วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของท่าน

 


จงสนุกกับการเป็นเด็ก

อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ ทั้งในด้านวาจาและการประพฤติ ทั้งในด้านความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์

1 ทิโมธี 4:12

พอเป็นเด็กอยากโต พอโตแล้วอยากเป็นเด็ก”

ตอนเป็นเด็กคุณเคยรู้สึกว่า อยากให้ตัวเองโตขึ้นไวๆเพื่อที่เราจะได้คิดเอง ทำเองตามใจที่เราอยากทำ เหมือนกับผู้ใหญ่บ้างไหม?  แต่พอเราโตขึ้น เรากลับรู้สึกว่าอยากจะย้อนเวลากลับไปเป็นเด็กอีก  และเด็กโดยส่วนใหญ่ก็มีความคิดที่ว่าอยากจะโตให้เร็วที่สุด ในทางกลับกันก็มีผู้ใหญ่หลายคนแอบหวังว่าพวกเขาจะได้กลับไปเป็นเด็กได้อีกครั้ง

ประเด็นสำคัญของวันนี้ก็คือ คุณควรสนุกกับช่วงเวลาในวัยเด็กของคุณอย่างเต็มที่ จงสนุกกับวัยที่คุณเป็นอยู่ เพราะคำว่าพรุ่งนี้มันมาเร็วมาก ช่วงวัยเด็ก-วัยเยาวชน เป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนานที่คุณยังมีโอกาสได้ค้นพบและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ  ถ้าหากวันนี้คุณยังมีอายุน้อยอยู่ ก็ไม่ต้องเสียใจ ไม่ต้องรีบเร่งอยากโต เพราะพระวจนะในวันนี้กำลังบอกว่าอย่าให้ใครหมิ่นประมาทความอ่อนวัยของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเขา คุณสามารถเป็นตัวอย่างในการทำสิ่งที่ถูกต้องให้กับเพื่อนๆในวัยเดียวกัน หรือคนรอบข้างวัยอื่นๆ ได้ด้วย 

ช่วงเวลาเด็ก เป็นวัยที่ใครหลายๆคนชื่นชอบมากที่สุด เป็นวัยที่เราเป็นตัวเองได้มากที่สุด เป็นวัยที่เรารู้สึกอะไร ยังไง เราก็ให้มันไปเต็มร้อย เป็นวัยที่เราสามารถหัวเราะได้เสียงดังที่สุด เเละเป็นวัยที่เราร้องไห้ออกมาได้โดยไม่ต้องอาย วัยเด็กเจ็บที่สุดก็แค่หกล้ม ตอนนี้เชื่อเลยว่าหลายๆท่านคงกำลังคิดถึงชีวิตในวัยเด็กอยู่แน่นอน

ทำไมพระเจ้าถึงชอบวัยเด็ก? ตามพระคัมภีร์ในมาระโก 10:14 ได้บันทึกไว้ว่า " จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้า เป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น " พระเจ้ารักเด็กๆมาก เพราะพระเจ้าต้องการให้เราเป็นตัวของตัวเองต่อหน้าพระองค์ พระเจ้าต้องการให้เรามีความสุขมากที่สุด และพระเจ้าต้องการให้เราระบายความรู้สึกที่เศร้าที่สุดออกมาต่อหน้าพระองค์ เราไม่จำเป็นต้องแบกภาระอะไรทั้งสิ้น ให้เราวางใจในพระเจ้า เพราะพระองค์ปกป้องเราในฐานะที่พ่อคนนึงจะสามารถทำให้ลูกได้

ในวันนี้ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ คุณก็ยังจะเป็นเด็กในสายตาพ่อแม่เสมอ พระเจ้าก็เช่นกัน พระองค์รักคุณและคอยโอบอุ้มคุณ เพราะคุณคือลูกที่รักยิ่งของพระองค์

ถึงแม้พระคัมภีร์บางตอนได้บอกกับเราว่า เราไม่ควรที่จะเป็นเด็กตลอดไป แต่เราก็ควรรักษาข้อดีของความเป็นเด็กเอาไว้ นั่นก็คือการเข้ามาหาพระเจ้าในแบบที่เราเป็น พระเจ้าไม่ได้สนใจว่าเราจะมีเงินในบัญชีเท่าไหร่ หน้าตาเป็นอย่างไร มีการงานที่ดีทำหรือไม่ ปัจจัยเหล่านี้มันไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยคุณมากขึ้น หรือน้อยลงเลย เพราะพระเจ้าต้องการความจริงใจของคุณมากกว่าสิ่งใดๆ

จงสนุกกับทุกวันและใช้ประโยชน์จากทุกโอกาสที่คุณมีในตอนนี้ และขอให้คุณเลือกทำในสิ่งที่จะช่วยให้คุณได้แสดงความรักและความผูกพันต่อพระเจ้าอยู่เสมอด้วย

 ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions

เราเป็นคริสเตียน


วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ขออย่ายอมแพ้

 


ขออย่ายอมแพ้

การต่อสู้อย่างเต็มกำลังเพื่อความเชื่อ

แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ และจงใฝ่หาความชอบธรรม ทางพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก ความทรหดอดทน และความสุภาพอ่อนโยน

