ความโกรธนั้นเหมือนระเบิด ที่จะต้องทำลายตัวเองก่อน
แล้วค่อยลุกลามไปทำลายสิ่งแวดล้อม ผู้ที่โกรธก็เช่นเดียวกัน
ต้องทำให้ตนเองทุกข์ใจก่อนแล้วค่อยๆ ทำให้คนที่อยู่รอบข้างทุกข์ใจตามไปด้วย
ความโกรธสามารถทำลายการติดต่อสื่อสารกัน
และบั่นทอนความสัมพันธ์ และมันทำลายทั้งความสุขและสุขภาพของหลายค
น่าเศร้านักที่ผู้คนมักจะแสดงให้เห็นถึงความโกรธของพวกเขาแทนที่จะยอมรับความรับผิดชอบมัน
ทุกคนพยายามจัดการกับความโกรธในระดับมากบ้างน้อยบ้าง ขอบคุณพระเจ้า ที่พระวจนะขอ
พระเจ้ามีหลักคำสอนเกี่ยวกับวิธีจัดการกับความโกรธในลักษณะตามแบบพระเจ้า
และวิธีการที่จะเอาชนะความโกรธที่เป็นบาป
ความโกรธไม่ได้เป็นบาปเสมอไป
มีความโกรธประเภทที่พระคัมภีร์ยอมรับ มักจะเรียกว่า
"ความขุ่นเคืองใจที่ถูกต้อง"
พระเจ้าทรงพิโรธและผู้เชื่อได้รับคำสอนให้โกรธได้และอย่าทำบาป
บทเพลงสดุดี
7:11 “พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาที่ชอบธรรม และเป็นผู้ประทานคำพิพากษาทุกวัน”
มาระโก
3:5 “พระองค์มีพระทัยเป็นทุกข์ เพราะใจเขาแข็งกระด้างนัก
และได้ทอดพระเนตรดูรอบด้วยพระพิโรธ และพระองค์ตรัสแก่คนมือลีบนั้นว่า
“จงเหยียดมือออกเถิด” เขาก็เหยียดออก และมือของเขาก็หายเป็นปกติ”
เอเฟซัส
4:26 “จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่”
เราไม่สามารถควบคุมคนอื่น ๆ กระทำหรือตอบสนองต่อเราได้
แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นต้องทำในส่วนของเรา
การเอาชนะอารมณ์ไม่ได้ประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืน แต่โดยผ่านการอธิษฐาน ศึกษาพระคัมภีร์
และการพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า
เราสามารถเอาชนะความโกรธที่ไม่ถูกตามแบบพระเจ้าได้
เมื่อเราอาจยอมให้ความโกรธฝังยึดมั่นในชีวิตเราโดยการประพฤติเป็นนิสัย
เราก็ต้องฝึกการตอบสนองอย่างถูกต้อง จนกว่ามันจะติดเป็นนิสัยเอง
ต่อไปนี้คือกุญแจสำคัญในการแปลงความโกรธของเราให้เป็นความรัก
เพราะการกระทำของเราไหลออกมาจากจิตใจของเรา
ดังนั้นจิตใจของเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยการกระทำของเรา
มัทธิว
5:43-48 “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู
ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน
ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะ
ว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน
และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังกระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ
ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว
ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า
ถึงคนต่างชาติก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ
เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ
เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ” นั่นก็คือ
เราสามารถเปลี่ยนความรู้สึกของเราที่มีต่อผู้อื่น
โดยการเปลี่ยนวิธีที่เราเลือกที่จะปฎิบัติต่อบุคคลนั้น
เราสามารถจัดการกับความโกรธตามพระคัมภีร์โดยการสื่อสารพูกคุยเพื่อแก้ปัญหา
มีกฎพื้นฐานของการสื่อสารพูดคุยกล่าวไว้ในพระธรรมเอเฟซัส 4 ข้อ
เอเฟซัส
4:15, 25-32 แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก
เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์
เหตุฉะนั้นท่านจงเลิกพูดมุสาเสีย และจงพูดความจริงต่อกัน
เพราะว่าเราต่างก็เป็นอวัยวะของกันและกัน จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป
อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่ และอย่าให้โอกาสแก่มาร
คนที่เคยขโมยก็อย่าขโมยอีก แต่จงใช้มือทำงานที่ดีดีกว่า เพื่อจะได้มีอะไรๆ
แจกให้แก่คนที่ขัดสน อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย
แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ
เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย
เพราะโดยพระวิญญาณนั้นท่านได้ถูกประทับตราหมายท่านไว้ เพื่อวันที่จะทรงไถ่ให้รอด
จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน
และการพูดให้ร้ายกับการคิดปองร้ายทุกอย่าง จงอยู่ห่างไกลจากท่านเถิด และท่านจงเมตตาต่อกัน
มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน
เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น”
1)
จงซื่อสัตย์และพูด เอเฟซัส 4:15, 25 “แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก
เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์ เหตุฉะนั้นท่านจงเลิกพูดมุสาเสีย
และจงพูดความจริงต่อกัน เพราะว่าเราต่างก็เป็นอวัยวะของกันและกัน”
