วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2561

ทำไม ฉันต้องรักผู้อื่น(เพื่อนมนุษย์)เหมือนรักตัวเองด้วยละ



*รักให้เพียรทนไม่บ่นว่า   รักให้เกิดเมตตาอัชฌาศัย
รักให้ไร้อิจฉาระอาใจ   รักให้ไร้จองหองมาพ้องพาน
รักให้ไร้ขุ่นข้องที่หมองจิต  รักให้ไร้คิดผูกโกรธทุกสถาน
รักให้มุ่งแต่อภัยในทุกกาล  รักดวงมานมุทิตาอัตราไป*
       (1คร.13,4-7)

พระเยซูคริสต์ทรงสอนเราให้รักอย่างเข็มข้น “จงรักพระเป็นเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า” (มธ.22,37) นั้นคือรักอย่างทุ่มเทให้จนหมดหัวใจ ไม่ใช่รักแบบตามใจฉัน นี่คือความรักต่อพระเป็นเจ้า

พระองค์ยังสอนเราให้รักเพื่อนมนุษย์อย่างเข็มข้นเหมือนกัน “ผู้ใดตบแก้มข้างหนึ่งของท่านก็จงหันอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย และผู้ใดริบเอาเสื้อของท่านไปก็จงให้เสื้อคลุมเขาไปด้วย” (ลก.6,29) มาตรฐานของความรัก คือ “จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตัวเอง” (มธ.22,39) นั้นก็คือเรารักตัวเราเองอย่างไร เราก็ต้องรักเพื่อนมนุษย์อย่างนั้น

นักบุญเปาโลพูดถึงเรื่องความรักไว้อย่างน่าฟังว่า “ความรักอดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้กระทั้งความผิดของผู้อื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาเสมอและมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง” (1 คร.13,4-7) สิ่งที่นักบุญเปาโลพูดนี้ทานเอามาจากไหน ก็จากพระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งทั้งทรงกระทำมาเป็นตัวอย่างก่อนแล้ว ทั้งทรงสอนให้เรากระทำตามด้วย

พระศาสนจักรสอนว่า “ขอให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันในกรณีที่จำเป็น ขอให้เราเป็นอิสระในกรณีที่สงสัย และขอให้เรารักกันในทุกกรณี” (พระธรรมนูญเรื่อง พระศาสนจักรในโลกปัจจุบัน ข้อ 92) สำหรับสิ่งอื่น แม้จะดีเลิศ แต่ก็ยังมีกาลเทศะของมัน แต่สำหรับความรักไม่มีกาละเทศะใด ๆ เราต้องรักทุกคน ทุกเวลา และทุกสถานที่ คือ เสมอไป

เราทุกคนเป็นสมาชิกของครอบครัวเดียวกัน คือ ครอบครัวของพระเป็นเจ้า เราจึงเป็นพี่น้องกัน พี่น้องคือคนที่กินข้าวหม้อเดียวกัน แล้วเราจะมาทะเลาะวิวาท จงเกลียดจงชังกันได้อย่างไร? ข้าวหม้อเดียวกันที่เรากินก็คือ ศีลมหาสนิทซึ่งเป็นศีลแห่งความรัก ศีลที่ผูกผันเราให้สนิทแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนชื่อ

ถ้าเราอยากเป็นคนดีและหลุดพ้นจากความผิด เราต้องหมั่นตริตรองคิดถึงสิ่งที่เราทำบ่อย ๆ ถ้าสิ่งใดดีก็ทำต่อไป ถ้าสิ่งใดผิดก็จงรีบแก้ไขเสียก่อนที่มันจะสายเกินไป การกระทำเช่นนี้เราเรียกว่า “การพิจารณามโนธรรม”

พิจารณามโนธรรมคืออะไร?
 พิจารณามโนธรรม คือ การคิดดูว่าเราได้ทำอะไรไปบ้าง อะไรดี อะไรผิด เพื่อจะได้หาทางปรับปรุงแก้ไขตนเองต่อไป