1 ทิโมธี 6:11

โทมัส เอดิสันเป็นคนคิดค้นประดิษฐ์หลอดไฟฟ้า หากไม่มีผลงานของเขาวันนี้เราอาจจะยังต้องอ่านหนังสือใต้แสงเทียนอยู่ก็เป็นได้ และมันอาจจะไม่มีทีวี หรือแม้แต่คอมพิวเตอร์เหมือนอย่างทุกวันนี้  ระหว่างทางเอดิสันล้มเหลวหลายครั้ง เขาใช้เวลานานพอสมควรในการคำนวณว่าจะทำให้หลอดไฟทำงานได้อย่างไร ทำอย่างไรถึงจะมีประสิทธิภาพ คุณไม่ดีใจเหรอที่เขาไม่คิดยอมแพ้ ? เพราะถ้าเขายอมแพ้ในวันนั้น เราอาจจะยังไม่มีหลอดไฟในวันนี้

พระวจนะตอนนี้อยากนำมาหนุนพี่น้องทุกคน  วันนี้อาจมีหลายคนอยากจะยอมแพ้ในเรื่องบางเรื่อง เราคงเคยได้ยินคำคำนี้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครหลายคนอาจจะมีคำถามว่า ฉันก็ทำแต่สิ่งดีแต่ทำไมชีวิตฉันถึงยังต้องเจอกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆมากมายอยู่ละ?

ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป …. ถ้าแบบนี้ ฉันยอมแพ้เสียดีกว่าไหม?

แต่พระวจนะของพระเจ้าบอกว่า “อย่าให้เราเมื่อล้าในการทำดี”  เพราะว่า ถ้าเราไม่ท้อใจ ไม่ยอมแพ้ เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควรแน่นอน …. อาเมน !

พระวจนะของพระเจ้า หนุนใจเราว่า จงอย่ายอมแพ้ ไม่ว่าสภาพชีวิต หรือความคิดของเรา จะย่ำแย่มากเพียงไร มารซาตาน ต้องการแย่งชิงพื้นที่ในชีวิตของเรา ส่วนไหนที่โดนมันขโมยไป  จงยึดคืนกลับมา แม้มันจะได้ทีละนิด ทีละคืบก็จงแย่งชิงกลับคืนมา

แต่มันยากนะ ! คุณอาจจะมีคำถามว่า แล้วฉันควรจะทำอย่างไร? พระวจนะบอกว่า อย่าพึ่งพากำลังของตัวเอง ความหมายในที่นี้คืออย่าหลงคิดว่าตนมีดีมากพอจนไม่ต้องพึงพระเจ้า  ในสุภาษิต 3:5 กล่าวว่า จงวางใจในพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง

ใน กาลาเทีย 6:9 อัครสาวกเปาโลได้หนุนใจพวกเราทุกคนให้สู้ อย่ายอมแพ้และทำดีต่อไป นอกจากนี้คำว่าทำดี ยังหมายถึง การเชื่อฟังพระวจนะด้วย

บางครั้งชีวิตอาจไม่ได้เป็นไปตามที่คุณต้องการ แต่คุณต้องจำไว้ว่ามีหลายครั้งที่คุณต้องพยายามต่อไปแม้ว่ามันจะยากก็ตาม อัครสาวกเปาโลสนับสนุนทิโมธีให้ใฝ่เพียรซึ่งหมายถึงการไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ นั่นเป็นคำแนะนำที่ดีสำหรับคุณด้วย วันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตคุณ ขออย่ายอมแพ้. เพราะสิ่งที่ดีที่สุดที่พระเจ้ามีไว้ให้คุณอาจต้องใช้ความพยายามเล็กน้อย และรอเวลาของพระองค์

ในพระวจนะของพระเจ้า กาลาเทีย 6:9 บอกว่า อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร   เพราะความเชื่อ คือความมั่นใจในถ้อยคำของพระเจ้า และมั่นใจในการช่วยกู้ของพระองค์ ดังนั้น “จงอย่ายอมแพ้” อาเมน

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์โปรดช่วยให้ลูกอย่าเป็นคนขี้เกียจ แม้ว่าลูกจะรู้สึกท้อแท้กับปัญหาและอุปสรรค  ขอโปรดเสริมกำลังเพื่อให้ลูกอดทนและพยายามต่อไป โปรดช่วยให้ลูกบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย อย่าให้ลูกหยุดและจมอยู่กับที่ และอย่าให้ลูกหลงลืมความจริงที่ว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้งลูก ขอให้ลูกมีความหวัง และวางใจ  ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์ อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions

Emunahinyeshua


วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

การไปโบสถ์สำคัญไฉน?

 


การไปโบสถ์สำคัญไฉน?

อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนทำเป็นนิสัย แต่จงหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะพวกท่านก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว

ฮีบรู 10:25

เมื่อพระเจ้าสร้างอาดัมขึ้นมา พระองค์บอกว่ามันไม่ดีเลยที่มนุษย์จะต้องอยู่คนเดียวดังนั้นพระองค์จึงสร้างอีฟ และในไม่ช้าพวกเขาก็มีครอบครัวและตอนนี้ครอบครัวของพวกเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นมากมายในเมืองต่างๆทั่วโลก

ในพันธสัญญาใหม่เหล่าสาวกเริ่มตั้งคริสตจักร โบสถ์ เพื่อให้คริสตชนได้สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับพระเยซูและเสริมความเข้มแข็งโดยการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

“โบสถ์” หรือ “คริสตจักร” ก็เป็นชุมชนที่พระเจ้าสร้างขึ้นเพื่อพวกเรา การไปโบสถ์จึงไม่ใช่ว่า “ไปวันนี้แล้วฉันจะได้อะไร” แต่ทุกครั้งที่คุณเดินเข้าโบสถ์ ให้คุณคิดว่า “ไปโบสถ์วันนี้คุณจะให้อะไรกับใครได้บ้าง” 🙂

การไปโบสถ์เป็นการแสดงความรักและการนมัสการพระเจ้าของเราที่มองเห็นและสัมผัสได้ โบสถ์เป็นสถานที่ที่บรรดาผู้เชื่อมาชุมนุมกัน เพื่อเป็นพยานถึงความเชื่อและการวางใจพระเจ้าของเรา เป็นสิ่งที่คริสเตียนทุกคนต้องกระทำ (มธ.10:32-33)

การไปโบสถ์เป็นการไปรับฟังคำเทศนา และคำสอนของพระวจนะของพระเจ้า เพิ่มความเชื่อของเรา และเสริมสร้างจิตวิญญาณของเราให้เติบโตและเข้มแข็งขึ้น

การไปโบสถ์เป็นการมีสามัคคีธรรมกับคริสเตียนคนอื่นๆ การชุมนุมกันเป็นความสำคัญของความสัมพันธ์ของพี่น้องคริสเตียน พระคัมภีรบอกไว้ชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าต้องการทั้ง “แนวตั้ง” และ “แนวนอน” รวมกัน นั่นคือ เราต้องมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้าซึ่งเป็นแนวตั้ง และสามัคคีธรรมกับผู้เชื่ออื่นๆ ซึ่งเป็นแนวนอน เป็นไปไม่ได้ที่เราจะรักพระเจ้า และไม่รักพี่น้อง ถ้าคุณมีปัญหาในการรักคริสเตียนคนอื่นๆ คุณก็มีปัญหาในความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้าด้วย

การไปโบสถ์เป็นการรวมพลังฝ่ายจิตวิญญาณของเราในการอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ บ่งชี้ว่าการตกลงกันในการอธิษฐานกับผู้เชื่ออื่นๆ เป็นที่ชื่นชอบต่อพระเจ้า “เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายอีกว่า ถ้าในพวกที่อยู่ในโลกสองคนจะรวมใจกันขอสิ่งหนึ่ง สิ่งใด พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ ก็จะทรงกระทำให้ (มธ.18:19)

การไปโบสถ์เป็นการถวายเกียรติวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า บัญญัติข้อที่ 4 ที่พระเจ้าประทานแก่โมเสส ให้แยกวันที่เจ็ดของสัปดาห์ คือ วันเสาร์ไว้ต่างหาก ให้เป็นวันบริสุทธิ์ แก่องค์พระผู้เป็นเจ้า “จงระลึกถึงวันสะบาโตถือเป็นวันบริสุทธิ์” (อพย.20:8) มันเคยเป็นเช่นนี้ และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป

สมัยเป็นเด็กเราก็จะไปโบสถ์พร้อมกับสมาชิกในครอบครัวของเราเป็นประจำ แต่พอเราโตขึ้น บางครั้งพวกเราก็ลืมไปว่าการไปโบสถ์นั้นมีความสำคัญอย่างไร

สิ่งที่เราเห็นจากพระคัมภีร์ก็คือพระเจ้าจะขัดเกลาเราได้เต็มที่เมื่อเรามาอยู่รวมกันเพื่อนมัสการพระเจ้า การนมัสการคือการแสดงออกถึงสิ่งที่อยู่ในใจ คนเราจะนมัสการได้ก็ต่อเมื่อรู้ว่า ตัวเองเป็นมนุษย์ผู้เล็กน้อยที่กำลังอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เราทุกคนคือคนบาปเมื่อมาอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้ทรงบริสุทธิ์และเที่ยงธรรม ซึ่งแม้คนบาปควรจะได้รับโทษ แต่พระคุณของพระเยซูคริสต์และพระเมตตาของพระเจ้ากลับทำให้เราได้รับการอภัยและเตรียมเราสู่ชีวิตนิรันดร์ เพราะฉะนั้นด้วยความเคารพยำเกรงและความรักซาบซึ้งในพระคุณเราจึงแสดงออกด้วยการก้มลงนมัสการพระเจ้าของเรา เมื่อเรานำความจริงนี้เข้ามาในการสามัคคีธรรมใจของเราก็จะเป็นเหมือนดินที่สมบูรณ์ คุณอาจจะไม่รู้สึกแบบนี้ทุกวันอาทิตย์ แต่เราทั้งหลายต่างก็รู้ว่าแม้ในการสามัคคีธรรมในกลุ่มเล็กๆ พระเจ้าทรงประทับอยู่กับเราด้วย

