วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561

พระคัมภีร์สอนเราอย่างไร เรื่องไม่ต้องวิตกกังวลใจเกินไป



โรควิตกกังวล (ภาษาอังกฤษ: Anxiety disorders)
เป็นกลุ่มความผิดปกติทางจิตกำหนดโดยความวิตกกังวลและความกลัว
ความวิตกกังวล (anxiety) เป็นความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคตและความกลัว (fear)
เป็นปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ปัจจุบัน

​ความกังวลในชีวิต เป็นเรื่อง “บั่นทอน” ความเชื่อ
​เพราะเราจะขาดความวางใจ เชื่อใจ
ความหวังที่มีความเชื่อถูกตอบในจดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวโครินทร์ ฉ.1 ว่า

​“องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาพระองค์จะทรงฉายแสงให้ความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดจะปรากฏชัดและจะทรงเปิดเผยความในใจของทุกคนให้ปรากฏเมื่อนั้นทุกคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้าตามสมควร”

​ความหวังที่จะไม่ใช่ ความวิตกกังวลใจเลย คือ ความหวังที่ ไว้วางใจ
​ไม่คิดไปก่อน
ไม่คิดมากเกิน ไม่คิดห่วงคิดหวงคิดเอาแต่ได้
ไม่คิดหลงสลวน(สา-ละ-วน)
เข้าข้างตัวเอง ซึ่งเป็น “ท่าทีอ่อนๆ ของคนวิตกกังวล ถ้าเป็นอย่างนี้อย่างถาวรหรือมากไป ก็จะเข้าข่าย “วิกลจริต” ที่เป็นมากกว่า “วิตกกังวล”

​ความเชื่อ จึงสอนเราเรื่อง “การรอคอยหรือความหวัง” ให้เราเป็นคนสุภาพ
ไม่เรียกร้องเอาแต่ใจ
ไม่คาดหวังตีโพยตีพาย
เพื่อเราจะได้มี “ช่องความเข้าใจ” ที่เรียกว่า “พระหรรษทานแห่งความหวัง” นั่นคือ ดำรงอยู่ได้แม้จะยังไม่ได้รับการตอบแทนอย่างทันท่วงที ยืนหยัดอยู่ได้แม้จะไม่ได้รับตอบสนองตามวิธีขีดเส้นของตนเอง

โดยส่วนตัวข้าพเจ้าเป็นคนที่กลัวการจากกัน กลัวคนในครอบครัวจะจากไปรวมไปถึงทึกคนที่เรารัก และก็กลัวการเปลี่ยนแปลง ความกลัวเหล่านั้นค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น คุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มอายุมาก เริ่มเจ็บป่วย น้องสาวที่รัก เราก็ห่วงเขาเรื่องสุขภาพ และลูกหลานที่กำลังเติบโต นึกคิดถึงและ ห่วงคุณน้าที่เรารัก เพื่อนๆที่เรารัก ความกังวล ความห่วงมากมายเต็มไปหมด ประกอบกับเราเองแต่งงานมีครอบครัวมีลูกแล้ว และต้องย้ายถิ่นฐานมาอยู่ไกลเขาเหล่านั้นมากๆ ทำให้กังวลถึงอนาคตอีกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราไม่สามารถรับมือพร้อมๆ กันหลายๆ อย่างได้ ความกังวลเหล่านั้นบางครั้งก็ทำให้เครียดได้โดยไม่รู้ตัว นอนไม่หลับ แล้วก็ที่สำคัญคือเราไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้ เราไม่อยากจะเอาความหนักใจ ความกังวลมาแชร์ให้กับคนอื่น เพราะไม่อยากให้เขาให้ครอบครัวต้องมากังวลไปกับเรา

เมื่อข้าพเจ้าและครอบครัวต้องย้ายมาอยู่ที่อเมริกากันอย่างถาวร การเปลี่ยนแปลงชีวิตในครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตเช่นกัน เพราะเราต้องจากประเทศที่เราเกิดมาอาศัยอยู่ในประเทศที่ต่างวัฒนธรรม พูดกันคนละภาษา เราก็ใช่ว่าจะพูดอังกฤษปร๋อสะเมื่อไหร่ ระยะทาง ไกลก็ไกล ขับรถไปกลับก็ไม่ได้ ต้องบินกลับอย่างเดียวและแน่นอนค่าครองชีพเอยค่าใช้จ่ายเอย มันย่อมสูงขึ้นทวีคูณมากกว่าแต่เดิมแน่นอน ความกังวลใจเกิดขึ้นมากมายโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ในวิกฤตแบบนี้ ข้าพเจ้าเลือกที่จะฝากทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เพราะปัญหาต่างๆที่ข้าพเจ้าครุ่นคิดและกังวลใจอยู่นี้ มันอยู่เหนือความสามารถของตัวข้าพเจ้าเอง ในการที่จะเข้าไปแก้ไข หรือทำให้ทุกเรื่องมันสมบูรณ์แบบ และผ่านไปได้อย่างราบรื่น แต่พระพรแรกเลยที่ข้าพเจ้าขอบคุณพระ นั่นก็คือการมีสามีที่รักพระเจ้าเช่นเดียวกันอย่างเรา มันจึงทำให้ชีวิตของเราสองคนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน พระพรต่อๆมาก็คือการมีสุขภาพที่ดีขึ้นของตัวข้าพเจ้าเองและของลูก ซึ่งมีหลายๆเหตุการณ์ทำให้ข้าพเจ้ารู้ซึ้งและตระหนักถึงและอยากแบ่งปันสู่ทุกท่านก็คือ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โปรดจงเชื่อและวางใจเถิดว่า พระเจ้าทรงมีแผนการณ์ที่ดีไว้รอเราเสมอ มันยิ่งใหญ่กว่าที่เราคาดหวังไว้เสียอีก (ฟีลิปปี 4:6 “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอนกับการขอบพระคุณ)

การย้ายมาอยู่อเมริกา ทำให้ข้าพเจ้ามีเวลาศึกษา พระคัมภีร์ไบเบิล มากขึ้น ข้าพเจ้าเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือ สามีจึงโหลดแอปไบเบิลมาให้ ซึ่งมันดีมาก ๆ สะดวกต่อการใช้งาน ฟังได้ทุกที่ ถ้าจะอ่านก็จะไปค้นหาอ่านบ้างตาม เพจต่างๆ และการได้ฟังได้อ่านได้ฟังพระวาจาชองพระเจ้า ในชีวิตแต่ละวันสามารถหนุนใจข้าพเจ้า และทำให้ข้าพเจ้ามีมุมมองใหม่ๆ และมีความมั่นใจมากขึ้นๆ ว่าพระเจ้าจะทรงอยู่กับครอบครัวของข้าพเจ้าตลอดไปอย่างแน่นอน

เมื่อได้ลองใช้เวลากับพระองค์มากขึ้น อธิษฐานภาวนามากขึ้น ตื่นนอน ก็รู้สึกขอบคุณคิดถึงพระ ก่อนจะหลับตานอนก็ขอบคุณพระ  มันเป็นชีวิตใหม่ที่พระองค์ทรงมอบให้ข้าพเจ้าจริงๆ มันแตกต่างจากเมื่อก่อนตอนอยู่เมืองไทยมาก เพราะชีวิตสมัยนั้นมันจะสาระวนวุ่นวายกับหน้าที่การงาน กังวลเรื่องการกิน การอยู่ เครื่องนุ่งห่ม และ การอยู่ร่วมกันกับคนมากมาย คิดสาระพัดเรื่องราว กังวล วิตกหลายอย่าง เราทำตัวยุ่ง จนเวลาที่มีให้พระดูช่างน้อยนิดเสียเหลือเกิน หากเอามาเปรียบเทียบกับตอนนี้นะคะ การได้ฟังคำสอนจากไบเบิล ข้าพเจ้าพบว่าปัญหาที่อยู่ในใจทั้งหมดที่ดูเหมือนเชือกที่พันกันแน่นเยอะแยะมากเลยแล้วไม่สามารถที่จะแกะออกมาได้ มันค่อยๆคลีคลายออกอย่างไม่น่าเชื่อเลย และก็ได้รับรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเราเสมอ อันนี้จริงแท้และแน่นอน(ข้อนีี้ข้าพเจ้ารู้มาตั้งแต่เริ่มจำความได้แล้วคะ) และทำให้ข้าพเจ้าได้ทำเพจขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนได้ทราบเรื่องราวของพระเจ้า ความรักของพระองค์ นั้นมั่นคงและไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ทรงรักเราทุกคน เพียงแค่เรายอมเปิดใจ ทำความรู้จักกับพระองค์ให้มากขึ้นก็พอ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ใครฟังแล้วจะมาเชื่อกันได้เลย  ท่านต้องลองด้วยตัวท่านเอง ศึกษาค้นหา ด้วยตัวท่านเอง สละเวลาที่แสนยุ่งในแต่ละวันให้กับพระ เริ่มจากน้อยไปหามาก เพราะสำหรับตัวข้าพเจ้าแล้ว ทุกครั้ง หลังจากการอ่านพระคัมภีร์ไบเบิล  ไม่ว่าจะครั้งไหน ไม่ว่าปัญหาจะหนักสักเท่าไหร่ จะสับสนวุ่นวายใจแค่ไหน  ข้าพเจ้าก็จะได้คำตอบจากไบเบิล ทุกๆ ครั้ง เพราะพระคัมภีร์ไบเบิล สามารถทำให้ข้าพเจ้ามองเห็นว่าอนาคตของข้าพเจ้า ควรจะดำเนินชีวิตไปอย่างไร และสิ่งที่ข้าพเจ้ากลัวอยู่มีหนทางแก้ด้วยอะไร ควรทำอย่างไร เพื่อให้ผ่านมันไปได้

