วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2565

วันฝนตก

 


วันฝนตก

และเมื่อท่านอธิษฐานขออีกครั้งหนึ่ง สวรรค์ก็ให้ฝน และแผ่นดินก็ผลิตพืชผลของมัน

ยากอบ 5:18

ถ้าฝนไม่ตก ดอกไม้ก็คงไม่บาน ถ้าไม่มีอุปสรรคมาขวางกั้น เราก็คงไม่สามารถเติบโตขึ้นมาได้ขนาดนี้ การที่ฝนตกลงมาในฤดูฝนสำหรับบางคนอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่โลกเราก็ยังต้องการฝนเพื่อให้พืชผลได้เติบโต ให้ต้นไม้และหญ้ามีสุขภาพที่ดี แทนที่เราจะคร่ำครวญในวันที่ฝนตก ทำไมคุณไม่ลองหากิจกรรมสนุก ๆ ที่คุณสามารถทำได้แล้วใช้เวลานี้ให้มีความสุขมากที่สุดละ!

ทุกครั้งที่ฝนตกลงมา ก็จะมีทั้งคนที่สรรเสริญและคนที่บ่นว่า ชาวไร่ชาวนาชาวสวนเขาก็จะขอบคุณพระเจ้าที่ส่งฝนลงมาเพื่อทำให้พืชผลงอกงามเติบโต ดินอุดมสมบูรณ์ ทำให้ในน้ำมีปลาในนาเต็มไปด้วยข้าว แต่สำหรับคนเมือง หรือคนทำงาน คนที่กำลังจะออกไปทำธุระในวันนั้นก็อาจจะมีบ่นว่าถึงสภาพอากาศกันบ้าง ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก

วันฝนตกไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด ที่จริงแล้ว พวกเราหลายคนชอบเสียงหยดน้ำฝนบนดาดฟ้า บนหลังคาบ้าน พวกเขารู้สึกสบายใจ พวกเขามีความสุขเป็นพิเศษเมื่อฝนตกแล้วตัวเองยังได้นอนอยู่บนที่นอน โดยที่ไม่ต้องรีบร้อนไปทำอย่างอื่น  

แล้วคุณล่ะ? คุณชอบฝนไหม ถ้าใช่ คราวหน้าหากเจอวันฝนตก คุณสามารถใช้เวลาในวันที่ฝนตก หากอยู่บ้านแก็หยิบหนังสือที่ชอบมาอ่าน หรือทำงานบ้าน สะสางงานที่ตกค้าง ทำสิ่งที่คุณชอบ ใช้เวลาสงบนี้ อยู่กับคนที่รักคุณ อยู่กับพระเจ้า เป็นพิเศษก็ได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับสถานที่และความเหมาะสมของแต่ละคนด้วย   

ข้อดีอย่างหนึ่งของหน้าฝนคือมันบังคับให้คุณต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นๆในบ้าน ในที่ทำงาน หรือที่โรงเรียน บางทีคุณอาจจะใช้เวลานั้นทำกิจกรรมร่วมกันกับสมาชิกในบ้าน ทำกับข้าวกัน ดูหนังกัน อธิษฐานร่วมกัน หรือพูดคุยกันในเรื่องต่างๆก็ได้ แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือการได้พักผ่อนอยู่บ้านในวันฝนตก!

สายฝนหมายถึงพระพร น้ำฝนนำมาซึ่งสารอาหารที่จำเป็น พระพรของพระเจ้าก็ให้สิ่งที่เราต้องการเพื่อความเจริญงอกงาม ไม่เพียงเท่านั้น แต่พระองค์ทรงต้องการให้เรารู้สึกเปี่ยมล้นด้วยความดีของพระองค์ ความปรารถนาที่พระองค์มีต่อเราคือการได้รับความสดชื่น เติบโต มีผลสมบูรณ์ และแข็งแรงอยู่เสมอ  

ทั้งในถิ่นทุรกันดารและในดินแดนอิสราเอล ประชาชนของพระเจ้าพึ่งพาพระองค์ในแหล่งน้ำและฝนที่ให้ชีวิต พระองค์ทรงอวยพรพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อพวกเขามาหาพระองค์ พระองค์ทรงต้องการให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะเดินใกล้ชิดและวางใจในพระองค์

“แต่ความสุขมีแก่ผู้ที่วางใจในพระเจ้า ผู้ที่วางใจในพระองค์ พวกเขาจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำซึ่งหยั่งรากของมันออกไปข้างลำธาร เมื่อความร้อนมาก็ไม่กลัว ใบของมันเป็นสีเขียวเสมอ ไร้กังวลในปีที่แล้งและไม่เคยล้มเหลวที่จะเกิดผล” เยเรมีย์ 17:7-8 TNCV.

พระเจ้าทรงประทานพรมากมายให้กับชีวิตเรา พระองค์ทรงเป็นแหล่งจัดหาอันดับ 1 ของเรา  พระองค์ไม่เคยละเลยหรือละทิ้งแม้เพียงเล็กน้อย พระพรของพระองค์สำเร็จตามพระสัญญาทั้งหมด! แล้วคุณละ คุณวางใจให้พระองค์เป็นพระเจ้าองค์เดียวที่จะเทพระพรให้กับคุณหรือไม่?

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้าที่รัก ลูกขอขอบพระคุณสำหรับสายฝนที่โปรยปรายลงมา มันทำให้ทุกอย่างเติบโต และมันทำให้ลูกได้มีโอกาสอยู่บ้าน อยู่รวมกันกับคนอื่นๆ ลูกจะถือโอกาสใช้ช่วงเวลานี้อยู่กับครอบครัว เพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ  และลูกจะมองหาสิ่งดีๆเพื่อสรรเสริญแทนการบ่นว่า ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

 busyblessedwomen


วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2565

ชอบโม้ ชอบอวด!

 




ชอบโม้ ชอบอวด!

ขอทรงให้คนโอหังอับอาย

เพราะเขาได้กล่าวร้ายข้าพระองค์ด้วยความเท็จ

ส่วนข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะตรึกตรองข้อบังคับของพระองค์

สดุดี 119:78

คุณเคยรู้จักใครที่ชอบอวดบ้างไหม? บางทีเขาอาจจะพูดไปเรื่อย ๆ เกี่ยวกับความสามารถของพวกเขา หรือบางทีเขาอาจจะชอบอวดเรื่องผลการเรียนที่ดีของพวกเขา คนชอบโม้ชอบอวดสามารถทำให้คุณเหนื่อยได้ในวันนั้น! บางครั้งถึงกับอยากเอาสำลีมาอุดหูจะได้ไม่ต้องฟัง!

พระเจ้ารู้สึกอย่างไรกับการโอ้อวด?   พระคัมภีร์กล่าวว่าเราต้องรู้จักถ่อมตน การถ่อมตัวหมายความว่าคุณไม่คิดว่าตัวเองสูงส่งเกินกว่าใคร ไม่ให้เรามีนิสัยชอบอวดชอบโม้ว่าคุณเก่งหรือมีดีเรื่องนั้นเรื่องนี้หรือร่ำรวยกว่าใครเขา หรือสิ่งที่คุณมีหรือรู้นั้นดีเลิศกว่าคนอื่นเขา แต่พระวจนะของพระเจ้าสอนให้คุณมองเห็นว่าคนอื่นๆ เขาก็มีความสามารถ ฉลาด และมีจิตใจที่ดี ได้เช่นกัน และยังสอนให้เราให้ความสนใจเกี่ยวกับความสามารถของคนอื่นมากกว่าเชิดชูแต่เรื่องของตัวเอง

ครั้งต่อไปที่คุณต้องอยู่ใกล้คนที่ชอบคุยโอ้อวด อวด แล้วก็อวด ระวังอย่าไปเข้าร่วมโอ้อวดเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองเหมือนกับที่พวกเขาทำกันอยู่  ขอแค่คุณเรียนรู้จากความผิดพลาดของคนชอบอวดแล้วถ่อมตัวเองลง บางทีพวกเขาอาจจะเริ่มเรียนรู้บทเรียนบางอย่างจากคุณบ้างก็ได้

“ปัญญา​อยู่​กับ​คน​ถ่อม​ตัว”

