วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2561

ข้าพเจ้าจะจัดการอย่างไรกับความโกรธ

ความโกรธนั้นเหมือนระเบิด ที่จะต้องทำลายตัวเองก่อน แล้วค่อยลุกลามไปทำลายสิ่งแวดล้อม ผู้ที่โกรธก็เช่นเดียวกัน ต้องทำให้ตนเองทุกข์ใจก่อนแล้วค่อยๆ ทำให้คนที่อยู่รอบข้างทุกข์ใจตามไปด้วย

ความโกรธสามารถทำลายการติดต่อสื่อสารกัน และบั่นทอนความสัมพันธ์ และมันทำลายทั้งความสุขและสุขภาพของหลายค น่าเศร้านักที่ผู้คนมักจะแสดงให้เห็นถึงความโกรธของพวกเขาแทนที่จะยอมรับความรับผิดชอบมัน ทุกคนพยายามจัดการกับความโกรธในระดับมากบ้างน้อยบ้าง ขอบคุณพระเจ้า ที่พระวจนะขอ พระเจ้ามีหลักคำสอนเกี่ยวกับวิธีจัดการกับความโกรธในลักษณะตามแบบพระเจ้า และวิธีการที่จะเอาชนะความโกรธที่เป็นบาป

ความโกรธไม่ได้เป็นบาปเสมอไป มีความโกรธประเภทที่พระคัมภีร์ยอมรับ มักจะเรียกว่า "ความขุ่นเคืองใจที่ถูกต้อง" พระเจ้าทรงพิโรธและผู้เชื่อได้รับคำสอนให้โกรธได้และอย่าทำบาป

บทเพลงสดุดี 7:11 “พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาที่ชอบธรรม และเป็นผู้ประทานคำพิพากษาทุกวัน”

มาระโก 3:5 “พระองค์มีพระทัยเป็นทุกข์ เพราะใจเขาแข็งกระด้างนัก และได้ทอดพระเนตรดูรอบด้วยพระพิโรธ และพระองค์ตรัสแก่คนมือลีบนั้นว่า “จงเหยียดมือออกเถิด” เขาก็เหยียดออก และมือของเขาก็หายเป็นปกติ”

เอเฟซัส 4:26 “จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่”

เราไม่สามารถควบคุมคนอื่น ๆ กระทำหรือตอบสนองต่อเราได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นต้องทำในส่วนของเรา การเอาชนะอารมณ์ไม่ได้ประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืน แต่โดยผ่านการอธิษฐาน ศึกษาพระคัมภีร์ และการพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เราสามารถเอาชนะความโกรธที่ไม่ถูกตามแบบพระเจ้าได้ เมื่อเราอาจยอมให้ความโกรธฝังยึดมั่นในชีวิตเราโดยการประพฤติเป็นนิสัย เราก็ต้องฝึกการตอบสนองอย่างถูกต้อง จนกว่ามันจะติดเป็นนิสัยเอง 

ต่อไปนี้คือกุญแจสำคัญในการแปลงความโกรธของเราให้เป็นความรัก เพราะการกระทำของเราไหลออกมาจากจิตใจของเรา ดังนั้นจิตใจของเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยการกระทำของเรา

มัทธิว 5:43-48 “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน ทำดังนี้แล้วท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ เพราะ ว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตก แก่คนชอบธรรมและคนอธรรม แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร ถึงพวกเก็บภาษีก็ยังกระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ ถ้าท่านทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว ท่านได้กระทำอะไรเป็นพิเศษยิ่งกว่าคนทั้งปวงเล่า ถึงคนต่างชาติก็กระทำอย่างนั้นมิใช่หรือ

เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ” นั่นก็คือ เราสามารถเปลี่ยนความรู้สึกของเราที่มีต่อผู้อื่น โดยการเปลี่ยนวิธีที่เราเลือกที่จะปฎิบัติต่อบุคคลนั้น เราสามารถจัดการกับความโกรธตามพระคัมภีร์โดยการสื่อสารพูกคุยเพื่อแก้ปัญหา มีกฎพื้นฐานของการสื่อสารพูดคุยกล่าวไว้ในพระธรรมเอเฟซัส 4 ข้อ

เอเฟซัส 4:15, 25-32 แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์ เหตุฉะนั้นท่านจงเลิกพูดมุสาเสีย และจงพูดความจริงต่อกัน เพราะว่าเราต่างก็เป็นอวัยวะของกันและกัน จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่ และอย่าให้โอกาสแก่มาร คนที่เคยขโมยก็อย่าขโมยอีก แต่จงใช้มือทำงานที่ดีดีกว่า เพื่อจะได้มีอะไรๆ แจกให้แก่คนที่ขัดสน อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เพราะโดยพระวิญญาณนั้นท่านได้ถูกประทับตราหมายท่านไว้ เพื่อวันที่จะทรงไถ่ให้รอด จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดให้ร้ายกับการคิดปองร้ายทุกอย่าง จงอยู่ห่างไกลจากท่านเถิด และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น”

1) จงซื่อสัตย์และพูด เอเฟซัส 4:15, 25 “แต่ให้เรายึดความจริงด้วยใจรัก เพื่อจะจำเริญขึ้นทุกอย่างสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะ คือพระคริสต์ เหตุฉะนั้นท่านจงเลิกพูดมุสาเสีย และจงพูดความจริงต่อกัน เพราะว่าเราต่างก็เป็นอวัยวะของกันและกัน” 1ผู้คนไม่สามารถอ่านจิตใจของเรา เราต้องพูดความจริงด้วยความรัก

