ทิโมธี
เปาโลไปยังเมืองเดอร์บีกับเมืองลิสตราด้วย และนี่แน่ะ
ที่นั่นมีสาวกคนหนึ่งชื่อทิโมธี มีมารดาที่เป็นชาวยิวและเป็นผู้เชื่อ
แต่บิดาเป็นชาวกรีก
กิจการ 16: 1
ไม่ใช่เด็กทุกคนจะมีพ่อแม่ที่เชื่อในพระเจ้า พระวรสารวันนี้กล่าวถึงทิโมธี
ประวัติชีวิตของทิโมธีคือ เขาเป็นลูกครึ่ง คนยิวกับคนกรีก เขามีแม่เป็นคริสเตียน
แต่พ่อของเขาไม่ได้เป็น ในสมัยนั้นคนที่เป็นที่เป็นลูกครึ่งจะไม่เป็นที่ยอมรับของคนยิวเพราะถือไม่ใช่คนยิว
100 เปอร์เซ็น แต่ทิโมธีไม่เคยโทษครอบครัวที่เป็นแบบนี้
เขามีความภูมิใจในฐานะของเขา และพระเจ้าได้ยกทิโมธีขึ้นและพระองค์ทรงใช้เขาให้เกิดผลได้
ทิโมธีได้กลายเป็นคริสเตียนในเวลาต่อมาและหลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นศิษยาภิบาลที่มีบทบาทมากในพันธสัญญาใหม่ จริงๆแล้วยังถือว่าเขามีอายุน้อยมากในตอนที่เขากลายเป็นศิษยาภิบาล
พระเจ้าไม่ได้ตัดสินคุณจากสิ่งที่พ่อแม่คุณทำหรือจากพื้นเพของครอบครัวคุณ
เพราะพระองค์รู้ว่าคุณไม่ใช่แม่หรือพ่อ ... คุณคือคุณ ดังนั้นการที่เราจะมีความสนิทสัมพันธ์กับพระเยซูมันจึงเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคล
เป็นสิ่งที่คุณต้องตัดสินใจทำด้วยตัวเอง
พ่อแม่ของคุณอาจเชื่อหรือไม่เชื่อในพระคัมภีร์
แต่พระเจ้ายังคงรักคุณและเต็มใจที่จะใช้คุณ คำถามสำคัญในตอนนี้คือคือคุณจะเชื่อมั่นและปฏิบัติตามพระเยซูหรือไม่?
เมื่อคุณตัดสินใจเชื่อในพระเจ้า และรับพระเยซูเข้ามาในชีวิตของคุณ หากมีใครดูถูกเรา
อย่าปล่อยให้อุปสรรคนั้นมาขัดขวางชีวิตของเรา แต่ให้คำดูถูกนั้นเป็นแรงพลักดันชีวิตเพื่อเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ ให้บอกกับพระองค์ว่าขอให้พระเจ้าทรงใช้เราเถอะ
และต้องมั่นใจว่าพระเจ้าสามารถทรงใช้เราได้ด้วย
วันนี้ให้เราเรียนรู้จากแบบอย่างชีวิตของทิโมธี ในเรื่องของ
1.การมีน้ำใจ คือ มีความปรารถนาดี
มีความเห็นอกเห็นใจ มีความเข้าใจดีต่อกัน ต้องการสร้างเสริมประโยชน์สุขให้แก่เพื่อนมนุษย์ ไม่เห็นแก่ตัว
แต่ทำเพื่อคนอื่น ช่วยคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน
2.การเอาใจใส่ คือ การ
เป็นห่วง ดูแลเอาใจใส่ เราอาจโทรหาถามทุกข์-สุข นั่นคือ การใส่ใจกัน
3.ไม่แสวงหาผลประโยชน์ ในสังคมปัจจุบันไม่ว่าจะกิจกรรมใดๆ ทั้งสิ้น ล้วนจำเป็นที่จะต้องได้รับ ประโยชน์ แต่อย่าให้การมาคริสตจักรหรือการมาร่วมมิสซาของเราเป็นเครื่องมือที่เราจะแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง
แต่ให้เรามาเพื่อรู้จักการให้ และรับใช้ผู้อื่นอย่างจริงใจและอวยพรซึ่งกันและกัน จุดประสงค์ในการมาคริสตจักร-โบสถ์ ก็เพื่อมาสรรเสริญพระเจ้าไม่ใช่มาเพื่อหาผลประโยชน์ให้ตนเอง
4.เห็นคุณค่าของคนอื่น คือ ในฐานะที่เราเชื่อในพระเจ้า
พระองค์ทรงเห็นคุณค่าในตัวเรา
พระองค์ได้มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อนมนุษย์ทุกคน ดังนั้น
เราต้องรับใช้และรักซึ่งกันและกัน และเห็นคุณค่าของคนอื่น ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ไม่สร้างความแตกแยก(ถึงแม้เราจะคิดต่างกันก็ตาม) จงให้ความรักนำพาชีวิิต
5 ร่วมรับใช้การประกาศข่าวประเสริฐ คือ เราแต่ละคน ล้วนมีของประทานที่แตกต่างกันไป บางคนเป็นนักประกาศ บางคนเป็นพยาน บางคนทำหน้าที่สอน บางคนทำหน้าที่แบ่งปัน บางคนมีของประทานในการให้ เมื่อเราทราบถึงของประทานดังกล่าวแล้วให้เราทำสุดความสามารถของเรา เพราะเวลานี้เป็นเวลาที่เราต้องรีบเก็บเกี่ยวนำผู้คนมารู้จักกับพระเจ้าซึ่งเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษย์
6 ความหวังใจในพระเจ้า สำหรับคริสเตียนแล้วความหวังใจในพระเจ้าคือไว้วางใจในพระเจ้า
เวลาที่เรามีปัญหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดให้เราวางปัญหาไว้กับพระเจ้าแล้วพระองค์จะทรงกระทำให้เราสำเร็จ
คำอธิษฐาน
ข้าแต่พระบิดา ลูกอยากรู้จักกับพระองค์เป็นการส่วนตัว ลูกไม่สามารถควบคุมสิ่งที่ครอบครัวเลือกทำหรือสิ่งที่พวกเขาเชื่อได้
แต่ลูกต้องการให้ตัวเองอยู่ในพระหัตถ์และภายใต้การดูแลของพระองค์ ขอพระองค์ทรงนำลูกไปในทางของพระองค์และเสริมใจลูกในทุกด้านของชีวิต
ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์ อาเมน
ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก
หนังสือ One minute
devotions
prasanya.org
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น