ปัญหา​ที่​เกิด​จาก​การ​โอ้อวด​มีให้เห็น​ได้​ชัดจากอดีตจนถึง​ทุก​วัน​นี้ คน​ที่​โอ้อวด​ทรัพย์​สมบัติ​อาจ​เสี่ยง​ที่​จะ​สูญ​เสีย​สิ่ง​เหล่า​นั้น​ทั้ง​หมด หรือ​อย่าง​น้อย​ก็​บาง​ส่วน​ไป. รายงาน​หนึ่ง​เกี่ยว​กับ​อาชญากรรม​และ​ความ​ปลอด​ภัย​ ใน​เม็กซิโก​กล่าว​ว่า “การ​โอ้อวด​ว่า​ตัว​เอง​ร่ำรวย​ได้​ดึงดูด​พวก​หัวขโมย​ใน​เม็กซิโก​เป็นอย่างมาก. การ​ใส่​เครื่อง​ประดับ​และ​นาฬิกา​แพง ๆ รวม​ถึง​การ​แสดง​ให้​คน​อื่น​เห็น​ว่า​ตน​ร่ำรวย จึงดึงดูด​สายตา​ของ​คน​ที่​ไม่​พึง​ประสงค์​ด้วย.” จะดี​กว่าไหมที่เรา​จะ​ทำ​ตาม​คำ​แนะ​นำ​ใน​จากพระคัมภีร์​เรื่องที่ไม่​ให้​เรา​ไม่​เป็น​คนชอบ “อวด” ไม่ว่าจะเป็น ความร่ำ​อวด​รวย หรือเรื่องอื่นๆ. และพระคัมภีร์ยังบอกด้วยว่า “ปัญญาจะ​อยู่​กับ​คน​ถ่อม​ตัว.” คน​ที่​มี​สติ​ปัญญา​จาก​พระเจ้าย่อม​รู้ดี​ว่า​การ​ไม่​เห็น​แก่​ตัว​และ​การ​แสดง​ความ​นับถือ​ผู้​อื่น​นั้นเป็น​พื้น​ฐาน​ของ​มิตรภาพ​แท้​และ​มิตรภาพ​นั้น​จะ​ยั่งยืน​อยู่​เสมอ

ขอให้เราที่เป็นลูก โอ้อวดแต่เรื่องของพระเจ้าพระบิดาผู้ประเสริฐ ในเรื่องราวความรักอันยิ่งใหญ่มากของพระองค์ที่ได้รับการเปิดเผยไว้ นี่เป็นหนทางอันดีเลิศที่จะช่วยให้เราสำแดงตัวตนแท้จริงได้มากยิ่งขึ้น

ไตร่ตรอง   

ใน​โลก​ทุก​วัน​นี้​ผู้​คน​ไม่​ค่อย​ถ่อม​ใจ  ​ในพระคัมภีร์กล่าวถึงคนในช่วงยุคสุดท้ายว่า ​มนุษย์​ส่วน​ใหญ่​จะ “รัก​เงิน อวดดี เย่อหยิ่ง  ทะนง​ตัว (2 ทิโมธี 3:1-5 ) ลอง​ถาม​ตัว​เองสิ​ว่า ‘ฉัน​เป็นคนแบบ​ไหน? 

พระ​เจ้า​ทรง​ประสงค์ให้เรามีความ​รัก​ความ​เมตตา และต้องการ​ให้เรา​ดำเนิน​ชีวิต​ไป​กับ​พระเจ้า​​ด้วย​ความ​ถ่อม​ใจ. พระเจ้า​ทรง​สนับสนุน​เรา​ให้ “หัน​หนี​เสีย​จาก​คน รัก​เงิน อวดดี เย่อหยิ่ง  ทะนง​ตัว” เพื่อที่เรา​จะ​ไม่​เป็น​อย่าง​พวก​เขา.

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ลูกไม่อยากเป็นคนขี้โม้ชอบอวด ลูกไม่ต้องการที่จะเป็นคนที่หลงตัวเอง โปรดช่วยให้ลูกสามารถควบคุมปากของตนเองไม่ให้พูดโอ้อวดเกี่ยวกับตัวเองและรู้จักรับฟังเรื่องราวของผู้อื่นให้มากขึ้น! ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

Gotquestions

พระคำดอทคอม


วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2565

ใครคือเพื่อนบ้านของฉัน

 




ใครคือเพื่อนบ้านของฉัน

37พระเยซูทรงตอบเขาว่า “ ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’ และด้วยสุดความคิดของท่าน 38นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก 39ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’

มัทธิว 22:37-39

พิจารณาข้อพระคัมภีร์ของวันนี้อย่างใกล้ชิด มันน่าสนใจมากใช่มั้ย? คุณอาจอ่านข้อความนี้แล้วพูดว่า "ฉันรักพระเจ้า แต่ฉันก็ยังไม่รู้ส่วนของ "เพื่อนบ้าน" เลย แล้วใครคือเพื่อนบ้านของฉันล่ะ? คนสูงอายุที่อาศัยอยู่ข้างๆ นี่ใช่ไหม หรือเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ กับพ่อแม่ของเธอที่อาศัยอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนนี้หรือเปล่านะ?

ใครคือเพื่อนบ้านของเราในพระคัมภีร์?

พระคริสต์ทรงสอนว่าเพื่อนบ้านของเราไม่ใช่แค่คนที่เหมือนเรามากที่สุด แต่เป็นคนที่แตกต่างจากเรามากที่สุดด้วย เพื่อนบ้านของเราคือคนที่วงสังคมของเราปฏิเสธเขา และเพื่อที่จะรักพวกเขา เราจึงต้องสร้างที่ว่างสำหรับพวกเขาในชีวิตของเรา เราต้องใกล้ชิดกับพวกเขาทั้งทางร่างกายและจิตใจ

เรารักเพื่อนบ้านของเรา รวมทั้งเพื่อนบ้านที่ดูเหมือนเป็นศัตรูกับเรา เมื่อเราปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยหัวใจที่รักพระเจ้าก่อน เราก็ได้รักเพื่อนบ้านของเราด้วยความรักที่พระเจ้ามีต่อเราอย่างล้นเหลือและนั่นยังเป็นการแสดงความรักต่อพระเจ้า

เมื่อพระเจ้าตรัสว่าเรารักเพื่อนบ้าน พระองค์ไม่ได้ตรัสถึงแค่คนที่อาศัยอยู่ข้างเราเท่านั้น พระองค์กำลังพูดถึงคนทุกคนที่เราเจอที่โรงเรียน- ที่ทำงาน-ที่ออกกำลังกาย -ที่ตลาด-ร้านอาหาร-สนามเด็กเล่น และอื่นๆ เพื่อนบ้านของเราคือคนที่เราต้องพบเจอในแต่ละวันของชีวิต

สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่ารักแท้คืออะไร เรารักผู้คนด้วยการแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาอย่างแท้จริง การรักผู้อื่นไม่ได้หมายถึงการเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่พวกเขาพูดหรือทำ การรักเพื่อนบ้านหมายถึงการเอาใจใส่ต่อความต้องการของพวกเขา ทั้งทางร่างกายและทางวิญญาณ เรารักผู้อื่นเมื่อเรามีความเห็นอกเห็นใจต่อพวกเขาและช่วยตอบสนองความต้องการของพวกเขาเช่นเดียวกับชาวสะมาเรียในอุปมาของพระเยซูในอุปมาของพระเยซู เรารักผู้อื่นได้ดีที่สุดเมื่อเราแบ่งปันความจริงของพระเจ้ากับพวกเขา พระเยซูเท่านั้นที่สามารถช่วยได้ (ยอห์น 14:6; 4:12) และพระองค์เท่านั้นที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการของผู้คนได้

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ลูกเข้าใจแล้ว! เพื่อนบ้านของลูกไม่ใช่แค่คนที่อยู่บ้านฝั่งตรงข้ามเท่านั้น ไม่ใช่แค่เพื่อนข้างบ้านเท่านั้น  แต่เขาคือเพื่อนมนุษย์ทุกคนที่อยู่รอบตัวลูก! คนที่ลูกพบเจอพวกเขาทุกวันในชีวิต! ขอให้ลูกมองเห็นคนอื่นราวกับว่ามองผ่านสายตาของพระองค์ ตัดสินคนให้น้อยลง และรักคนอื่นให้มากขึ้น โปรดให้ลูกมองเห็นพวกเขาเหมือนที่ตัวลูกเองก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่เราทุกคนต่างก็เป็นชิ้นงานที่กำลังถูกดำเนินการอยู่ และจะแล้วเสร็จได้ในเวลาที่เหมาะสมด้วยมือของพระองค์  ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

