วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

จัดการกับความขุ่นเคืองใจ



เปลี่ยนวันเลวร้ายให้เป็นวันที่ดี ทำได้อย่างไร  

4เพราะว่าสิ่งที่เขียนไว้ในสมัยก่อนนั้น ก็เขียนไว้เพื่อสั่งสอนเรา เพื่อเราจะได้มีความหวังโดยความทรหดอดทน และโดยการหนุนใจจากพระคัมภีร์

โรม 15:4

คุณเคยได้ยินสำนวนเก่า ๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนน้ำมะนาวเปรี้ยว(ความขุ่นเคือง)ให้เป็นน้ำมะนาวหวาน(วันที่ดี) หรือไม่? เมื่อใดก็ตามที่ชีวิตทำให้คุณรู้สึกขุ่นเคืองใจ (เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามที่คุณต้องการหรือคาดหวัง) คุณสามารถเลือกที่จะโวยวาย หงุดหงิด อารมณ์เสีย หรือเลือกที่จะเปลี่ยนให้น้ำมะนาวเปรี้ยวๆกลายเป็นน้ำมะนาวที่หวาน สดชื่นได้

ของเปรี้ยวๆจะกลับกลายเป็นของหวานได้อย่างไร ง่ายมาก! มันเป็นเรื่องของทัศนคติ จงเปลี่ยนทัศนคติของคุณให้เป็นคนอ่อนหวาน ทัศนคติที่ดีคือการเป็นคนมีความคิดที่มีเหตุและผล เป็นคุณสมบัติของบุคคลที่จะประสบความสำเร็จ เขาจะคิดอย่างมีสติ มองความเป็นจริง มากกว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทัศนคติที่ดีคือการสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อเหตุการณ์ที่เป็นปัญหา อุปสรรค  ความเสียใจที่เกิดจากการคาดหวังในบางอย่างแล้วเกิดไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้ หากคุณมีทัศนคติเชิงบวก ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร คุณก็ยังมีสันติสุขในใจได้  

แต่ก็มีบางคนที่ไม่สามารถจัดการกับอารมณ์ขุ่นเคืองในใจของตนได้ มันจึงทำให้เขาระเบิดอารมณ์ออกมาได้ง่ายๆในวันที่เขาต้องเจอกับวันที่เลวร้าย พวกเขายอมแพ้ต่อแรงกดดันและลงมือทำในสิ่งชั่วแบบขาดสติ  หวังว่ามันต้องไม่ใช่คุณนะ! ใช่ไหม!  เราเชื่อว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนมะนาวเปรี้ยว(ความขุ่นเคือง)ให้เป็นน้ำมะนาวหวานได้(วันที่ดี) โดยอาศัยการมีทัศนคติที่ดี  หากคุณทำมันได้ดีก็เท่ากับว่าคุณได้เรียนรู้ที่จะขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์แล้ว!

การจัดการความโกรธ ความขุ่นเคืองเป็นเรื่องสำคัญ ความโกรธสามารถทำลายการติดต่อสื่อสารกัน และบั่นทอนความสัมพันธ์ และมันทำลายทั้งความสุขและสุขภาพของใครหลายคนได้ น่าเศร้านักที่ผู้คนมักจะแสดงให้เห็นถึงความโกรธของพวกเขาแทนที่จะยอมรับความรับผิดชอบมัน เชื่อว่าหลายๆคนได้พยายามจัดการกับความโกรธในระดับมากบ้างน้อยบ้าง ให้เราขอบคุณพระเจ้า ที่พระวจนะของพระองค์มีหลักคำสอนมากมายเกี่ยวกับวิธีจัดการกับความโกรธตามแบบพระเจ้า และวิธีการที่จะช่วยให้เราเอาชนะความโกรธที่จะนำเราไปสู่การทำบาป

ความโกรธกลายเป็นบาปเมื่อมีความเห็นแก่ตัวเป็นแรงผลักดัน เราไม่สามารถควบคุมคนอื่น ๆ ให้กระทำหรือตอบสนองต่อเราได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงท่าที ทัศนคติในส่วนของเรา การเอาชนะอารมณ์ไม่ได้ประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืน แต่โดยผ่านการอธิษฐาน ศึกษาพระคัมภีร์ และการพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

เราจะไม่สามารถเอาชนะความโกรธ ความขุ่นเคืองใจได้ ถ้าเรายอมให้ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจฝังลึกในชีวิตเรา มันจะติดเป็นนิสัย เป็นสันดาน ดังนั้นเราจำเป็นต้องฝึกฝนการตอบสนองที่ถูกต้อง ตามแบบของพระเจ้า อย่ายอมแพ้ต่ออารมณ์ ให้เราพึ่งพาพระเจ้าและฝึกทำไปจนกว่ามันจะติดเป็นนิสัยที่ดีของเราไปในที่สุด

พระเจ้าไม่ทรงโปรดคนที่มีใจแข็งกระด้าง 

โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า

ถ้าเราโกรธ แต่ควบคุมมันได้ เราก็ไม่โง่ 

ถ้าเราโมโห แต่ควบคุมมันได้ เราก็ไม่บ้า

ความโกรธไม่ได้เป็นบาปเสมอไป ในเอเฟซัส 4:26 “จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่”

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ลูกขอขอบพระคุณที่ทรงแสดงให้ลูกได้เห็นวิธีเปลี่ยนและกำจัดทัศนคติที่ไม่ดีออกไป ลูกไม่อยากเป็นผักดองเก่า ที่ส่งกลิ่นบูดเน่า เพราะนอกจากจะส่งผลเสียต่อตัวลูกเองแล้วมันยังมีผลเสียต่อคนรอบข้างอย่างมากมายด้วย  โปรดช่วยให้ลูกสามารถเปลี่ยนวันแห่งความขุ่นเคืองใจ ให้เป็นวันที่ดี โปรดช่วยให้ลูกเป็นคนที่มีใจของพระคุณพระเจ้าได้ทุกสถานการณ์ โปรดอย่าให้ลูกพ่ายแพ้ต่อความขุ่นเคืองจนพลาดทำในสิ่งผิด ลูกไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองได้ด้วยกำลังของลูก ลูกจึงมาขอพึ่งพาการทรงนำจากพระองค์ ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

gotquestions

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

สังคมใส่หน้ากาก

 


สังคมใส่หน้ากาก

แต่ไม่มีอะไรที่ปิดบังไว้ที่จะไม่เปิดเผย หรือความลับที่จะไม่เผยให้ประจักษ์

ลูกา 12:2

คุณเคยได้ยินคพูดที่ว่า “สังคมใส่หน้ากาก” บ้างไหม  ในสังคมปัจจุบันเราอาจปฏิเสธไม่ได้ว่าคนทุกคนล้วนแล้วแต่สวมหน้ากากเข้าหากันทั้งนั้น แต่ต่างคนก็ต่างมีเหตุผลหรือเจตนาที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าการสวมหน้ากากของคนในสังคมจะมีเจตนาที่ไม่ดีเพียงอย่างเดียวนะ บางคนสวมหน้ากากเพียงเพื่อปกป้องตนเองหรือบางคนก็สวมไว้เพื่อปกป้องคนที่เขารัก ต่างคนก็ต่างเหตุผลกันออกไป

คุณเคยต้องเสแสร้งแกล้งทำในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของคุณหรือต้องแกล้งแสดงเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าใครบางคนบ้างไหม ? การใส่หน้ากากเข้าหากันนั้นถือเป็นการปกปิดตัวตนเพื่อมิให้คนอื่นได้รับรู้ แต่หากวันใดหน้ากากนั้นถูกเปิดออกมาเราก็จะได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของคนๆนั้น มันอาจเป็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นก็จริง แต่ตัวคุณย่อมรู้ดี!  มีคำพูที่ว่า ธรรมชาติของ “ตา” อาจมองไม่เห็นถึง “จิตใจ”   เราจึงไม่ควรเชื่อใจใคร เพียงแค่มองด้วย “สายตา เพราะคนบางคนสามารถปกปิดสิ่งชั่วที่อยู่ภายใต้หน้ากากได้ดีมากๆ คำว่า รู้หน้าแต่ไม่อาจรู้ใจจึงมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ

