วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2561

ทำไมเราถึงมองเห็นผงในตาคนอื่น ทั้งที่มีไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาตนกลับไม่รู้สึก



อย่ากล่าวโทษเขา
 3เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก 4เหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ’ แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง 5ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้ (มัทธิว 7:3-5)

ทำไมเราถึงมองเห็นผงในตาคนอื่น  ทั้งที่มีไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาตนกลับไม่รู้สึก — แสดงให้เห็นถึงการกระทำที่ลำเอียง เอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่นเขา การกระทำของตนไม่พิจารณาแก้ไข แต่กลับนั่งนับจับผิดคนที่ทำผิดน้อยกว่าตน

แต่ละคนมีความรับผิดชอบที่จะต้องมองดูการกระทำของตัวเองก่อน คุณคงหงุดหงิดต่อคนที่ชอบสอนคนอื่นทั้งๆ ที่ตนไม่รู้อะไรเลย พระเยซูทรงเรียกพวกฟาริสี สะดูสีและธรรมาจารย์ว่าเป็น(คนตาบอด) เพราะเขาคิดว่าตนรู้พระบัญญัติมากกว่าคนอื่นๆ เขามักจะเอาแอกที่หนักไปวางให้คนอื่นแบก ส่วนพวกเขาเองแม้เพียงปลายนิ้วก็ไม่ยอมยกขึ้น...

ความชั่วบังตา มองเห็นบาปคนอื่น แต่มองข้ามบาปตัวเอง — ดู สดุดี 40:12 เมื่อมารทำให้เรากล่าวโทษคนอื่นเราก็เอาตัวเข้าไปสู่บาปอีกบาปหนึ่งที่หนักกว่า มองเห็นความสำคัญที่จะต้องจัดการกับ (ผงในตาคนอื่น) แต่ไม่แม้แต่จะหันมามอง(ท่อนไม้ในตาของตนเอง)

คำอธิษฐานของฟาริสีและคนเก็บภาษี — ลูกา 18:9-14

9สำหรับบางคนที่ไว้ใจในตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรม และได้ดูหมิ่นคนอื่นนั้น พระองค์ตรัสคำอุปมานี้ว่า 10“มีสองคนขึ้นไปอธิษฐานในบริเวณพระวิหาร คนหนึ่งเป็นพวกฟาริสีและคนหนึ่งเป็นพวกเก็บภาษี 11คนฟาริสีนั้นยืนนึกในใจของตน อธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์โมทนาขอบพระคุณของพระองค์ ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งเป็นคนโลภ คนอธรรม และคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ 12ในสัปดาห์หนึ่งข้าพระองค์ถืออดอาหารสองหน และของสารพัดซึ่งข้าพระองค์หาได้ข้าพระองค์ได้เอาสิบชักหนึ่งมาถวาย’ 13ฝ่ายคนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล ไม่แหงนดูฟ้า แต่ตีอกของตนว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดพระเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด’ 14เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปยังบ้านของตนก็นับว่าชอบธรรม มิใช่อีกคนหนึ่งนั้น เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ได้ถ่อมตัวลงจะต้องถูกยกขึ้น”

เราจำเป็นต้องเห็นอันตรายของการ ‘ตัดสินพี่น้อง’ — พระคัมภีร์สอนให้เรา ‘ตักเตือนพี่น้อง’ แต่ไม่ใช่ให้(ตัดสิน) การนินทา, การใส่ร้าย, การบิดเบือนความจริง ล้วนแต่เป็นบาปที่นำมาสู่การแตกแยก เมื่อเราเอาความคิดเห็นของตัวเองเป็นใหญ่และไม่พึ่งพาพระวจนะของพระเจ้า เราก็กำลังทำให้เกิดการแตกแยกขึ้นในครอบครัวของพระเจ้า

เมื่อพี่น้องทำผิดต่อเรา พระคัมภีร์ให้เรา “จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน” (มัทธิว 5:24)

พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามากเท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชาและซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้ (1 ซามูเอล 15:22)