Gotquestions


วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2565

จงใช้เวลากับพระเจ้า แล้วคุณจะมีกำลังมากขึ้น

 


สงบสติลง และมีกำลังใจมากขึ้น

ความสงบเป็นหนึ่งในสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลก และคุณมีสันติสุขได้ แต่คุณเองก็ต้องตั้งใจที่จะมีสันติสุข เพราะมารมันจะพยายามพรากมันไปจากเราตลอดเวลา มันพยายามเข้ามาสร้างสถานการณ์เพื่อทำให้เราเสียใจ  มันรู้จุดอ่อนของเราแล้วมันก็จะทำให้เราต้องเจอเรื่องนั้น พอนานาๆเข้าในที่สุดก็จะทำให้เราอารมณ์เสีย และท้อใจ

มีคำพูดสองสามประโยคที่ฉันคิดว่ามันดีมาก อันหนึ่งเป็นของ Josiah holland ความสงบเป็นแห่งกำเนิดของพลังอำนาจ ดังนั้นจริงๆแล้ว ยิ่งคุณสงบได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้น เท่านั้น นอกจากนั้น Ryan tracy บอกว่า จงให้จิตใจที่สงบสุขเป็นเป้าหมายสูงสุดของคุณ แล้วค่อยจัดระเบียบ สิ่งที่เหลือในชีวิตของคุณ เราลองมาคิดเรื่องนี้กัน สักหน่อย ถ้าเป้าหมายของเราคือการอยู่อย่างสงบ อย่างงั้น เราก็ต้องเปลี่ยนวิธีการทำบางสิ่งบางอย่าง ปรับตัวและยืดหยุ่นบางอย่างในชีวิตเพื่อรักษาความสงบสุขนั้นไว้

ความสงบสุขไม่ได้มาจากแค่การอธิฐานขอพระเจ้าว่า “โอ้พระเจ้า ขอให้ฉันมีความสงบสุขด้วยเถิด” คุณรู้ไหมเพราะอะไร? เพราะความจริงก็คือ ใน ยอห์น 14 กล่าวไว้ว่า รามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย. ดังนั้นเราเองก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบด้วย เราจะมาอธิษฐานขอสันติสุขเฉยๆโดยที่ไม่ทำอะไรเลยไม่ได้ แน่นอนเราควรอธิษฐานถึงเรื่องนี้บ่อย แต่เราก็ยังคงต้องเฝ้าระวังเรื่องอื่นๆในชีวิตของเราด้วย

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเริ่มรู้สึกไม่พอใจ หงุดหงิด นั่นคือเวลาที่ดีที่สุด ที่จะพูดว่า “ฉันจะไม่ใจร้อน ฉันต้องใจเย็นลงก่อน” ในอิสยาห์ 30 ข้อ 15 กล่าวว่า เพราะพระยาห์เวห์องค์เจ้านายคือองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า“ในการหันกลับและหยุดนิ่ง เจ้าทั้งหลายจะรอดการเงียบสงบและการไว้วางใจจะเป็นกำลังของเจ้า แต่เจ้าก็ไม่ยอมทำตาม. กี่ครั้งแล้วที่พระเจ้าได้เปิดเผยไว้ในพระวจนะของพระองค์ให้เราเห็นหรือรู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่เราก็ยังไม่ยอมทำ

ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่สงบสุข สงบนิ่งทั้งความคิดและจิตใจ คุณอาจจะต้องฝึกทำหลายๆอย่างให้แตกต่างจากเดิม จากที่เคยทำมา พอจะนึกออกไหม เราเองก็อยากให้สถานการณ์เปลี่ยนไปเสมอ เช่น ก็ถ้าเธอไม่ทำ ฉันก็จะไม่ทำ ถ้าเรื่องมันไม่เป็นแบบนี้ ฉันก็คงไม่ตอบโต้ไปแบบนั้น นี่ไง เพราะเรามัวแต่คาดหวังให้คนอื่นเปลี่ยนก่อน เราถึงจะเปลี่ยน แต่พระเจ้าบอกว่า เราต้องเลิกโยนหน้าที่ความรับผิดชอบเรื่องนี้ให้กับคนอื่น แต่เป็นตัวเราที่ต้องรับผิดชอบสันติสุขของตัวเอง แล้วคุณจะสงบลงได้ ถ้าคุณเลือกที่จะวางใจในพระเจ้ามากขึ้น

กำลังของเราทั้งฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณล้วนขึ้นอยู่กับเรื่องนี้  คุณรู้ไหมว่าเวลาที่คนเราอารมณ์เสีย อารมณ์เสียมากๆ เราต้องใช้พลังงานเยอะมาก แน่นอน มันทำให้คุณหมดแรง มันจึงง่ายกว่าเยอะเลยที่เราจะไม่อารมณ์เสีย มากกว่านั้นคือเราต้องพยายามควบคุมสติอารมณ์ให้สงบลง  และตอนที่เราอารมณ์เสีย ก็ไม่ช่วงเวลาที่ดีที่เราจะทำการตัดสินใจหรือพูดอะไรออกไปเลย เพราะเราจะพูดสิ่งที่เราไม่ควรพูด เราจะทำในสิ่งที่เราไม่ควรทำ มันจึงไม่ใช่เวลาที่ควรจะตัดสินใจสิ่งใดๆเลย

พระคัมภีร์บอกเราว่า อย่าให้มีอะไรมาทำให้เรากลัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน แต่ถ้าเราสงบนิ่งได้ นั่นคือสัญญาณที่บอกให้มารรู้ว่า มันควบคุมเราไม่ได้ แล้วมันต้องเป็นฝ่ายแพ้การต่อสู้ครั้งนี้ และเป็นสัญญาณว่าพระเจ้าได้เข้ามาช่วยปลดปล่อยเราแล้ว ในพระคัมภีร์ ฟีลิปปี 1ข้อ 28 กล่าวว่า และท่านไม่เกรงกลัวพวกที่ขัดขวางเลย สิ่งนี้เป็นหลักฐานแห่งความพินาศต่อพวกเขา(ศัตรูของคุณหรือมารซาตาน) แต่เป็นหลักฐานแห่งความรอดของพวกท่าน และการดังกล่าวมาจากพระเจ้า.

คุณเห็นไหมว่า เวลาคนเราเจอเรื่องที่ทำให้ไม่พอใจ แต่ถ้าเขาอยู่นิ่งๆได้ มันก็เป็นสัญญาณให้มารรู้ว่า มันควบคุมเราไม่ได้ และมันจะเป็นฝ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้  

พระคัมภีร์ฟีลิปปี 1ข้อ  29 กล่าวว่า เพราะพระเจ้าทรงให้พระคุณแก่ท่านเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ไม่ใช่ให้ท่านทั้งหลายเชื่อในพระองค์เท่านั้น แต่ให้ทนทุกข์ยากเพราะเห็นแก่พระองค์ด้วย. ในทุกการโต้แย้งบางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนสุดท้ายที่จะต้องพูด หรือ โต้เถียงเพื่ออธิบายแม้จะมั่นใจว่าเกือบเก้าสิบเก้าเปอร์เซนต์เราเป็นฝ่ายถูก เพราะถ้าเราพูดมากไป มันยิ่งจะทำให้เรื่องบานปลายได้ และมันจะดีกว่าไหม ถ้าเราจะปล่อยให้เขาคิดไปตามที่ใจของเขาอยากจะคิด แล้วให้เราเลือกที่จะวางใจในพระเจ้า ว่าถ้ามันจำเป็นที่คนอื่นจะต้องเห็นว่าคุณเป็นฝ่ายถูก พระเจ้าจะจัดการเรื่องนี้เอง แบบนี้คุณจะสงบนิ่งได้ แต่ว่าในระหว่างนั้นคุณอาจจะรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง เจ็บในที่นี้คือ ในฝ่ายเนื้อหนัง (เพราะเราไม่ได้โต้ตอบออกไปตามใจต้องการ) บางครั้งเราก็ต้องยอมเจ็บฝ่ายเนื้อหนังเพื่อได้ทำในสิ่งที่พระเจ้าอยากให้เราทำ

เวลามีปัญหาโดยปกติแล้วเรามักจะต้องทำอะไรสักอย่าง เหมือนมีปีศาจตัวเล็กๆนั่งพูดกรอกหูเราอยู่ตลอดว่า “เธอจะทำยังไงๆๆๆๆ” แล้วทำไมเราจึงถึงคิดว่า เราจะต้องทำอะไรสักอย่างตลอดเวลาด้วยล่ะ? ซึ่งจริงอยู่มีบางอย่างที่เราต้องทำ ใน เอเฟซัส 6 ข้อ 12 กล่าวว่า เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน 13เพราะเหตุนี้จงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะสามารถต่อสู้ในวันชั่วร้ายนั้น และเมื่อทำทุกอย่างแล้วจะยังยืนหยัดอยู่ได้.  

