสิ่งของสำหรับตัวเราเองด้วย และจะทำให้การเก็บเกี่ยวของท่านจำเริญขึ้น ดังนั้น ทุกครั้งที่คุณให้ พระเจ้าจะให้คุณคืนกลับมาแล้วสิ่งหนึ่งที่พระองค์ประทานให้คุณก็คือ เมล็ดพันธ์ที่จะแจกจ่ายออกไปอีก เพราะวิธีเดียวที่คุณจะเก็บเกี่ยวกับสิ่งที่คุณหว่าน คุณจะเก็บเกี่ยวซ้ำไม่ได้ ยกเว้นถ้าคุณจะหว่านมันอีกครั้ง 

ดังนั้น นี่คือสิ่งที่คุณควรทำเป็นนิสัยส่วนตัวที่เราทำเป็นประจำ คือการเป็นผู้ให้เสมอ โดยทรงให้ท่านทั้งหลายมั่งคั่งขึ้นในทุกสิ่ง เพื่อบริจาคด้วยใจกว้างขวางอยู่เสมอ และจะทำให้เกิดการขอบคุณพระเจ้าผ่านเรา คุณรู้ไหมว่านี่คือส่วนที่สวยงามของเรื่องนี้  บางครั้งน้ำใจที่เราแสดงออกไปนั้นช่วยหนุนและเสริมใจใครบางคนได้ นอกจากเขาจะรู้สึกขอบคุณเราแล้ว เขายังจะขอบคุณพระเจ้าด้วยที่ส่งใครสักคนมาให้ความช่วยเหลือเขา มาซัพพอร์ตเขา มาให้กำลังใจเขา เคยสังเกตไหม เวลาที่มีใครยื่นมามาช่วยเหลือคุณ คุณจะรู้ได้ว่าเขารักเรา แต่ที่สำคัญกว่านั้นบางครั้งมันทำให้เรารู้ว่าพระเจ้ารักเรา ผ่านทางเขา  พระเจ้าทรงใช้มนุษย์

พระเจ้าอาจจะใช้คุณเพื่อไปเป็นกำลังใจให้คนอื่นก็ได้ วันนี้คุณอาจจะส่งข้อความไปบอกคนที่คุณรักว่า ฉันอยากให้คุณรู้ว่าคุณเป็นคนสำคัญในชีวิตของฉัน คุณอาจจะส่งข้อความบอกว่า ฉันอยากให้คุณรู้ ว่าฉันซาบซึ้งใจกับทุกอย่างที่คุณทำ เพื่อฉัน

คุณเชื่อไหมแค่การคิดถึง การได้อวยพรและอธิษฐานเพื่อคนอื่น มันก็ทำให้เราเริ่มมีความสุขแล้ว การเจิมของพระเจ้าช่วยให้เรามีความสุขและพ่วงการมีใจให้ที่กว้างขวางเพิ่มมาด้วย แล้วการเจิมคืออะไร การเจิมคือการสถิตอยู่ของพระเจ้า เมื่อไหร่ที่คุณถูกเจิมให้ทำบางอย่างนั่นหมายความว่าเราจะทำได้และทำได้ดีด้วย เราจะมีกำลังและพระเจ้าจะช่วยให้เราทำได้ และฉันคิดว่าการเจิมสำหรับสิ่งนั้นก็จะเพิ่มขึ้นมากด้วย ถ้าในชีวิตฉันมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากขึ้น

ฉันอยากจะบอกคุณว่า การที่คุณให้ออกไปนั้น ไม่ได้ทำให้คุณเสียอะไรเลยนะ แต่คุณกำลังทำให้ตัวคุณเองได้รับพระพรที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ฉันขอถามคุณหน่อยว่า นานแค่ไหนแล้วที่คุณทำอะไรเพื่อคนอื่นที่ไม่ใช่การถวายทรัพย์ที่โบสถ์ และถ้าแบบนี้ละ ถ้าคุณลองตั้งใจจะทำให้คนอื่นมีรอยยิ้มอย่างน้อยสามคนต่อวันละ คุณรู้ไหมถ้าคุณชมใครสักคน เขาจะยิ้มให้คุณ ถ้าคุณให้ของขวัญใครสักคนพวกเขาก็จะยิ้มให้คุณ จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคริสตชนทุกคน ตั้งใจว่า  ฉันจะทำให้คนยิ้มอย่างน้อยสามคนต่อวัน มันก็คงจะเพิ่มจำนวนคนที่มีความสุกเพิ่มขึ้นในโลกนี้ มากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนนี้

พระคัมภีร์ในมัทธิวบทที่6 สอนเราว่า สิ่งที่เราทำในที่ลับพระเจ้าจะให้รางวัลในที่แจ้ง บอกอีกว่า เมื่อท่านทำทานอย่าเป็นเหมือนพวกฟาริสีที่เป่าแตรอยู่ข้างหน้าเพื่อให้คนอื่นได้เห็นว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ เราต้องไม่ทำเพื่อให้ได้คำขอบคุณหรือให้คนอื่นเห็นหรือให้คนอื่นมามองเราในทางที่ดี แต่ขอให้เราทำเพราะเราอยากจะทำเพื่อพระเจ้า เพราะเราเชื่อว่านั่นเป็นหลักคำสอนของพระองค์ และเราอยากจะเป็นพระพรให้กับผู้อื่น เมื่อไหร่ก็ตามที่เราให้และถ้าเราทำด้วยเหตุผลสองประการที่พูดว่าเพื่อพระเจ้าและเพื่อเป็นพระพร พระเจ้าจะตอบแทนคุณมากกว่าที่คุณให้อีกเสมอ