แล้วทำไมเราต้องสวมหน้ากากเหล่านั้นด้วยล่ะ? แค่เป็นตัวของตัวเองทำไมมันถึงยากจัง บางครั้งเราก็ต้องทำเพื่อปกปิดความเจ็บปวด เราอาจต้องแสร้งทำเป็นมีความสุขทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ใช่ บางครั้งเราก็ต้องทำเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง เราอาจต้องทำตัวให้เหมือนเพื่อนคนอื่นเพื่อว่าพวกเขาจะได้ชอบและยอมรับเรา หรือทำเพื่อให้คนอีกหลายๆคนสบายใจ แต่พระคัมภีร์วันนี้ต้องการสอนว่า อย่าพยายามหาเหตุผลเพื่อจะทำสิ่งผิด เพราะมันไม่มีเหตุผลใดที่ดีพอที่เราจะต้องมาสวมหน้ากากเข้าหากัน พระเจ้าต้องการให้เราสวมความรัก สวมความจริงใจ สวมความซื่อสัตย์ สวมความอ่อนน้อม มีใจเชื่อฟังพระองค์ ยึดถือความถูกต้อง หากคุณมีสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานในการใช้ชีวิต คุณก็ไม่จำเป็นต้องปกปิด เพราะไม่มีอะไรที่ปิดบังไว้แล้วจะไม่เปิดเผย   

บางครั้งหน้ากากที่ดีที่สุดที่เราสามารถใส่ออกไปได้ทุกวันนั่นก็คือใบหน้าที่ยิ้มแย้มและ ท่าทีที่เป็นมิตรของเรานั่นเอง แต่มันจะแสดงออกมาได้ดีก็ต่อเมื่อภายในจิตใจของเราเต็มไปด้วยสิ่งดี พระคัมภีร์ ลูกา 6:45 กล่าวว่า คน​ดี​จะ​เอา​แต่​สิ่ง​ดี ๆ ที่​อยู่​ใน​ใจ​ออก​มา ส่วน​คน​ชั่ว​ก็​จะ​เอา​แต่​สิ่ง​ชั่ว ๆ ที่​อยู่​ใน​ใจ​ออก​มา​เหมือน​กัน ใจ​เต็ม​ไป​ด้วย​อะไร ปาก​ก็​พูด​อย่าง​นั้น คนดีมักจะพูดแต่สิ่งดี เน้นการเสริมสร้างแก่ผู้อื่น ในทางตรงกันข้ามคนที่จิตใจไม่ดีก็จะมีคำพูด ท่าที และทัศนคติ ที่ตรงกันข้ามกับสิ่งดี และเน้นการทำลายมากกว่าการเสริมสร้าง

วันนี้เราต้องลองสำรวจตัวเองแล้วละว่า จิตใจของเราเต็มไปด้วยสิ่งดี มีแต่ความรัก หรือเต็มไปด้วยสิ่งชั่ว  ที่สะสมแต่ของเน่าเหม็น  หากเต็มไปด้วยสิ่งดีและมีความรัก มันก็คงไม่ยากเกินไปที่เราจะโยนหน้ากากต่างๆทิ้งไป และสวมแค่หน้ากากแห่งรักและความจริงใจเอาไว้แทน

ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร จงทำส่วนของคุณให้ดี หากเป็นลูกก็ทำหน้าที่ลูกให้ดี หากเป็นพ่อแม่ ก็ทำหน้าที่พ่อแม่ให้ดี หากเป็นผู้ใหญ่ก็ทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดี หากเป็นเพื่อนก็จงเป็นเพื่อนที่ดี  : หลีกเลี่ยงการสวมหน้ากากเพื่อซ่อนอัตลักษณ์ของตน แต่จงดำเนินชีวิตตามความเชื่อ และเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ 

ตอนนี้ “คุณกำลังสวมหน้ากากแบบไหนอยู่”  จงทำให้มันเป็นสิ่งดี เพราะมันเป็นสิ่งที่สังคมเราต้องการ เพราะไม่ว่าจะเป็นหน้ากากหรือหน้าจริงเราก็ควรทำให้มันเป็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ลูกขอสารภาพว่าบางครั้งลูกก็เบื่อการเสแสร้งแกล้งทำเป็น เมื่อต้องอยู่กับใครบางคน บางกลุ่ม บางสถานการณ์ ที่ผ่านมาลูกพยายามหาเหตุผลเพื่อให้ตนเองสวมหน้ากากเข้าหาคนอื่นได้อย่างสบายใจ บ้างก็ว่า ต้องทำไปก็เพื่อความอยู่รอด บ้างก็ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม บ้างก็ว่าทำเพื่อความสบายใจของตนเองและคนอื่น วันนี้ลูกเหนื่อยเหลือเกิน เพราะมันทำให้จิตใจของลูกไม่สงบสุข  ลูกอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างซื่อสัตย์  ขอพระองค์โปรดช่วยให้ลูกเชื่อมั่นในความรัก ความดี ความซื่อสัตย์ ความจริงใจ ความตรงไปตรงมา เพราะลูกเชื่อว่าถ้าลูกสามารถปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ได้ดีครบ การสวมหน้ากากเข้าหาคนอื่นก็จะไม่มีความจำเป็นสำหรับลูกอีกต่อไป  ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

บุตรชายที่มีปัญญาทำให้บิดายินดี

 


คนมีปัญญา

บุตรชายที่มีปัญญาทำให้บิดายินดี

แต่คนโง่ดูหมิ่นมารดาของตน

สุภาษิต 15:20

คุณเคยมีปัญหาในการเตรียมของขวัญที่ดีที่สุดไว้สำหรับคนที่คุณรักบ้างไหม? คุณกำลังมองหาของบางอย่างที่คุณสามารถมอบเป็นของขวัญให้พ่อแม่ในวันคริสต์มาสนี้อยู่หรือเปล่า? มันอาจจจะเป็นบางสิ่งบางอย่างที่คุณอยากจะแน่ใจว่ามันคือสิ่งที่จะต้องทำให้พวกท่านมีความสุขแน่นอน? วันนี้เราขอแนะนำของขวัญที่ดีที่สุดที่อาจมีอยู่ในตัวคุณแล้วก็ได้ นั่นก็คือ คือ  “สติปัญญา”(ความเฉลียวฉลาด) มันจะต้องเป็นของขวัญที่สมบูรณ์แบบที่สุดแน่นอน!

เราไม่ได้หมายความว่า ให้คุณไปห่อ “สติปัญญา” ให้แก่พวกท่านนะ แต่คุณต้องพยายามฝึกฝนค้นหาและทำมันให้เกิดขึ้นสำหรับตัวคุณเอง เพราะยิ่งคุณฉลาดมากเท่าไร พ่อแม่ของคุณก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น พวกท่านจะชื่นใจแน่นอนเมื่อเห็นคุณเป็นคนที่ฉลาดขึ้น!