เราก็เป็นคนบาปที่รับการอภัยจากพระเจ้า ดังนั้น ให้เรามีใจที่อภัยให้กับผู้อื่น เพราะถ้าเราจะว่าเราไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง และสัจจะก็ไม่ได้อยู่ในเรา(ดู 1 ยอห์น 1:8) ปัญหาที่ทำให้คริสตจักรอ่อนแอก็คงจะไม่มีอะไรมากไปกว่าความเห็นแก่ตัว, ความเย่อหยิ่งของคริสเตียน ต่างก็เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้เขา เมื่อไม่พอใจใครก็เก็บกด, นินทา, ถอนตัว, แยกอยู่สันโดด ฯลฯ ไม่ถ่อมใจพอที่จะเข้าไปพึ่งพาพระเจ้า, ไม่ขอการช่วยเหลือ, ไม่มองดูความบกพร่องของตนเอง และไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ตามพระทัยพระเจ้า เรามักจะทำตัว “ฉันก็คือฉัน” ไม่มี ‘หิริโอตตัปปะ’ (ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป) ไม่ได้คิดเห็นแก่กางเขนของพระคริสต์

คนมักเหนื่อยเพราะ(มอง)บาปของคนอื่น แต่ไม่เหนื่อยเมื่อแบกบาปของตัวเอง — อย่ากระหายที่จะเขี่ยผงออกจากตาเขา โดยที่ในตาของเรามีไม้ทั้งท่อน พระคัมภีร์บอกให้เรา “จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน” บาปเป็นภาระให้แก่ทุกคนที่แบกมัน บังตาทุกคนที่มีมัน บาป(ไม้ทั้งท่อน)ในตัวเราทำให้เรามองบาป(ผงในตาของพี่น้อง)ไม่ชัด แม้จะพยายามเขี่ยเท่าไรก็เขี่ยไม่ออก เพราะนั่นเป็นวิธีการที่ผิด เป็นวิธีการของคุณ ไม่ใช่เป็นวิธีการของพระเจ้า

อย่าพยายามเอาชนะกันและกันด้วยการพูดว่า “ฉันดีกว่าเธอ” — อย่าพยายามเอาชนะคนอื่นด้วยการ(ชี้นิ้วกล่าวโทษเขา) แต่จงทำตัวให้เป็นแบบอย่าง การทำตัวเป็นแบบอย่างนั้นต้องใช้เวลาไม่น้อย อาจจะได้ผลกับบางคนแต่ไม่มีผลต่อบางคน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ชีวิตที่เป็นแบบอย่างย่อมมีพลังมากกว่าการ(ชี้นิ้ว)แน่นอน

กาลาเทีย 6:4 กล่าวว่า “ทุกคนจงสำรวจการกระทำของตนเอง จึงจะมีอะไรๆ ที่จะอวดได้ในตัว ไม่ใช่เปรียบกับผู้อื่น” พระเจ้าไม่ได้เรียกให้เราไปสร้างบาดแผลในใจของพี่น้อง แต่ให้เราหนุนจิตชูใจกัน และเสริมสร้างกันขึ้นสู่ความไพบูลย์ของพระคริสต์

จงสอนตนเองก่อนที่จะสอนคนอื่นเสมอๆ ฟาริสีถูกพระเยซูเรียกว่า เจ้า “พวกฟาริสีตาบอด” ก็เพราะพวกเขาเอาแต่จับผิดการกระทำของผู้อื่นแต่ไม่เคยคิดจะพิจารณาแก้ไขอุปนิสัยของตัวเอง พระธรรมสุภาษิต 29:18-20 กล่าวว่า

18“ที่ใดๆ ที่ไม่มีการเผยธรรม ประชาชนก็ละทิ้งความยับยั้งชั่งใจเสีย แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข 19สักแต่ใช้คำพูดเท่านั้นจะฝึกสอนคนใช้ไม่ได้ เพราะถึงแม้เขาจะเข้าใจ แต่เขาก็จะไม่ฟัง 20เจ้าเห็นคนที่ปากไวหรือ ยังมีหวังในคนโง่มากกว่าเขา”

