โคโลสี 3:23 กล่าวว่า “ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด
ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์” ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจเราว่า
ไม่ว่าเราจะทำกิจกรรมอะไรก็ตามในชีวิต เราสามารถทำให้แตกต่างจากคนทั่วไป
อย่างคนที่มีความหวังและมีความหมายในชีวิตผ่านทางพระเยซูคริสต์ได้
ในแต่ละวัน เรามีโอกาสมากมายที่จะทำสิ่งดี ๆ
เพื่อคนอื่น. แต่ดูเหมือนหลายคนคิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น.
หลักฐานมีอยู่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นการคดโกงด้วยวิธีที่ไร้ยางอาย
ขับรถปาดหน้าคนอื่น พูดจาหยาบคาย หรือระเบิดอารมณ์ใส่กัน.
ความเห็นแก่ตัวยังมีให้เห็นในหลายครอบครัวด้วย.
ตัวอย่างเช่น
คู่สมรสบางคู่หย่าร้างกันเพียงเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าตนเอง
“ควรได้รับสิ่งที่ดีกว่า.” แม้แต่พ่อแม่บางคนก็อาจปลูกฝังความคิดแบบเห็นแก่ตัวให้กับลูกโดยไม่ตั้งใจ.
อย่างไรล่ะ? ก็โดยตามใจลูกทุกอย่างไม่ว่าลูกอยากได้อะไร
และเมื่อลูกทำผิดก็ไม่กล้าอบรมสั่งสอน.
อย่างไรก็ตาม มีพ่อแม่หลายคนในทุกวันนี้ที่พยายาม
สอนลูกให้คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองและได้เห็นว่ามีผลดีมากมาย.
เด็กที่มีน้ำใจมักจะหาเพื่อนได้ง่ายกว่าและคบกันได้นาน.
เด็กเหล่านี้ยังมีความสุขมากกว่าด้วย. เพราะเหตุใด? เพราะคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “การให้ทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ.”—กิจการ
20:35
บางครั้งความคิดที่ว่าตัวเองสำคัญกว่าคนอื่นอาจเป็นผลมาจากการอบรมเลี้ยงดูในวัยเด็ก.
ตัวอย่างเช่น พ่อแม่บางคนได้รับอิทธิพลจากค่านิยมที่เริ่มแพร่หลายในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้ที่สนับสนุนให้พ่อแม่สร้างความมั่นใจให้ลูก.
หลักการเบื้องหลังค่านิยมนี้อาจฟังดูมีเหตุผลนั่นคือ
ถ้าการชมเชยลูกเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นสิ่งที่ดี การชมมาก ๆ ก็ยิ่งต้องดีกว่า.
ในทางตรงกันข้าม
ถ้าพ่อแม่แสดงความไม่พอใจแม้เพียงเล็กน้อยก็จะทำให้เด็กท้อใจ.
และในโลกที่ส่งเสริมให้คนสร้างความมั่นใจในตนเอง
พ่อแม่ที่ทำให้เด็กท้อใจ ถือว่าเป็นพ่อแม่ที่ใช้ไม่ได้. พ่อแม่ได้รับคำแนะนำว่าพวกเขาต้องไม่ทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไม่เอาไหน.
ดังนั้น พ่อแม่จำนวนไม่น้อยจึงพยายามชมเชยลูกทุกเรื่อง
ทั้ง ๆ ที่บางครั้งเด็กอาจไม่ได้ทำอะไรที่น่าชมเชยเป็นพิเศษ.
ความสำเร็จของลูกไม่ว่าเรื่องเล็กแค่ไหนก็ต้องฉลอง
แต่ความผิดพลาดของลูกไม่ว่าเรื่องใหญ่แค่ไหนพ่อแม่ก็พร้อมจะมองข้าม.
พ่อแม่เหล่านี้เชื่อว่าเคล็ดลับในการสร้างความมั่นใจให้ลูกคือ
อย่าใส่ใจกับความผิดพลาดและชมทุกเรื่องที่ชมได้. พวกเขาคิดว่าการทำให้ลูกรู้สึกภูมิใจในตัวเองสำคัญกว่าการสอนลูกให้รู้จักทำอะไรให้สำเร็จเพื่อเขาจะมีความภาคภูมิใจ
อย่างแท้จริง.