เราควรพิจารณามโนธรรมเมื่อไร?
คำตอบคือ เราควรพิจารณามโนธรรมทุกวัน เป็นต้น ก่อนนอน

พิจารณาบาปคืออะไร?
พิจารณาบาปคือคิดดูว่า เราได้ผิดต่อบัญญัติความรักในข้อใดบ้าง เพื่อจะได้ขอโทษพระเป็นเจ้า และไปสารภาพแก่พระสงฆ์ในศีลแก้บาปต่อไป

เราควรหัดเป็นนิสัยให้รู้จักพิจารณามโนธรรมทุกวัน เป็นต้น ก่อนนอน โดยสวดภาวนาและสงบจิตใจสักครู่เพื่อคิดดูว่า วันนี้เราได้ทำอะไรบ้าง มีอะไรดีที่ควรทำต่อไป มีอะไรผิดที่ควรละเว้น มีอะไรที่เราต้องทำแล้วไม่ได้ทำ เสร็จแล้วให้เราขอบคุณ พระเป็นเจ้าถ้าหากว่าเราได้ทำอะไรดี ขอโทษพระเป็นเจ้าถ้าเราได้ทำอะไรผิด หรือไม่ได้ทำหน้าที่ของเรา

เราควรพิจารณามโนธรรมเป็นพิเศษเมื่อจะไปรับศีลแก้บาป การพิจารณามโนธรรมแบบนี้เรียกว่า “พิจารณาบาป” เพราะเราเจาะจงคิดถึงบาปความผิดที่ได้กระทำ เพื่อจะได้รู้และไปสารภาพแก่พระสงฆ์ได้

เราพิจารณาบาปตามบัญญัติความรัก คือ
 ก. ความรักต่อพระเป็นเจ้า เช่น
ขาดความเคารพต่อพระเป็นเจ้า ไม่สำรวมตัวเมื่ออยู่ในวัดหรือเมื่อเดินเข้าออกวัด พูดคุยเล่นกันในวัด วอกแวกเมื่อสวดภาวนา นอนหลับในวัด ฯลฯ ขาดทำหน้าที่ต่อพระเป็นเจ้า ไม่สวดภาวนา ไม่ไปวัด ไม่รับศีลศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ศีลแก้บาปและศีลมหาสนิท หนีเรียนคำสอน ฯลฯ
 ข. ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ เช่น
ต่อผู้ใหญ่ ดื้อ ไม่นบนอบเชื่อฟัง ไม่เคารพ หน้าไหว้หลังหลอก โกหก ฯลฯ ต่อพี่น้องและเพื่อน ทะเลาะวิวาท ทำร้ายกัน รังแกกัน แย่งชิงของคนอื่น ขโมย อิจฉา ใส่ความ นินทา ด่าว่าร้ายต่อกัน โมโหโทโส ฯลฯ ต่อตัวเอง ไม่ซื่อสัตย์ในหน้าที่ ไม่ตั้งใจเรียน ไม่ทำการบ้าน หนีเรียน เกียจคร้าน โลภอาหาร ตระหนี่ถี่เหนียว ฯลฯ

การพิจารณามโนธรรมทำให้เรารู้จักตัวเองดีขึ้น และการพิจารณาบาปก็ทำให้เรารู้จักจุดบกพร่องของเราดีขึ้น เราจะได้รีบแก้ไขเสียตั้งแต่แรก ๆ การแก้ไขแต่แรกย่อมง่ายกว่าปลอดไว้จนกลายเป็นสันดาน แก้ไขยาก
 kamsondeedee.com

“พี่น้อง อย่าเป็นหนี้ผู้ใด นอกจากเป็นหนี้ความรักซึ่งกันและกัน
ผู้ที่รักเพื่อนมนุษย์ก็ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว”
(โรม 13:8)