2) จงอยู่กับปัจจุบัน เอเฟซัส 4:26-27 “จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกท่านยังโกรธอยู่ และอย่าให้โอกาสแก่มาร เราต้องไม่ยอมให้เกิดสิ่งที่รบกวนใจเราจนกระทั่งเราสูญเสียการควบคุม การจัดการและร่วมกันในสิ่งที่รบกวนใจเราก่อนที่จะไปถึงจุดนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญ

3) จัดการที่ปัญหา ไม่ใช่ที่คน เอเฟซัส 4:29, 31 “อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงกล่าวคำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดให้ร้าย กับการคิดปองร้ายทุกอย่างอยู่ห่างไกลจากท่านเถิด” ตลอดบรรทัดนี้เราต้องจำสำคัญของคุมระดับเสียงของเราให้ต่ำ สุภาษิต 15:1 “คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ”

4) จงกระทำไม่ใช่ตอบโต้การกระทำ เอเฟซัส 4:31-32 “จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดให้ร้าย กับการคิดปองร้ายทุกอย่างอยู่ห่างไกลจากท่านเถิด และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น” เพราะเรามีธรรมชาติบาป การตอบสนองของเราจึงเป็นบาป (ข้อ31 ) ควรใช้เวลา “นับหนึ่งถึงสิบ”เพื่อตอบสนองตามแบบพระเจ้าสอน (ข้อ32 ) และเพื่อเตือนใจเราว่าควรแก้ไขจัดการกับความโกรธอย่างไรและไม่สร้างให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้น สุดท้าย เราจะต้องจัดการแก้ปัญหาในส่วนของเรา กิจการ 12:18 “ครั้นรุ่งเช้าพวกทหารก็ขวัญหนีดีฝ่อมิใช่น้อย เปโตรหายไปไหนหนอ”

ความโกรธไม่ได้ทำให้การพูดคุย หรือความสัมพันธ์ดีขึ้นมาเลย แต่ความรักทำได้ ความโกรธมีแต่ทำลายเท่านั้น เพราะว่าเป็นแรงจูงใจที่ผิด เราใช้ความโกรธข่ม และบังคับคนอื่น เพราะเราไม่มั่นใจในตัวเอง

“ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนที่ดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ( 1 โครินโธ 13: 4 – 7 )

นี่เป็นสิ่งที่ดีกว่าการโกรธมากทีเดียว ไม่เพียงแต่ว่าเราควรจะควบคุมความโกรธเท่านั้น เรายังต้องเปลี่ยนความโกรธให้แก้ปัญหาได้ด้วย

ท่านเคยสังเกตุตัวเอง หรือไม่ว่า เมื่อท่านโกรธ ความเสียหายได้เกิดขึ้น การควบคุมความโกรธเท่านั้นยังไม่เพียงพอ เพราะเราควบคุมได้เพีบงชั่วคราว แล้วภายหลัง เมื่อเรากลับบ้าน เราอาจจะเกรี้ยวกราดต่อคนอื่นๆ เราควรเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนนิสัยใหม่เหมือนอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว ต่อไปนี้เป็นหลาย ๆ วิธีที่อาจจะช่วยเราได้

1. มองที่พระเจ้า แสวงหาการช่วยเหลือจากพระเจ้า ยอมรับว่าความโกรธของท่านเป็นความบาป (1 ยน. 1: 8-9 ) และขอกำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ฟป.4: 8- 9 ,ลก. 11: 13 )

2.หลีกเลี่ยงเพื่อนที่ชอบโกรธ อารมณ์เสียง่าย (สภษ. 22: 24 ,25 )

3.หลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่จะทำให้เราโกรธ (สภษ.20 :3 )

4. หลีกเลี่ยงความเร่งรีบ ความเครียด และความกดดันต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพักผ่อนให้เพียงพอ (สดด. 127:2 ,ปฐจ. 5: 120 )

5.จัดการกับความโกรธ เวลาเราโกรธเรามีพลังมหาศาล ให้คิดถึงความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ เมื่อมีความโกรธ ให้นำพลังนี้ไปใช้ในการแก้ไขปัญหา ( ยน. 2: 16- 17 )

6. แสดงความรักที่อดทนนานดีกว่าการตะโกนใส่กัน และกัน ถ้าเรามีความรักที่แท้จริง ความรักนั้นจะรักษาช่วยเหลือ และเสริมสร้างไม่ใช่ทำลาย “สามัญสำนึกที่ดีทำให้คนโกรธช้า ” (สภษ. 19: 11 )

ความโกรธถ้าเราไม่ควบคุมไว้ อารมณ์ของเราจจะควบคุมตัวเอง แต่ความรักควบคุมได้ เพราะความรักจะควบคุมอารมณ์ของเรา

คนเจ้าโมโหย่อมเร้าการวิวาท และคนที่มักโกรธก็เป็นเหตุให้มีการทรยศมากขึ้น” (สภษ.29:22)

จะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป อย่าให้ถึงตะวันตกดินท่านยังโกรธอยู่ และอย่าให้โอกาสแก่มาร” (อฟ. 4: 26 ,27 )
ดังนั้นการควบคุมความคิดจึงเป็นเรื่องสำคัญ
(บทความโดย อ. ประยูร ลิมะหุตะเศรณี)




ขอพระเจ้าอวยพร
KC Love God

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ อ่านมัทธิว 26:3 ถึง 27:66 ยูดาสตอบรับการเรียกของพระเยซูให้ติดตามเช่นเดียวกับสาวกคนอื่นๆ เขาออ...