คำสอนของพระคัมภีร์ไบเบิล. พระคัมภีร์ไบเบิลยอมรับว่าการชมเชยผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดีถ้าผู้นั้นสมควร
ได้รับคำชม. (มธ 25:19-21)
แต่การชมเชยเพียงเพื่อทำให้เด็กรู้สึกดีก็อาจทำให้เขากลายเป็นคนหลงตัวเอง.
คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้อย่างถูกต้องว่า
“ถ้ามีใครคิดว่าตนเป็นคนสำคัญทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีความสำคัญอะไรเลย
คนนั้นก็ลวงตัวเอง.” (กาลาเทีย 6:3) เพราะเหตุนี้
คัมภีร์ไบเบิลจึงแนะนำผู้ที่เป็นพ่อแม่ว่า
“อย่าละเลยการเฆี่ยนสอนเด็ก:
ด้วยว่าถ้าเจ้าจะตีสอนเด็กด้วยไม้เรียวเขาคงจะไม่ตาย.”*—สุภาษิต
23:13
วิธีแก้. ขอให้คุณตั้งใจที่จะอบรมแก้ไขลูกเมื่อเห็นว่าจำเป็น
และชมเชยลูกเมื่อเขาสมควรได้รับคำชมเชยจริง ๆ.
อย่าชมเพียงเพราะต้องการให้ลูกรู้สึกดีกับตัวเอง.
วิธีนี้จะไม่ได้ผลแน่ ๆ. หนังสือคนพันธุ์ฉัน (ภาษาอังกฤษ) บอกว่า “ความมั่นใจในตัวเองที่แท้จริงเกิดจากการฝึกฝนทักษะและการเรียนรู้
ไม่ใช่เกิดจากการที่มีคนชมว่าคุณเก่ง.”
“อย่าทะนงตัวถือว่าสูงเกียรติกว่าที่เป็นอยู่
แต่จงถ่อมใจอยู่เสมอ.”—โรม 12:3, ฉบับประชานิยมเ
สดุดี 34
พ่อแม่ยุคใหม่หลายคนรู้สึกว่าพวกเขาต้องปกป้องลูกจากปัญหาทุกอย่าง.
ถ้าลูกสาวสอบตกหรือ? คุณก็แค่ไปพบครูของลูกและบอกให้เขาเพิ่มเกรดให้ลูก.
ถ้าลูกชายของคุณเจอใบสั่งล่ะ? คุณก็ไปจ่ายค่าปรับแทนเขา. ลูกของคุณอกหักหรือ? ก็แค่ปลอบลูกว่าเราไม่ผิดแต่คนนั้นไม่ดีเอง.
แม้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณต้องการปกป้องลูกของคุณ
แต่การปกป้องมากเกินไป
อาจทำให้ลูกคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเอง.
หนังสือสอนลูกวัยรุ่นอย่างถูกวิธี (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า
“แทนที่พวกเขาจะได้ฝึกรับมือกับความเจ็บปวดและความผิดหวัง
หรือถึงกับได้บทเรียนจากการกระทำของตัวเอง เด็ก [เหล่านี้]
จะกลายเป็นคนที่เอาแต่ใจและคิดถึงแต่สิ่งที่พวกเขาจะได้รับจากพ่อแม่และคนรอบข้าง.”
ทัศนะของคัมภีร์ไบเบิล.
ปัญหาและความยากลำบากเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต. ที่จริง
คัมภีร์ไบเบิลบอกไว้ว่า “เรื่องร้ายเกิดขึ้นได้กับทุกคน!”
(ท่านผู้ประกาศ 9:11, พระคริสตธรรมคัมภีร์
ฉบับอ่านเข้าใจง่าย ) แม้แต่คนดีก็อาจเจอกับเรื่องเลวร้าย.
ตัวอย่างเช่น เปาโล
อัครสาวกคนหนึ่งของพระเยซูก็เคยประสบความลำบากมากมายตลอดช่วงที่ทำงานเผยแพร่ของคริสเตียน.
แต่ประสบการณ์เหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อท่านนักบุญ เปาโลเขียนว่า
“ข้าพเจ้าได้เรียนรู้แล้วว่าจะอิ่มใจพอใจในสิ่งที่มีอยู่ไม่ว่าข้าพเจ้าอยู่ในสภาพการณ์อย่างไร.
. . .
