ในชีวิตคนเรา มีหลายอย่าง หลายเรื่อง ที่เราควบคุมไม่ได้ และการนินทาก็เป็นอย่างหนึ่งที่เราควบคุมมันไม่ได้ แต่ว่าเรา สามารถรับมือกับมันได้!
สุภาษิต 16:28 “คนตลบตะแลงแพร่การวิวาท
และผู้กระซิบก็แยกเพื่อนสนิท ออกจากกัน”
การถูกนินทาว่าร้ายนั้น
ใครๆรู้ก็ต้องเกิดความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น
แต่เราก็ไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปห้ามไม่ให้ใครมานินทาว่าร้ายเราเหมือนกัน
และเราเองก็ไม่ควรไปนินทาว่าร้ายคนอื่นด้วย
แต่ถ้าเราถูกนินทาว่าร้ายเราจึงทำได้แค่เพียงทำใจ อย่าไปคิด
ไปเครียดกับคำพูดเหล่านั้น ไม่อย่างนั้นก็จะทำให้เราเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ
มิตรภาพมากมายถูกทำลายเพราะความเข้าใจผิดที่เริ่มต้นด้วยการนินทา
บรรดาผู้ที่เข้าร่วมในการประพฤตินี้ไม่ทำอะไร
แต่ก่อความยุ่งยากขึ้นและก่อให้เกิดความโกรธความขมขื่นและความเจ็บปวดในหมู่เพื่อนๆ
น่าเศร้าที่บางคน เจริญเติบโตมาแบบนี้และมองหาโอกาสที่จะทำลายคนอื่น
และเมื่อเผชิญหน้าผู้คนดังกล่าวนั้น พวกเขาปฏิเสธข้อกล่าวหา
และตอบโต้ด้วยคำแก้ตัวและลบล้าง แทนที่จะยอมรับการกระทำผิด
พวกเขาตำหนิคนอื่นหรือความพยายามที่จะลดความบาปที่รุนแรง
สุภาษิต 18:7-8
“ปากของคนโง่เป็นสิ่งทำลายตัวเขาเอง และริมฝีปากของเขาก็เป็นบ่วงดักตนเอง
ถ้อยคำของผู้กระซิบนินทาก็เหมือนชิ้นอาหารอร่อย
มันล่วงเข้าไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย.
บรรดาผู้ที่รักษาลิ้นของพวกเขาก็รักษาตัวเองพ้นจากภัยพิบัติ
สุภาษิต 21:23 “บุคคลที่รักษาปากและลิ้นของตน
ก็รักษาตัวเขาเองให้พ้นความลำบาก“ .
ดังนั้นเราต้องระวังลิ้นของเรา
และถอยห่างจากการชอบนินทาอันเป็นบาป
ขอให้ถ้อยคำจากปากของข้าพระองค์
และการรำพึงภาวนาในจิตใจ เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์เถิด - สดุดี 19:14
คุณอาจเคยได้ยินว่า “คนฉลาดคุยเรื่องความคิด
คนปัญญาปานกลางคุยเรื่องเหตุการณ์ส่วนคนโง่คุยเรื่องคนอื่น”
อันที่จริงการพูดถึงคนอื่นอย่างให้เกียรตินั้นมีอยู่หลายวิธี
แต่คำกล่าวนี้สะท้อนว่าผู้พูดมีประสบการณ์แง่ลบในโลกนี้ที่เราสื่อสารกันผ่านสื่อทุกอย่างทั้งในสังคมทั่วไปและในหน้าที่การงาน
เรามักต้องรับรู้ชีวิตของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางเรื่องไม่เหมาะที่เราจะรู้
เพราะเป็นเรื่องส่วนตัว
ที่แย่กว่านั้นคือ
กระแสข้อมูลเรื่องส่วนตัวของคนอื่นอาจถาโถมใส่เรา
แทนที่เราจะคุยกันเรื่องความมั่งคั่งและชื่อเสียงของเขาเท่านั้น
เรากลับนำเรื่องเหล่านั้นมาย่อยด้วยการติฉินนินทาจนอาจกลายเป็นว่า
การนินทาเป็นเรื่องปกติไปคนในที่ทำงาน ในกลุ่มคริสตชน เพื่อนบ้าน หรือคนในครอบครัวก็อาจตกเป็นเหยื่อของการพูดจิกกัดและถูกทำร้ายจิตใจภายในวงสนทนาอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น
ในทุกแวดวงของสังคม คงไม่มีใครหนีพ้น
เรื่องของการถูกนินทา “การนินทา” โดยปราศจากความเป็นจริงนั้น
แฝงไว้ด้วยคำพูดที่ถากถาง “เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น”รวมไปถึงการใส่ร้ายป้ายสี
เป็นการพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ทำให้ผู้อื่นเสียหาย
ในโลกของเราทุกวันนี้
ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับการถูกนินทา
การนินทาไม่เคยสงบนิ่ง
เพราะระบบคิดและปากที่แกว่งหาเสี้ยน ยังคงใช้การได้ดีเสมอกับเรื่องของชาวบ้าน
ซึ่งไม่ใช่เรื่อง ของตนเอง !?!