แล้วการมีปัญญาในที่นี้หมายความว่าอย่างไร?  คำตอบคือ การเป็นคนที่ฉลาดเลือก และฉลาดในการตัดสินใจ! ไงละ ตัวอย่างเช่น คุณเลือกที่จะปฏิบัติต่อพี่น้องของคุณในแบบที่คุณต้องการได้รับการปฏิบัติจากพวกเขาก่อน แม้ว่าบางครั้งมันอาจจะเป็นเรื่องยาก แต่คุณก็ทำนั่นแสดงให้เห็นว่าคุณฉลาดเลือกและทำสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสม มากกว่าการตามใจตนเอง  สองคือการลงมือทำทันทีในสิ่งที่ผู้ปกครองขอร้องหรือบอกให้ทำ โดยเฉพาะสิ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของคุณ (ทำโดยไม่ต้องรอให้ใครมาบอกสองครั้งสามครั้ง) นอกจากนี้ยังหมายถึงการให้ความช่วยเหลือเมื่อคุณเห็นว่าพ่อแม่ทำงานเหนื่อยมาแล้วทั้งวัน ใส่ใจความต้องการของท่าน ว่าพอจะมีอะไรบ้างที่คุณช่วยได้  สิ่งเหล่านี้จะเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าคุณเป็นลูกที่มีปัญญา

คุณสงสัยไหมว่า ปัญญามาจากไหน? แน่นอน  ต้องมาจากพระบิดาบนสวรรค์ของคุณ! และสิ่งที่คุณต้องทำก็คือทูลขอมัน แล้วพระองค์จะทรงมอบปัญญาให้แก่คุณ แต่คุณต้องอ่านพระวจนะของพระองค์ (พระคัมภีร์)นะ เพราะในนั้นมันเต็มไปด้วยขุมทรัพย์แห่งปัญญา  เมื่ออ่านพระคัมภีร์แล้วให้คุณอธิษฐาน ถามความคิดเห็นของพระองค์เกี่ยวกับทุกสิ่งอย่าง

ดังนั้น สติปัญญา จึงเป็นของขวัญที่พ่อแม่ทุกคนภูมิใจและอยากเห็นลูกๆของตนมี คุณสามารถฝึกฝนให้ตนเองมีปัญญาได้ด้วยการอ่านและศึกษาพระคำของพระเจ้าในทุกๆวัน

สติปัญญาต้องอยู่เหนือกว่าอารมณ์ คนที่มีสติปัญญาจะรู้จักวางตัวอย่างเหมาะสม และทำให้อารมณ์ที่ร้อนระอุของคนอื่นเย็นลงได้ สติปัญญาพร้อมที่จะอดทนต่อทุกสิ่ง ส่วนคนที่ขาดสติปัญญาหรือโง่เขลา ก็จะชอบทำตามใจตนเอง พระเจ้าทรงปรารถนาให้ประชากรของพระองค์แสวงหาสติปัญญา  

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ลูกขอขอบพระคุณที่ทรงแสดงให้ลูกเห็นถึงวิธีที่จะทำให้ลูกเป็นคนที่ฉลาดขึ้น ลูกอยากจะได้ปัญญาที่มาจากพระคำของพระองค์ โปรดช่วยให้ลูกไม่ละเลยการอ่านพระคัมภีร์ ขอทรงมอบสติปัญญาเพื่อที่ลูกจะได้เข้าใจพระคำของพระองค์อย่างถี่ถ้วน ลูกอยากจะใช้มันอย่างถูกต้องและเป็นพรแก่ผู้อื่น ที่สำคัญลูกเชื่อว่าปัญญาที่มาจากพระองค์จะทำให้พ่อแม่ของลูกมีความสุขที่สุดแน่นอน ! ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

theology


วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

การรักเงินทอง

 


การรักเงินทอง

เพราะว่าการรักเงินทองเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหมด ความโลภเงินทองนี้ที่ทำให้บางคนหลงไปจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์มากมาย

1 ทิโมธี 6:10

คุณเคยได้ยินคนพูดว่า ”เงินเป็นสิ่งชั่วร้าย” บ้างไหม?  จริงๆแล้ว ตัวเงินนั้นนมัน ไม่ได้ชั่วร้ายเลย อันที่จริง เราสามารถเอาเงินที่มีไปทำบุญเพื่อเลี้ยงดูคนยากไร้ คนด้อยโอกาส  หรือซื้อเสื้อผ้าให้เด็กๆที่ขาดแคลน  หรือซื้อรองเท้าให้กับเด็กๆที่บ้านยากจน หรือเราสามารถใช้เงินที่มีเพื่อเดินทางไปยังสถานที่อื่นๆ เพื่อประกาศข่าวดี แบ่งปันเรื่องราวของพระเยซูให้กับผู้คนที่ยังไม่รู้จักพระองค์ก็ได้ อันที่จริงเราสามารถใช้เงินที่มีอยู่ให้เป็นพระพรต่อผู้อื่นได้อีกมากมายหลายอย่างนัก

ใช่แล้ว ตัวเงินนั้นไม่ได้เลวร้าย  แต่การรักเงินต่างหากที่เป็นความเลวร้าย  แล้วการรักเงินหมายความว่าอย่างไร? หมายความว่า คุณดึงเอาธนบัตรในกระเป๋าออกมาจูบเหรอ? ไม่ใช่เลยจ้า! การมีเงินทองไม่ใช่สิ่งผิด  แต่การไว้วางใจในเงินทองแทนพระเจ้าต่างหากที่เป็นสิ่งที่ผิด   "การรักเงิน" หมายถึง การปล่อยให้ใจของเราอยู่ภายใต้อำนาจเงิน  เราต้องเป็นผู้ใช้ หรือควบคุมเงิน ไม่ใช่ปล่อยให้เงินมาใช้ หรือควบคุมเรา ตัวอย่างเช่น คุณเป็นคนที่ชอบตามแฟชั่นมาก เมื่อมีเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา โทรศัพท์ รถ สร้อยแหวนเพชร ทองคำ คอแลคชั่นใหม่ ๆ ออกมา คุณก็จะใจจดใจจ่อ อยากจะไปจับจองมาไว้ครอบครองทุกครั้ง แม้สินค้าเหล่านั้นอาจจะไม่ได้เหมาะกับคุณ หรือไม่ได้มีความจำเป็นต่อคุณเลยสักนิด แต่คุณก็ดิ้นรนที่จะไปจัดซื้อมาจนได้ บางคนสะสมมันเพื่อเสริมบารมี บางคนยากได้มากจนนถึงขั้นนอนไม่หลับก็มี ความสุขแบบนี้จะไม่มีวันสิ้นสุดแน่นอน เพราะเมื่อเห็นคนอื่นมี คุณก็อยากจะมีด้วยไม่จบไม่สิ้นสักที แต่ถ้าคุณเรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว คุณจะได้ค้นพบความสุขแท้จริง  เพราะว่าการรู้จักพอ มันทำให้เราเข้าใจ คำว่า ฉันพอใจแล้วในสิ่งที่ฉันมี  และเมื่อคุณพอใจ ทุกอย่างที่มีมันก็ดูพอเพียงและเพียงพอสำหรับคุณ  ไม่ว่ากระแสสังคมโลกจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปมากขนาดไหน มันก็ไม่สามารถมาควบคุมคุณได้อีก 

"การรักเงิน" กับ "การมีเงิน" มีความแตกต่างกัน การมีเงินคือพระพรที่เราได้มาจากความขยันขันแข็ง การรู้จักอดออม และรู้จักลงทุนเพื่อให้เกิดดอกออกผลจากกิจการงานที่ไม่เป็นบาป  แต่การรักเงิน คือการที่มนุษย์ไว้วางใจให้เงินทองมีอำนาจอยู่เหนือทุกสิ่ง เงินคือพระเจ้าของเขา หลายคนเชื่อว่าเงินจะช่วยเหลือเขาให้พ้นทุกข์และมีความสุขได้  คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเงินคือสิ่งเดียวที่จะซื้อทุกสิ่งที่ชีวิตต้องการได้ ฉะนั้นทั้งชีวิตจึงคิดแต่เรื่องเงินๆ ทองๆ นั่นก็เพราะเขาเชื่อว่าความมั่นคงในชีวิตของเขาคือเงินเท่านั้น "การรักเงิน ในลักษณะแบบนี้จึงเป็นรากเง่าของความชั่วทุกอย่าง" ความโลภเงินทองทำให้บางคนหลงไปจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์มากมายนัก