ดังนั้นเราจึงต้องรู้ ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ก่อนที่เราจะทำอะไรให้มันวุ่นวายไปหมด รู้ไหมคุณอาจจะเคยทำในวิธีที่คนอื่นเขาทำกัน แต่มันก็ยังไม่ได้ผลกับคุณเลย เพราะแท้จริงแล้วคุณต้องการการชี้นำจากพระเจ้าและทางเดียวที่คุณจะได้รับ ก็คือ ใจเย็นๆอยู่นิ่งๆ เพื่อที่คุณจะได้สัมผัสจากข้างในว่าคุณควรไปทางไหนดี

ถ้าเราจะรอคอยพระเจ้า ถ้าเราสงบนิ่ง แล้วเราจะได้เห็นการงานที่อัศจรรย์ที่จะเกิดในชีวิตเรา จงสงบและนิ่งเสีย  ให้พระเจ้าพิสูจน์พระองค์กับเรา โดยการรอคอยพระองค์อย่างเต็มใจ แทนที่จะพยายามจัดการกับปัญหาของคุณด้วยตนเอง เช่น ถ้าตอนนี้คุณกำลังโกรธใครมาก ๆ และกำลังวางแผนเอาคืนเขาให้สาสม ทำไมคุณไม่ตัดสินใจเลยละว่า แทนที่จะทำแบบนั้น คุณเลือกที่จะปล่อยมันไป คุณจะให้อภัยเขา การให้อภัยไม่ใช่ความรู้สึก แต่เป็นการตัดสินใจของคุณว่า จะปฏิบัติกับคนอื่นอย่างไร แล้วคุณจะอธิษฐานเผื่อเขา หลังจากนั้นพระเจ้าก็จะเข้ามาจัดการกับสถานการณ์ที่คุณกำลังเจอ พระเจ้าเป็นผู้แก้ต่างของเรา พระองค์เป็นผู้ที่ทำเรื่องที่ไม่ถูกต้องในชีวิตเรากลับกลายเป็นผลดี ถ้าวันนี้คุณโกรธตลอดทั้งวัน ถ้าคุณกำลังโกรธ และโกรธอยู่อย่างนั้น มันมีแต่จะทำร้ายคุณ มันไม่ได้ไปทำร้ายคนที่กำลังโกรธ เกลียดอยู่เลย แต่มันจะทำร้ายคุณเอง

ก่อนที่เราจะทำอะไร  เราจึงควรรอก่อน สงบสติอารมณ์ลงก่อน ก่อนที่คุณจะทำการตัดสินใจ จงสงบสติอารมณ์ลงก่อน   เช่น เวลาที่คนเราเถียงกัน อารมณ์คนเราก็มักจะระเบิดออกมา กับแค่การที่คุณเงียบ ทุกอย่างก็จะเริ่มสงบลง คุณอาจจะรู้สึกตื่นเต้นมากเกินไป หรือหดหู่สุดๆ ไม่ว่าจะเป็นอันไหน มันก็สร้างปัญหาให้คุณได้เสมอ

อย่ากลัวเลย ใจเย็นๆก่อน พระเจ้ารักคุณ พระองค์มีแผนการเพื่อจะปลดปล่อยคุณ พระองค์มีเวลาที่เหมาะสมที่จะปลดปล่อยคุณและพระเจ้าจะดูแลคุณเอง ถ้าคุณวางใจให้พระองค์ทำ ถ้าพระเจ้าสำแดงให้คุณเห็นว่าต้องทำอะไรก็ทำเลย แต่อย่าทำอะไรวุ่นวายหรือพูดอะไรเยอะแยะมากมาย แค่เพราะว่าคุณกำลังอารมณ์เสีย ในอพยพ 14 ข้อ 13-14 กล่าวว่า โมเสสกล่าวกับประชากรว่า “อย่ากลัวเลย จงยืนนิ่งอยู่ คอยดูความรอดจากพระยาห์เวห์ ซึ่งทรงทำเพื่อพวกท่านในวันนี้ เพราะคนอียิปต์ที่เห็นในวันนี้ พวกท่านจะไม่ได้เห็นอีกตลอดไป 14พระยาห์เวห์จะทรงรบแทนท่านทั้งหลาย พวกท่านจงสงบอยู่เถิด” แค่ประโยคเดียวนี้ก็น่าจะดีกับคุณแล้ว

พระเจ้าจะต่อสู้เพื่อคุณทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือการอยู่นิ่งๆ เห็นไหมว่า หลายครั้งที่เราเจอปัญหา เราจะกลัวมาก จนตัวแข็งเพราะความกลัว จนเราไม่อยากทำอะไรเลย ฉันอยากจะหนุนใจคุณว่า ไม่ว่าคุณจะเจอปัญหาใหญ่แค่ไหนก็ตาม ถ้าคุณจะทำอะไรบางอย่าง จงทำในสิ่งที่คุณรู้ว่ามันถูกต้อง หมั่นศึกษาพระวจนะ หมั่นช่วยเหลือผู้อื่น ไปโบสถ์เป็นประจำ รักษาคำสัญญาของคุณ อย่ามัวแต่เศร้าสงสารตัวเอง หรือนั่งที่ไหนสักที่แล้วมัวแต่คิดถึงแต่ปัญหาของตนเอง คิดๆๆๆ หรือโทรหาใครสักคนแล้วก็เอาแต่พูดๆๆๆ  คุณรู้ไหมว่า เวลาที่คุณมีปัญหา แล้วเอาแต่คิดถึงมัน พูดถึงมัน คุณก็จะยิ่งอารมณ์เสีย มากขึ้น เรามักทำให้ตัวเองอารมณ์เสียได้ง่ายๆ เพียงแค่นั่งคิดถึงปัญหาของตนเองซ้ำไปมา ยิ่งเราอารมณ์เสียเราก็ยิ่งพูดแต่เรื่องแย่ๆ และยิ่งทำแต่เรื่องผิดๆ

สรุปง่ายๆว่า การกระทำใดๆก็ตามที่เกิดจากอารมณ์มันไม่เคยช่วยแก้ปัญหาของเราได้เลย แล้วการรอคอยพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร มันค่อนข้างเปิดตาของเราได้เยอะเลย หากเราได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียด การรอคอยพระเจ้า ไม่ได้หมายถึงการนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย แต่หมายถึงการ คาดหวัง มองหา และแสวงหาความโปรดปรานจากพระเจ้า คำตอบของพระองค์ และอำนาจของพระองค์ หรือ การมีความหวัง หมายความว่า คุณคาดหวังว่าพระเจ้า จะปรากฎได้ทุกขณะ และทำอะไรก็ตามที่ต้องทำในชีวิตคุณ การรอคอยพระเจ้าไม่ใช่การอยู่เฉยๆ อาจจะเป็นการอยู่เฉยๆทางร่างกายภายนอกแต่ในฝ่ายวิญญาณ คุณจะกระตือรือร้นมมาก คุณวางใจพระเจ้า คุณบอกว่า “ลูกรู้ว่าพระองค์จะดูแลลูก ลูกรู้ว่าพระองค์จะทำสิ่งที่ดี ลูกเชื่อว่าพระองค์จะปรากฎได้ทุกขณะและทำให้สถานการณ์อันนี้ถูกต้อง” มันเป็นการเคลื่อนไหวทางฝ่ายวิญญาณมากกว่าการเคลื่อนไหวฝ่ายเนื้อหนัง ใน สดุดี 25 ข้อ 5 กล่าวว่า ขอทรงนำข้าพระองค์ไปในความจริงของพระองค์ และขอทรงสอนข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ ข้าพระองค์รอคอยพระองค์อยู่วันยังค่ำ.