ข้าพเจ้าได้เรียนรู้เคล็ดลับทั้งของการอยู่อย่างอิ่มหนำและการอยู่อย่างอดอยาก
ทั้งของการอยู่อย่างที่มีบริบูรณ์และการอยู่อย่างขัดสน.”—ฟิลิปปี 4:11, 12
วิธีแก้.
คำนึงถึงวุฒิภาวะของลูกและพยายามทำตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า
“ทุกคนต้องรับภาระของตัวเอง.” (กาลาเทีย 6:5, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับ 1971)
ถ้าลูกชายของคุณเจอใบสั่ง
ให้เขาจ่ายค่าปรับเองด้วยเงินเบี้ยเลี้ยงหรือเงินเดือนของเขา.
ถ้าลูกสาวของคุณสอบตก
บางทีนั่นอาจเป็นการเตือนสติให้ลูกรู้ว่าคราวหน้าเขาต้องเตรียมตัวให้ดีกว่านี้.
ถ้าลูกชายของคุณถูกแฟนสาวบอกเลิก คุณอาจปลอบเขา
แต่ควรหาโอกาสเหมาะ ๆ พูดคุยกันเพื่อช่วยให้เขาคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นและถามตัวเองทำนองนี้:
‘มีอะไรที่ผมต้องปรับปรุงตัวไหมเพื่อจะเป็นผู้ใหญ่กว่านี้?’ เด็กที่ได้ฝึกแก้ปัญหาจะแข็งแกร่งขึ้นและมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
แต่เด็กที่มีคนคอยช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างจะไม่มีทางพัฒนาตัวเองได้เลย.
“ให้แต่ละคนพิสูจน์ว่าการงานของตนเป็นอย่างไร . . .
แล้วเขาจะมีเหตุให้ตนเองปลาบปลื้มยินดี.”—กาลาเทีย 6:4
เด็กบางคนถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวที่ให้ความสำคัญกับวัตถุเงินทองมาก.
หนังสือโรคหลงตัวเองแพร่ระบาด (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า
“พ่อแม่อยากให้ลูกมีความสุข ส่วนลูกก็อยากได้สิ่งของสารพัด
พ่อแม่จึงซื้อของให้ลูก. และเด็กก็มีความสุข แต่เพียงแค่ไม่นาน.
อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็อยากได้ของมากกว่าเดิม.”
แน่นอนว่าอุตสาหกรรมโฆษณาก็รออยู่แล้วที่จะฉวยประโยชน์จากผู้ซื้อที่ไม่รู้จักพอ.
โฆษณาต่าง ๆ มักจะส่งเสริมความคิดที่ว่า
‘คุณคู่ควรกับสิ่งที่ดีที่สุด’ และ ‘เพราะคุณคู่ควร.’
หนุ่มสาวหลายคนตกหลุมพรางของการโฆษณาและทุกวันนี้ต้องกลายเป็นหนี้เพราะไม่สามารถหาเงินมาจ่ายสำหรับสิ่งที่เขา
“คู่ควร.”
คำสอนของพระคัมภีร์ไบเบิล. พระคัมภีร์ไบเบิลยอมรับว่าเงินเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต.
(ท่านผู้ประกาศ 7:12) แต่พระคัมภีร์ก็เตือนว่า “การรัก เงินเป็นรากของสิ่งที่ก่อความเสียหายทุกชนิด.”
และยังบอกด้วยว่า “เนื่องจากการขวนขวายหาเงิน บางคนจึง . . .
ได้ทิ่มแทงตัวเองทั่วทั้งตัวด้วยสิ่งที่ก่อความทุกข์มากมาย.” (1 ธิโมธี
6:10) คัมภีร์ไบเบิลไม่สนับสนุนเราให้แสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวยแต่สนับสนุนให้อิ่มใจพอใจกับสิ่งจำเป็นพื้นฐานในชีวิต.—1
ธิโมธี 6:7, 8
“คนที่มุ่งจะร่ำรวยก็ตกเข้าสู่การล่อใจ กับดัก
และความปรารถนาหลายอย่างที่โง่เขลาและก่อความเสียหาย.”—1 ติโมเธียว 6:9
วิธีแก้. ในฐานะพ่อแม่
คุณควรตรวจสอบทัศนะของตัวเองในเรื่องเงินและสิ่งที่เงินอาจซื้อได้.
จัดลำดับสิ่งสำคัญในชีวิตให้ชัดเจนและช่วยลูกให้ทำอย่างเดียวกัน.