ไม่ว่าคุณจะทำอะไร หรืออยู่ที่ไหน อย่าลืมว่าการมีส่วนร่วมในคริสตจักร ในโบสถ์ท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญมาก และมันคงไม่ดีที่จะต้องมีใครต้องอยู่โดเดี่ยวคนเดียวเพียงลำพัง การไปนมัสการพระเจ้าร่วมกันก็เพื่อที่เราจะได้รับการหนุนใจจากผู้เชื่อคนอื่นๆ และในทางกลับกันเราเองก็อาจจะช่วยหนุนใจคนอื่นๆได้ด้วย

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ขอให้ลูกมีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะมีส่วนร่วมกับ โบสถ์ในท้องถิ่น และไม่ว่าลูกจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม ขออย่าให้ลูกเป็นคนเฉื่อยฉาในการไปโบสถ์ และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในคริสตจักรเพื่อที่ลูกจะได้ประกาศความเป็นประชากรในอาณาจักรของพระคริสต์ได้! อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions

Wattanachurch

mustardseed


วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

จงเข้มแข็งในการเชื่อฟังโอวาทของพระเจ้า

 


จงเข้มแข็งและกล้าหาญ

1เมื่อใกล้เวลาที่ดาวิดจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงกำชับซาโลมอนพระราชโอรสของพระองค์ว่า 2“เรากำลังจะเป็นไปตามทางของโลกแล้ว จงเข้มแข็งและแสดงว่าตัวเป็นลูกผู้ชาย 3และจงรักษาพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า คือดำเนินในพระมรรคาของพระองค์ และรักษากฎเกณฑ์ พระบัญญัติ กฎหมาย และพระโอวาทของพระองค์ ดังที่ได้จารึกไว้ในธรรมบัญญัติของโมเสส เพื่อเจ้าจะได้จำเริญในทุกสิ่งที่เจ้าทำ และในทุกแห่งที่เจ้าไป

1 พงศ์กษัตริย์ 2: 1-3

กษัตริย์ดาวิดเต็มไปด้วยความกล้าหาญ เขาอาจเป็นหนึ่งในคนที่กล้าหาญที่สุดในพระคัมภีร์ทั้งหมดเลยก็ว่าได้ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องสังเกตคำพูดสุดท้ายของเขากับโซโลมอนลูกชายของเขา เมื่อดาวิดกำลังจะตายเขาบอกให้ลูกชายของเขา เข้มแข็ง และกล้าหาญ แล้วลูกชายของเขาจะเข้มแข็งและกล้าหาญได้อย่างไร?

ดาวิดบอกว่าเราจะสามารถเข้มแข็งขึ้นได้โดยการปฏิบัติตามกฎของพระเจ้าและทำตามวิถีทางของพระองค์  ความเป็นลูกผู้ชายที่เข้มแข้งตามที่เดวิดได้กล่าวไว้ ไม่ใช่ความเข้มแข็งแบบฝ่ายร่างกาย แต่เป็นการเน้นย้ำเรื่องการเชื่อฟังโอวาทของพระเจ้าเพราะมันจะทำให้ชีวิตของลูกชายเขาจำเริญขึ้นในทุกๆด้าน     

การเชื่อฟังพระเจ้าไม่ใช่วิธีที่ง่ายก็จริง แต่ถ้าลูกชายเขาทำได้ดี นี่ก็เป็นวิธีที่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นลูกผู้ชายที่มีความกล้าหาญจริงๆ แล้ว

คุณเองก็สามารถแสดงความกล้าหาญของคุณได้โดยการทำตามสิ่งที่พระเจ้าบอกให้คุณทำ และหากคุณยังไม่รู้ว่าพระเจ้าบอกอะไรกับคุณบ้าง วันนี้ลองหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาอ่าน หรือโหลดแอปพระคัมภีร์ลงมือถือ แล้วเปิดฟังวันละนิด ใช้เวลาไตร่ตรองกับพระคำของพระองค์แล้วคุณจะได้รู้ว่าพระเจ้าต้องการให้คุณเชื่อฟังในเรื่องใดบ้าง

พระเจ้าทรงนำเราอย่างอดทน เมื่อเราวางใจและฟังเสียงพระองค์ พระองค์ทรงสัญญาว่าจะนำเราผ่านช่วงเวลาทั้งดีและร้ายและในการตัดสินใจ ให้เราวางใจติดตามและฟังเสียงของพระองค์ด้วยความกระตือรือร้น

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์โปรดช่วยลูกให้มีกำลังใจ มีความกล้าหาญที่จะลงมือทำในสิ่งที่พระองค์ขอให้ลูกทำ ลูกขอมอบถวายตัวเองด้วยการเชื่อฟังนำพระทัยของพระองค์  ขออธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์ อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions

thaiodb


วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ความบริสุทธิ์

 


ความบริสุทธิ์

ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเนรมิตสร้างใจสะอาดในข้าพระองค์

