ความโกรธ
( Anger )
ความโกรธเป็นอารมณ์
เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบ สถานการณ์ที่เราไม่พึงพอใจ ไปโดยที่เราควบคุมตัวเองไม่ได้
ทำให้เราหัวเสีย ถ้าเราเก็บก็เป็นความขมขื่น
ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ไม่ดีกับเราเช่นเดียวกัน สิ่งที่เราควรรู้ก็คือ
ความโกรธบางอย่างถือว่าชอบธรรม
เวลาเราเห็นความไม่ชอบธรรมในสังคม การเอารัดเอาเปรียบผู้ไร้ทางสู้
การรังแกผู้น้อย และเราโกรธ ต้องถือว่าเป็นความโกรธที่ดี ดังนั้นไม่ใช่
ความโกรธทุกอย่างเป็นสิ่งผิด พระคัมภีร์พูดถึงความโกรธในโอกาสต่าง ๆ กัน
ตัวอย่างเช่น :
โมเสส โกรธมากเมื่อท่านเห็นคนของท่านไม่สัตย์ซื่อ (อพยพ 32:19 )
พระเยซูทอดพระเนตรดูรอบด้วยพระพิโรธเมื่อพระองค์
จะรักษาคนมือลีบให้หาย แต่คนเหล่านั้นมีใจแข็งกระด้าง ( มาระโก 3:5 )
พระเยซูทรงขับไล่คนเหล่านั้นที่มาขายของและแลกเงินตราในพระวิหาร (
มาระโก 11:15-17 )
เราอาจโกรธ โดยที่ยังมิได้มีใจบาป พระเจ้าเข้าใจอารมณ์ของคนเรา
บางครั้งอารมณ์เราพุ่งขึ้นขาดความยั้งคิด พูดสิ่งที่ไม่เหมาะสม
หรือแสดงออกอย่างไม่สุภาพ แต่ใช่ว่าคนเราจะมีอารมณ์เช่นนั้นอยู่ทั้ง 24 ชั่วโมง
พระคัมภีร์จึงสอนเราให้แก้ไข ทันทีที่อารมณ์ลดลง
จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่
(เอเฟซัส 4:26)
ความโกรธหลายครั้งหาความชอบธรรมไม่ได้
เป๋นการทำตามอำเภอใจของเรา และก่อให้เดิกความเสียหาย
เวลาเราไม่ได้อะไรสบอารมณ์ของเรา เราโกรธ อารมณ์โกรธเช่นนี้
พระเจ้าสอนให้เราควบคุม และยับยั้ง และระงับความโกรธ
พระคัมภีร์แนะนำให้เราควบคุมความโกรธ
คนโง่ย่อมให้ความโกรธของเขาพลุ่งออกมาเต็มที่
แต่ปราชญ์ย่อมยับยั้งโทสะไว้เงียบๆ(สุภาษิต 29:11)
ดูก่อน พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง
ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ (ยากอบ 1:19)
(bangkokfellowship.com)
ความโกรธเป็นเรื่องธรรมดา
ความโกรธเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง เช่นเดียวกับความเหงา
ความเศร้าเสียใจ และความตื่นเต้น จึงไม่เป็นเรื่องแปลกถ้าคุณรู้สึกโกรธ
เพราะมันเป็นกิริยาตอบสนองตามปกติของมนุษย์ทั่วไป
บางครั้งความโกรธอาจจะเกิดจากความกลัวหรือความเจ็บปวด
คุณอาจจะโกรธตัวเองที่หาเรื่องยุ่งยากมาสู่ตนเอง
หรือโกรธคนรอบข้างที่ทำร้ายคุณหรือทำให้คุณผิดหวัง
โกรธแม้กระทั่งเทพยดาฟ้าดินที่ปล่อยให้ความทุกข์ยากเกิดขึ้นกับคุณ
บางครั้งความโกรธก็เป็นเรื่องดี
เชื่อหรือไม่ว่า หากเรามีสติ
ความโกรธก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายและบางครั้งอาจจะสร้างสรรค์สิ่งดีๆ
ให้เกิดขึ้นได้ด้วยซ้ำ แต่ที่สำคัญที่สุด
เราต้องไม่ปล่อยให้อารมณ์โกรธนำเราไปสู่ความเกลียดชังหรือการทำร้ายผู้อื่น
ซึ่งมีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก พระคัมภีร์บันทึกว่า
แม้พระเยซูผู้เป็นพระเจ้าเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ก็ยังรู้จักโกรธเช่นกัน
แต่พระองค์ก็ไม่เคยทำบาปแม้สักครั้งเดียว พระองค์เป็นแบบอย่างของคำสอนที่ว่า
“จงเกลียดชังความบาป แต่อย่าเกลียดชังคนทำบาป” เรามักโกรธผู้ที่ทำผิดต่อเรา
แต่หากเราคิดด้วยใจเป็นธรรมแล้ว ตัวเราเองก็คงเคยทำผิดต่อผู้อื่นทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจเช่นกัน
ความโกรธเป็นเรื่องร้ายถ้าคุณโกรธแบบไม่เลิกรา
ความโกรธไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
ความเคียดแค้นและเกลียดชังมีแต่จะนำความวิบัติมาสู่ชีวิตของเรา
เพราะความโกรธมีพลังอำนาจอาจทำลายชีวิตทั้งชีวิตหากเราไม่อาจควบคุมอารมณ์โกรธได้
บางครั้งเราลงโทษตัวเองที่ได้ทำผิดต่อคนอื่น
เราจึงโกรธและเกลียดตัวเราเองอย่างไม่รู้ตัว ความโกรธทำให้เราคิดอะไรไม่ออก
และถึงจะคิดอะไรได้บ้าง ก็ไม่สามารถคิดได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
เราจึงยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น
ให้เรามาดูว่าพระเจ้าสอนเราอย่างไรในเรื่องความโกรธ
“แม้ท่านจะโกรธ ก็อย่าให้เป็นบาป จงเลิกโกรธก่อนดวงอาทิตย์ตก
อย่าให้โอกาสแก่มาร” (เอเฟซัส 4:26-27)
“...ทุกคนจงฉับไวที่จะฟัง แต่ช้าที่จะพูด และช้าที่จะโกรธ
คนที่โกรธย่อมไม่ปฏิบัติตนชอบธรรมตามพระประสงค์ของพระเจ้า” (ยก 1:19-20)
“ผู้โกรธช้าย่อมดีกว่านักรบชำนาญศึก
ผู้รู้จักบังคับใจตนเองย่อมดีกว่าผู้ที่ยึดเมืองได้” (สุภาษิต 16:32)
แล้วการแก้แค้นล่ะ?