ดังนั้น หากคุณกำลังดิ้นรนกับการรักเงินมากเกินไป วันนี้คุณต้องขอพระเจ้ายกโทษบาปนี้ให้กับคุณ พระองค์สามารถเปลี่ยนการโฟกัสของคุณจากเงินทองหรือสิ่งของที่คุณรักไปเป็นการใส่ใจคนข้างๆที่รักคุณและการหันไปใส่ใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกันให้มากขึ้น  ให้เรารู้จักแบ่งปันกันและกัน มากกว่าจดจ่ออยู่แต่กับสิ่งที่ตนเองต้องการ และเมื่อเราวางตำแหน่งของเงินทองและทรัพย์สมบัติได้อย่างถูกต้อง เราจะรู้จักใช้ความมั่งคั่งที่พระเจ้าประทานให้อย่าง “พอเพียง” และ “เพื่อผู้อื่น”  เพื่อว่าเราจะได้ครอบครองสมบัติสวรรค์ที่คงอยู่ชั่วนิรันดร 

"จงรักษาชีวิตของท่านให้เป็นอิสระจากการรักเงินทองและจงพอใจในสิ่งที่ตนมี

พระเจ้าตรัสว่า เราจะไม่ทิ้งท่าน"

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก ลูกต้องขอสารภาพว่าลูกเองก็ชอบการมีเงิน เพราะการมีเงินมันทำให้ลูกไม่ต้องกังวลเรื่องการกิน การอยู่ การเดินทาง ลูกยอมรับว่าลูกชอบซื้อของขวัญพิเศษให้ตัวเองบ่อยๆ แต่ถ้าลูกเริ่มรักในสิ่งที่เงินสามารถซื้อได้มากมากกว่าพระองค์ ขอพระองค์โปรดช่วยให้ลูกหลุดพ้นจากบาปนี้ โปรดช่วยให้ลูกหยุดความต้องการที่เกินความจำเป็นเหล่านี้ลงได้ ลูกไม่อยากมีความโลภในเงินทองเพราะลูกรู้ว่ามันจะทำให้ลูกหลงไปจากความเชื่อ และต้องตรอมตรมด้วยความทุกข์อีกมากมายหลายอย่างที่จะตามมา ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

romyenchurch


วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

การทำงานบ้านช่วยให้เรามีวินัยในตนเอง

 



การทำงานบ้านช่วยให้เรามีวินัยในตนเอง

มีกำไรอยู่ในงานที่เหนื่อยยากทุกอย่าง

การเพียงแต่พูดนั้นโน้มไปทางความขาดแคลน

สุภาษิต 14:23

ถ้าได้ยินคำว่า ทำงานบ้านหรือยัง? เชื่อว่ามีหลายคนอยากยกมือปิดหู เพราะเสียงนั้นอาจเป็นเสียงเรียกมาจากพ่อแม่ของคุณ  เมื่อคุณได้ยินคำว่างานบ้าน คุณคงนึกภาพถึงงานเก็บที่นอน เปลี่ยนผ้าปู ปลอกหมอน ซักผ้า ตากผ้า รีดผ้า จัดห้อง เก็บของให้เข้าที่ให้เป็นระเบียบ งานล้างจาน กวาดบ้าน ถูบ้าน ล้างห้องน้ำ ทิ้งขยะ รดน้ำต้นไม้ ตัดหญ้า และอื่นๆ อีกมากมายหลายอย่างที่เราเรียกมันว่าเป็นงานบ้าน 

แต่ลองคิดดูสิว่าถ้าคุณไม่รีบทำมันให้เสร็จวันต่อวัน แล้วสะสม หมักหมมไปเรื่อยๆ มันจะเกิดอะไรขึ้นละคะ แทนที่จะได้ทำงานแค่เพียงเล็กน้อย มันก็จะกลายเป็นงานยักษ์แน่นอน ถ้าคุณเป็นคนชอบพลัดวันประกันพรุ่ง ไม่รีบทำเสียแต่วันนี้ หากสะสมนานวันเข้ามันก็จะกลายเป็นว่าคุณต้องทำงานหนักเพิ่มเท่าตัว

นี่คือตัวอย่าง ลองคิดดูเล่นๆว่าคุณเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใส่มาแล้วทั้งวันออก แล้วกองมันไว้ที่พื้นห้อง คุณไม่คิดจะหยิบเสื้อผ้าพวกนั้นขึ้นมาจากพื้นเลยเป็นเวลาสอง-สามวัน โอเค หรืออาจจะห้าวัน -หกวันด้วยซ้ำไป แต่พอผ่านไปซักพักเสื้อผ้าสะอาดๆในตู้ของคุณก็จะหมดลง แล้วคุณเองก็จะไม่มีเสื้อผ้าสะอาดใส่อีก เชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่ม คนสาวหรือวัยไหนๆ ก็คงไม่มีใครอยากใส่เสื้อผ้าสกปรกๆตัวเดิมๆ ซ้ำกันหลายวันติดต่อกันแน่นอนใช่ไหมละ? 

และถ้าหากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบกลิ่นหอม และรักความสะอาด หรือเป็นคนที่ชอบวิจารณ์เรื่องความสะอาดของคนอื่นๆ คุณก็ต้องไม่ทำตัวสกปรก คุณก็ต้องเริ่มจากการทำตัวเองให้เป็นคนที่มีวินัยในเรื่องเหล่านี้ให้ดีเสียก่อน!   

ในทางกลับกัน ถ้าคุณมีวินัยในตัวเอง รู้จักเก็บของเข้าที่ เสื้อผ้าเก่าที่ถอดออกแล้วก็ใส่ลงในตระกร้าผ้า  ทำการแยกผ้าให้เรียบร้อยตั้งแต่แรก อย่ามักง่ายแบบว่า "ถอดตรงไหน ฉันก็กองมันไว้ตรงนั้นแหละ"  จงเลิกนิสัยแบบนี้ แล้วหัดมีวินัยในตนเองทุกวัน มันก็จะช่วยให้คุณทำงานบ้านง่ายขึ้น คุณก็ไม่ต้องมานั่งเก็บของตามพื้นอีก  

แน่นอนว่าการทำงานบ้านเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ทุกวันเป็นงานที่น่าเบื่อ แต่ว่ามันก็คุ้มค่ามากนะ! ยังไงก็ดีกว่าต้องใส่ชุดเก่าที่มีกลิ่นเหม็น! อายคนอื่นเขาด้วย ว่าไหมละ! 

ตอนนี้มันเริ่มสมเหตุสมผลแล้วใช่ไหม ว่าทำไมคนเราต้องทำงานบ้าน? เพราะงานบ้านเหล่านี้จะช่วยฝึกให้เรามีระเบียบวินัยในตนเอง และยังทำให้บ้านเรา ห้องของเราสะอาด เรียบร้อย ไม่มีของมากองเกะกะตามพื้น หรือส่งกลิ่นเหม็นอีกด้วย!

การมีวินัยในตนเองเป็นเรื่องยาก เพราะมันต้องใช้ความเพียรพยายาม 

แต่มันก็มีรางวัลที่คุ้มค่า วินัยในตนเองต้องเกิดจากสำนึกในตนเอง

มิอาจเกิดได้ด้วยข้อกำหนด หรือข้อบังคับจากภายนอก

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก บางวันลูกก็ไม่ชอบและไม่อยากจะทำงานบ้านเลยจริงๆ การเก็บที่นอนทุกๆเช้ามันไม่สนุกเอาเสียเลย รวมถึงการเก็บของเข้าที่เดิม การแยกเสื้อผ้าลงตะกร้า การจัดเก็บรองเท้าให้เข้าที่ และงานบ้าน อื่นๆอีกมากมาย แต่วันนี้ลูกกำลังเรียนรู้แล้วว่าการทำงานบ้านมันดีต่อลูกจริงๆ ขอพระองค์โปรดช่วยให้ลูกจำให้ขึ้นใจว่าในงานทุกงานที่เหนื่อยยากทุกๆอย่างล้วนมีกำไรอยู่ และการเป็นคนที่ดีแต่พูดก็มีแนวโน้มไปทางความขาดแคลน ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ลูกแกะที่หายไป

 



ลูกแกะที่หายไป

12พวกท่านคิดอย่างไร? ถ้าชายคนหนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว และตัวหนึ่งหลงไปจากฝูง คนนั้นจะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา แล้วไปเที่ยวหาตัวที่หลงไปนั้นหรือ? 13เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนนั้นพบมัน เขาจะมีความเปรมปรีดิ์มากยิ่งกว่าที่มีแกะเก้าสิบเก้าตัวที่ไม่ได้หลงไปนั้น 14พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเป็นอย่างนั้นแหละ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้สักคนหนึ่งพินาศไปเลย

มัทธิว 18:12-14

มีเรื่องราวดีๆ ในพันธสัญญาใหม่เกี่ยวกับคนเลี้ยงแกะที่มีแกะหนึ่งร้อยตัว เขาต้องคอยดูแลปกป้องพวกมัน เขาจะรู้จักแกะของเขาเป็นอย่างดี แต่บอกตรงๆ ว่าการดูแลแกะฝูงใหญ่แบบนี้นั้นมันยากมาก! เพราะบางครั้งมันก็มีเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุมของผู้เลี้ยง พูดง่ายๆคือ มันก็มีทั้งเด็กดื้อ และไม่ดื้อ เลี้ยงง่ายบ้าง เลี้ยงยากบ้างปะปนกันไป!