ใน ยากอบ 4 ข้อ 2 กล่าวว่า ท่านก็ทะเลาะและทำสงครามกัน ท่านไม่มีเพราะไม่ได้ขอ. แทนที่เราจะบอกพระเจ้าว่า “ลูกไม่รู้จะทำอย่างไรดี” ให้คุณถามพระเจ้าว่า  คุณต้องทำอย่างไรกับเรื่องนี้ ดีกว่า

ใน สุภาษิต 3 ข้อ 5-7 กล่าวว่า จงวางใจในพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจของเจ้าและอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง 6จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้าแล้วพระองค์เองจะทรงทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น 7อย่าคิดว่าตนมีปัญญา.

ความช่วยเหลือจากพระเจ้า มีเพียงพอกับการรอคอยของเรา และความหวังที่มีในพระองค์ ในสดุดี 33 ข้อ 20-21 กล่าวว่า จิตใจของเราทั้งหลายรอคอยพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และเป็นโล่ของเรา21เพราะใจของเราทั้งหลายยินดีในพระองค์เพราะเราวางใจในพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์.

ใน สดุดี 37 ข้อ 34 กล่าวว่า จงรอคอยพระยาห์เวห์ และรักษาพระมรรคาของพระองค์ไว้ แล้วพระองค์จะทรงยกย่องท่านให้ได้แผ่นดินเป็นมรดก ท่านจะมองเห็นคนอธรรมถูกทำลาย.  

พระเจ้าได้นำคนอิสราเองออกจากอียิปต์ผ่านถิ่นทุรกันดาร ใช้เวลานาน กว่าที่ควรจะเป็น เพราะว่า พวกเขาเอาแต่บ่นๆ และก็บ่น ระหว่างที่พวกเขาอยู่ในนั้น แต่หลายครั้งความล่าช้าก็มาจากสวรรค์ด้วย เพราะพวกเขายังไม่พร้อมจริงๆที่จะเข้าไปในดินแดนแห่งพระสัญญา

บางทีอาจจะมีบางคนหรือรวมถึงตัวเราเองด้วยเหมือนกัน ที่อาจจะกำลังขออะไรบางอย่าง จากพระเจ้าอยู่ แต่มันอาจจะต้องอาศัยเวลา พระองค์อยากจะมอบให้คุณ มันอยู่ในเวลาของพระองค์อยู่แล้ว ซึ่งพระองค์ได้จัดเตรียมบางอย่างให้คุณแล้วแต่ตอนนี้พระองค์ต้องการเตรียมคุณให้พร้อมสำหรับสิ่งนั้นก่อน

บางครั้งเรายังไม่เติบโตในฝ่ายวิญญาณมากพอที่จะรับมอกับสิ่งที่พระเจ้าตั้งใจจะมอบให้เรา ใน อิสยาห์ 26 ข้อ 3 กล่าวว่า พระองค์จะทรงพิทักษ์ผู้มีใจแน่วแน่ไว้ในสวัสดิภาพที่สมบูรณ์ เพราะเขาวางใจในพระองค์.

เลิกคิดถึงแต่ปัญหาของตนเองได้แล้ว  ให้เราใช้เวลากับพระเจ้า แล้วคุณจะได้ยินพระองค์ตรัสกับคุณว่า “เจ้าจะมีสามัคคีธรรมกับปัญหาของเจ้า หรือเจ้าจะมีสามัคคีธรรมกับเรา”  อย่าทำผิดอีกเลย จงใช้เวลากับพระเจ้า แล้วคุณจะมีกำลังมากขึ้น แล้วมันจะทำให้คุณได้ยินเสียงจากพระเจ้าชัดขึ้น

ขอบคุณคำเทศนาจาก

จอยซ์ ไมเออร์


ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พระเจ้าทรงทำไม่ได้

 


ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้!

เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พระเจ้าทรงทำไม่ได้

ลูกา 1:37

หลายครั้งที่เราเผชิญกับอุปสรรคที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ เราคิดว่าเราจะไม่มีวันผ่านมันไปได้ นี่เป็นข่าวดีสำหรับทุกคนม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า นั่นถูกต้องที่สุด  ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์แน่นอน ถ้าคุณเชื่ออย่างนั้นจริงๆ มันจะเปลี่ยนวิธีอธิษฐานของคุณ สิ่งที่คุณพูด และคนที่คุณคบค้าสมาคมด้วย ถ้าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า คุณก็สามารถเชื่อพระองค์ได้เมื่อคุณขอปาฏิหาริย์จากพระองค์

ไม่มีอะไรยากสำหรับพระเจ้าที่จะทำ พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์แม้ท่ามกลางสถานการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ที่สุดโต่ง สิ่งที่เป็นไปไม่ได้สามารถเกิดขึ้นได้เพราะสำหรับพระเจ้าแล้วไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้ พระเจ้าสามารถทำการอัศจรรย์ได้มากเท่าที่พระองค์ต้องการ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่สามารถทำการอัศจรรย์ให้กับผู้ที่ไม่ต้องการรับการอัศจรรย์ของพระองค์ได้ (ผู้ที่ไม่เชื่อ)

วันนี้ ครอบครัวของคุณกำลังต้องการปาฏิหาริย์ในเรื่องอะไรบ้าง ปัญหาความทุกข์ยาก? มีสมาชิกกำลังเจ็บป่วยอยู่หรือไม่? พ่อแม่ของคุณต้องการงานใหม่อยู่หรือเปล่า? คุณปู่ย่าตายายของคุณกำลังรอการผ่าตัดอยู่หรือเปล่า? แม้มันจะดูยากสักเพียงไหน คุณก็สามารถแหงนมองท้องฟ้าแล้วฮัมเพลงในหัวใจของคุณ ชูแขนของคุณขึ้นและร้องออกมา ทูลขอพระเจ้าทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ พระคัมภีร์กล่าวว่าพระองค์ชอบทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นั่นหมายความว่าพระองค์รักที่จะทำมันจริงๆ!  

นี่คือสิ่งที่คุณต้องจำไว้ก่อนว่าพระเจ้าสามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ได้มากอย่างนับไม่ถ้วน มีพระองค์เท่านั้นที่ทรงทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ แต่ถึงยังไงเราก็ยังต้องทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่และดีที่สุด เราไม่สามารถคาดหวังให้ทุกสิ่งดีขึ้นได้ หากเราไม่เต็มใจที่จะทำทุกสิ่งด้วยตัวของเราเองก่อน!  เรื่องนี้จึงจำเป็นต้องใช้ศรัทธาและการยอมจำนนต่อพระเจ้า หากคุณมีศรัทธาอย่างแข็งขันและการยอมจำนนอย่างแข็งขัน พระเจ้าจะทรงทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้  

เริ่มเชื่อว่าพระเจ้าทรงทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่และเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ บ้างหรือยัง พระองค์กำลังรอฟังคำขอของคุณอยู่ อย่ากลัวที่จะทูลทุกสิ่งต่อพระองค์!

