เหตุสำคัญที่ทำให้ครอบครัวแตกแยก
ถึงแม้ว่าจะมีการให้พันธสัญญากันอย่างเป็นทางการ
และการแต่งงานนี้ก็ถูกต้องตามกฎหมายพระศาสนจักรแล้ว
ก็ยังปรากฏว่ามีคู่แต่งงานจำนวนไม่น้อยที่ต้องแยกกันเลิกรากันไป และหลายคนก็ไปแต่งงานใหม่ ทั้งๆ
ที่ก่อนจะแต่งงานกันนั้นได้มีการเรียนรู้กันมาพอสมควรแล้วก็ตาม
ทั้งนี้
เป็นเพราะความเป็นมนุษย์ที่มีข้อขาดตกบกพร่องอยู่เสมอ
และถ้าไม่ระมัดระวังปล่อยให้ข้อขาดตกบกพร่องนั้นเกิดขึ้นโดยไม่มีการเอาใจใส่ควบคุมดูแลหรือขจัดมันออกไป
ในที่สุดก็จะนำมาซึ่งการแตกแยกกันในที่สุด
1.
“ไปกันไม่ได้” เป็นเหตุผลหลักที่จะได้ยินคู่แต่งงานกล่าวเสมอ ทั้งๆ
ที่ก่อนแต่งงานรักกันปานจะกลืนกิน มิหนำซ้ำอยู่กันมาตั้งสิบกว่าปีแล้ว
มีลูกสองสามคนแล้ว.....
ความหมายของไปกันไม่ได้
ก็คือ ทัศนะไม่ตรงกัน มีเหตุให้ต้องขัดใจกัน ทะเลาะกันอยู่เสมอ
เรียกว่าเป็นเรื่องนิสัยส่วนตัวของกันและกันนั่นแหละ เป็นเรื่องระหว่าง 2 คน
มิได้มีคนอื่นมายุ่งเกี่ยวแต่ประการใด
ถ้าจะให้บอกว่าทำไมไปกันไม่ได้ สรุปได้ทันทีว่า
ความรักที่แท้จริงที่เคยมีนั้นมันจืดจางหรือจะพูดง่ายๆ ก็คือ “ตัดใจไม่ได้
ทำใจไม่เป็น” นั่นเอง สิ่งที่ตามมาคือ
ยึดมั่นถือมั่น ฉันถูก ดังนั้น เธอต้องผิด ต่างคนต่างไม่ยอม เอาแต่ใจตัวเอง
การให้ชีวิตแก่กันและกันเป็นอันจบลง
ถ้าจะถามว่า
“แล้วจะทำอย่างไร?” ตอบได้อย่างเดียวว่า เริ่มต้นใหม่
หันไปทบทวนสมัยเมื่อรักกันใหม่ๆ
ยิ่งเมื่อมีลูกมีเต้าแล้วยิ่งต้องรักกันให้มากยิ่งขึ้น... สิ่งที่พูดนี้คือทฤษฎี
แต่ขอยืนยันว่าเป็นทฤษฎีที่ต้องปฏิบัติให้ได้
และยังไม่เคยเห็นมีทฤษฎีอื่นใดจะดีกว่านี้...
และที่สำคัญต้องขอพระพรความช่วยเหลือจากพระด้วยเสมอ
2.