คุณอาจจะพูดว่า ฉันไม่รู้จริงๆว่าจะต้องทำยังไง ให้คุณลองออกไปเป็นอาสาสมัครทำงานเพื่อชุมชนของคุณดู โดยเริ่มจากเดือนละครั้ง ลองออกไปช่วยเหลือคนอื่นดูบ้าง ออกไปดูให้เห็นว่าคนบางคนเขาแทบจะไม่มีอะไรเลย แล้วคุณจะได้เห็นคุณค่าของสิ่งที่คุณมีมากยิ่งขึ้น เพราะบางครั้งเรานั่งอยู่ที่บ้านกับพระพรของเราจนเรากลายเป็นคนโลภมากขึ้นเรื่อยๆ หรือจนเรากลายเป็นคนขี้หงุดหงิด บ้างก็มีมากจนต้องมาบ่นทีหลัง เพราะเราต้องมาคอยดูแลของเหล่านั้น  

ฉันเชื่อว่าการมีใจกว้างขวางนั้นเชื่อโยงกับการตอบคำอธิษฐานด้วยเหมือนกัน คุณอาจจะไม่เชื่อ ให้เราดูจากหนังสือกิจการ 10:2 บอกว่า ถ้าท่านและครอบครัวเป็นคนเคร่งศาสนาและเกรงกลัวพระเจ้า ท่านให้ทานแก่ประชาชนอย่างมากมายและอ้อนวอนพระเจ้าอยู่เสมอ วันนี้นอกจากจะให้เราเป็นผู้ให้แล้วขอให้เราเป็นนักอธิษฐานด้วย  เพราะพระเจ้าจะทรงนึกถึงคำอธิษฐานของท่านและพระองค์จะช่วยท่านด้วย

ของขวัญที่เราให้ด้วยใจที่ถูกต้องจะประจักษ์ต่อหน้าพระพักต์พระเจ้าเพื่อเป็นอนุสรณ์ พระเจ้าไม่เคยลืมสิ่งเหล่านั้น กี่ครั้งแล้วที่พระเจ้าวางโอกาสไว้อยู่ต่อหน้าคุณแต่คุณไม่ได้สนใจ พระเจ้าอยากใช้คุณแต่คุณไม่สนใจหรือไม่ได้คิดว่า คุณอาจจะเป็นคนๆนั้นที่พระเจ้าอยากจะใช้เพื่อช่วยเหลือคนอื่น

ดังนั้นถ้ามีโอกาส ขอให้เราทำดีต่อทุกคน ไม่ใช่แค่ช่วยเหลือเขา แต่ยังทำสิ่งที่จะช่วยพัฒนาฝ่ายวิญญาณของเขาให้เติบโตยิ่งขึ้นและเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนที่เป็นสมาชิกของครอบครัวแห่งความเชื่อ รวมถึงผู้เชื่อใหม่ด้วย จงคิดเสมอที่จะทำตัวให้เป็นพระพรแก่คนรอบข้าง ให้ความคิดของคุณเต็มไปด้วยวิธีการต่างๆ ที่จะเป็นพระพร ลองคิดทุกๆวันเลยว่า วันนี้เราจะทำอะไรให้คนอื่นได้บ้าง เวลาที่เจออื่นๆข้างนอก ลองถามพระเจ้าว่า มีอะไรที่คุณพอจะใช้เป็นพระพรให้เขาเหล่านั้นได้บ้าง หรือถ้าพระเจ้าไม่ได้บอกอะไรคุณเลย ก็ลองเอ่ยคำชมเชยเขา ว่าชุดที่เขาใส่เหมาะกับเขามาก หรือคุณชอบสีผมของพวกเขา เพราะมันไม่มีใครหรอกที่จะไม่ชอบคำชมเชย การทักทายด้วยรอยยิ้มและคำพูดสุภาพ การให้จึงเป็นเหตุให้มีความสุขมากกว่าการรับ

แนวคิดวันนี้

ไม่ว่าใครก็สามารถลุกขึ้นไปทำความดีได้ และเป็นผู้ให้ได้ ให้เรื่องนี้เป็นเป้าหมายของคุณในทุกๆวันเลยว่า วันนี้ฉันจะลุกขึ้นมาทำสิ่งดี ฉันจะไม่มัวมานั่งสงสารตนเอง ฉันจะไม่บ่น  ฉันจะไม่อารมณ์เสีย กับสิ่งที่ฉันยังไม่ได้อย่างที่ฉันอยากได้ แต่ฉันจะออกไปเป็นพระพรให้กับคนอื่น

ขอบคุณบทความหนุนใจจากชีวิตเปี่ยมสุข

จอยซ์ ไมเออร์

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ อ่านมัทธิว 26:3 ถึง 27:66 ยูดาสตอบรับการเรียกของพระเยซูให้ติดตามเช่นเดียวกับสาวกคนอื่นๆ เขาออ...