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา บางครั้งลูกก็กลัวที่จะขอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เพราะดูเหมือนว่ามันจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้! มันช่วยได้มากที่จะรู้ว่าพระองค์พอพระทัยกับการทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ จากนี้ไปเมื่อลูกรู้สึกอ่อนแอและรู้สึกถึงขีดจำกัด ลูกจะวางใจในพระองค์และจำไว้ว่าพลังของพระองค์นั้นไร้ขีดจำกัด เมื่อปัญหาของลูกทำให้รู้สึกเป็นไปไม่ได้ ลูกจะมอบมันให้กับพระองค์ ผู้ซึ่งทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

 lorischumake


วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2565

อย่าใช้เวลาตกแต่งภายนอกเยอะจนไม่มีเวลาตกแต่งภายในใจ

 


อย่าใช้เวลาตกแต่งภายนอกเยอะจนไม่มีเวลาตกแต่งภายในใจ

ทุกเช้าเคยคิดบ้างไหมว่าเราได้ใช้เวลากี่นาทีชั่วโมงในการสำรวจรูปลักณ์ภายนอกของเราว่าดูดี ดูงาม ดูพร้อมที่จะออกจากบ้านแล้วหรือยัง

มันจะเป็นไปได้ไหมถ้าหากเราใช้เวลาเท่ากันเพื่อสำรวจดูจิตใจของเราและใช้เวลากับพระเจ้าก่อนเริ่มวันใหม่ด้วย 

จะมีกี่คนที่ยอมใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการแต่งรูปลักษณ์ภายนอกของตนให้ดูดี แต่กลับไม่เคยมีเวลาแม้เพียงสักสองนาทีเพื่อทำให้แน่ใจว่าพวกเขามีหัวใจที่ถูกต้องก่อนออกจากบ้าน

ฉันอยากจะบอกกับคุณๆว่า ถ้าเราได้ใช้เวลากับพระเจ้าทุกเช้า ก่อนที่เราจะไปเริ่มทำอย่างอื่น มันเป็นการบริหารเวลาที่ฉลาดมากที่สุด และดีที่สุด ที่ใครคนหนึ่งจะทำได้

คุยกับพระองค์ นั่งเงียบต่อหน้าพระพักษ์พระองค์ บอกพระองค์ว่าคุณต้องการหรืออยากได้อะไร ใช้เวลาศึกษาพระคัมภีร์ ดูซีดีคำเทศนาที่ดีๆ เพื่อกระตุ้นตัวเองเพื่อเป็นการทบทวนสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้คุณทำ

เราทุกคนมีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากัน หลายคนอาจพูดว่าฉันต้องทำงานสองกะ ฉันไม่มีเวลาแม้แต่จะให้ความสุขกับตนเอง จริงๆแล้ว เราสามารถจัดสรรเวลาให้กับพระเจ้าได้เสมอ อยู่ที่คุณเลือกจะทำมันหรือไม่? อย่ามัวกังวลว่า "จะต้องทำงานเพื่อความอยู่รอดแล้วอาศัยแต่แรงกายแรงใจของตนเองจนลืมพึ่งพาพระเจ้า"  ให้คุณใจเย็นๆ นิ่งไว้ ไม่ต้องไปฉุนเฉียว เมื่อบางอย่างไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ ให้คุณฝึกผ่อนคลายบ้าง ฝึกผ่อนคลายจากภายใน สงบให้เป็น

คุณอาจจะนั่งบนเก้าอี้ แล้วถอนหายใจเข้าลึก ๆ   ทำให้ตนเองผ่อนคลาย ฝึกที่จะอยู่อย่างสงบนิ่ง เพราะสิ่งนี้ทำลายความชั่วร้ายได้  มารมันไม่รู้จะทำอย่างไรกับคุณดี ถ้าคุณสงบนิ่งอยู่ได้ แม้จะต้องเจอพายุชีวิตก็ตาม

4โอกาสที่จะทำให้คุณอาารมณ์เสีย

โอกาสแรก คือเวลาที่แผนการของเราไม่สำเร็จ จอมวางแผนทั้งหลายจงระวังให้ดี เพราะไม่ใช่ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คุณวางแผนไว้เสมอ ฉันมองว่าการวางแผนนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่เราต้องทูลแผนการนั้นต่อพระเจ้าเสมอ มั่นใจว่ามันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และอาจจะอธิษฐานถึงเรื่องนั้นนทุกวันว่า พระเจ้าข้า ลูกมีแผนการมากมายที่อยากจะทำให้สำเร็จแต่ถ้ามันไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ โปรดช่วยให้ลูกสงบนิ่งและไม่เสียอารมณ์ ให้ตั้งใจล่วงหน้าไว้เลยว่าคุณจะใจเย็นๆ ถ้ามันไม่เป็นไปตามที่คุณคิดไว้ บางทีมันอาจจะเกิดขึ้นบ่อยๆด้วย จงวางแผนแล้วมอบมันไว้กับพระเจ้า

สุภาษิต 16 ข้อ9 บอกว่า ใจของมนุษย์กะแผนงานทางของเขา

แต่พระยาห์เวห์ทรงนำย่างเท้าของเขา

โอกาสที่สอง คือ เมื่อคนอื่นทำไม่ถูกต้อง  คุณเคยหงุดหงิดไหม กับคนในครอบครัว คนรู้จัก  เขาทำในสิ่งที่ไม่ฉลาดเลย เขาอาจเลือกตัดสินใจแย่ๆ และไม่ยอมฟังคำแนะนำเราเลย แต่อย่าลืมว่าคนทุกคนต่างก็มีทางเลือกเป็นของตนเอง เมื่อถึงวัยของเขา เขาจะเลือกและลงมือทำ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องยอมรับกับผลที่จะตามมาจากสิ่งที่เลือก และผลของการตัดสินใจนั้นด้วย มันจึงไม่มีประโยชน์เลยที่เราจะไปรู้สึกกับการตัดสินใจแย่ๆของคนอื่นๆอยู่ตลอดเวลา

โอกาสที่สาม คือเวลาที่เราคอยคำขอบคุณหรือรอผลตอบแทน อาจมีบางเรื่องที่เราได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแต่กลับไม่มีผลลัพธ์ที่ถูกต้องตอบแทนกลับมาที่เรา ฉันว่ามันเป็นความเติบโตทางฝ่ายวิญญาณของคุณในการเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ว่าจะไม่ได้ผลที่ถูกต้องกลับคืนมา เวลาที่คุณทำดีกับคนอื่น แม้ว่าเขาจะไม่ได้ทำดีตอบกลับมา คุณอาจจะคิดว่า "ฉันหว่านแต่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวผลเลยนะ ฉันอยากได้ผลเร็วกว่านี้ คุณอธิษฐานแต่พระเจ้ายังไม่ตอบ ฉันทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วแต่ทำไมไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย" ฉันอยากบอกว่าเราต้องอดทนรอคะ เราจะได้รับพระสัญญาของพระเจ้าแต่เราต้องเชื่อและอดทน ไม่ใช่แค่ความเชื่อ แต่ด้วยความเชื่อและความอดทนควบคู่กัน 

โอกาสที่สี่  เวลาที่เราเหนื่อย หรือสุขภาพไม่ดี ถ้าศัตรู(มาร)อยากจะจู่โจมเรา หนึ่งในนั้นคือช่วงเวลาที่เราเหนื่อยมากๆ มันจะหงุดหงิดง่าย ใช่ไหม? คุณคิดว่าเรามีสิทธิ์ที่จะทำไม่ดีกับคนอื่นๆเพียงเพราะเรากำลังรู้สึกแย่หรือ? บางครั้งมันเป็นเรื่องของมุมมองของเรา ศัตรูจะมองหาทุกๆโอกาสเล็กๆที่ประตูนั้นแง้มออก เพื่อทำให้คุณอารมณ์เสียได้

คำแนะนำสำหรับวันนี้ คือ ให้เราสงบสติอารมณ์ให้ดีเสียก่อน แล้วคุณจะมีกำลังใจขึ้น

ขอบคุณคำเทศนาจาก

จอยซ์ ไมเออร์


บุตรที่หายไป

 


บุตรที่สุรุ่ยสุร่าย

แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาบิดา แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาก็เห็นเขาและมีใจสงสาร จึงวิ่งออกไปกอดคอและจูบแก้มของเขา

ลูกา 15:20

พระเยซูเล่าเรื่องที่น่าสนใจมากเกี่ยวกับพี่น้องสองคน น้องชายคนเล็กตัดสินใจที่ออกจากบ้านพ่อและขอไปใช้ชีวิตด้วยตัวเอง เขาพูดว่า "นี่ พ่อช่วยเอามรดกส่วนของฉันมาให้ฉันด้วย ฉันจะไปใช้ชีวิตด้วยตนเองสักพัก" พ่อจึงให้มรดกในส่วนของเขาไป ( เงินจำนวนมาก). น้องชายออกไปใช้ชีวิตแบบสุรุ่ยสุร่ายเขาเผาผลาญเงินหมด! เขาใช้มันไปกับของฟุ่มเฟือยและลงเอยด้วยการต้องมาขออาศัยอยู่ในเล้าหมูและเขาถึงกับคิดอยากจะเอาอาหารหมูมากินเพื่อประทังชีวิต   

ตลอดเวลาที่พี่ชายคนโตอยู่บ้านเขาทำงานให้พ่ออย่างดีตามที่ลูกสมควรทำ แต่สุดท้ายพ่อกลับยอมรับน้องชายผู้ซึ่งลับมาบ้านแล้วพูดว่า "พ่อ ลูกทำมันพัง! ลูกขอโทษพ่อนะครับ ได้โปรดให้ลูกกลับมาอยู่บ้านด้วยเถอะนะ พ่อไม่ต้องต้อนรับฉันในฐานะลูกก็ได้ ฉันยินดีขอเป็นแค่คนรับใช้" ในครัวเรือนของพ่อก็พอ” แต่พ่อกลับอ้าแขนต้อนรับเขาและถึงกับจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้กับลูกน้อยผู้หลงผิด (ผู้ล่วงละเมิดพระคุณ) กลับคืนสู่ครอบครัวอีกครั้ง!