เคยคิดอยู่เหมือนกันว่า ถ้าวันหนึ่งเราจากโลกนี้ไปแล้ว
คนข้างหลังจากพูดถึงเราว่าอย่างไรบ้าง
แบบอย่างที่เราทิ้งไว้ในความรู้สึกของคนรอบข้างเป็นอย่างไร
พวกเขาจะเสียดายที่เราจากไป หรือโห่ร้องยินดีในใจ
ช่วงเวลาที่เรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
นับวันถอยหลังก็ไม่ใช่ว่าจะยืนยาว
ความอ่อนล้า  เจ็บป่วย ผิดหวัง ทำให้เราเรียนรู้ว่า..
อะไรต่อมิอะไรบนโลกใบนี้มันไม่จีรังยั่งยืนเอาเสียเลย
เราจะเรียนรู้จักชีวิต และการแสดงออกเพื่อคุณค่าของการมีชีวิต
ก็ต่อเมื่อเราเรียนรู้ว่าชีวิตมันไม่ง่าย
และร่างกายที่คิดว่าเป็นของเราก็ไม่ใช่ของเรา
เพียงแต่ว่าเราเลือกที่จะใช้ร่างกายของเราบนโลกนี้กระทำสิ่งใด
พระเยซูเจ้าทรงตรัสสอนใจข้าพเจ้าว่า
อย่าพยายามที่จะเป็นหนี้ผู้ใดเลย
โดยเฉพาะหนี้เพื่อความสุขทางกาย
เพราะมันไม่เคยสร้างความสุขที่แท้จริงกับใคร
แต่ให้เราเป็นหนี้ความรักที่เรามีเป็นสมบัติที่พระมอบให้ในจิตวิญญาณอยู่แล้ว
หนี้ที่ไม่ต้องไปแก่งแย่งแข่งขันเพื่อให้ได้มา
และหนี้ที่เราสามารถยกให้คนรอบข้างได้โดยไม่ต้องไปทวงกลับคืน
 “จงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง
ความรักไม่ทำความเสียหายแก่เพื่อนมนุษย์”
(โรม 13:10)

ในเช้าวันใหม่ของทุกๆวัน แม้ว่าจะเป็นวันที่ไม่สวยงามนักก็ตาม
ข้าพเจ้าเฝ้าบอกกับตัวเองว่า
วันนี้จะเป็นอีกวันที่ข้าพเจ้าจะต้องไม่ทำร้ายคนรอบข้าง
ไม่ว่าจะด้วยการกระทำ หรือคำพูด
แม้ว่าในวันนั้นอาจจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เลย
ในขณะที่เพื่อนมนุษย์กำลังทำร้ายข้าพเจ้า
อาจจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
และข้าพเจ้ารู้สึกว่า นี่คือผลตอบแทนของการที่ข้าพเจ้าไม่ลุกขึ้นต่อสู้ใช่ไหม
ข้าพเจ้าเฝ้าร้องไห้ เสียใจ ผิดหวัง
คิดถึงถ้อยคำของคุณพ่อท่านหนึ่งที่เตือนใจข้าพเจ้าว่า
ถ้าคนดีคนหนึ่งท้อแท้ที่จะทำดี
เราจะมีคนชั่วเพิ่มขึ้นนะ
ข้าพเจ้าจำได้ว่าตั้งแต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่ากำลังเผชิญหน้ากับความยากลำบากที่จะทำดี
ข้าพเจ้าก็เริ่มใช้พระวาจาตอนหนึ่งเป็นข้อคิดประจำใจข้าพเจ้า
“อย่าท้อแท้ในการทำความดี
เพราะถ้าเราไม่หยุดทำความดี
เราก็จะได้เก็บเกี่ยวเมื่อถึงเวลา”
(กาลาเทีย 6:9)