“ปัญหาทางเศรษฐกิจ” เรื่องนี้สำคัญด้วย การเป็นครอบครัวต้องมีการบริหารจัดการเรื่องราวต่างๆ
มากมาย เพื่อให้ครอบครัวดำเนินไปได้อย่างดี คือ ต้องมีการวางแผนครอบครัว
การจับจ่ายใช้สอย โดยทั่วไปแล้วส่วนใหญ่อยู่ในภาวะดิ้นรน
เพื่อสร้างความมั่นคงในครอบครัว
ต้องมีสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิตตามแก่อัตภาพ คำว่า ตามแก่อัตภาพ คือ
ให้เหมาะสมกับความเป็นจริงในชีวิต
ในเรื่องของการกินการอยู่ หรือ ที่เรียกอีกอย่างว่า “พอเพียง”
กับความจำเป็นนั่นเอง
ตรงนี้จึงทำให้นึกถึงทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงซึ่งทุกคนทราบดีอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าจะนำไปปฏิบัติกันได้แค่ไหนเท่านั้นเอง
เรื่องเศรษฐกิจนี้จะถูกทำลายและล่มจมในที่สุด ถ้าหากปรากฏว่ามีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้ง
2 ฝ่ายติดการพนัน
รับรองได้ว่าร้อยทั้งร้อย ต้องแยกทางกัน
ครอบครัวแตกแยกอย่างไม่ต้องสงสัย
นอกจากนั้น “ยาเสพติด” ก็จะเป็นตัวบ่อนทำลายครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพทีเดียว
ที่หนักหน่อยก็เป็นประเภทยาบ้า เฮโรอีน มอร์ฟีน ที่รองๆ ลงมาก็มีสุรา เบียร์
ที่มีปัญหาอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก คือ “บุหรี่”
เพราะอีกฝ่ายหนึ่งจะทนกลิ่นเหม็นไม่ได้ก็มีเหมือนกัน
ถามว่าแล้วต้องแก้อย่างไร
ข้อนี้ไม่ขอตอบเพราะเชื่อว่าทุกคนรู้ดีอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าทำอย่างไรให้ปลอดจากการพนันและยาเสพติด ทุกชนิดให้ได้มากกว่า
ซึ่งประเด็นนี้ตอบได้เลยว่า มันอยู่ที่ “ใจ”
3. “มือที่สาม”
คำว่ามือที่สาม หมายถึงใครก็ได้ที่ไม่ใช่คู่ชีวิต 2 คนนั้น อาจจะเป็นพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่
พี่น้อง เพื่อนสนิทมิตรสหาย เจ้านายหรือ ผู้ไม่ปรารถนาดีทั้งหลาย ฯลฯ
มีคู่แต่งงานสามี-ภรรยาหลายคู่ต้องเลิกกันไปเพราะ “มือที่สาม” ที่เด่นชัดหน่อย
ถือว่าตรงๆ เลยก็คือ “กิ๊ก” หรือ ภาษาชาวบ้านแบบตรงประเด็นคือ “ชู้” นั่นเอง อันนี้ ทุกคนเข้าใจได้โดยไม่ต้องอธิบาย
หลายครั้งมีการฆ่ากัน ทำร้ายกัน ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ มีเหมือนกันที่พอกลับเนื้อกลับตัวได้ก็คืนดีกันอย่างเก่า
มือที่สามเป็นผู้ประสงค์ดี
แต่วิธีการไม่เหมาะ ก็มีไม่น้อย เช่น พ่อแม่รักลูกมาก
ลูกแต่งงานไปแล้วยังไม่ยอมปล่อยให้เขามีอิสระเท่าที่ควร
เข้าไปเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของเขา
ด้วยความรักความห่วงใย หรือ บางครั้งก็ “หวง” ลูกชายจนเกิดกรณี
“แม่ผัว-ลูกสะใภ้” นำมาเป็นละครน้ำเน่าให้ชมกันจนติดงอมแงม
ตอนหลังข่าวดูละครไปก็วิจารณ์ไป
ทางที่ดีน่าจะมองดูตัวเองบ้างนะว่าเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า? นี่เลยทำให้เห็นประโยชน์ของละครน้ำเน่าว่าเข้าท่าเหมือนกันเนอะ...
บางครั้งเพื่อนๆ
ของเรารักและหวังดีต่อเราจริงๆ เห็นแฟนเราไปเดินกับใครเข้า ก็รีบโทรศัพท์มารายงาน
ทำให้เราต้องออกอาการเหมือนกัน ส่วนใครจะออกอาการแค่ไหนนั้น ก็สุดแล้วแต่ใครจะ
“มีสติ” ได้หนักแน่นกว่ากันจริงมั้ย...
เกี่ยวกับเรื่องมือที่สามนี้
เขาบอกว่าเราต้องมั่นใจว่าคู่ชีวิตของเรานั้นสำคัญที่สุด เพราะเราอยู่ด้วยกัน
เป็นคนคนเดียวกัน ดังที่เขามักจะเปรียบเทียบ ดังนั้น ต้องให้ความสำคัญให้มากๆ
ต้องให้เกียรติกัน คนอื่นจะว่าอย่างไร บอกอย่างไรให้ฟังไว้และนำมาคุยกัน
ทำความเข้าใจกันให้ได้ด้วยเหตุผล อย่าใช้อารมณ์ตัดสินเป็นอันขาด
เวลาที่เราเป็นทุกข์ด้วยเหมือนกัน ตัวอย่าง เช่น เวลาโกรธกันไม่พูดกัน
เชื่อหรือไม่ว่าทั้ง 2 คน อยากจะพูดกันจะตายไป เพียงแต่ว่ารอให้อีกฝ่ายหนึ่ง
“ง้อก่อน” เท่านั้นเอง จริงหรือเปล่า?
kamsonbkk.com
บทบาทของสามีและภรรยาในครอบครัวคืออะไร?