อะไรคือใจความหลักของเรื่องบุตรสุรุ่ยสุร่าย?

ใจความหลักของบุตรสุรุ่ยสุร่ายคือไม่ว่าเราจะพลัดหลงจากพระบิดาบนสวรรค์มากเพียงใดหรือเปลืองของประทานที่พระองค์ประทานให้อย่างสิ้นเปลืองมากเพียงใด พระองค์ทรงยินดีเสมอเมื่อเราหันกลับมาหาพระองค์ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระองค์กำลังรอให้เรากลับบ้าน โดยพระองค์จะทรงอ้าแขนต้อนรับเราอยู่เสมอ

บางครั้งเราก็เป็นเหมือนบุตรสุรุ่ยสุร่าย

บุตรสุรุ่ยสุร่าย หรือบุตรผู้หลงไป เป็นผู้ล่วงละเมิดพระคุณ พระคุณมักถูกกำหนดให้เป็นความโปรดปรานที่เราไม่สมควรได้รับ แต่เพราะเรามีพระบิดาที่เปี่ยมด้วยความรัก มีบ้านที่ดี มีการจัดเตรียม อนาคต และมรดก กี่ครั้งแล้วที่เรายอมแลกมันทั้งหมดเพื่อความสุขทางโลก เราจึงเป็นเหมือนบุตรสุรุ่ยสุร่ายคนนั้น กี่ครั้งแล้วที่เรายอมพลัดพรากจากพระเจ้า เพราะเราอยากทำทุกสิ่งตามใจที่เราอยากจะทำ กี่ครั้งแล้วที่เราใช้ชีวิตออกห่างจากพระบิดา เพราะหลงคิดไปว่าเรารู้ดีกว่า เราเปลืองพระคุณของพระเจ้าจนยอมแลกกับสมบัติล้ำค่าไป แต่พอมาถึงจุดๆหนึ่ง  เราก็ตระหนักได้ว่าเราไม่ควร อยู่อย่างหมู คนบาป พวกกบฏ ขัดสน ขัดสน หิวโหย สกปรก และว่างเปล่า เราจึงอยากวิ่งกลับเข้าไปในอ้อมแขนของพระคุณ เรารู้ว่าเราจะรอด เพราะเราจะได้รับความรอดโดยพระคุณ แม้เราจะไม่สมควรได้รับมันก็ตาม

คุณดีใจบ้างไหมที่รู้ว่าพระบิดาบนสวรรค์ยินดีต้อนรับคุณกลับบ้านเสมอ

 คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดาที่รัก บางครั้งลูกก็ยุ่งวุ่นวายสาละวนอยู่กับการทำมาหากิน หลงระเริงไปกับสิ่งยั่วยวนใจมากมาย! ลูกเองก็เป็นเหมือนลูกชายผู้สุรุ่ยสุร่าย ลูกรู้สึกขอบคุณมากที่พระองค์พาลูกกลับมาและยกโทษให้ลูกเสมอ! ขอบพระคุณที่ทรงเป็นพระบิดาที่ใจดีที่สุดตลอดกาล ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2565

ผู้หญิงถูกสร้างขึ้นจากซี่โครงของชาย

 


ผู้หญิงถูกสร้างขึ้นจากซี่โครงของชาย

21แล้วพระยาห์เวห์พระเจ้าจึงทรงทำให้ชายนั้นหลับสนิท ขณะที่เขาหลับอยู่ พระองค์ทรงชักกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งของเขาออกมา แล้วทำให้เนื้อติดกันเข้าแทนกระดูก 22ส่วนกระดูกซี่โครงที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงชักออกจากชายนั้น พระองค์ทรงสร้างให้เป็นหญิง แล้วทรงนำมาให้ชายนั้น

ปฐมกาล 2:21-22

คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมพระเจ้าถึงตัดสินใจสร้างผู้ชายและผู้หญิง? ทำไมไม่สร้างเพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง?

พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ก่อน (อดัม) และวางเขาไว้ในสวนเอเดน หลังจากนั้นพระเจ้าตัดสินใจว่าอาดัมต้องการเพื่อน ดังนั้นในขณะที่อาดัมกำลังหลับอยู่ พระเจ้าจึงทรงชักเอาซี่โครงของเขามาสร้างเป็นหญิง

ลองคิดดูสักครู่ ทำไมผู้หญิงถึงถูกสร้างขึ้นจากซี่โครง พระเจ้าไม่ได้เลือกกระดูกข้อเท้าของ อดัมสักชิ้นเพื่อให้ผู้ชายกระทืบหรือทำร้ายผู้หญิง! พระองค์ไม่ได้หยิบกระดูกจากศรีษะของ อดัมเพื่อที่ผู้หญิงจะได้เป็นผู้ปกครอง หรือเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างในความสัมพันธ์ พระองค์ทรงหยิบเอากระดูกซี่โครงที่ใกล้หัวใจของ อดัมเพราะพระองค์รู้ว่าเอวาจะตกหลุมรักอดัมและพวกเขาจะมีครอบครัวด้วยกัน ฟังแล้วมันหวานซึ้งมากเลยใช่มั้ย?

นั่นไม่ใช่เรื่องราวดีๆ ของการที่ผู้หญิงถูกสร้างขึ้นมาอย่างนั้นหรือ? เราถูกสร้างมาให้ตกหลุมรัก แต่งงานและมีครอบครัว และเราถูกสร้างมาให้ตกหลุมรักพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้สร้างของเราด้วย พระองค์ทรงเป็นคนที่ออกแบบเรา และพระองค์ก็ทำให้เราใกล้ชิดกับหัวใจของพระองค์  วันนี้เราอาจยังไม่ได้อาศัยอยู่ในสวนเอเดน แต่วันหนึ่ง เราจะได้กลับไปอยู่บนสวรรค์ซึ่งจะสวยงามยิ่งขึ้นไปอีก!แน่นอน

ทำไมพระเจ้าสร้างเอวา?

พระเจ้ารู้ว่าอาดัมต้องการภรรยา พระเจ้ารักมนุษย์และไม่ต้องการให้เขาอยู่คนเดียว พระเจ้าสร้างเอวาจากซี่โครงของอดัม   ระเจ้ามอบภรรยาให้กับอาดัม และพระเจ้าคาดหวังให้อดัมดูแลเธออย่างดีและรักเธอ อดัมตั้งชื่อให้ภรรยาว่าเอวา ซึ่งแปลว่าผู้ให้ชีวิต

จุดประสงค์ขอการสร้างงเอวาคืออะไร?