ในเรื่องนี้ เล่าถึงแกะเก้าสิบเก้าตัวเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกันดี แต่มีแกะตัวเล็กตัวหนึ่งหายไปจากแกะตัวอื่นๆ มันอาจจะหลงทางหรือหลงฝูงก็เป็นไปได้ โอ้วงานเข้าแล้วสิ! ถ้าคุณเป็นคนเลี้ยงแกะ คุณจะทำอย่างไร? คุณจะทิ้งแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้และไปตามหาแกะตัวเล็กที่หายไป หรือคุณจะตัดใจปล่อยแกะตัวน้อยไปแล้วให้มันพยายามหาทางกลับมาเอง? ในใจคุณอาจจะกังวลว่า ถ้าคุณละจากแกะเก้าสิบเก้าตัวไป อาจมีหนึ่งในนั้นเกิดหลงหายไปได้อีก นั่นอาจหมายถึงคุณอาจจะสูญเสียเพิ่ม ใช่ไหม?

แต่หากคุณอ่านเรื่องราวจนจบ คุณจะเห็นว่าคนเลี้ยงแกะได้ทิ้งแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้และออกไปตามหาแกะตัวที่หายไป ว้าว ! คุณรู้ไหมว่าเรื่องนี้มีความหมายมากกว่าเรื่องของแกะ? พระเจ้าพยายามบอกเราว่าพระองค์ทรงรักเรามาก และถ้าหากวันหนึ่งเราเกิดหลงพลัดพรากไปจากพระองค์ พระองค์จะออกตามหาเรา เพื่อจะมาปกป้องเรา และนำเรากลับไปเช่นเดียวกัน 

ดังนั้นในครั้งต่อไปที่คุณถูกล่อลวงให้ทำสิ่งที่คุณรู้ว่าไม่สมควรทำ โปรดจำไว้ว่า..พระเจ้าต้องการให้คุณอยู่ร่วมกับแกะตัวอื่นๆ (ผู้มีความเชื่อคนอื่นๆ) อย่าหลงไปในทางบาป อย่าทำให้พระองค์ต้องออกตามหาคุณ! จงอยู่เคียงข้างพระองค์ เดินในทางของพระองค์และปล่อยให้คนเลี้ยงแกะ(พระองค์)ดูแลคุณ

คนเลี้ยงแกะมีความสุขมากเมื่อพบแกะที่หายไปฉันใด

 พระเยซูก็ทรงมีความสุขมากฉันนั้นเมื่อเรากลับใจ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา โปรดทรงยกโทษให้ลูกสำหรับช่วงเวลาที่ลูกเดินหลงไปในทางบาป บางครั้งลูกก็ปล่อยให้ตัวเองทำในสิ่งที่ไม่สมควรทำ โปรดช่วยลูกจำเรื่องราวของแกะกับคนเลี้ยงแกะไว้ให้แม่น  เพื่อว่ามันจะได้คอยเตือนสติลูก ให้อยู่ห่างจากทางบาป  ลูกไม่อยากเป็นลูกแกะที่หลงหายไป แต่ลูกอยากจะอยู่ใกล้ๆกับพระองค์ตลอดไป! ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

สารภาพบาปของเรา

 


สารภาพความผิด

ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น

1 ยอห์น 1:9

เคยได้ยินคำพูดที่ว่า "การสารภาพนั้นดีต่อใจ"บ้างไหม? บางทีคุณอาจเคยได้ยินมัน แต่ไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร การสารภาพบางอย่างหมายความว่าคุณกล้ายอมรับกับใครบางคนถึงสิ่งที่คุณได้ทำผิดไป คุณกล้าพูดออกมาดัง ๆ ต่อหน้าคนอื่น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คุณกล้าที่จะบอกว่าคุณเคยทำผิดอะไรไปบ้าง แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยก็ตาม

ตัวอย่าง? ลองนึกภาพว่าคุณได้ทำสิ่งเลวร้ายจริงๆ. บางทีคุณอาจแอบเข้าไปในห้องของแม่แล้ว "แอบหยิบ" เอาเงินของแม่ ซึ่งเป็นเงินในกระป๋องที่แม่แยกเก็บออมไว้ใช้เมื่อถึงยามจำเป็น คุณแอบทำอยู่หลายครั้ง เพราะยังไม่มีใครจับได้ แต่อยู่มาวันหนึ่ง แม่ของคุณเกิดเปิดกระป๋องดูเพื่อจะนำเงินไปจ่ายค่าเทอมของคุณ แต่กลับพบว่าเงินนั้นหายไปกว่าครึ่ง ตัวคุณเองก็ไม่กล้าพูดความจริงนี้ให้คนในบ้านฟัง  ..แน่นอน คุณคงไม่กล้า. เพราะคุณคิดว่าถ้าคนอื่นรู้ความจริง มันอาจจะทำให้พวกเขาเปลี่ยนไปและคุณกำลังระแวงว่าคนในบ้านจะคิดไม่ดีเกี่ยวกับคุณแน่ๆ แล้วคุณยังคิดเข้าข้างตนเองไปอีกว่า ฉันแค่ทำผิดนิดหน่อยเอง คนอื่นๆก็ต้องเคยทำผิดและเขาก็ต้องเคยมีความลับบางอย่างที่ไม่อยากบอกใครเหมือนฉันนี่แหละ?   นั่นคือสิ่งที่คุณพูดบอกตัวเองนะ!

แต่ว่าในความจริง  คุณกำลังคิดผิด เพราะว่าการเก็บความลับแบบนี้มันไม่ดี ตามข้อพระคัมภีร์ของวันนี้ ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า มันจะดีกว่าถ้าเราได้สารภาพความผิดนั้นออกไป มันจะทำให้ตัวคุณเองสบายใจขึ้นเยอะเลยทีเดียว  เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันเป็นความผิด และเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จะด้วยความตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม ลองมองหาใครสักคนที่คุณไว้ใจได้ และคุณเชื่อว่าเขาเองก็รักและหวังดีต่อคุณมากๆ  จากนั้นก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง ไม่ต้องหมกเม็ด ถึงแม้ว่าเล่าไปแล้วคุณอาจจะถูกต่อว่าบ้างก็ไม่เป็นไร เล่าออกไปให้หมด หรือไม่ก็ไปหาคนที่คุณได้ทำผิดต่อเขาและสารภาพไปตามตรง แสดงถึงความจริงใจ ว่าคุณได้สึกนึกผิดในสิ่งที่ทำ พระเจ้าจะช่วยคุณเมื่อคุณสารภาพด้วยความจริงใจ หลังจากนั้นขอให้คุณอธิษฐานบ่อยๆเพื่อขอให้พระเจ้าช่วยคุณให้เข้มแข็งขึ้นในครั้งต่อไปที่คุณอาจจะถูกทดลองอีก

