สงบสติลง
และมีกำลังใจมากขึ้น
ความสงบเป็นหนึ่งในสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลก และคุณมีสันติสุขได้ แต่คุณเองก็ต้องตั้งใจที่จะมีสันติสุข
เพราะมารมันจะพยายามพรากมันไปจากเราตลอดเวลา
มันพยายามเข้ามาสร้างสถานการณ์เพื่อทำให้เราเสียใจ มันรู้จุดอ่อนของเราแล้วมันก็จะทำให้เราต้องเจอเรื่องนั้น
พอนานาๆเข้าในที่สุดก็จะทำให้เราอารมณ์เสีย และท้อใจ
มีคำพูดสองสามประโยคที่ฉันคิดว่ามันดีมาก อันหนึ่งเป็นของ Josiah holland ความสงบเป็นแห่งกำเนิดของพลังอำนาจ ดังนั้นจริงๆแล้ว
ยิ่งคุณสงบได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งมีพลังมากขึ้น เท่านั้น นอกจากนั้น Ryan
tracy บอกว่า จงให้จิตใจที่สงบสุขเป็นเป้าหมายสูงสุดของคุณ
แล้วค่อยจัดระเบียบ สิ่งที่เหลือในชีวิตของคุณ เราลองมาคิดเรื่องนี้กัน
สักหน่อย ถ้าเป้าหมายของเราคือการอยู่อย่างสงบ อย่างงั้น เราก็ต้องเปลี่ยนวิธีการทำบางสิ่งบางอย่าง
ปรับตัวและยืดหยุ่นบางอย่างในชีวิตเพื่อรักษาความสงบสุขนั้นไว้
ความสงบสุขไม่ได้มาจากแค่การอธิฐานขอพระเจ้าว่า “โอ้พระเจ้า ขอให้ฉันมีความสงบสุขด้วยเถิด” คุณรู้ไหมเพราะอะไร?
เพราะความจริงก็คือ ใน ยอห์น 14 กล่าวไว้ว่า รามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน
สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้
อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย. ดังนั้นเราเองก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบด้วย
เราจะมาอธิษฐานขอสันติสุขเฉยๆโดยที่ไม่ทำอะไรเลยไม่ได้
แน่นอนเราควรอธิษฐานถึงเรื่องนี้บ่อย แต่เราก็ยังคงต้องเฝ้าระวังเรื่องอื่นๆในชีวิตของเราด้วย
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเริ่มรู้สึกไม่พอใจ หงุดหงิด
นั่นคือเวลาที่ดีที่สุด ที่จะพูดว่า “ฉันจะไม่ใจร้อน ฉันต้องใจเย็นลงก่อน” ในอิสยาห์
30 ข้อ 15 กล่าวว่า เพราะพระยาห์เวห์องค์เจ้านายคือองค์บริสุทธิ์ของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า“ในการหันกลับและหยุดนิ่ง
เจ้าทั้งหลายจะรอดการเงียบสงบและการไว้วางใจจะเป็นกำลังของเจ้า แต่เจ้าก็ไม่ยอมทำตาม.