พระเจ้าสร้างเอวาเป็นเพื่อนกับอดัม เธอมีบทบาทสำคัญในฐานะความช่วยเหลือของเขาในยามยากลำบาก นี่ไม่ใช่งานเล็ก ๆ ที่จะเป็นหุ้นส่วนที่พระเจ้ากำหนดให้เราเป็น

พระเจ้าใช้ซี่โครงซี่โครงหนึ่งของอดัมทำเอวาเป็นเครื่องเตือนใจว่าผู้หญิงถูกสร้างมาให้อยู่ "ข้าง" กับผู้ชาย ชายและหญิงเติมเต็มซึ่งกันและกันในการแต่งงาน และในพระคริสต์ พวกเขาเป็น "ทายาทแห่งพระคุณแห่งชีวิต" (1 เปโตร 3:7,)

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ลูกเข้าใจแล้วว่า! การที่พระองค์ทรงสร้างผู้หญิงขึ้นมาจากผู้ชาย ไม่ได้หมายความว่าพระองค์ทรงรักพวกเราน้อยลง! บางทีพระองค์อาจต้องการเก็บสิ่งที่ดีที่สุดไว้เป็นชิ้นสุดท้ายก็ได้  ลูกตื่นเต้นมากที่พระองค์ทรงเลือกสร้างลูก และทรงโอบกอดลูกไว้ใกล้กับพระหทัยของพระองค์ ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions


วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2565

ชาวสะมาเรียผู้ใจดี

 


ชาวสะมาเรียผู้ใจดี

แต่เมื่อชาวสะมาเรียคนหนึ่งเดินทางผ่านมาใกล้คนนั้น เห็นแล้วก็มีใจสงสาร

ลูกา 10:33

คุณเคยอ่านเรื่องราวในพระคัมภีร์เกี่ยวกับชาวสะมาเรียผู้ใจดีหรือไม่? มีชายคนหนึ่งถูกโจรทุบตีจนบาดเจ็บสาหัส เขาถูกทิ้งให้ตายอยู่ข้างถนน เผอิญมีปุโรหิตคนหนึ่งเดินมาตามทางนั้น เมื่อเขาเห็นคนนั้นแล้วก็ทำเป็นเดินเลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง คนเลวีก็เหมือนกัน เมื่อมาถึงที่นั่นและเห็นแล้วก็เลยไปเสียอีกฟากหนึ่ง (คุณพอจะนึกออกไหม? แบบทำเป็นไม่เห็นคนเจ็บ)  แต่เมื่อชาวสะมาเรียคนหนึ่งเดินทางผ่านมาใกล้คนนั้น เขาเห็นแล้วก็มีใจสงสาร (ชาวสะมาเรียในสมัยนั้นเท่าที่รู้กันคือ ผู้คนไม่ชอบ) แต่ชายคนนี้เป็นคนเดียวที่หยุดช่วยชายยากจนคนนั้น ชาวสะมาเรียยินดีจ่ายเงินค่าที่พักให้กับโรงแรมเพื่อให้ชายบาดเจ็บได้นอนพักรักษาตัวจนหายดี และเขาแสดงเจตจำนงค์ที่จะจ่ายเพิ่มหากมีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติม  

ชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นที่เกลียดชังของชาวยิว  ทั้งๆ ที่แต่เดิมเป็นชนชาติเดียวกัน  หลังสิ้นกษัตริย์ซาโลมอน อาณาจักรอิสราแอลได้แตกแยกออกเป็น 2 อาณาจักรคือ อาณาจักรเหนือ มีเมืองหลวงอยู่ที่สะมาเรีย และอาณาจักรใต้มีเมืองหลวงคือ เยรูซาเล็ม

คำว่า “ชาวสะมาเรีย” ในที่นี้จึงเป็นคำที่ใช้แสดงความเกลียดชังและเหยียดหยามคนที่ละเมิดบทบัญญัติและคนนอกศาสนา  ใครที่ไม่รักษาธรรมบัญญัติจะถูกตราหน้าว่าเป็น “ชาวสะมาเรีย” คำอุปมานี้ได้วาดภาพคนเคร่งศาสนาว่าเดินผ่านไปยังถนนอีกฟากหนึ่ง ขณะที่คนนอกรีตที่คนเขาชิงชังว่าเป็นคนบาป กลับเป็นคนเดียวที่ช่วยชายบาดเจ็บไว้

บางครั้งเราตัดสินคนอื่นก่อนที่เราจะได้รู้จักพวกเขา คนที่เราคิดว่าเลวบางครั้งก็ดี และคนที่เราคิดว่าดีบางครั้งก็กลับกลายเป็นคนเลวได้เช่นกัน! นั่นคือเหตุผลที่เราต้องให้โอกาสคนทุกคน อย่าด่วนตัดสินว่าใครดีหรือไม่ดี มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่จะไปตัดสินใจไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเพราะมีพระเจ้าเท่านั้นที่มองเห็นภายในจิตใจมนุษย์! และสิ่งที่พระองค์เห็นอาจทำให้คุณประหลาดใจ!

สารสำคัญจากเรื่องของชาวสะมาเรียผู้ใจดีคืออะไร?

คำอุปมานี้ต้องการอธิบายว่า มนุษย์เราควรรักกันและกัน นั่นรวมถึงการรักศัตรูของพวกเราด้วย การรักเพื่อนและครอบครัวนั้นอาจเป็นเรื่องง่าย แต่มันจะยากกว่ามากกว่าหากเราจะต้องรักคนที่เราอาจเข้ากันไม่ได้กับเขา คนที่มีนิสัยไม่น่ารัก หรือแม้แต่คนที่อาจเคยทำร้ายหรือทำลายเรามาก่อน

ในความเป็นจริงไม่ว่ายุคใด คนอย่างชาวสะมาเรียได้กระทำในสิ่งที่น่ายกย่อง และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลดีต่อสังคม ประเทศชาติ และพระศาสนจักร  จึงขอให้กำลังใจพวกเราทั้งหลาย เป็นต้นคนที่ไม่ได้รับการยอมรับหรือถูกมองว่าไม่ดี อย่าได้ท้อใจ เพราะพระเจ้าทรงเลือกคนบาปเช่นนี้แหละให้ทำในสิ่งที่คนดีไม่ทำ เพื่อจะได้เข้าใจคนบาปด้วยกันและชักนำพวกเขาให้กลับมาหาพระเจ้า

บทสรุป      

ชาวสะมาเรียผู้ใจดีคือภาพที่ชัดเจของ “พระเยซูเจ้า ชาวสะมาเรียผู้ยิ่งใหญ่” ผู้เสด็จมาเพื่อตามหาคนบาป ช่วยเหลือคนทุกข์ยากเดือดร้อน และยอมรับความตายบนไม้กางเขนเพื่อช่วยทุกคนให้รอด ให้เราก้าวเดินไปพร้อมกับพระองค์ ในเส้นทางแห่งการรับใช้ที่เราได้เลือก ด้วยดวงตาและหูที่เปิดกว้าง โดยมีเข็มทิศแห่งความเมตตาเป็นเครื่องนำทาง

ให้เรายอมให้หัวใจของเราเต้นในจังหวะเดียวกันกับหัวใจของพระเยซูเจ้า เพื่อเราจะตัดสินได้ว่ามีสิ่งไหนที่เราสามารถทำได้ เพื่อทำให้คนที่ “เกือบสิ้นชีวิต” ที่เราพบในชีวิตประจำวันได้มีชีวิตอยู่ต่อไป เรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้ รู้จักแบ่งปัน และช่วยเหลือผู้อื่นที่ลำบากเดือดร้อน ทั้งนี้เพราะ “หัวใจที่มีความสุขมากที่สุดคือ หัวใจที่เต้นเพื่อผู้อื่น”

ขอให้คำสั่งของพระเยซูเจ้าที่ว่า “จงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด” ปลุกเร้าหัวใจของเรา ให้ทำเช่นเดียวกัน  เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แน่ใจได้ว่า เส้นทางสายชีวิตนิรันดรได้เปิดกว้างอยู่เบื้องหน้าเราแล้ว  ปัญหาก็อยู่ตรงที่ว่า เราจะเลือกเดินตามเส้นทางสายนี้หรือไม่

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระบิดา ลูกรู้ว่าบางครั้งลูกเองก็ได้ตัดสินคนอื่นทั้งที่ไม่ควรจะทำ โปรดช่วยให้ลูกเห็นว่าคนทุกคนสมควรได้รับโอกาส โดยเฉพาะผู้ที่แตกต่างจากลูก โปรดช่วยให้ลูกก้าวเดินไปพร้อมกับพระองค์ ในเส้นทางแห่งการรับ ด้วยดวงตาและหูที่เปิดกว้าง โดยมีเข็มทิศแห่งความเมตตาเป็นเครื่องนำทาง ลูกขออธิษฐานในนามพระเยซูเจ้า อาเมน

ขอขอบคุณข้อความหนุนใจจาก

หนังสือ 3 minute devotions

คุณพ่อขวัญ ถิ่นวัลย์


พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพายุของคุณ อ่านมัทธิว 8:1 ถึง 11:1 ​    25 และพวกสาวกมาปลุกพระองค์ ทูลว่า “องค์พร...