ข้าพเจ้ารู้สึกว่าชีวิตมันง่ายขึ้นเยอะเลย มันทำให้เรารู้ว่าเราจะดำเนินชีวิตอย่างไร และรู้ว่ากำลังจะไปไหน กำลังทำอะไรอยู่ จะไปอย่างไร และเชื่อว่าสามารถไปถึงที่หมายได้แน่นอน

พระคัมภีร์สอนอย่างชัดเจนและบอกให้เราไม่ต้องวิตกกังวล

ฟีลิปปี 4:6 “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอนกับการขอบพระคุณ”

ในข้อพระคัมภีร์นี้ เราได้เรียนรู้ว่าเราควรจะทูลความต้องการทุกอย่างของเรา และเรื่องราวต่างๆ ต่อพระเจ้า โดยการอธิษฐานมากกว่าวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น

พระเยซูทรงหนุนใจเราให้หลีกเลี่ยงความวิตกกังวลเกี่ยวกับความต้องการฝ่ายร่างกายของเราอย่างเช่นเสื้อผ้าและอาหาร พระเยซูทรงทำให้เรามั่นใจว่าพระบิดาบนสวรรค์ของเราจะทรงดูแลทุกความต้องการของเรา

มัทธิว 6:25-34 “เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลาย ผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้ ท่านทั้งหลายมิประเสริฐกว่านกหรือ มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวาย อาจต่อชีวิตให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนาว่า มันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่ากษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง แม้ว่าพระเจ้าทรงตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ ผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่านมากยิ่งกว่านั้นหรือ เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม เพราะว่าพวกต่างชาติแสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้ แต่ว่าพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่า ท่านต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ “เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว”

ดังนั้นเราจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องวิตกกังวลเกี่ยวกับสิ่งใดเลยเพราะความวิตกกังวลไม่ควรจะเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้เชื่อในพระเจ้า แล้วคนเราจะเอาชนะความวิตกกังวลได้อย่างไร?

1 เปโตร 5:7 “จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย”

พระเจ้าไม่ได้ทรงปรารถนาให้เราแบกน้ำหนักของปัญหาและภาระทั้งหลาย ในข้อนี้ พระเจ้าทรงกำลังบอกเราให้มอบความวิตกกังวลและเรื่องต่างๆของเราไว้กับพระองค์ ทำไมพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะรับเอาปัญหาของเรา? พระคัมภีร์บอกว่ามันเป็นเพราะพระองค์ทรงห่วงใยเรา พระเจ้าทรงเป็นห่วงทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่มีความวิตกกังวลใดที่ใหญ่เกินไปหรือเล็กเกินไปสำหรับความทัยพระองค์ เมื่อเรามอบปัญหาของเราแด่พระเจ้า พระองค์ทรงสัญญาว่าจะทรงประทานสันติสุขซึ่งเกินความเข้าใจทุกอย่างแก่เรา

ฟีลิปปี 4:7 “แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”

แน่นอน สำหรับผู้ที่ไม่รู้จักพระผู้ช่วยให้รอด ความวิตกกังวลและความกระวนกระวายจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่สำหรับบรรดาผู้ที่ได้ถวายชีวิตของพวกเขาต่อพระองค์ พระเยซูทรงให้สัญญา:

มัทธิว 11:28-30 “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข จงเอาแอกของเราแบกไว้แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะและภาระของเราก็เบา”

“ฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่าอย่ากังวลถึงชีวิตของท่านว่าจะกินอะไรอย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่าจะนุ่งห่มอะไร
ชีวิตย่อมสำคัญกว่าอาหารและร่างกายย่อมสำคัญกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ
จงมองดูนกในอากาศเถิดมันมิได้หว่านมิได้เก็บเกี่ยวมิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง
แต่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงมันท่านทั้งหลายมิได้มีค่ามากกว่านก
หรือท่านใดบ้างที่กังวลแล้วต่ออายุของตนให้ยาวออกไปอีกสักหนึ่งวันได้”

ความหวัง ทำให้ความเชื่อของเรามีชีวิต
ความวิตกกังวล ทำให้ความเชื่อของเราเฉาตาย
ความหวังจึงเป็นคุณธรรมทางความเชื่อที่ให้เราออกจากตัวเอง
มุ่งหน้ามีชีวิตในพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นเป้าหมาย
ออกเดินทางบากบั่นในชีวิตอย่างมีชีวิตชีวา
ทำให้เป้าหมายข้างหน้าเป็นเป้าหมายปลายทาง บ้านแท้นิรันดรที่เราดำเนินชีวิตไปเพื่อการมีชีวิตนิรันดร

ขอพระเจ้าองค์แห่งความรอดพ้น อวยพรทุกท่านนะคะ
KC Love God



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ อ่านมัทธิว 26:3 ถึง 27:66 ยูดาสตอบรับการเรียกของพระเยซูให้ติดตามเช่นเดียวกับสาวกคนอื่นๆ เขาออ...