เป็นไงบ้าง! คุณไม่รู้สึกดีขึ้นเหรอ? รู้สึกว่ามันเบาขึ้นบ้างไหม? มันไม่รู้สึกหนักอึ้งอยู่ในอกของคุณเหมือนตอนก่อนสารภาพใช่ไหม? การสารภาพความผิดของคุณนั้นจึงดีต่อสุขภาพของคุณ! หากคุณกล้าหาญที่จะสารภาพความจริงที่เกิดขึ้น ครอบครัวและเพื่อนหรือแม้แต่คนรอบข้างที่เขารักคุณอย่างจริงใจ พวกเขาจะเคารพที่คุณกล้าเปิดเผย และชื่นชมในความซื่อสัตย์ และให้โอกาสคุณอีกครั้ง  จงกล้าที่จะยอมรับในสิ่งที่ทำผิดไป และให้มันเป็นบทเรียน อย่ากลับไปทำซ้ำอีก ฟังดูแล้วอาจเหมือนง่าย แต่การปฏิบัตินั้นไม่ง่ายเลยก็จริง แต่ถ้าหากคุณค่อยๆทำ ค่อยๆ ฝึกตนเองไปเรื่อยๆ อธิษฐานขอให้พระเจ้าช่วยเสริมความเข้มแข็งให้กับใจเราบ่อยๆ สักวันคุณจะมีชัยชนะเหนือทุกการทดลองแน่นอน

 คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า มันเป็นเรื่องยากมากที่จะต้องสารภาพความผิดที่ลูกได้ทำลงไป! ลูกอยากจะเก็บไว้คนเดียว แต่วันนี้ลูกได้รู้ว่าพระองค์สามารถช่วยลูกได้ พระองค์จะทรงโปรดยกบาปของให้กับลูก และจะทรงชำระลูกให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น เมื่อลูกกล้าเปิดใจและสารภาพความจริง  ลูกต้องการความช่วยเหลือและความกล้าหาญของพระองค์เพื่อว่าลูกจะได้เอาชนะการทดลองในครั้งต่อๆไป ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

เคารพและให้เกียรติผู้อวุโส

 


เคารพและให้เกียรติผู้อวุโส

12พี่น้องทั้งหลาย เราขอร้องท่านให้นับถือคนที่ทำงานอยู่ท่ามกลางพวกท่าน และปกครองท่านและตักเตือนท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้า 13จงเคารพและรักเขาให้มากเพราะงานที่เขาได้ทำ จงอยู่อย่างสงบสุขด้วยกัน

 1 เธสะโลนิกา 5:12

คุณเคยคิดถึงความหมายของคำว่า การเคารพและให้เกียรติผู้อวุโสบ้างหรือไม่? คุณรู้หรือไม่ว่าการเคารพผู้อาวุโส (ผู้ที่แก่กว่าคุณ) หมายความว่าอย่างไร? เมื่อพูดถึงผู้อวุโสคุณก็ต้องคิดถึงผู้หลักผู้ใหญ่ที่คุณรู้จัก..เช่น พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย คนใกล้ชิด และผู้นำชุมชนในเขตวัดของคุณ คุณรู้หรือไม่ว่าพระเจ้าได้มอบพวกเขาเหล่านั้นไว้ในชีวิตของคุณด้วยเหตุผลบางประการ? และพระองค์ก็เฝ้ามองดูคุณอย่างใกล้ชิดเพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้ปฏิบัติต่อผู้หลักผู้ใหญ่ด้วยความเคารพตามที่พวกเขาสมควรได้รับ

สังคมไทยมีค่านิยมที่ดีคือให้เกียรติกับผู้อาวุโส เป็นการปฏิบัติที่สอดคล้องกับคำสอนของพระบัญญัติ “จงลุกขึ้นคำนับคนผมหงอกและเคารพผู้อาวุโส และจงยำเกรงพระเจ้าของเจ้า เราคือยาเวห์”(เลวีนิติ.19:32)

ลองนึกภาพถึงสิ่งนี้: ในชั่วโมงเรียนพระคัมภีร์ (คาบเรียนคำสอน) นักบวชชายหญิง -ผู้นำ หรือครูผู้สอนของคุณ ไม่ได้รับความเคารพจากเด็กๆ ในชั้นเรียนมากนัก ,เพื่อนบางคนของคุณเริ่มคุยเสียงดังเมื่อครูหรือผู้นำเริ่มสอน หรือบางทีพวกเขาก็ชอบพูดขัดจังหวะเมื่อครูกำลังสอน แล้วคุณจะช่วยอะไรได้บ้าง? สิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ก็คือปฏิบัติต่อครูด้วยความเคารพ แล้วกระตุ้นให้เพื่อนคนอื่นทำเช่นเดียวกัน อย่าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา แต่จงเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา แล้วครูผู้สอนจะรู้สึกขอบคุณมาก และอีกไม่นานเด็กๆ คนอื่นๆก็จะทำตามคุณ

แล้วเหตุใดเราจึงต้องปฏิบัติต่อผู้อวุโสด้วยความเคารพ? คำตอบคือ  ก็เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่คุณควรจะทำไงละ!

การเคารพให้เกียรติแก่ผู้อาวุโสเป็นเรื่องที่ถูกต้องและเป็นธรรมเนียมไทยที่งดงาม ที่เราสืบทอดกันมา คนรุ่นหนุ่มสาวต้องแสดงออกถึงการมีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโสและแนวโน้มของสังคมไทยดูเหมือนจะมีผู้สูงวัยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้สูงวัยคือคนที่มีประสบการณ์ชีวิตมายาวนาน แม้กำลังทางร่างกายจะถดถอย แต่สติปัญญาและความเข้าใจในการใช้ชีวิตก็มีมากด้วย เราจึงควรใช้ประสบการณ์ของพวกเขาให้เป็นประโยชน์ในการสอน แนะนำและให้คำปรึกษาแก่คนรุ่นใหม่ ในพระธรรมทิตัส  2:3 กล่าวถึงเรื่องการประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างด้วยว่า   "ส่วนบรรดาผู้หญิงสูงอายุก็เหมือนกัน สอนพวกนางให้ประพฤติด้วยความน่านับถือ ไม่ใส่ร้าย ไม่ติดเหล้าแต่เป็นผู้สอนสิ่งที่ดีงาม เพื่ออบรมหญิงสาวให้รักสามีและบุตรของพวกตน” 

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ลูกอธิษฐานขอให้ลูกมีจิตใจที่เคารพนับถือผู้ที่อวุโสกว่าด้วยใจนอบน้อม ขอให้ลูกปฏิบัติต่อผู้อวุโสทั้งหลายที่พระองค์มทรงมอบเขาเหล่านั้นไว้ในชีวิตของลูกด้วยความเคารพและให้เกียรติตามที่พวกเขาสมควรได้รับ และเอาแบบอย่างในสิ่งดี ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

jaisamarnchurch

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

เราเป็นลูกของพระเจ้า


 

เราป็นทายาทของพระเจ้า

16พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกับจิตวิญญาณของเราว่า เราเป็นลูกของพระเจ้า 17และถ้าเราเป็นลูกแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์ก็เพื่อจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย

โรม 8:16-17

คุณเคยคิดอยากจะเป็นเจ้าหญิง/เจ้าชายบ้างไหม? ขอแค่สักวันเดียวก็ได้? ขอแบบที่ว่ามีข้าราชบริพารมาคอยรับใช้คุณอยู่ตลอด  มารอรับคำสั่งของคุณ? จะกิน จะทำอะไรก็มีคนคอยหามาให้ในทุกสิ่งที่คุณต้องการ โดยที่คุณไม่ต้องมีความกังวลเรื่องใด ๆ ในชีวิตนี้อีกแล้ว? ฟังดูแล้วน่าสนุกดีใช่ไหม กับใช้ชีวิตแบบเจ้าหญิง/เจ้าชาย !