กี่ครั้งแล้วที่พระเจ้าได้เปิดเผยไว้ในพระวจนะของพระองค์ให้เราเห็นหรือรู้ว่าต้องทำอย่างไร
แต่เราก็ยังไม่ยอมทำ
ถ้าคุณอยากมีชีวิตที่สงบสุข
สงบนิ่งทั้งความคิดและจิตใจ คุณอาจจะต้องฝึกทำหลายๆอย่างให้แตกต่างจากเดิม
จากที่เคยทำมา พอจะนึกออกไหม เราเองก็อยากให้สถานการณ์เปลี่ยนไปเสมอ เช่น ก็ถ้าเธอไม่ทำ
ฉันก็จะไม่ทำ ถ้าเรื่องมันไม่เป็นแบบนี้ ฉันก็คงไม่ตอบโต้ไปแบบนั้น นี่ไง เพราะเรามัวแต่คาดหวังให้คนอื่นเปลี่ยนก่อน
เราถึงจะเปลี่ยน แต่พระเจ้าบอกว่า เราต้องเลิกโยนหน้าที่ความรับผิดชอบเรื่องนี้ให้กับคนอื่น
แต่เป็นตัวเราที่ต้องรับผิดชอบสันติสุขของตัวเอง แล้วคุณจะสงบลงได้ ถ้าคุณเลือกที่จะวางใจในพระเจ้ามากขึ้น
กำลังของเราทั้งฝ่ายร่างกายและจิตวิญญาณล้วนขึ้นอยู่กับเรื่องนี้ คุณรู้ไหมว่าเวลาที่คนเราอารมณ์เสีย อารมณ์เสียมากๆ
เราต้องใช้พลังงานเยอะมาก แน่นอน มันทำให้คุณหมดแรง มันจึงง่ายกว่าเยอะเลยที่เราจะไม่อารมณ์เสีย
มากกว่านั้นคือเราต้องพยายามควบคุมสติอารมณ์ให้สงบลง และตอนที่เราอารมณ์เสีย ก็ไม่ช่วงเวลาที่ดีที่เราจะทำการตัดสินใจหรือพูดอะไรออกไปเลย
เพราะเราจะพูดสิ่งที่เราไม่ควรพูด เราจะทำในสิ่งที่เราไม่ควรทำ มันจึงไม่ใช่เวลาที่ควรจะตัดสินใจสิ่งใดๆเลย
พระคัมภีร์บอกเราว่า อย่าให้มีอะไรมาทำให้เรากลัว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน แต่ถ้าเราสงบนิ่งได้ นั่นคือสัญญาณที่บอกให้มารรู้ว่า
มันควบคุมเราไม่ได้ แล้วมันต้องเป็นฝ่ายแพ้การต่อสู้ครั้งนี้
และเป็นสัญญาณว่าพระเจ้าได้เข้ามาช่วยปลดปล่อยเราแล้ว ในพระคัมภีร์ ฟีลิปปี 1ข้อ
28 กล่าวว่า และท่านไม่เกรงกลัวพวกที่ขัดขวางเลย
สิ่งนี้เป็นหลักฐานแห่งความพินาศต่อพวกเขา(ศัตรูของคุณหรือมารซาตาน)
แต่เป็นหลักฐานแห่งความรอดของพวกท่าน และการดังกล่าวมาจากพระเจ้า.
คุณเห็นไหมว่า เวลาคนเราเจอเรื่องที่ทำให้ไม่พอใจ แต่ถ้าเขาอยู่นิ่งๆได้
มันก็เป็นสัญญาณให้มารรู้ว่า มันควบคุมเราไม่ได้ และมันจะเป็นฝ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้
พระคัมภีร์ฟีลิปปี 1ข้อ 29 กล่าวว่า เพราะพระเจ้าทรงให้พระคุณแก่ท่านเพราะเห็นแก่พระคริสต์
ไม่ใช่ให้ท่านทั้งหลายเชื่อในพระองค์เท่านั้น
แต่ให้ทนทุกข์ยากเพราะเห็นแก่พระองค์ด้วย. ในทุกการโต้แย้งบางครั้งเราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนสุดท้ายที่จะต้องพูด
หรือ โต้เถียงเพื่ออธิบายแม้จะมั่นใจว่าเกือบเก้าสิบเก้าเปอร์เซนต์เราเป็นฝ่ายถูก
เพราะถ้าเราพูดมากไป มันยิ่งจะทำให้เรื่องบานปลายได้ และมันจะดีกว่าไหม
ถ้าเราจะปล่อยให้เขาคิดไปตามที่ใจของเขาอยากจะคิด แล้วให้เราเลือกที่จะวางใจในพระเจ้า
ว่าถ้ามันจำเป็นที่คนอื่นจะต้องเห็นว่าคุณเป็นฝ่ายถูก พระเจ้าจะจัดการเรื่องนี้เอง
แบบนี้คุณจะสงบนิ่งได้ แต่ว่าในระหว่างนั้นคุณอาจจะรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง
เจ็บในที่นี้คือ ในฝ่ายเนื้อหนัง (เพราะเราไม่ได้โต้ตอบออกไปตามใจต้องการ) บางครั้งเราก็ต้องยอมเจ็บฝ่ายเนื้อหนังเพื่อได้ทำในสิ่งที่พระเจ้าอยากให้เราทำ
เวลามีปัญหาโดยปกติแล้วเรามักจะต้องทำอะไรสักอย่าง
เหมือนมีปีศาจตัวเล็กๆนั่งพูดกรอกหูเราอยู่ตลอดว่า “เธอจะทำยังไงๆๆๆๆ” แล้วทำไมเราจึงถึงคิดว่า
เราจะต้องทำอะไรสักอย่างตลอดเวลาด้วยล่ะ? ซึ่งจริงอยู่มีบางอย่างที่เราต้องทำ
ใน เอเฟซัส 6 ข้อ 12 กล่าวว่า เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด
แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ
พวกภูตผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน 13เพราะเหตุนี้จงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้
เพื่อท่านจะสามารถต่อสู้ในวันชั่วร้ายนั้น
และเมื่อทำทุกอย่างแล้วจะยังยืนหยัดอยู่ได้.