และขอทรงสร้างจิตใจหนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์

สดุดี 51:10

ในหลาย ๆ ประเทศของโลกมีหิมะตกในช่วงฤดูหนาว หิมะมีสีขาวสะอาดและเป็นเรื่องสนุกที่เราจะเล่นสนุกกับมัน แต่อย่างไรก็ตามหากหิมะจะไม่เป็นสีขาวอีกต่อไปเป็นเวลานานตามเมืองต่างๆเพราะมลพิษจากท่อไอเสียรถยนต์ทำให้หิมะกลายเป็นสีดำและขุ่นมัว คนส่วนใหญ่ก็คงไม่ชอบเล่นหิมะอีกต่อไปเพราะมันดูไม่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว

ของบางสิ่งจะบริสุทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อไม่มีสิ่งใดเลวร้ายปนเปื้อนอยู่ในนั้น   การมีใจบริสุทธิ์หมายถึงการรักษาความสะอาดของจิตใจเราต่อพระพักตร์พระเจ้า เมื่อคุณทำบาปมันจะทำให้หัวใจของคุณไม่บริสุทธิ์ เพื่อให้มันบริสุทธิ์อีกครั้งคุณต้องสารภาพและขอให้พระเจ้ายกโทษให้คุณ วันนี้จงมีใจบริสุทธิ์และเชื่อฟังพระเจ้า และอยู่ห่างไกลจากบาป

ในโลก มีคนใจไม่สะอาดอยู่ 3 ประเภท

1 ภายนอกดูดี ตั้งใจทำดี แต่ไม่ตระหนักว่า ใจของเขานั้นไม่บริสุทธิ์ ได้แก่ พวกฟาริสี

2  รู้ดีว่า ใจไม่บริสุทธิ์ แต่แสร้งทำดี หรือปิดบังบาปไว้ ได้แก่ นักการเมืองผู้พ่อ หรือ กษัตริย์ดาวิด ผู้เอานางบับเชบามาเป็นภรรยา และฆ่าสามีของนางทางอ้อม เพื่อปิดบังความบาปของตน

3 ทราบว่า ทำไม่ถูกแต่ไม่สนใจ หรือพยายามเปลี่ยนมาตรฐานของความถูกต้อง  ได้แก่ บุตรชายทั้งสองของเอลี ซึ่งไม่สนใจกฎเกณฑ์พระเจ้า (1ซมอ.2:12-16) มนุษย์ได้แบ่งประเภทใหม่ ให้แก่ของ ‘สะอาด-ไม่สะอาด’ ตามแต่ใจตน และคนไม่น้อยได้ดำเนินตามรอยนี้

บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข : ใจบริสุทธิ์ (pure heart) เกิดขึ้นได้ เพราะความรักอันบริสุทธิ์ (pure love) และพระเมตตา(mercy)จากพระเจ้า พระคริสตร์ทรงถวายพระองค์เอง..เป็นเครื่องบูชาที่ลบบาปได้ตลอดไป, ให้คนทั้งหลาย..ได้รับการ..ชำระให้บริสุทธิ์ ฮบ.10:12,15 ขณะเรายังเป็นคนบาปนั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา รม.5:8 ตรงนี้แสดงถึงGod’s pure love

เราได้ใช้เวลาเพื่อแสวงหาความบริสุทธิ์อยู่ หรือเรากำลังแสวงหาสิ่งอื่นใด

วันนี้ให้เราหันมาเอาจริงเอาจังกับความบริสุทธิ์ เพราะว่า

อาหารสะอาด มีผลดีต่อสุขภาพร่างกายฉันใด, ความบริสุทธิ์ ก็มีผลดีต่อสุขภาพจิตวิญญาณฉันนั้น

“บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข” (มัทธิว 5:8) ความสุขเป็นของบุคคล ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำของคนอธรรม หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป หรือนั่งในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย สดด.1:1 พระธรรมสดุดี เริ่มต้นด้วยการเตือนไม่ให้รับสิ่งที่ชั่วร้ายเข้าไป แต่ให้รับสิ่งดีๆจากพระเจ้า แต่ความปิติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน  สดด.1:2

ความสะอาด ฝ่ายร่างกาย ด้วยการอาบน้ำฉันใด, ความบริสุทธิ์ ฝ่ายจิตวิญญาณ ได้จากการชำระฉันนั้น เหตุฉะนั้น ..ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่ และบาปที่เกาะแน่น ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม…หมายเอาพระเยซูเป็นผู้บุกเบิกความเชื่อ ฮบ.12:1-2

ใจที่บริสุทธิ์ มนุษย์ก็จะยิ่งไวต่อบาป และจุดดำเล็กๆ บนเสื้อขาวจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจน  แต่ในใจที่สกปรก มนุษย์ก็จะยิ่งเฉยชาต่อบาป เหมือนกับ จุดดำ ซึ่งยากที่จะมองเห็นในเสื้อที่ไม่ได้ขาวล้วนนั้นได้ หลวงพ่อดานิเอลู ได้กล่าวว่า ‘การรับรู้ความบาปนั้น เป็นเครื่องวัดทางจิตวิญญาณว่า เรารู้จักพระเจ้ามากเพียงใด

แม้จะเป็นบาปเพียงเล็กน้อย พระเจ้าก็ไม่ทรงปรารถนาให้มนุษย์เก็บงำเอาไว้ นั่นเพราะพระเจ้าอยากให้ เราบริสุทธิ์ ไม่ใช่แค่การพยายามทำตนให้บริสุทธิ์ เพื่อจะทำให้เราได้ชีวิตนิรันดร์ แต่เพราะเราได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว และเรากำลังเดินทางไปสู่งานเฉลิมฉลองต่างหาก