พระเจ้าทรงแก้ไขปัญหาความบาป(ของโลก)ด้วย ‘ความตายของพระเยซูคริสต์’ — ความรัก, การเสียสละ, ความอดทน, การอภัย ฯลฯ พระเยซูคริสต์ได้ทำเพื่อเราก่อนที่เราจะรู้จักพระองค์ ทรงให้เราก่อนที่เราจะเรียกพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์” ความเย่อหยิ่งทำให้เราไม่ยอมเรียนรู้ความถ่อมใจจากพระคริสต์ เราคิดว่าเรามีดีกว่าใคร และไม่สนใจว่าวิธีการที่เราใช้ในการ(เขี่ยผง)ออกจากตาพี่น้องจะทำให้เขาเจ็บปวดหรือไม่ หัวใจที่ด้านชาก็ไร้ความเมตตาสงสาร การถือตัวว่าถูกต้อง ไม่ได้ช่วยให้เราเป็นคนที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่การถ่อมใจยอมให้เวลากับผู้ที่ยังอ่อนแอต่างหากที่พระเจ้าทรงยอมรับว่าทำเพื่อพระองค์

อย่าหลงตัวเองและอย่าหลอกตัวเองว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยในการเป็น ‘ขงเบ้ง’(ผู้มีปัญญา)ของตน เพราะขงเบ้งใช้ปัญญาเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม แต่หลายครั้งที่คริสตจักรแตกแยก พระกายพระคริสต์ต้องเจ็บปวดก็เพราะคนที่มักอวดตัวว่ามีปัญญาแต่มีหัวใจที่ไร้ความปราณี
(ขอขอบคุณ เจิม ซัม สำหรับข้อความหนุนใจดีๆนี้คะ)

พี่น้องที่รักจากพระวจนะทั้งหมดที่ได้กล่าวมานี้ จะเห็นพระคริสต์ทรงต้องการให้เราสำรวจตนเอง ให้ถ้วนทั่วท่องแท้เสียก่อน  หากพบส่วนที่บกพร่องและผิดดพลาด ก็ให้แก้ไขปรับปรุงตนเสียให้ดีก่อน แล้วจึงบอกผู้อื่นถึงข้อบกพร่องและปัญหาของเขา หรือการมองหาข้อตำหนิของตนเองก่อนที่ไปมองหาข้อบกพร่องของผู้อื่น

เราต้องแก้ไขตัวเองก่อน (มธ.7:3-5)
พระเยซูบอกว่าให้เอาไม้ทั้งอนที่อยู่ในตาของตนเองออกก่อน เพื่อตัวเองจะได้เห็นชัดเจน เพราะว่าหลายครั้งเราไปว่าคนอื่น ขณะที่ตัวเราเองยังทำผิดพลาดอยู่ ความผิดที่เราทำก็ไม่ใช่เล็กน้อยเสียด้วยสิ เพราะคำว่า ไม้ทั้งท่อน มันคงต้องใหญ่กว่าผงที่อยู่ในตาคนอื่นอย่างแน่นอน อย่าเป็นเหมือนดาวิดที่ทำผิดแล้วยังไม่รู้ตัวอีก (2ซมอ.12:5-6) และแม้รู้ว่าทำผิดแล้วก็ยังขอให้พระเจ้าหันหน้าหนีไปจากความบาปที่ตนเองได้ทำ (สดด.51:9-13) แต่ให้เราพิจารณาตัวเราเองอยู่เสมอ ขอพระเจ้ายกโทษความผิดที่เราได้กระทำ  แก้ไข แต่ไม่แก้ตัว  ก่อนนอนทุกคืนเราควรสำรวจชีวิตของเราและสารภาพบาปต่อพระเจ้าทุกคืน

ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องที่รักทุกท่าน
Kc Love God


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ อ่านมัทธิว 26:3 ถึง 27:66 ยูดาสตอบรับการเรียกของพระเยซูให้ติดตามเช่นเดียวกับสาวกคนอื่นๆ เขาออ...