ดังนั้นเราจึงต้องรู้ ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ก่อนที่เราจะทำอะไรให้มันวุ่นวายไปหมด
รู้ไหมคุณอาจจะเคยทำในวิธีที่คนอื่นเขาทำกัน แต่มันก็ยังไม่ได้ผลกับคุณเลย เพราะแท้จริงแล้วคุณต้องการการชี้นำจากพระเจ้าและทางเดียวที่คุณจะได้รับ
ก็คือ ใจเย็นๆอยู่นิ่งๆ เพื่อที่คุณจะได้สัมผัสจากข้างในว่าคุณควรไปทางไหนดี
ถ้าเราจะรอคอยพระเจ้า ถ้าเราสงบนิ่ง แล้วเราจะได้เห็นการงานที่อัศจรรย์ที่จะเกิดในชีวิตเรา
จงสงบและนิ่งเสีย ให้พระเจ้าพิสูจน์พระองค์กับเรา โดยการรอคอยพระองค์อย่างเต็มใจ แทนที่จะพยายามจัดการกับปัญหาของคุณด้วยตนเอง
เช่น ถ้าตอนนี้คุณกำลังโกรธใครมาก ๆ และกำลังวางแผนเอาคืนเขาให้สาสม
ทำไมคุณไม่ตัดสินใจเลยละว่า แทนที่จะทำแบบนั้น คุณเลือกที่จะปล่อยมันไป
คุณจะให้อภัยเขา การให้อภัยไม่ใช่ความรู้สึก แต่เป็นการตัดสินใจของคุณว่า จะปฏิบัติกับคนอื่นอย่างไร
แล้วคุณจะอธิษฐานเผื่อเขา
หลังจากนั้นพระเจ้าก็จะเข้ามาจัดการกับสถานการณ์ที่คุณกำลังเจอ พระเจ้าเป็นผู้แก้ต่างของเรา
พระองค์เป็นผู้ที่ทำเรื่องที่ไม่ถูกต้องในชีวิตเรากลับกลายเป็นผลดี
ถ้าวันนี้คุณโกรธตลอดทั้งวัน ถ้าคุณกำลังโกรธ และโกรธอยู่อย่างนั้น
มันมีแต่จะทำร้ายคุณ มันไม่ได้ไปทำร้ายคนที่กำลังโกรธ เกลียดอยู่เลย
แต่มันจะทำร้ายคุณเอง
ก่อนที่เราจะทำอะไร เราจึงควรรอก่อน สงบสติอารมณ์ลงก่อน
ก่อนที่คุณจะทำการตัดสินใจ จงสงบสติอารมณ์ลงก่อน เช่น
เวลาที่คนเราเถียงกัน อารมณ์คนเราก็มักจะระเบิดออกมา กับแค่การที่คุณเงียบ
ทุกอย่างก็จะเริ่มสงบลง คุณอาจจะรู้สึกตื่นเต้นมากเกินไป หรือหดหู่สุดๆ
ไม่ว่าจะเป็นอันไหน มันก็สร้างปัญหาให้คุณได้เสมอ
อย่ากลัวเลย ใจเย็นๆก่อน พระเจ้ารักคุณ
พระองค์มีแผนการเพื่อจะปลดปล่อยคุณ พระองค์มีเวลาที่เหมาะสมที่จะปลดปล่อยคุณและพระเจ้าจะดูแลคุณเอง
ถ้าคุณวางใจให้พระองค์ทำ ถ้าพระเจ้าสำแดงให้คุณเห็นว่าต้องทำอะไรก็ทำเลย
แต่อย่าทำอะไรวุ่นวายหรือพูดอะไรเยอะแยะมากมาย แค่เพราะว่าคุณกำลังอารมณ์เสีย ในอพยพ
14 ข้อ 13-14 กล่าวว่า โมเสสกล่าวกับประชากรว่า
“อย่ากลัวเลย จงยืนนิ่งอยู่ คอยดูความรอดจากพระยาห์เวห์
ซึ่งทรงทำเพื่อพวกท่านในวันนี้ เพราะคนอียิปต์ที่เห็นในวันนี้