วันนี้หากเราได้ ‘คลุมกาย’ ด้วยเสื้อที่สะอาดหมดจดแล้ว เราจะยอมปล่อยให้ตนเองสกปรกอีกหรือ? อ.เปาโลได้กล่าวไว้ว่า ข้าพเจ้าวิงวอนท่านทั้งหลาย ให้ถวายตัวท่านเองแด่พระองค์ เป็น เครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์ และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า รม.12:1

ไม่ใช่เพียงแค่ ‘สะอาด’ แต่พระเจ้าปรารถนาให้ ‘สาวก’ เป็นมากกว่านั้นอีก ความบริสุทธิ์ มิใช่เพียงแค่ไม่สกปรก แต่ต้องปราศจากสิ่งอื่นใดเจือปน

พระเจ้าปรารถนาให้เราถูกแยกไว้สำหรับพระองค์ ที่ใครๆ มองชีวิตเรา จะทราบได้ทันทีว่า เราเป็นของพระองค์…

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก ขอพระองค์โปรดช่วยให้ลูกมีความคิดและจิตใจที่บริสุทธิ์ ลูกรู้ว่าลูกไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ แต่ลูกก็ต้องการอยู่ห่างจากบาปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขออย่าให้ลูกแพ้ต่อการผจญ โปรดช่วยให้ลูกมีชัยเหนือการล่อลวง ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์ อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions

newsite.bcfbangkok


วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

การเป็นมิตรแท้

 


การเป็นมิตรแท้

มีเพื่อนบางคนนำความหายนะมาให้

แต่มีสหายที่ใกล้ชิดยิ่งกว่าพี่น้อง

สุภาษิต 18:24

เมื่อคุณหลงใหลในบางสิ่งนั่นหมายความว่าคุณได้ชอบมันอย่างมากจนคุณแทบจะทำทุกอย่างเพื่อมัน ตัวอย่างเช่นบางคนหลงใหลในกีฬา -หนังสือ-เกม-ทีวี หรือแม้แต่ความสัมพันธ์ของมิตรภาพ

เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราคริสตชนควรจะหลงใหลควรจะเป็น”พระเจ้า” เพราะว่าพระองค์ต้องการให้คุณหลงใหลในการมีความสัมพันธ์อันดีกับพระองค์ พระองค์เห็นความสำคัญของการเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และการรักษาสัมพันธ์อันดีนั้นให้คงอยู่ตลอดไป   พระองค์ต้องการเห็นคุณเป็นเพื่อนแท้ให้กับเพื่อนๆของคุณ พระองค์อยากให้คุณเป็นคนที่ห่วงใยพวกเขาด้วยความรักที่จริงใจและอยู่เคียงข้างพวกเขา คอยเป็นกำลังใจให้พวกเขาอยู่เสมอเมื่อพวกเขาต้องการคุณ

ถ้าคุณมีเพื่อนสักคนที่คุณรักก็ให้แน่ใจว่าคุณได้ห่วงใย ใส่ใจพวกเขาอย่างดีแล้ว พระเจ้าทรงรักสิ่งนี้ เมื่อพระองค์มองเห็นประชากรของพระองค์ร่วมมือกันและแบ่งปันความรักของพระองค์ให้กันและกัน นี่ก็เป็นที่พอพระทัยพระองค์แล้ว

มิตรภาพในเพื่อนคริสเตียนเป็นสิ่งล้ำค่า เพราะมันจะช่วยยึดโยงเราเข้ากับสิ่งล้ำค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเรา เป็นเรื่องจริงที่เราต้องการเพื่อนเพื่อคอยช่วยให้เราเห็นผลของการไม่เชื่อฟังต่างๆ และยังต้องการให้พวกเขาคอยกระตุ้นให้เราเป็นผู้ที่เชื่อฟังที่ดี บ่อยครั้งการได้รับกำลังใจช่วยให้เราเชื่อฟังพระเจ้าได้มากกว่าที่เราจะทำมันเพียงลำพัง

หากชีวิตไร้เพื่อนคริสเตียนที่หนุนจิตชูใจอย่างซื่อสัตย์ ก็คงจะง่ายที่ตัวเราจะจมอยู่ในสภาพไร้เรี่ยวแรง แม้ตัวเราจะไม่ถึงขนาดกับไม่เชื่อฟังพระเจ้า แต่การสู้เพียงลำพังมันก็ทำให้เรากลัวที่จะก้าวออกไปด้วยความเชื่อได้

พระเยซูทรงเป็นอาหารแห่งชีวิตของเรา เป็นน้ำธำรงชีวิต เป็นไข่มุกล้ำค่า เป็นแสงนำทาง เป็นผู้ฟื้นคืนชีวิตเรา เป็นทุกสิ่งของชีวิตเรา เรื่องร้ายแรงที่สุดต่อจิตวิญญาณเราคือ การละทิ้งการติดสนิทในพระองค์ ละทิ้งการติดตามพระองค์ ละทิ้งการพบความสุขความยินดีในพระองค์

ดังนั้นของขวัญที่ดีที่สุดซึ่งเพื่อนสามารถให้ได้คือ ความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้เพื่อให้ได้ความยินดีและสัมพันธภาพของเรากับพระคริสต์ ในทางกลับกัน การบิดเบือนมิตรภาพที่แย่ที่สุดเกิดขึ้นเมื่อเพื่อนคนหนึ่งชักจูงหัวใจเราออกห่างจากทางของพระเจ้า แม้ว่าเขาจะทำมันโดยไม่ตั้งใจก็ตาม

คุณอาจมีคำถามเมื่ออ่านจบว่า “แล้วใครละที่เป็นมิตรแท้ของเรา?”