หลายครั้งที่ความโกรธนำมาซึ่งความแค้นและตามมาด้วยการแก้แค้น
หยุดสักนิดคิดสักหน่อยว่าเราแก้แค้นเพื่อให้เกิดความยุติธรรมได้ไหม? ความจริงก็คือ การแก้แค้นไม่เคยช่วยให้ใครรู้สึกดีขึ้น
และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เลวร้ายให้ดีขึ้นได้ สิ่งที่เราทุกคนควรทำคือ
พยายามให้อภัย และทำใจให้สบาย ด้วยการไม่ยอมเป็นทาสของอารมณ์โกรธหรือเกลียดชัง
ซึ่งอาจนำไปสู่ความรู้สึกต้องการแก้แค้น หากคุณไม่ยอมให้อภัยก็หมายความว่าผู้ที่ทำร้ายคุณยังคงมีอำนาจเหนือคุณอยู่
และจะยิ่งทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิม
ลืมมันเสียเถิด !
ใช่ ความโกรธและความเจ็บช้ำน้ำใจไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะลืมกันได้ง่ายๆ
แต่การเก็บซ่อนวามโกรธไว้ในใจ มันจะกัดกร่อนเราเรื่อยๆ
การขจัดอารมณ์โกรธที่พระเจ้าสอนเราคือ “ให้อภัย”
จงยกโทษให้ผู้อื่นแล้วชีวิตคุณจะเป็นสุขและมีสุขภาพดีทั้งกายและใจด้วย
นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่พระคัมภีร์กล่าวว่า
“ให้เราขจัดความเกลียดชังในชีวิตประจำวันเพราะจะช่วยหยุดกิจการของความชั่วร้ายในตัวเรา”
คุณอาจจะคิดว่า “ให้อภัยเป็นเรื่องพูดง่ายแต่ทำยาก ฉันคงทำไม่ได้”
นั่นเป็นเพราะคุณยังมีอารมณ์โกรธอยู่
แต่ด้วยการขอความช่วยเหลือของพระเจ้าผู้สูงสุด
คุณจะได้รับการเสริมกำลังที่จะก้าวข้ามอารมณ์และความโกรธไปได้
พระคัมภีร์หลายตอนได้กล่าวถึงผลดีของการให้อภัยไว้ว่า
“สามัญสำนึกทำให้คนโกรธช้า การมองข้ามการถูกรังแกย่อมเป็นเกียรติแก่เขา”
(สุภาษิต 19:11)
“จึงดีกว่าที่ท่านจะให้อภัยและให้กำลังใจเขา
เพื่อเขาจะไม่ต้องรับความทุกข์เกินกว่าที่จะทนได้” (2โครินธ์ 2:7)
“จงระงับโทสะและเลิกโกรธ อย่าเดือดร้อน เพราะไม่เกิดประโยชน์ใด”
(สดุดี 37:8)
“... อย่าแก้แค้นเลย แต่จงให้พระเจ้าทรงตัดสินลงโทษเถิด
ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า การแก้แค้นเป็นของเรา
เราจะตอบแทนการกระทำของทุกคน
พระเจ้าตรัสดังนี้ ตรงกันข้าม ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารแก่เขา
ถ้าเขากระหาย จงให้เขาดื่ม
เพราะเมื่อทำเช่นนี้ ท่านจะทำให้เขาสำนึกและละอายใจ อย่าให้ความชั่วเอาชนะท่าน
แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี” (โรม 12:19-21)
หากท่านเป็นคนโกรธง่าย ขอให้ท่านพึ่งพระเจ้าในวาระที่ท่านรับความระคายเคืองในจิตใจ
ขอแนะนำว่า ท่านควรอธิษฐานพึ่งพระเจ้า ให้พระเจ้าช่วยให้ท่านเข้าใจสถานการณ์
และช่วยใจท่านให้สงบลง
พระองค์จะประทานอารมณ์ที่เยือกเย็นขึ้นให้แก่ท่านในยามวิกฤติ
และเมื่อผ่านพ้นไปแล้วท่านจะยิ่งมีกำลังทวีขึ้น
ครั้งต่อไปท่านจะสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้น
KC Love God
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น