บทเรียนจาก สดุดี 42
ประชากรของพระเจ้าจำเป็นต้องรู้วิธีเรียกหาพระองค์ในยามวิกฤต พวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีที่จะคร่ำครวญถึงเรื่องราวและสถานการณ์ต่างๆ ในขณะที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่แตกสลายนี้อยู่ เราต้องเรียนรู้ที่จะคร่ำครวญ และเพื่อช่วยเราเรียนรู้ที่จะคร่ำครวญ สดุดี 42 จะแสดงให้เราเห็นถึงวิธีการแสดงความเจ็บปวด ความซึมเศร้า ความผิดหวัง ความสิ้นหวัง ความกลัว และต้องการพระเจ้าในลักษณะที่พยายามถวายเกียรติแด่พระองค์ในขณะที่ทำดีต่อจิตวิญญาณของเรา
ประการแรก
เมื่อเราคร่ำครวญ เราควรแสดงความปรารถนาในพระเจ้า
1ข้าแต่พระเจ้า กวางกระหายหาธารน้ำฉันใด จิตวิญญาณของข้าพระองค์ก็โหยหาพระองค์ฉันนั้น(ข้อ
1-2) เขาปรารถนาพระเจ้าท่ามกลางความทุกข์ยากของเขา
ผู้เขียนสดุดีเปรียบเทียบความต้องการของเขาที่มีต่อพระเจ้าดั่งกับความต้องการน้ำของเขา
เขาสรุปโดยถามคำถามว่า “เมื่อไหร่ฉันจะไปพบพระเจ้าได้” แนวคิดเรื่อง
"การพบปะกับพระเจ้า" ในข้อเหล่านี้หมายถึง "การได้ไปเข้าเฝ้าต่อหน้าพระองค์"
บางคนอาจถามว่า
“เหตุใดเราจึงควรปรารถนาพระเจ้าท่ามกลางวิกฤติของเรา”
บรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าจะเข้าใจว่าทำไมเราจึงควรปรารถนาพระเจ้าท่ามกลางวิกฤตการณ์ของเรา
นั่นเป็นเพราะพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถช่วยเราได้ เมื่อทุกสิ่งรอบตัวเราพังทลายลง
พระเจ้าเพียงผู้เดียวคือศิลาที่เรายืนหยัดได้
พระองค์ทรงเป็นที่ยึดเหนี่ยวมั่นคงท่ามกลางพายุ
อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเข้าใจพระลักษณะของพระเจ้ามากขึ้น
เราจึงจะเข้าใจความต้องการของผู้ประพันธ์เพลงสดุดีที่มีต่อพระเจ้าอย่างเต็มที่ท่ามกลางวิกฤตินี้
เราต้องใช้เวลาเพื่อทำความรู้จักพระเจ้าให้ดีขึ้นและเห็นว่าพระองค์เป็นพระบิดาที่ไว้ใจได้ซึ่งดูแลเราในยามทุกข์ใจ
กระนั้น ยิ่งเรารู้จักพระเจ้ามากขึ้นเท่าไร เราก็จะยิ่งวางใจในพระองค์มากขึ้นเท่านั้น
เราจะรับรู้ว่าพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถตอบสนองความต้องการของเราและดูแลเราได้
และในขณะที่เราทำ เมื่อเราคร่ำครวญ เราจะแสดงความปรารถนาให้พระเจ้าอยู่ใกล้เรา
ประการที่สอง เมื่อเราคร่ำครวญ
เราควรคงไว้ซึ่งความอ่อนน้อมถ่อมตน
ความถ่อมใจยอมรับความต้องการอย่างยิ่งที่จะให้พระเจ้าทรงช่วยเราให้รอด
ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นนัยของการอธิษฐานของเรา เพราะถ้าเราไม่ถ่อมตัว
เราจะไม่อธิษฐาน เพราะเรามักจะอธิษฐานเมื่อเราตระหนักว่าเราต้องการพระเจ้า
หากคุณเคยสงสัยว่าคุณจะเติบโตในการอธิษฐานด้วยความสม่ำเสมอและมีความรักมากขึ้นได้อย่างไร
คุณเพียงแค่ต้องตระหนักว่าคุณต้องการพระเจ้าอย่างยิ่งยวดเพียงใด
และเมื่อคุณรับรู้ถึงความต้องการที่สิ้นหวังของคุณ
คุณจะเข้าหาพระเจ้าด้วยการอธิษฐานด้วยความถ่อมตน
3ข้าพระองค์กินน้ำตาต่างอาหารทั้งวันทั้งคืน