แต่คำถามที่ดีกว่านั้นก็ คือ “ตัวเราเองจะสำแดงความเป็นมิตรแท้ที่คอยย้ำเตือนเพื่อนเราว่า ใครคือคนที่สำคัญที่สุด และสิ่งใดสำคัญที่สุดในชีวิตและจิตวิญญาณ ได้อย่างไร?” 

วันนี้คุณทำหน้าที่เป็นเพื่อนที่ดีให้กับใครบ้างหรือยัง?

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเยซู โปรดช่วยให้ข้าพระองค์รู้จักห่วงใย ใส่ใจผู้อื่นให้มากที่สุดให้เหมือนกับที่ข้าพระองค์รักและเป็นห่วงตัวเอง โปรดช่วยให้ข้าพระองค์เป็นเพื่อนแท้ในทุกๆมิตรภาพที่ผ่านเข้ามาในชีวิต  อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions

Christlike

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ความซื่อสัตย์

 


ความซื่อสัตย์

ขอให้ความซื่อสัตย์สุจริตและความเที่ยงธรรมปกป้องข้าพระองค์

เพราะข้าพระองค์รอคอยพระองค์อยู่

สดุดี 25:21

คุณเคยได้ยินนิทานเรื่องราวของเด็กเลี้ยงแกะไหม? เด็กหนุ่มชอบแต่งเรื่องโกหกว่ามีหมาป่าพยายามจะมากินฝูงแกะของเขา ทุกครั้งที่เขาตะโกนร้องเสียงดังขอความช่วยเหลือ ผู้คนต่างก็วิ่งออกไปหาเพื่อปกป้องเขา แต่แล้วก็ไม่เคยมีหมาป่าเลยสักตัว  และแล้ววันหนึ่งหมาป่าได้โผล่มาจริงๆ และเมื่อเด็กหนุ่มร้องเรียกขอความช่วยเหลือ ก็ไม่มีใครเชื่อเขาอีกแล้ว ไม่มีใครมาเลยแม้สักคนเดียว นั่นเพราะเขาโกหกหลายครั้งจนผู้คนคิดว่าเขาคงโกหกอีกครั้งแน่นอน หมาป่าได้กินแกะทั้งฝูงของเด็กชาย

ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ ถ้าคุณเคยโกหก คนจะไม่เชื่อคุณอีกต่อให้คุณพยายามพูดความจริงก็ตาม  พระเจ้าไม่พอพระทัยอย่างมากกับการโกหก พระองค์จึงใส่ไว้ในบัญญัติสิบประการว่าคุณไม่ควรโกหก ในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องนี้ไว้มากมายว่าพระเจ้าทรงให้ค่ามากเพียงใดในเรื่องความซื่อสัตย์ หากคุณต้องการให้เพื่อนและพ่อแม่ผู้ปกครองของคุณเชื่อใจคุณ ต่อไปนี้ต้องมั่นใจว่าคุณจะซื่อสัตย์และหลีกเลี่ยงการโกหก

มีประเด็นหนึ่งที่หลายคนยังสงสัยกันว่า จะบาปหรือเปล่า? ถ้านั่นเป็น “การโกหกสีขาว” (White lie)

การโกหกสีขาว (White lie) คือไร?

การโกหกสีขาว คือ พูดโกหกด้วยเจตนาดี  - เพื่อรักษาน้ำใจหรือเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม แต่ถึงอย่างไรเรา “ไม่ควร” โกหกสีขาว อยู่ดี เพราะถ้าเราดูจากพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เราจะไม่พบจุดไหนเลยที่สนับสนุนการโกหก แต่กลับมีข้อที่ต่อต้านการโกหกเยอะมาก (ลนต. 19:11, สภษ 6:19, มธ 5:37, ยน. 8:44)

อย่างไรก็ดี คริสเตียนที่พูดแต่ความจริงตรงๆ อย่างเดียว ก็คงจะดูเป็นคนที่ไม่น่าคบในสังคม แต่ถ้าโกหกสีขาวไปเรื่อยๆ ก็คงจะกลายเป็นคนไม่จริงใจ  เพราะมีแค่บางสถานการณ์เท่านั้น (น้อยมากๆ) ที่เหมาะสมที่จะใช้โกหกสีขาว เช่น เหตุการณ์ของนางผดุงครรภ์  และนางราหับ ในพระคัมภีร์

มีคำคมหนึ่งจากบทความของ Christian Today ซึ่งสรุปได้ดีทีเดียว ว่า “ที่เราใช้โกหกสีขาว อาจเป็นเพราะเราขี้เกียจที่จะหาทางพูดความจริงด้วยใจรักในเชิงสร้างสรรค์”