การพูดจาส่อเสียด เหน็บแนมแกมประชดประชัน
การต่อความยาวสาวความยืด การว่ากล่าวให้ร้าย ใส่สีตีไข่ เพิ่มเติมเรื่องเล็ก
ให้เป็นเรื่องใหญ่ นี่คือนิสัยคนไทยขนานแท้ดั้งเดิม
ถ้าสังเกตให้ดีบางคนชื่นชอบ มีความสุขใจ
มีความสนุกสนานกับการได้ ซุบซิบนินทา
การนินทามีอยู่ 2 แบบ ด้วยกันคือ
การนินทาแบบสร้างสรรค์ กับนินทาแบบใส่ร้ายป้ายสี
สำหรับการนินทาแบบสร้างสรรค์นั้น
ถือว่ามีประโยชน์ เสมือนหนึ่งเป็นคำชม แต่ไม่ได้ไปพูดไปบอกแบบตรงๆ
พูดกันในหมู่เพื่อนฝูง เป็นการสรรเสริญในแง่มุมที่ดี มีสาระ ใครได้ฟังได้ยินแล้ว
รู้สึกชื่นใจ ทำให้มีความสุข
ยกตัวอย่างเช่น “ผู้ชายคนนี้นิสัยดีจริงๆ
ชอบช่วยเหลือคน ทำอะไรก็ไม่หวังผลตอบแทน เป็นคนดีที่น่ายกย่อง
ขยันทำงานทั้งต่อหน้าและลับหลัง”
“ดูยัยคนนี้สิ สวยจริงๆ แก้มนี่ใสนิ้ง
หุ่นดี้ดี น่าให้ไปเป็นดารา”
นี่คือตัวอย่างของการนินทาแบบสร้างสรรค์
ที่ไม่จำเป็นต้องนินทาลับหลัง นี่ถ้าเจ้าตัวได้ยินต่อหน้า ก็คงหน้าบาน
เป็นจานเชิงอย่างแน่นอน
ส่วนนินทาแบบให้ร้ายป้ายสีนั้น
ล้วนเกิดจากความอิจฉาริษยาตาร้อนนั่นเอง!!! มีสาเหตุมาจาก เมื่อเห็นคนอื่นเขาทำดี
ก็เกิดอาการอิจฉา การที่เราจะพูดถึงบุคคลที่สามในทางลบนั้น ควรใช้สติปัญญา
ยั้งคิดติดเบรกปากไว้เสียบ้างก็น่าจะดี และควรให้ความยุติธรรมกับเขาบ้าง
เพราะเขาไม่มีโอกาสโต้เถียงพูดแก้ตัว เพราะถ้ามัน ไม่เป็นความจริง
การนินทา มันเป็นเรื่องที่ไร้สาระ
ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่ จะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ดังกลอนที่กล่าวไว้ว่า
“การนินทากาเลเหมือนเทน้ำ” การเทน้ำออกจากแก้ว
เมื่อเทออกไปแล้วไม่สามารถเก็บคืนได้
ก็เหมือนกับการนินทาออกไปแล้วไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้นั่นเอง!