1ผู้คนไม่สามารถอ่านจิตใจของเรา เราต้องพูดความจริงด้วยความรัก
2)
จงอยู่กับปัจจุบัน เอเฟซัส 4:26-27 “จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป
อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่ และอย่าให้โอกาสแก่มาร
เราต้องไม่ยอมให้เกิดสิ่งที่รบกวนใจเราจนกระทั่งเราสูญเสียการควบคุม
การจัดการและร่วมกันในสิ่งที่รบกวนใจเราก่อนที่จะไปถึงจุดนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญ
3)
จัดการที่ปัญหา ไม่ใช่ที่คน เอเฟซัส 4:29, 31 “อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย
แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ
เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ
และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดให้ร้าย
กับการคิดปองร้ายทุกอย่างอยู่ห่างไกลจากท่านเถิด”
ตลอดบรรทัดนี้เราต้องจำสำคัญของคุมระดับเสียงของเราให้ต่ำ สุภาษิต 15:1
“คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ”
4)
จงกระทำไม่ใช่ตอบโต้การกระทำ เอเฟซัส 4:31-32 “จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง
และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดให้ร้าย
กับการคิดปองร้ายทุกอย่างอยู่ห่างไกลจากท่านเถิด และท่านจงเมตตาต่อกัน
มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน
เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น”
เพราะเรามีธรรมชาติบาป การตอบสนองของเราจึงเป็นบาป (ข้อ31 ) ควรใช้เวลา
“นับหนึ่งถึงสิบ”เพื่อตอบสนองตามแบบพระเจ้าสอน (ข้อ32 ) และเพื่อเตือนใจเราว่าควรแก้ไขจัดการกับความโกรธอย่างไรและไม่สร้างให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น
สุดท้าย เราจะต้องจัดการแก้ปัญหาในส่วนของเรา กิจการ 12:18
“ครั้นรุ่งเช้าพวกทหารก็ขวัญหนีดีฝ่อมิใช่น้อย เปโตรหายไปไหนหนอ”
ความโกรธไม่ได้ทำให้การพูดคุย หรือความสัมพันธ์ดีขึ้นมาเลย แต่ความรักทำได้
ความโกรธมีแต่ทำลายเท่านั้น
เพราะว่าเป็นแรงจูงใจที่ผิด เราใช้ความโกรธข่ม และบังคับคนอื่น
เพราะเราไม่มั่นใจในตัวเอง
“ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้
ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว
ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติผิด
แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งความผิดของคนอื่น
และเชื่อในส่วนที่ดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ( 1
โครินโธ 13: 4 – 7 )
นี่เป็นสิ่งที่ดีกว่าการโกรธมากทีเดียว
ไม่เพียงแต่ว่าเราควรจะควบคุมความโกรธเท่านั้น
เรายังต้องเปลี่ยนความโกรธให้แก้ปัญหาได้ด้วย
ท่านเคยสังเกตุตัวเอง
หรือไม่ว่า เมื่อท่านโกรธ ความเสียหายได้เกิดขึ้น
การควบคุมความโกรธเท่านั้นยังไม่เพียงพอ เพราะเราควบคุมได้เพีบงชั่วคราว
แล้วภายหลัง เมื่อเรากลับบ้าน เราอาจจะเกรี้ยวกราดต่อคนอื่นๆ เราควรเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนนิสัยใหม่เหมือนอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว
ต่อไปนี้เป็นหลาย ๆ วิธีที่อาจจะช่วยเราได้
1.
มองที่พระเจ้า แสวงหาการช่วยเหลือจากพระเจ้า
ยอมรับว่าความโกรธของท่านเป็นความบาป (1 ยน. 1: 8-9 )
และขอกำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ฟป.4: 8- 9 ,ลก. 11: 13 )
2.หลีกเลี่ยงเพื่อนที่ชอบโกรธ อารมณ์เสียง่าย (สภษ. 22: 24 ,25 )
3.หลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่จะทำให้เราโกรธ (สภษ.20 :3 )
4.
หลีกเลี่ยงความเร่งรีบ ความเครียด และความกดดันต่าง ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพักผ่อนให้เพียงพอ (สดด. 127:2 ,ปฐจ. 5:
120 )
5.จัดการกับความโกรธ เวลาเราโกรธเรามีพลังมหาศาล
ให้คิดถึงความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ เมื่อมีความโกรธ
ให้นำพลังนี้ไปใช้ในการแก้ไขปัญหา ( ยน. 2: 16- 17 )
6.
แสดงความรักที่อดทนนานดีกว่าการตะโกนใส่กัน และกัน
ถ้าเรามีความรักที่แท้จริง ความรักนั้นจะรักษาช่วยเหลือ และเสริมสร้างไม่ใช่ทำลาย
“สามัญสำนึกที่ดีทำให้คนโกรธช้า ” (สภษ. 19: 11 )
ความโกรธถ้าเราไม่ควบคุมไว้
อารมณ์ของเราจจะควบคุมตัวเอง แต่ความรักควบคุมได้
เพราะความรักจะควบคุมอารมณ์ของเรา
“คนเจ้าโมโหย่อมเร้าการวิวาท และคนที่มักโกรธก็เป็นเหตุให้มีการทรยศมากขึ้น”
(สภษ.29:22)
“จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกดินท่านยังโกรธอยู่
และอย่าให้โอกาสแก่มาร” (อฟ. 4: 26 ,27 )
ดังนั้นการควบคุมความคิดจึงเป็นเรื่องสำคัญ
(บทความโดย อ.
ประยูร ลิมะหุตะเศรณี)
KC Love God
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น