คริสเตียนจึงควรหลีกเลี่ยงการโกหกสีขาว และใช้คำพูดที่สร้างสรรค์โดยไม่ต้องโกหก จะดีกว่านะ เพราะไม่ว่าคุณ จะโกหกเพียงเล็กน้อย หรือว่ามาก นั่นก็ถือว่า คุณโกหก คุณไม่ซื่อสัตว์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก ลูกต้องการให้คนอื่นเชื่อใจลูก ดังนั้นโปรดช่วยลูกให้พูดแต่ความจริงเท่านั้น และโปรดสอนให้ลูกลูกว่าลูกควรจะพูดอย่างไรในเชิงสร้างสรรค์ มากกว่าพูดทำร้ายจิตใจคนอื่น ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์ อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions

เรียนพระคัมภีร์ออนไลน์กับ พี่ซัน


วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

การรักตัวเอง

 


การรักตัวเอง

ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’

มัทธิว 22:39

เอบี รู้สึกว่าตนเองต่ำเป็นคนต้อยด้อยค่ามาตลอด เพราะเธอไม่ได้เป็นคนที่มีหุ่นสูง หน้าตาดี   เธอไม่ได้เป็นคนที่หุ่นเฟิร์มสุขภาพดี  เธอไม่ได้เป็นที่นิยมในกลุ่มเพื่อน หรือเธอก็ไม่ได้เป็นคนฉลาดสักเท่าไหร่ ความคิดแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กที่มีความสำคัญน้อยที่สุดในโลกนี้เลยก็ว่าได้ ดังนั้นเธอจึงไม่ชอบตัวเองเอามากๆ อยู่มาวันหนึ่ง  เอบี ได้หยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาอ่านและในนั้นเขียนเกี่ยวกับสิ่งที่พระเยซูเคยกล่าวไว้ว่า พระบัญญัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือจงรักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ และจงรักผู้อื่นมากเท่ากับที่เรารักตัวเอง เมื่อเธออ่านจบและไตร่ตรองจนเข้าใจความหมายในสิ่งที่พระเยซูตรัส เอบี จึงตระหนักได้ว่าสิ่งแรกที่เธอควรทำและต้องทำนั่นก็คือการรักตัวเองให้ได้ก่อนเพื่อที่เธอจะได้สามารถรักคนอื่นได้อย่างดี

การรักตัวเองในที่นี่ไม่ได้หมายความว่าให้คุณกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและหลงตัวเองหรือภาคภูมิใจในตนเอง แต่มันหมายถึงการรู้จักรักในสิ่งที่คุณเป็นอยู่ เพราะพระเจ้าเป็นผู้สร้างคุณมา ไม่ว่าคุณจะเกิดมาเป็นแบบไหน  คุณก็เป็นลูกของพระเจ้า นั่นหมายความว่าคุณเป็นคนสำคัญแล้ว! จงขอบคุณพระเจ้า ที่สร้างเรามาในแบบที่เราเป็นอย่างทุกวันนี้  เราทุกคนต่างก็มีสิ่งที่ดี มีเอกลักษณ์ในชีวิตที่แตกต่างกันไป  เขาอาจไม่มี อย่างที่เรามี ดังนั้น ความสามารถ บุคลิกพิเศษ หน้าตา ท่าทาง รูปร่าง ความคิด สมอง ไอคิว ที่พระองค์ทรงกำหนดเราไว้อย่างนี้ ก็เพื่อพระ ประสงค์ในงานบางอย่างของพระองค์ เราควรจะภูมิใจในตัวเราเอง

วันนี้ถ้าคุณรู้สึกว่าตนเองต่ำต้อย แสดงว่าคุณไม่ได้มองเห็นตัวเองผ่านสายตาของพระเจ้า แต่หากวันใดคุณสามารถมองเห็นตัวเองแบบเดียวกับที่พระเจ้าทรงมองคุณ คุณก็จะเริ่มรักตัวเองได้และนั่นจะทำให้คุณมีอิสระที่จะรักผู้อื่นได้ดีด้วย อย่าลืมว่ามุมมองและวิสัยทัศน์ของพระเจ้าย่อมดีแท้กว่าใครในโลกนี้แน่นอน

“ การรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง ” คำว่าเพื่อนบ้านในที่นี้ไม่ได้หมายความเฉพาะผู้คนที่ปลูกบ้านอยู่ใกล้เรา หรือคนที่เราพบเจอในชีวิต แต่หมายถึงคนรอบข้างเรา คนที่ใกล้ชิดกับเราด้วยซึ่งใครต่อใครมักมองผ่าน นั่นก็คือคนในครอบครัวของเรานั่นเอง

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา โปรดช่วยให้ลูกสามารถเห็นตัวเองในแบบเดียวกับที่พระองค์ทรงมองลูก โปรดช่วยลูกให้รู้จักรักตนเองอย่างถูกต้องในแบบของพระองค์เพื่อที่ลูกจะได้เป็นอิสระและรักคนอื่นได้มากขึ้น ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูคริสต์ อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ One minute devotions

Jaisamarnchurch


ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...