ที่สำคัญต้องใช้หลักคิด ใช้สมองกลั่นกรอง
วิเคราะห์ว่ามันดีหรือเลวปานใด แยกแยะในแต่ละส่วนให้เกิดความถูกต้องดีงาม
หัวใจสำคัญ ก่อนที่จะนินทาผู้อื่น
ควรย้อนกับไปมองตัวเองเสียก่อน ว่าตัวคุณเองดีมากแค่ไหน ถึงเที่ยวไปว่าร้าย
หรือติฉินนินทาผู้อื่นเขา แล้วควรคิดว่า ถ้ามีผู้อื่นมานินทาเราบ้าง
เราจะรู้สึกเช่นไร เราก็คงจะไม่ชอบนักหรอกที่มีคนมานินทา หรือมายุ่งเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องภายในครอบครัวของเรา
การเอาชนะคำนินทาว่าร้าย
1. การนินทาเปรียบเสมือนลม
ที่กระทบเราแต่เปลี่ยนชีวิตเราไม่ได้
2. สุขทุกข์ อยู่ที่การรักษาใจ ไม่ใช่การนินทา
3. เราไม่อาจเข้าใจทุกคนได้
และอย่าหวังให้ทุกคนเข้าใจเรา
4. เราก็เคยฟังคนอื่นนินทา
และเราจะถูกนินทาเป็นเรื่องปกติของมนุษย์
5. คิดถึงคนที่รัก และดีต่อเรา
อย่าโง่เขลาหมกมุ่นกับคำพูดไม่มีค่า
6. จงเป็นคนใจกว้าง และกลับใจ
เพราะท่านก็เคยนินทาผู้อื่นเช่นกัน
7. คนเราฟังเชื่อคนเช่นไร แม้จะยิ่งใหญ่แค่ไหน
จิตใจก็เท่าฟังคนนินทา
8. ชีวิตท่านถูกลิขิต โดยพระเป็นเจ้า
ไม่ใช่โดยคนนินทาว่าร้าย
มัทธิว 5
10 "บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม
ผู้นั้นเป็นสุข
เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา
11 "เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง
และนินทาว่าร้าย
ท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา
ท่านก็เป็นสุข
12 จงชื่นชมยินดี
เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์
เพราะเขาได้ข่มเหงผู้เผยพระวจนะ ทั้งหลาย ที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน
( ข้อมูลจาก เฟส อ.เจริญ ยธิกุล)
เราจะหนีพ้นจากแรงดึงดูดใจให้เราใช้คำพูดทำร้ายผู้อื่นได้อย่างไร?
ก็ด้วยการตระหนักว่าผู้ที่ทรงฟังและได้ยินคำพูดทุกคำของเราคือพระเจ้า
และพระองค์ปรารถนาให้เราเอาชนะแรงดึงดูดนั้นให้ได้
เราอธิษฐานได้อย่างผู้เขียนบทเพลงสดุดีว่า “ขอให้ถ้อยคำจากปากของข้าพระองค์
และการรำพึงภาวนาในจิตใจ เป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์เถิด” (สดด.19:14)
เรากำลังถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ถ้าเราพูดถึงคนอื่นในแบบที่พระองค์พอพระทัย
และโดยความช่วยเหลือของพระองค์ เราจะถวายเกียรติแด่พระองค์ได้ผ่านสิ่งที่เราพูด – BC
พระบิดาเจ้า ขอโปรดให้อภัยที่บ่อยครั้ง
คำพูดของข้าพระองค์เกินเลยไม่เหมาะสม
ขอโปรดช่วยข้าพระองค์ให้เข้าใจพลังของคำพูดและให้ข้าพระองค์มีปัญญาในการใช้ถ้อยคำ
จงยอมกัดลิ้นตัวเองดีกว่าทำให้คนอื่นเจ็บ
เพราะคำพูดของเรา
คงยากที่จะป้องกันไม่ให้คนอื่นนินทาคุณ
