วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2564

ทิโมธี

 


ทิโมธี

เปาโลไปยังเมืองเดอร์บีกับเมืองลิสตราด้วย และนี่แน่ะ ที่นั่นมีสาวกคนหนึ่งชื่อทิโมธี มีมารดาที่เป็นชาวยิวและเป็นผู้เชื่อ แต่บิดาเป็นชาวกรีก

กิจการ 16: 1

ไม่ใช่เด็กทุกคนจะมีพ่อแม่ที่เชื่อในพระเจ้า พระวรสารวันนี้กล่าวถึงทิโมธี ประวัติชีวิตของทิโมธีคือ เขาเป็นลูกครึ่ง คนยิวกับคนกรีก เขามีแม่เป็นคริสเตียน แต่พ่อของเขาไม่ได้เป็น ในสมัยนั้นคนที่เป็นที่เป็นลูกครึ่งจะไม่เป็นที่ยอมรับของคนยิวเพราะถือไม่ใช่คนยิว 100 เปอร์เซ็น แต่ทิโมธีไม่เคยโทษครอบครัวที่เป็นแบบนี้ เขามีความภูมิใจในฐานะของเขา และพระเจ้าได้ยกทิโมธีขึ้นและพระองค์ทรงใช้เขาให้เกิดผลได้

ทิโมธีได้กลายเป็นคริสเตียนในเวลาต่อมาและหลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นศิษยาภิบาลที่มีบทบาทมากในพันธสัญญาใหม่ จริงๆแล้วยังถือว่าเขามีอายุน้อยมากในตอนที่เขากลายเป็นศิษยาภิบาล  

พระเจ้าไม่ได้ตัดสินคุณจากสิ่งที่พ่อแม่คุณทำหรือจากพื้นเพของครอบครัวคุณ เพราะพระองค์รู้ว่าคุณไม่ใช่แม่หรือพ่อ ... คุณคือคุณ   ดังนั้นการที่เราจะมีความสนิทสัมพันธ์กับพระเยซูมันจึงเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคล เป็นสิ่งที่คุณต้องตัดสินใจทำด้วยตัวเอง พ่อแม่ของคุณอาจเชื่อหรือไม่เชื่อในพระคัมภีร์ แต่พระเจ้ายังคงรักคุณและเต็มใจที่จะใช้คุณ คำถามสำคัญในตอนนี้คือคือคุณจะเชื่อมั่นและปฏิบัติตามพระเยซูหรือไม่?

เมื่อคุณตัดสินใจเชื่อในพระเจ้า และรับพระเยซูเข้ามาในชีวิตของคุณ หากมีใครดูถูกเรา อย่าปล่อยให้อุปสรรคนั้นมาขัดขวางชีวิตของเรา แต่ให้คำดูถูกนั้นเป็นแรงพลักดันชีวิตเพื่อเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้   ให้บอกกับพระองค์ว่าขอให้พระเจ้าทรงใช้เราเถอะ และต้องมั่นใจว่าพระเจ้าสามารถทรงใช้เราได้ด้วย  วันนี้ให้เราเรียนรู้จากแบบอย่างชีวิตของทิโมธี  ในเรื่องของ

1.การมีน้ำใจ  คือ มีความปรารถนาดี มีความเห็นอกเห็นใจ มีความเข้าใจดีต่อกัน  ต้องการสร้างเสริมประโยชน์สุขให้แก่เพื่อนมนุษย์   ไม่เห็นแก่ตัว แต่ทำเพื่อคนอื่น ช่วยคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน

2.การเอาใจใส่   คือ การ เป็นห่วง ดูแลเอาใจใส่ เราอาจโทรหาถามทุกข์-สุข นั่นคือ การใส่ใจกัน

3.ไม่แสวงหาผลประโยชน์   ในสังคมปัจจุบันไม่ว่าจะกิจกรรมใดๆ ทั้งสิ้น ล้วนจำเป็นที่จะต้องได้รับ ประโยชน์  แต่อย่าให้การมาคริสตจักรหรือการมาร่วมมิสซาของเราเป็นเครื่องมือที่เราจะแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง แต่ให้เรามาเพื่อรู้จักการให้ และรับใช้ผู้อื่นอย่างจริงใจและอวยพรซึ่งกันและกัน  จุดประสงค์ในการมาคริสตจักร-โบสถ์ ก็เพื่อมาสรรเสริญพระเจ้าไม่ใช่มาเพื่อหาผลประโยชน์ให้ตนเอง

4.เห็นคุณค่าของคนอื่น คือ ในฐานะที่เราเชื่อในพระเจ้า พระองค์ทรงเห็นคุณค่าในตัวเรา พระองค์ได้มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อนมนุษย์ทุกคน ดังนั้น เราต้องรับใช้และรักซึ่งกันและกัน และเห็นคุณค่าของคนอื่น ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่สร้างความแตกแยก(ถึงแม้เราจะคิดต่างกันก็ตาม) จงให้ความรักนำพาชีวิิต

5 ร่วมรับใช้การประกาศข่าวประเสริฐ  คือ เราแต่ละคน ล้วนมีของประทานที่แตกต่างกันไป บางคนเป็นนักประกาศ  บางคนเป็นพยาน  บางคนทำหน้าที่สอน บางคนทำหน้าที่แบ่งปัน บางคนมีของประทานในการให้ เมื่อเราทราบถึงของประทานดังกล่าวแล้วให้เราทำสุดความสามารถของเรา  เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่เราต้องรีบเก็บเกี่ยวนำผู้คนมารู้จักกับพระเจ้าซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์ 

6 ความหวังใจในพระเจ้า สำหรับคริสเตียนแล้วความหวังใจในพระเจ้าคือไว้วางใจในพระเจ้า เวลาที่เรามีปัญหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดให้เราวางปัญหาไว้กับพระเจ้าแล้วพระองค์จะทรงกระทำให้เราสำเร็จ

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ลูกอยากรู้จักกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ลูกไม่สามารถควบคุมสิ่งที่ครอบครัวเลือกทำหรือสิ่งที่พวกเขาเชื่อได้ แต่ลูกต้องการให้ตัวเองอยู่ในพระหัตถ์และภายใต้การดูแลของพระองค์ ขอพระองค์ทรงนำลูกไปในทางของพระองค์และเสริมใจลูกในทุกด้านของชีวิต ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์ อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions

 prasanya.org  


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...