นี่เป็นความลับ : คุณคือเจ้าหญิง/เจ้าชาย! เพราะคุณเป็นบุตรสาวและบุตรชายของพระเจ้าที่แท้จริงองค์เดียว คุณคือลูกๆของพระองค์! และพระองค์ทรงเป็นราชาแห่งจักรวาล นี่ก็ทำให้คุณได้เป็นเจ้าหญิง/เจ้าชายแล้วนะ  และไม่ใช่แค่วันนี้ แต่เป็นในทุกๆวันตลอดชีวิตคุณ

การเป็นเจ้าหญิง/เจ้าชาย หมายความว่าอย่างไร? คุณต้องสวมชุดบอลรูมและคอยโบกมือให้กับราษฎรของคุณงั้นหรือ? คุณคาดหวังให้ผู้คนมารอคุณและคอยตอบสนองทุกความต้องการของคุณใช่หรือไม่? ไม่เลย! ไม่ได้หมายความเช่นนั้นเลย เพราะการเป็นบุตร/ธิดาของราชาเหนือราชาทั้งปวง (พระเจ้า) เราย่อมรู้ดีว่าความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้คือการได้รับใช้ผู้อื่น ดังนั้น แทนที่คุณจะหวังและรอให้คนอื่นมาใส่ใจคุณ ลองเปลี่ยนไปเป็นฝึกฝนตนเองให้รู้จักใส่ใจความต้องการของผู้อื่นก่อนคิดถึงตนเอง และมีความสุขกับการได้เป็นผู้ให้ และทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง ทำให้สมกับที่เราได้ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ลูกต้องยอมรับว่า ในวันที่ต้องพบเจอกับความยากลำบาก ลูกเองก็เคยฝันอยากเป็นเจ้าหญิง/เจ้าชาย ดูสักวัน มันคงจะดีและมีชีวิตที่สุขสบาย มีคนมาคอยรับใช้ ได้อยู่ในปราสาท และไม่ต้องกังวลเรื่องความเป็นอยู่ หรือความปลอดภัยในชีวิต แต่วันนี้ลูกได้รู้และเข้าใจแล้วว่าการที่ลูกเป็นบุตรของพระองค์นั้น ลูกมีค่าเท่ากับเจ้าหญิง/เจ้าชาย แล้ว  และความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้คือการได้รับใช้ผู้อื่น  โปรดสวมหัวใจของการรับใช้ให้กับลูก เพื่อว่าลูกจะได้ทำหน้าที่นี้ได้ดียิ่งขึ้นในทุกๆวันโดยไม่เกี่ยงงอน หรือเลือกปฏิบัติเฉพาะคน ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันอาทิตย์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

บททดสอบความศรัทธา

 


บททดสอบความศรัทธา

2พี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อพวกท่านพบกับการทดลองใจต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง 3เพราะพวกท่านรู้ว่าการทดสอบความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความทรหดอดทน

ยากอบ 1:2-3

คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อถึงเวลาสอบปลายภาคที่โรงเรียน  การสอบแต่ละครั้ง เชื่อว่ามีหลายคนรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ใช่ไหม? ในชีวิตของคนเราก็ต้องเจอกับแบบทดสอบเช่นเดียวกัน แบบทดสอบของชีวิตบางเรื่องของเรามันก็ไม่สนุกเอาเสียเลย แต่ถึงยังไงเราก็สามารถเรียนรู้ได้มากมายจากการทดสอบเหล่านั้น

บางคนอาจสงสัยว่าแบบทดสอบชีวิตคืออะไร? นี่เป็นวิธีง่ายๆ ในการสังเกตดู: คุณเคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากจริงๆ มาบ้างไหม?  ช่วงเวลาที่คุณต้องใจจดใจจ่อเพื่อรอให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้น ในขณะที่รอ ก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามันจะเคยเกิดขึ้นได้ไหม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน เรื่องงาน เรื่องภายในใจ หรือเรื่องความสัมพันธ์ต่าง ๆ

วันนี้พระคัมภีร์ต้องการบอกเราว่าปัญหาเหล่านั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของบททดสอบความเชื่อของเรา มันกำลังให้บทเรียนกับเรา

เชื่อว่ามีบางครั้งที่เราก็ไม่ผ่านการทดสอบ ! แต่ถ้าเราเรียนรู้ในขณะที่เราตกอยู่ท่ามกลางมัน เราจะฉลาดขึ้น  เราจะมีความอดทนมากขึ้น (การอดทนหมายถึงการรอคอยอย่างมีความหวัง คุณจะไม่จดจ่ออยู่กับปัญหาทั้งหมดเพราะคุณเชื่อว่าพระเจ้าของเรายิ่งใหญ่กว่าปัญหา) แต่การรอคอยนั้นก็ ไม่ง่ายเสมอไป  แต่มันก็เป็นไปได้! ถ้าเรามีความอดทน

หากคุณต้องการอยากรู้เกี่ยวกับคนที่มีประสบการณ์เรื่องนี้ และอยากรู้ว่าเขาผ่านแบบทดสอบของชีวิตมาได้อย่างไร โปรดอ่านเรื่องราวของโยบในพันธสัญญาเดิม ในนั้นพูดถึงผู้ชายที่ผ่านการต่อสู้กับแบบทดสอบของชีวิตมามากมาย (ส่วนใหญ่เป็นแบบทดสอบยากๆทั้งนั้น) และเขาก็ต้องรอเป็นเวลานานเพื่อให้สิ่งดีๆเกิดขึ้นในชีวิตอีกครั้ง

สุดท้ายขอให้คุณสำรวจว่า ความเชื่อของคุณเป็นแบบไหน ? การทดสอบมาถึงคุณแน่ และคุณจะตอบสนองอย่างไร ? และแบบทดสอบนั้นก็จะมาจากคนรอบ ๆ ข้างเราและสิ่งใกล้ ๆ ตัวเราแน่นอน อดทนนะพี่น้องที่รักทั้งหลาย! จงเรียนรู้จากแบบทดสอบที่คุณกำลังเผชิญอยู่..และอย่าปล่อยให้บททดสอบชีวิตเหล่านั้นมาทำให้เราออกห่างจากพระเจ้า!

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ลูกขอสารภาพว่าลูกไม่ชอบการทำแบบทดสอบใดๆ เลย โดยเฉพาะแบบทดสอบของชีวิต แต่ลูกรู้ว่าการทดสอบบางอย่างกำลังจะมาถึง ลูกจึงมาขอพึ่งพระองค์ โปรดช่วยให้ลูกมีความอดทน  มีความเชื่อที่มั่นคงเหมือนกับโยบ ขอพระองค์ทรงช่วยเหลือเพื่อที่ลูกจะสามารถผ่านการทดสอบด้วยชัยชนะที่มาจากความเชื่อในพระคำของพระเจ้าลูกจะอดทนรอจนกว่าจะถึงวันที่ลูกได้พบกับความมหัศจรรย์ในพระสัญญาของพระองค์ ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

Threemonthonchurch


วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ต่อหน้าอย่าง...ลับหลังอย่าง

 


ต่อหน้าอย่าง...ลับหลังอย่าง

พี่น้องเอ๋ย อย่ากล่าวร้ายกันและกัน คนที่กล่าวร้ายพี่น้องหรือตัดสินพี่น้องของตน ก็กล่าวร้ายธรรมบัญญัติและตัดสินธรรมบัญญัติ ถ้าท่านตัดสินธรรมบัญญัติ ท่านก็ไม่ใช่ผู้ประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่เป็นผู้ตัดสิน