ขณะที่ผู้คนพูดกับข้าพระองค์วันยังค่ำว่า
“พระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
4ข้าพระองค์ยังจำสิ่งเหล่านี้ได้
เมื่อข้าพระองค์ระบายความในใจออกมา
จำได้ถึงครั้งที่ข้าพระองค์เคยไปร่วมกับฝูงชน
นำขบวนสู่พระนิเวศของพระเจ้า
ด้วยเสียงโห่ร้องยินดีและขอบพระคุณพระเจ้า
ในเทศกาลฉลอง
ข้อ 3-4 และ 6-10 ของสดุดี 42
ทำให้เรามองเห็นความถ่อมตัวและการพึ่งพาอาศัยกันที่ผู้ประพันธ์เพลงสดุดีมีอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าของเขา
เขานึกถึงสมัยก่อนที่เขาเคยชุมนุมกับคนของพระเจ้าในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
ถวายเครื่องบูชา และฟังคำสัญญาของพระคำของพระเจ้า กระนั้น ผู้ประพันธ์เพลงสดุดียังยอมรับด้วยว่าเขาอยู่ไกลจากสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น.
เขาเฝ้ารอวันที่จะกลับมา
เขาพูดถึงความจำเป็นที่พระเจ้าต้องแสดงความรักต่อเขาในตอนกลางวันและร้องเพลงถึงเขาในตอนกลางคืน
จากนั้น ผู้สดุดีสารภาพว่าเขาตอบสนองต่อความเมตตาที่พระเจ้ามีต่อเขา
เขาอธิษฐานตอบพระเจ้า ผู้ซึ่งเขาอธิบายว่าเป็น “พระเจ้าแห่งชีวิตของข้าพเจ้า”
ชายคนนี้พึ่งพาพระเจ้าอย่างนอบน้อมทั้งกลางวันและกลางคืน
และเราควรคงไว้ซึ่งความต้องการอันต่ำต้อยต่อพระพักตร์พระเจ้าเมื่อเราคร่ำครวญและขอให้พระองค์เคลื่อนไหวเพื่อเราเช่นกัน
สาม เมื่อเราคร่ำครวญ
เราควรเปิดเผยความรู้สึกของเราด้วยความจริงใจ
เมื่อเราเรียนรู้ที่จะคร่ำครวญ
เราต้องตระหนักว่าความซื่อสัตย์ต่อพระพักตร์พระเจ้าเป็นองค์ประกอบที่ประเมินค่ามิได้
ใช่ พระเจ้ารู้ทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบความรู้สึกของเรา พระองค์รู้จักตัวเราดีกว่าเรา
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องทำเหมือนว่าไม่มีความรู้สึกเหล่านั้นและทำตัวเป็นคนหน้าซื่อใจคดต่อพระพักตร์พระเจ้า
เราต้องไม่ปฏิบัติต่อพระองค์ในแบบที่เรามักจะปฏิบัติต่อผู้อื่นเมื่อต้องพูดถึงความรู้สึกของเรา เพราะโดยปกติ เมื่อมีคนถามเราว่า “เป็นไงบ้าง?” ไม่ว่าเราจะเป็นยังไง จะดีหรือไม่ดี เรามักจะพูดว่า “เราโอเคมาก”
แต่เมื่อเรามาหาพระเจ้าด้วยการอธิษฐานอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อขอให้พระองค์พบกับเราในความต้องการของเรา เมื่อพระเจ้ากำลังถามเราว่า "ลูกเป็นอย่างไรบ้าง?" เราต้องเปิดเผยความรู้สึกของเราต่อหน้าพระองค์อย่างตรงไปตรงมา
แม้ว่าเราจะรับรู้ว่าสถานการณ์ของเรานั้นไม่ค่อยดีเลย
ความซื่อสัตย์ไม่ได้หมายความว่าเรามีความชอบธรรมในการรู้สึกอย่างที่เรารู้สึกเกี่ยวกับสถานการณ์ของเรา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ในขณะที่เราอาจบอกพระเจ้าว่า “ฉันเสียใจจริงๆ ฉันโกรธทุกคนที่เกี่ยวข้องหรือโกรธพระองค์เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง”
นั่นไม่ได้หมายความว่าเรามีเหตุผลชอบธรรมให้รู้สึกเช่นนั้น
แต่มันทำให้เรามีโอกาสทูลขอพระเจ้าช่วยเปลี่ยนใจเราและด้วยความรักที่มีต่อพระองค์