พวกท่านจะไม่ได้เห็นอีกตลอดไป 14พระยาห์เวห์จะทรงรบแทนท่านทั้งหลาย
พวกท่านจงสงบอยู่เถิด” แค่ประโยคเดียวนี้ก็น่าจะดีกับคุณแล้ว
พระเจ้าจะต่อสู้เพื่อคุณทั้งหมดที่คุณต้องทำก็คือการอยู่นิ่งๆ เห็นไหมว่า
หลายครั้งที่เราเจอปัญหา เราจะกลัวมาก จนตัวแข็งเพราะความกลัว จนเราไม่อยากทำอะไรเลย
ฉันอยากจะหนุนใจคุณว่า ไม่ว่าคุณจะเจอปัญหาใหญ่แค่ไหนก็ตาม ถ้าคุณจะทำอะไรบางอย่าง
จงทำในสิ่งที่คุณรู้ว่ามันถูกต้อง หมั่นศึกษาพระวจนะ หมั่นช่วยเหลือผู้อื่น
ไปโบสถ์เป็นประจำ รักษาคำสัญญาของคุณ อย่ามัวแต่เศร้าสงสารตัวเอง
หรือนั่งที่ไหนสักที่แล้วมัวแต่คิดถึงแต่ปัญหาของตนเอง คิดๆๆๆ หรือโทรหาใครสักคนแล้วก็เอาแต่พูดๆๆๆ คุณรู้ไหมว่า เวลาที่คุณมีปัญหา
แล้วเอาแต่คิดถึงมัน พูดถึงมัน คุณก็จะยิ่งอารมณ์เสีย มากขึ้น เรามักทำให้ตัวเองอารมณ์เสียได้ง่ายๆ เพียงแค่นั่งคิดถึงปัญหาของตนเองซ้ำไปมา ยิ่งเราอารมณ์เสียเราก็ยิ่งพูดแต่เรื่องแย่ๆ
และยิ่งทำแต่เรื่องผิดๆ
สรุปง่ายๆว่า การกระทำใดๆก็ตามที่เกิดจากอารมณ์มันไม่เคยช่วยแก้ปัญหาของเราได้เลย แล้วการรอคอยพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร มันค่อนข้างเปิดตาของเราได้เยอะเลย หากเราได้ศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียด การรอคอยพระเจ้า ไม่ได้หมายถึงการนั่งเฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย แต่หมายถึงการ คาดหวัง มองหา และแสวงหาความโปรดปรานจากพระเจ้า คำตอบของพระองค์ และอำนาจของพระองค์ หรือ การมีความหวัง หมายความว่า คุณคาดหวังว่าพระเจ้า จะปรากฎได้ทุกขณะ และทำอะไรก็ตามที่ต้องทำในชีวิตคุณ การรอคอยพระเจ้าไม่ใช่การอยู่เฉยๆ อาจจะเป็นการอยู่เฉยๆทางร่างกายภายนอกแต่ในฝ่ายวิญญาณ คุณจะกระตือรือร้นมมาก คุณวางใจพระเจ้า คุณบอกว่า “ลูกรู้ว่าพระองค์จะดูแลลูก ลูกรู้ว่าพระองค์จะทำสิ่งที่ดี ลูกเชื่อว่าพระองค์จะปรากฎได้ทุกขณะและทำให้สถานการณ์อันนี้ถูกต้อง” มันเป็นการเคลื่อนไหวทางฝ่ายวิญญาณมากกว่าการเคลื่อนไหวฝ่ายเนื้อหนัง ใน สดุดี 25 ข้อ 5 กล่าวว่า ขอทรงนำข้าพระองค์ไปในความจริงของพระองค์ และขอทรงสอนข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ ข้าพระองค์รอคอยพระองค์อยู่วันยังค่ำ.