เฝ้าบอกตัวเองทุกวันว่าอย่าท้อแท้ในการทำความดี
บางวันบอกตัวเองทั้งน้ำตาที่รู้ว่าตัวเองกำลังท้อแท้
เติมพลังให้ตัวเองด้วยการเดินหาใครสักคนที่มีพลังทางบวกจะมอบให้เรา
อย่าเข้าหาคนที่มีพลังทางลบ เพราะจะยิ่งดูพลังของเราออกไปอีก
ทำทุกวันให้เป็นวันแห่งความรักเพื่อตนเองและคนรอบข้าง
ตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้า
“จะรักให้  เหมือนพระองค์  ที่ทรงรัก
แจ้งประจักษ์ ว่ารักแท้ แน่แค่ไหน
ทุกข์ลำบาก น้ำตาพราก ไม่เป็นไร
สู้ต่อไป อย่าทดท้อ ต่อความดี
รอเก็บเกี่ยว  ผลแห่งรัก ประจักษ์แจ้ง
รอดวงใจ  เผยแสดง  ความสุขศรี
หลังสายฝน พร่างพรม ยังต้องมี
วันฟ้าใส  ใจเปรมปรีดิ์  มีพระพร
chandiocese.org

พี่น้องที่รัก “แล้วใครเล่า เป็นเพื่อนมนุษย์ของข้าพเจ้า” ใครเล่าเป็นเพื่อนมนุษย์ของเรา... เพื่อจะปฏิบัติตามพระบัญญัติและคำสอนของพระเจ้า รักพระเจ้าดูเหมือนไม่ยาก แต่ปัญหาคือรักเพื่อนมนุษย์นี่แหละ ที่ข้อกังขาของเราอยู่ที่ว่า ใครกันล่ะ ที่ฉันต้องรัก และคำว่าเพื่อนมนุษย์ที่ว่านี้เป็นอย่างไร... ใครที่ฉันควรจะยอมรับเขา (มัน) เป็นเพื่อนพี่น้อง เพื่อนมนุษย์ หรืออย่างน้อง มอง (เขา ไม่ใช่ มัน) มองเขาให้เป็นคนก่อน จากนั้นมองให้เห็นเขาฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก่อนที่จะมองสูงไปจนถึงว่า พระเจ้าทรงประทับในชีวิตของของด้วย ไม่ใช่ชีวิตของฉันเท่านั้น  ”อาจจะมีบางคนทีทำร้ายเรา ดูหมิ่นเรา นินทาเรา ตำหนิเรา และตัดสินลงโทษเรา เป็นความจริงที่ทุกคนจะต้องประสบ อย่างไรก็ตาม ขอให้เราคิดว่า พระเยซูเจ้าคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเรา ที่ยืนอยู่เคียงข้างเรา เมื่อคนอื่นได้ขว้างก้อนหินมายังเรา จงอย่ากลัว หรือรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า และอยู่โดดเดี่ยวคนเดียว”…เพราะแท้จริงแล้ว “เราไม่ใช่คนที่คนอื่นคิดว่าเป็นใคร แต่เป็นคนที่พระเยซูเจ้าคิดว่าเป็นใครต่างหาก” อย่าให้ความสำคัญว่าคนอื่นจะคิดกับเราอย่างไร แต่จงให้ความสำคัญว่า พระเจ้าคืดกับเราอย่างไรจะดีกว่า และจะเป็นแรงหนุนใจให้เราอยากทำสิ่งดีๆต่อไปเพื่อเป็นการถวายเกียรติด่พระองค์

ความรักถือเป็นบทบัญญัติที่สำคัญของศาสนาคริสต์ดังพระเยซูตรัสว่า
"จงรักพระเจ้าอย่างสุดใจ สุดความคิด และสุดกำลังและจงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง"
ความรักนี้ ไม่ใช่ความรักของหนุ่มสาวแต่เป็นความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ศาสนาคริสต์ ถือว่า ทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้าจึงควรรักกันเหมือนพี่น้อง  ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้นใหม่ที่ดี เริ่มกันสะวันนี้เลยนะคะ

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
KC Love God








ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ อ่านมัทธิว 26:3 ถึง 27:66 ยูดาสตอบรับการเรียกของพระเยซูให้ติดตามเช่นเดียวกับสาวกคนอื่นๆ เขาออ...