หนังสือโรคหลงตัวเองแพร่ระบาด ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้แนะนำว่า
“พ่อแม่และลูกสามารถพูดคุยกันในเรื่องเหล่านี้ เช่น
‘เมื่อไรเราควรซื้อของที่ลดราคาและเมื่อไรไม่ควร?’ ‘ถ้าซื้อของเงินผ่อนหรือซื้อผ่านบัตรเครดิตต้องเสียดอกเบี้ยเท่าไร?’ ‘เคยมีไหมที่เราซื้ออะไรบางอย่างเพียงเพราะมีคนบอกว่าเราน่าจะซื้อ?’ ”
สิ่งที่ควรระวังคือ อย่าใช้ “ของ”
เป็นยาแก้เมื่อมีปัญหาภายในครอบครัว. หนังสือราคาของเกียรติยศ
(ภาษาอังกฤษ) บอกว่า “การให้วัตถุสิ่งของไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาได้.
เมื่อมีปัญหา คุณต้องแก้โดยใช้ความคิด ความเข้าใจ
และความเห็นอกเห็นใจ ไม่ใช่แก้ด้วยรองเท้าหรือกระเป๋า.”
พระคัมภีร์ไบเบิลไม่สนับสนุนให้ทำร้ายเด็กไม่ว่าทางร่างกายหรือจิตใจ.
(เอเฟซัส4:29, 31; 6:4)
เป้าหมายของการอบรมว่ากล่าวก็เพื่อสอนลูก ไม่ใช่เพื่อให้ลูกเป็นที่ระบายอารมณ์ของพ่อแม่.
(ข้อมูลจากwol.jw.org)
ข้อคิดหนุนใจจากพระคัมภีร์
15 พระเนตรของพระเจ้า เห็นคนชอบธรรม และพระกรรณของพระองค์สดับคำอ้อนวอนของเขา
14 จงหนีการชั่ว และกระทำการดี แสวงสันติภาพ และติดตามไป
7 ทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้ตั้งค่าย ล้อมบรรดาผู้ที่เกรงกลัวพระองค์
และช่วยเขาทั้งหลายให้รอด
8 ขอเชิญชิมดูแล้วจะเห็นว่า
พระเจ้าประเสริฐคนที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์ก็เป็นสุข
9 ท่านวิสุทธิชนทั้งหลายของพระองค์ จงยำเกรงพระเจ้าเพราะผู้ที่ยำเกรงพระองค์ไม่ขาดแคลน
10 เหล่าสิงห์หนุ่มยังขาดแคลนและหิวโหย แต่บรรดาผู้ที่แสวงพระเจ้า
ไม่ขาดของดีใดๆ
11 บุตรชายทั้งหลายเอ๋ย มาเถิด มาฟังเรา เราจะสอนเจ้าถึงความเกรงกลัวพระเจ้า
12 มนุษย์คนใดผู้ปรารถนาชีวิต และรักวันคืนทั้งหลาย เพื่อเขาจะได้เห็นของดี
13 จงระวังลิ้นของเจ้าจากความชั่ว และอย่าให้ริมฝีปากพูดเป็นอุบายล่อลวงขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
เมื่ออ่านจบแล้ว
หวังว่าเราทุกคนคงได้ข้อชีแนะเป็นแสงนำทางให้เราใช้ชีวิตห่างไกลจากการมีพฤติตนเที่เห็นแก่ตัวนะคะ ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ เมื่อเราได้รับมาก็ต้องรู้จักแบ่งปันสิ่งนั้นออกไปให้คนรอบข้างบ้าง เหมือนกับที่ข้าพเจ้าได้รับฟังคำสอนมากมายจากพระคัมภีร์ และสิ่งเหล่านี้ข้าพเจ้านับว่าเป็นพระพรที่พระเจ้าได้มอบให้ ดังนัั้นเมื่อเราได้รับมาแล้ว ก็ต้องแบ่งปันพระพรนี้ต่อๆไป การให้เวลากับการศึกษาคำสอนในพระคัมภีร์เป็นวัคซีนที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันอย่างดีให้กับชีวิตและจิตวิญญาณของเรา เพื่อที่เราจะได้ไม่ติดเชื้อบาปแบบง่ายดายเกินไป
ผู้มีใจกว้างต่อคนยากจนเปรียบเสมือนให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงขอยืม
พระองค์จะทรงตอบแทนการกระทำของเขา (สภษ19:17)
KC
Love God
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น