ใน ยากอบ 4 ข้อ 2 กล่าวว่า ท่านก็ทะเลาะและทำสงครามกัน
ท่านไม่มีเพราะไม่ได้ขอ. แทนที่เราจะบอกพระเจ้าว่า “ลูกไม่รู้จะทำอย่างไรดี”
ให้คุณถามพระเจ้าว่า
คุณต้องทำอย่างไรกับเรื่องนี้ ดีกว่า
ใน สุภาษิต 3 ข้อ 5-7 กล่าวว่า จงวางใจในพระยาห์เวห์ด้วยสุดใจของเจ้าและอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง 6จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้าแล้วพระองค์เองจะทรงทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น 7อย่าคิดว่าตนมีปัญญา.
ความช่วยเหลือจากพระเจ้า มีเพียงพอกับการรอคอยของเรา และความหวังที่มีในพระองค์ ในสดุดี 33 ข้อ 20-21 กล่าวว่า จิตใจของเราทั้งหลายรอคอยพระยาห์เวห์ พระองค์ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์และเป็นโล่ของเรา21เพราะใจของเราทั้งหลายยินดีในพระองค์เพราะเราวางใจในพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์.
ใน สดุดี 37 ข้อ 34 กล่าวว่า จงรอคอยพระยาห์เวห์
และรักษาพระมรรคาของพระองค์ไว้ แล้วพระองค์จะทรงยกย่องท่านให้ได้แผ่นดินเป็นมรดก ท่านจะมองเห็นคนอธรรมถูกทำลาย.
พระเจ้าได้นำคนอิสราเองออกจากอียิปต์ผ่านถิ่นทุรกันดาร ใช้เวลานาน
กว่าที่ควรจะเป็น เพราะว่า พวกเขาเอาแต่บ่นๆ และก็บ่น ระหว่างที่พวกเขาอยู่ในนั้น
แต่หลายครั้งความล่าช้าก็มาจากสวรรค์ด้วย
เพราะพวกเขายังไม่พร้อมจริงๆที่จะเข้าไปในดินแดนแห่งพระสัญญา
บางทีอาจจะมีบางคนหรือรวมถึงตัวเราเองด้วยเหมือนกัน
ที่อาจจะกำลังขออะไรบางอย่าง จากพระเจ้าอยู่ แต่มันอาจจะต้องอาศัยเวลา
พระองค์อยากจะมอบให้คุณ มันอยู่ในเวลาของพระองค์อยู่แล้ว ซึ่งพระองค์ได้จัดเตรียมบางอย่างให้คุณแล้วแต่ตอนนี้พระองค์ต้องการเตรียมคุณให้พร้อมสำหรับสิ่งนั้นก่อน
บางครั้งเรายังไม่เติบโตในฝ่ายวิญญาณมากพอที่จะรับมอกับสิ่งที่พระเจ้าตั้งใจจะมอบให้เรา
ใน อิสยาห์ 26 ข้อ 3 กล่าวว่า พระองค์จะทรงพิทักษ์ผู้มีใจแน่วแน่ไว้ในสวัสดิภาพที่สมบูรณ์
เพราะเขาวางใจในพระองค์.
เลิกคิดถึงแต่ปัญหาของตนเองได้แล้ว ให้เราใช้เวลากับพระเจ้า
แล้วคุณจะได้ยินพระองค์ตรัสกับคุณว่า “เจ้าจะมีสามัคคีธรรมกับปัญหาของเจ้า
หรือเจ้าจะมีสามัคคีธรรมกับเรา”
อย่าทำผิดอีกเลย จงใช้เวลากับพระเจ้า
แล้วคุณจะมีกำลังมากขึ้น แล้วมันจะทำให้คุณได้ยินเสียงจากพระเจ้าชัดขึ้น
ขอบคุณคำเทศนาจาก
จอยซ์ ไมเออร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น