แต่คุณเลือกได้ ว่าจะรับมือยังไง
ถ้าคุณรู้ว่ามีคนลือกันให้แซดเกี่ยวกับเรื่องของคุณ
คุณมีทางเลือกสองอย่าง
ทางเลือกที่ 1:
ไม่สนใจ ส่วนใหญ่แล้ววิธีแก้ที่ดีที่สุดก็คือ
ปล่อยให้เรื่องนั้นผ่านไป
โดยเฉพาะถ้าข่าวที่ลือกันเป็นเรื่องไร้สาระ
ขอให้ทำตามคำแนะนำของคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า
“อย่าให้ใจของเจ้าโกรธเร็ว”—ท่านผู้ประกาศ 7:9
วิธีแก้ ลองวิธีนี้:
เขียนออกมาว่า (1) มีคนพูดอะไรเกี่ยวกับคุณ และ (2)
ฟังแล้วคุณรู้สึกยังไง ถ้าคุณได้มีเวลา “ตรึกตรองในใจ”
คุณก็อาจลืมเรื่องนั้นได้ง่ายขึ้น—บทเพลงสรรเสริญ 4:4, พระคริสตธรรมคัมภีร์
ฉบับมาตรฐาน
ทางเลือกที่ 2:
ไปคุยกับคนที่ปล่อยข่าวลือ บางครั้งเรื่องที่เขาเอาไปนินทาอาจร้ายแรงมากจนคุณรู้สึกว่าต้องเคลียร์กับคนปล่อยข่าว
แต่ก่อนจะไปเคลียร์กับคนที่นินทาคุณ
ขอให้คิดถึงหลักการบางข้อในคัมภีร์ไบเบิลแล้วถามตัวเองด้วยคำถามต่อไปนี้
“ผู้ที่ให้คำตอบก่อนได้ยินเรื่อง
ก็เป็นการโฉดเขลา” (สุภาษิต 18:13) ‘ฉันรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดหรือยัง? เป็นไปได้ไหมว่าคนที่เอาข่าวมาบอกฉันเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น?’
“ทุกคนต้องไวในการฟัง ช้าในการพูด
ช้าในการโกรธ” (ยาโกโบ 1:19)
‘ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดไหมที่จะไปคุยกับเขา? ฉันแน่ใจไหมว่าฉันจะพูดกับเขาโดยใช้เหตุผล
ไม่ใช่อารมณ์? ดีกว่าไหมถ้าฉันจะรอให้ใจเย็นลงกว่านี้แล้วค่อยไปคุยกับเขา?’
“จงปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน”
(มัดธาย 7:12, พระคริสตธรรมคัมภีร์
ฉบับ 1971 ) ‘สมมุติว่าฉันเป็นฝ่ายนินทาเขา
ฉันอยากให้เขามาเคลียร์กับฉันแบบไหน? จะไปคุยกันที่ไหนและเมื่อไรดี? ฉันควรใช้คำพูดและแสดงท่าทีแบบไหน?’
วิธีแก้ ลองวิธีนี้:
ก่อนไปคุยกับคนที่นินทาคุณ ลองเขียนออกมาว่าคุณอยากพูดอะไรกับเขา
ทิ้งไว้สักหนึ่งหรือสองอาทิตย์แล้วกลับมาอ่านอีกครั้งเพื่อดูว่ามีอะไรที่คุณอยากเปลี่ยนหรือแก้ไขไหม
หลังจากนั้น คุณอาจปรึกษาพ่อแม่หรือเพื่อนที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่เผื่อจะได้คำแนะนำดี
ๆ
(ข้อมูลจาก jw.org)
พี่น้องที่รักคะ
“ถ้ามีคนนินทาคุณ
อย่าตอบโต้ด้วยการนินทากลับหรือเอาเรื่องเขาไปแฉ
ไม่งั้นคุณก็จะเป็นอย่างที่คุณเกลียด” นะคะ
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
ขอให้เราหลุดพ้นจากบาปร้ายแห่งการนินทาด้วยเทอญ อ่านจบแล้วตั้งสติ และรวบรวมความกล้าหาญและตั้งใจ แน่วแน่ว่าจะไม่เข้ากลุ่มรวมหัวนินทาใครเขาเช่นกัน
KC Love God
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น