ยากอบ 4:11

การพูดถึงผู้อื่นมีหลายระดับ ตั้งแต่การวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นไปจนถึงการนินทา กล่าวหา ว่าร้าย...ตามระดับเนื้อหาที่ค่อยๆรุนแรงขึ้น คนที่ปากหอยปากปูมีเป้าหมายของการยกตัวเองขึ้นด้วยการทำให้คนอื่นดูไม่ดีและยกย่องตัวเองว่าเป็นคนที่มีข้อมูลเรื่องราวคนอื่นเพียบ และไม่เสมอไปที่พวกผู้หญิงเท่านั้นที่ชอบทำผิดเรื่องการนินทา เพราะใครๆก็สามารถร่วมในการนินทาได้ง่ายๆ โดยการกล่าวซ้ำในสิ่งที่ได้ยินมาด้วยความเชื่อมั่นของตน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังพักเที่ยงกับBM (Bad mouth) เพื่อนสนิทที่สุดของคุณ   เมื่อมีเพื่อนคนอื่นชื่อ J เดินผ่านมาBMก็เริ่มวิจารณ์เรื่องการแต่งตัวและทรงผมของ J หรืออาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวของJ อย่างสนุกปาก คุณอาจจะไม่ได้วงนินทา แต่คุณก็ไม่ได้ห้ามเขาเช่นกัน  

ในฐานะลูกของพระเจ้า คุณต้องรู้อยู่แก่ใจว่า คุณไม่ควรปากร้ายกับใคร ไม่ว่าจะเป็นคนที่คุณรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม แต่ก็มีหลายคนที่คิดว่า "ฉันก็แค่พูดกันในกลุ่มคนสนิทจะเป็นอะไรไปละ!"  หลายคนคงคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีวันรู้ใช่ไหม? ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณกำลังคิดผิดนะ

วันนี้พระเจ้าต้องการสอนเราว่า เราต้องปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความเมตตา ไม่ว่าเราจะยืนอยู่ต่อหน้าหรืออยู่ลับหลังพวกเขาก็ตาม เราต้องระวังคำพูดที่ออกจากปากของเรา พระเจ้าบอกเราในพระคัมภีร์ว่า เราต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นในแบบที่เราต้องการได้รับการปฏิบัติ (นี่เรียกว่า "กฎทอง")

คุณต้องการได้รับการปฏิบัติจากคนอื่นอย่างไร? ก็จงทำอย่างนั้นต่อผู้อื่นเถิด จงระวังคำพูดและท่าทีของตัวเองไว้ให้ดี! เพราะถ้าคุณทำการพูดนินทา พูดจาไม่ดี หรือด่าคนอื่น  คุณก็กำลังบอกพระเจ้าว่านั่นคือคำตอบของคุณ คุณกำลังบอกพระองค์ว่าคุณเองก็ต้องการที่จะได้รับการปฏิบัติแบบนั้นด้วย อุ๊ย! คิดไปคิดมาแล้ว หากเป็นแบบนั้นจริงๆ คงไม่สนุกหรอกมั้ง? ว่าไหม!

การฝึกตัวเองเพื่อไม่ให้กล่าววิพากษ์วิจารณ์จนถึงนินทาผู้อื่น ล้วนต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก...เพราะในบางครั้งอารมณ์ความสนุกของเรามักจะทำให้เราเผลอพูดวิจารณ์ถึงบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในวงสนทนาด้วย...ซึ่งเป็นการไม่ยุติธรรมเลยกับบุคคลที่ถูกกล่าวถึงและที่สำคัญหากมีเพื่อนที่ฟังอยู่หลายคนเค้าก็รู้สึกว่า คุณเป็นคนที่ไม่น่าคบเอาเสียเลย

ความเป็นจริง ก็คือ ไม่มีใคร สามารถหลีกเลี่ยงการถูกนินทาลับหลัง ได้

สิ่งที่คุณทำได้ เปลี่ยนแปลงได้ก็คือ คุณต้องตั้งใจว่าต่อไปนี้ จะไม่วิพากษ์วิจารณ์ นินทา ว่าร้ายผู้อื่น หรือทำผิดต่อกฏทองของพระเจ้าอีกเป็นอันขาด

และเมื่อเวลาผ่านไป หากคุณทำมันได้ดี คุณก็จะได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างว่า "คุณเป็นคนที่ไม่นินทาใครลับหลัง"...ซึ่งทำให้ทุกคนต่างก็ชื่นชอบและนับถือมากที่สุด

ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะรู้สึกผิด กับการนินทาว่าร้ายผู้อื่น แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่ในชีวิตของพวกเขาอยู่อย่างขาดการนินทาไม่ได้  อาจเป็นเพราะเหตุผลทางจิตใจดังนี้

1) การกระทำที่ผิดพลาดของผู้อื่น ช่วยทำให้พวกเขารู้สึกดีกับพฤติกรรมแย่ๆของตนเองมากขึ้น

2) หลงผิดคิดไปว่าการได้พูดนินทาถึงชีวิตของผู้อื่น ช่วยให้พวกเขาหลบเลี่ยงจากปัญหาต่างๆ ในชีวิตของตนเองได้ ในระดับหนึ่ง

3) การซุบซิบนินทา ทำให้พวกเขารู้สึกมีอำนาจในการควบคุม เพราะหลงคิดว่าตนเองรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้ และคนอื่นๆจะต้องเข้ามาหา ทำให้รู้สึกว่าตนเองเป็นคนสำคัญ และมีคุณค่า

ดังนั้นหากคุณต้องเจอคนประเภทนี้โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือคนใกล้ชิด คนสนิท คนรอบข้างที่เราต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย คุณสามารถเอาเทคนิค ดังต่อไปนี้ไปใช้ได้ คือ ทำให้เขาเหล่านั้นหมดความภูมิใจในการนินทาคนอื่ืนลับหลัง ทำให้คนที่ชอบนินทาคนอื่นได้เข้าใจว่า คนที่เก็บความลับได้ คือคนที่คนอื่นชื่นชม ส่วนคนที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์ นินทาคนอื่นลับหลัง เป็นคนที่มีปมชีวิตบางอย่าง เป็นคนที่ใครๆไม่อยากอยากคบหาอยู่ใกล้ด้วย เพราะมันเป็นมลพิษต่อชีวิตและสังคม จากนั้นให้คุณใช้เวลากับคนที่คิดบวก เพราะคำพูดของพวกเขาจะช่วยเสริมสร้งและให้กำลังใจผู้อื่น เป็นคำพูดที่เสริมสร้าง นั่นคือ ก่อประโยชน์, เป็นความจริง, และเป็นคำพูดที่กรุณา

และสุดท้ายคือการอธิษฐานเผื่อคนที่ชอบนินทาคนอื่น แล้วยกให้พระเจ้าเป็นผู้ทำงานในจิตใจของเขา เราไม่อาจหยุดหรือเปลี่ยนนิสัย ท่าทีของคนอื่นได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงทัศนคติ และท่าทีของเราได้ โดยการยึดหลักคำสอนที่ว่า อย่ากล่าวร้ายกันและกัน แต่จงปฏิบัติต่อกันและกันอย่างที่เราต้องการให้เขาปฏิบัติกับเรา และมีใจเมตตากรุณาต่อกัน

ดังนั้นจากวันนี้เป็นต้นไป เราต้องระวังลิ้นของเรา และถอยห่างจากการชอบนินทาอันเป็นบาป ถ้าเรายอมถวายความปรารถนาตามธรรมชาติของเราต่อพระเจ้า พระองค์จะทรงช่วยให้เรายังคงเป็นคนชอบธรรม ขอให้เราทุกคนปฏิบัติตามคำสอนของพระคัมภีร์เรื่องซุบซิบนินทา  อย่ากล่าวร้ายกันและกัน โดยการปิดปากของเราไว้จนกว่าจะมีความจำเป็นและมีความเหมาะสมที่จะพูดออกมา

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ลูกขอสารภาพจากใจจริงเลยว่า บางครั้งลูกก็พูดถึงคนอื่นลับหลัง ทั้งด้วยความตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเป็นการผิดต่อกฎทองที่พระองค์ได้มอบใว้ให้ ขอพระองค์โปรดทรงยกโทษให้ลูกด้วย โปรดช่วยให้ลูกเฝ้าระวังและรักษาลิ้นของตัวเองให้ดี นับจากนี้ลูกอยากให้วาจาและการกระทำของลูกเป็นพรและเสริมสร้างคนอื่น เพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่พระองค์ พระเจ้าข้า ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

Gotquestion


ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...