เราอาจยอมรับว่าเราโกรธ แต่เราไม่ต้องการที่จะโกรธ
เราควรปรารถนาการรักษาและการฟื้นฟู เพราะพวกเราก็เหมือนกับผู้ประพันธ์เพลงสดุดีที่
“ปรารถนาจะเห็นพระพักตร์พระเจ้า”
สุดท้าย
เมื่อเราคร่ำครวญ เราควรประกาศความตั้งใจที่จะหวัง
ขณะผู้ประพันธ์เพลงสดุดีพูดกับพระเจ้าอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความรู้สึกของเขา
เขายังประกาศความตั้งใจที่จะหวังในพระเจ้าด้วย
เขาเชื่ออย่างเต็มที่ว่าในขณะที่สิ่งต่างๆ ยังไม่ดีนักในตอนนี้
เนื่องจากพระเจ้ายิ่งใหญ่ การฟื้นฟูจึงอยู่ใกล้แค่เอื้อมเสมอ
แม้ว่าจะไม่เหมาะกับไทม์ไลน์(ช่วงเวลา)ของเราเสมอไปก็ตาม เมื่อผู้ประพันธ์เพลงสดุดีสารภาพถึงความรู้สึกหดหู่ และ ความรู้สึกที่ไม่สบายใจ ที่เกิดขึ้นในตัวเขาเอง เขาก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะ “มีความหวังในพระเจ้า ผู้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า.” ทำไมนะหรือ? เพราะเขารู้ว่าอนาคตเป็นของพระเจ้าและพระองค์จะทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามจังหวะเวลาของพระองค์
ด้วยเหตุนี้ผู้ประพันธ์เพลงสดุดีจึงสามารถกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะยังสรรเสริญพระองค์”
ในฐานะคริสตชน เรารู้ว่าความหวังนี้ต้องหยั่งรากในพระคริสต์
ความหวังของเราในชีวิตและความตายอยู่ในพระชนม์ชีพ การสิ้นพระชนม์
และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ เราสามารถมีความหวังในความสิ้นหวัง ความซึมเศร้า
ความอ่อนแอ การดิ้นรน และความกลัว
ไม่ใช่เพราะเราสามารถเอาชนะสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยกำลังของเราเอง
แต่เพราะพระเยซูได้เอาชนะโลกนี้และกำลังกลับมาหาเราพร้อมกับการไถ่อย่างบริบูรณ์ที่มาพร้อมกับพระองค์
. พระเยซูทรงชี้แจงเรื่องนี้ในยอห์น 16:33
อย่างชัดเจนเมื่อพระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่านเพื่อพวกท่านจะได้มีสันติสุขในเรา
ในโลกนี้พวกท่านจะมีความทุกข์ยากแต่จงชื่นใจเถิด! เราได้ชนะโลกแล้ว”
มันช่างเป็นข่าวดีอะไรเช่นนี้
เพราะถึงจะมีปัญหาเกิดขึ้นในโลกนี้ โลกนี้จะไม่ชนะ แม้น้ำตาจะร่วง (บางทีแม้แต่ในขณะนี้) บรรดาผู้ที่หวังในพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์ “ยังจะสรรเสริญพระองค์”
แม้ความเศร้าโศกและความเจ็บปวดจะลึกเพียงใด ถ้าคุณหวังในพระคริสต์ วันหนึ่ง
ความเศร้าโศกและความเจ็บปวดทั้งหมดจะเปลี่ยนเป็นความชื่นชมยินดี ความสุขกำลังมา
จนกว่าจะถึงวันที่ความชื่นชมยินดีของพระเจ้าในพระคริสต์ปรากฏอย่างเต็มที่ เราจะร้องไห้
เราจะไว้ทุกข์ เราจะต่อสู้กับความเจ็บปวด เราจะมีความทุกข์
แต่ในขณะที่เราประสบกับสิ่งเหล่านี้
พระเจ้าได้ทรงเรียกให้เราแสวงหาพระองค์ด้วยความถ่อมใจ พูดกับพระองค์อย่างจริงใจ
และมีความหวังในพระองค์
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ
Casey
B. Hough
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น