แม้ว่าเพศชายและเพศหญิงเท่าเทียมกันในการติดสนิทกับพระเยซูคริสต์
พระคัมภีร์ให้แต่ละฝ่ายมีบทบาทเฉพาะในชีวิตสมรส สามีต้องรับตำแหน่งเป็นผู้นำในบ้าน
1โครินธ์
11:3 “แต่ข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านเข้าใจว่า พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของชายทุกคน
และชายเป็นศีรษะของหญิง และพระเจ้าทรงเป็นพระเศียรของพระคริสต์”
เอเฟซัส
5:23 “ เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร
ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักร”
ความเป็นผู้นำนี้ไม่ควรเป็นเผด็จการ
ไม่ยอมรับความสามารถผู้อื่น หรืออ้างตัวเป็นผู้มีอุปการคุณแก่ภรรยา
แต่ควรเป็นไปตามแบบอย่างของพระคริสต์ที่ทรงนำคริสตจักร
เอเฟซัส
5:25-26 “ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน เหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร
และทรงประทานพระองค์เองเพื่อคริสตจักร เพื่อจะได้ทรงทำให้คริสตจักรบริสุทธิ์
โดยการทรงชำระด้วยน้ำและพระวจนะ”
พระคริสต์ทรงรักคริสตจักร
(ประชากรของพระองค์) ด้วยความรักเห็นอกเห็นใจ ความเมตตา การให้อภัย การยกย่องและความไม่เห็นแก่ตัว
ในทำนองเดียวกันสามีต้องรักภรรยาของตน
ภรรยาต้องยอมเชื่อฟังสิทธิอำนาจเหนือกว่าของสามี
เอเฟซัส
5:22-24 “ฝ่ายภรรยา จงยอมฟังสามีของตน เหมือนยอมฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า
เพราะว่าสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์
และพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคริสตจักร คริสตจักรยอมฟังพระคริสต์ฉันใด
ภรรยาก็ควรยอมฟังสามีทุกประการฉันนั้น”
แม้ว่าผู้หญิงควรยอมฟังสามีของตน
พระคัมภีร์กล่าวสอนผู้ชายหลายครั้งว่าพวกเขาต้องปฏิบัติต่อภรรยาของตนอย่างไร
สามีต้องไม่สวมบทบาทนักเผด็จการ
แต่ควรแสดงความยกย่องต่อภรรยาและความคิดเห็นของเธอ
แท้จริง
เอเฟซัส 5: 28-29
สั่งสอนผู้ชายให้รักภรรยาของตนในลักษณะเดียวกับที่พวกเขารักร่างกายของตน
เลี้ยงดูอาหารและดูแลเอาใจใส่พวกเธอ
ความรักของผู้ชายที่มีต่อภรรยาของตนควรเป็นเช่นเดียวกับความรักของพระคริสต์ที่มีต่อพระกายของพระองค์คือคริสตจักร
เอเฟซัส
5:28-29 “เช่นนั้นแหละ สามีจึงควรจะรักภรรยาของตนเหมือนกับรักกายของตนเอง
ผู้ที่รักภรรยาของตนก็รักตนเอง เพราะว่าไม่มีผู้ใดเกลียดชังเนื้อหนังของตนเอง
มีแต่เลี้ยงดูและทนุถนอม เหมือนพระคริสต์ทรงกระทำแก่คริสตจักร”
โคโลสี
3:18-19 “ฝ่ายภรรยาจงยอมฟังสามีของตน ซึ่งเป็นการสมควรในองค์พระผู้เป็นเจ้า
ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน และอย่ามีใจขมขื่นต่อนาง”
1
เปโตร 3:7 “ท่านทั้งหลายที่เป็นสามีก็เช่นกัน
จงอยู่กินกับภรรยาด้วยความเข้าใจในเธอ จงให้เกียรติแก่ภรรยา
เพราะเป็นเพศที่อ่อนแอกว่า และเพราะท่านทั้งสองได้รับชีวิตอันเป็นพระคุณเป็นมรดก
เพื่อว่าคำอธิษฐานของท่านจะไม่มีอุปสรรคขัดขวาง”
จากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เราจะเห็นว่าความรักและเคารพเป็นบทบาทลักษณะเฉพาะของทั้งสามีและภรรยา
ถ้าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงในทั้งคู่ แล้วความมีอำนาจ ความเป็นหัวหน้า ความรัก
และการยอมเชื่อฟัง จะไม่เป็นปัญหาสำหรับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ในเรื่องการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบในบ้าน
พระคัมภีร์สั่งสอนสามีให้มีหน้าที่จัดหาเลี้ยงดูครอบครัวของตน
ซึ่งหมายความว่าเขาทำงานและหาเงินเพียงพอที่จะจัดหาสิ่งของใช้จำเป็นอย่างพอเพียงแก่ชีวิตของภรรยาและลูก
ๆ
การไม่ทำเช่นนั้นมีผลกระทบทางจิตวิญญาณตามมาแน่นอน
1ทิโมธี 5:8 “ถ้าแม้ผู้ใดไม่เลี้ยงดูวงศ์ญาติของตน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในบ้านเรือนของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธพระศาสนาเสียแล้ว
และชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้เชื่อเสียอีก” ดังนั้น
คนที่ไม่พยายามจัดหาเลี้ยงดูครอบครัวของตนไม่สามารถมีสิทธิ์เรียกตัวเองว่าคริสเตียน
นี้ไม่ได้หมายความว่าภรรยาไม่สามารถช่วยเหลือในการหาเลี้ยงครอบครัว---
สุภาษิตบทที่ 31 แสดงให้เห็นว่าภรรยาที่รักพระเจ้าก็สามารถทำได้แน่นอน --
แต่การหาเลี้ยงดูครอบครัวไม่ได้เป็นความรับผิดชอบหลักของเธอ
มันเป็นหน้าที่ของสามีเธอ
สุภาษิต
31:10-31”ใครจะพบภรรยาที่ดี เธอประเสริฐยิ่งกว่าทับทิมมากนัก
จิตใจของสามีเธอก็วางใจในเธอ และสามีจะไม่ขาดกำไร เธอทำความดีให้เขา ไม่ทำความร้าย
ตลอดชีวิตของเธอ
ในขณะเดียวกันสามีควรช่วยดูแลลูก ๆ และทำงานบ้าน
(ซึ่งเป็นหน้าที่ของเขาที่แสดงว่ารักภรรยา) นอกจากนี้ สุภาษิตบทที่ 31
ยังสอนชัดเจนว่าบ้านต้องเป็นภาระหน้าที่หลักและความรับผิดชอบของผู้หญิง
แม้แต่เธอต้องนอนดึกและตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อดูแลครอบครัวของเธออย่างดี นี้ไม่ใช่การดำเนินชีวิตที่ง่ายสำหรับผู้หญิงหลายคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศตะวันตกที่ร่ำรวย
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงมากมายเหลือเกินที่ถูกกดดันและทนไม่ไหวจนกระทั่งถึงจุดแตกหัก
เพื่อป้องกันภาวะกดดันดังกล่าว
ทั้งสามีและภรรยาควรอธิษฐานจัดลำดับความสำคัญบทบาทหน้าที่ของตนใหม่เป็นอันดับแรก
และปฏิบัติตามคำสั่งสอนในพระคัมภีร์เรื่องบทบาทหน้าที่ของตน
ปัญหาเนื่องจากการแตกแยกเรื่องงานทำในชีวิตคู่อาจเกิดขึ้น
แต่ถ้าทั้งคู่ยอมเชื่อฟังพระคริสต์ความขัดแย้งเหล่านี้จะเล็กน้อยที่สุด
ถ้าคู่สามีภรรยามีข้อโต้แย้งในประเด็นนี้บ่อยและรุนแรง หรือถ้าข้อโต้แย้งดูเหมือนจะเป็นลักษณะนิสัยของชีวิตคู่
นั่นคือปัญหาด้านจิตวิญญาณ
ที่สำคัญที่สุด คือ ทั้งสองฝ่ายควรหันมาทุ่มเทชีวิตในการอธิษฐาน
และยอมเชื่อฟังพระคริสต์ก่อน แล้วแต่ละฝ่ายควรมีท่าทีรักใคร่และยกย่องกันและกัน
gotquestions.org
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น