บทเรียนจาก สดุดี 71:9-18
เมื่อฉันแก่เฒ่า
9ขออย่าทรงละทิ้งข้าพระองค์เมื่อข้าพระองค์แก่เฒ่า
ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เมื่อข้าพระองค์สิ้นแรง
10เพราะศัตรูของข้าพระองค์พูดให้ร้ายข้าพระองค์
ผู้ที่คอยจะเอาชีวิตของข้าพระองค์คบคิดกัน
11เขากล่าวว่า “พระเจ้าทรงละทิ้งเขาแล้ว
ให้เราไล่ล่าและจับกุมเขา เพราะไม่มีใครช่วยกู้เขาหรอก”
12ข้าแต่พระเจ้า ขออย่าทรงห่างไกลข้าพระองค์
ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์
ขอทรงรีบรุดมาช่วยข้าพระองค์
13ขอให้ผู้ปรักปรำข้าพระองค์พินาศไปด้วยความอับอาย
ขอให้ผู้มุ่งร้ายข้าพระองค์มีแต่ความอัปยศอดสู
14แต่ส่วนข้าพระองค์จะยังมีความหวังอยู่เสมอ
ข้าพระองค์จะถวายสรรเสริญแด่พระองค์มากยิ่งๆ ขึ้น
15ปากของข้าพระองค์จะกล่าวถึงความชอบธรรมของพระองค์
จะเล่าถึงความรอดของพระองค์ทั้งวัน แม้ข้าพระองค์จะหยั่งประมาณไม่ได้
16ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต
ข้าพระองค์จะมาประกาศพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ข้าพระองค์จะป่าวร้องความชอบธรรมของพระองค์แต่ผู้เดียว
17ข้าแต่พระเจ้า
ตั้งแต่เยาว์วัยพระองค์ทรงสอนข้าพระองค์
จนถึงวันนี้ข้าพระองค์ป่าวประกาศพระราชกิจมหัศจรรย์ของพระองค์
18แม้เมื่อข้าพระองค์เข้าสู่วัยชรา ผมหงอกขาว
ข้าแต่พระเจ้า ขออย่าทรงทอดทิ้งข้าพระองค์
ตราบจนข้าพระองค์ประกาศฤทธานุภาพของพระองค์แก่คนรุ่นต่อมา
และเล่าถึงพระเดชานุภาพให้คนรุ่นหลังฟัง
เมื่อเราอายุมากขึ้น วันเกิดก็ดูเหมือนจะมาเร็วขึ้น พวกมันนำความจริงของร่างกายมาให้เราเห็นได้อย่างชัดเจน
เราแก่ขึ้นและอ่อนแอลง การมองเห็นมืดลง การได้ยินลดลง และแขนขาขยับได้ช้าลงเมื่อเราต้องการให้มันเคลื่อนไหว
ความเสื่อมในร่างกายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่เรามีความเข้มแข็งภายในซึ่งมีศักยภาพที่จะช่วยรักษาความสุขของเราเอาไว้ได้
สิ่งที่ทำให้ฉันประทับใจในข้อนี้คือคำอธิษฐานของผู้ประพันธ์เพลงสดุดีว่าพระเจ้าจะไม่ทรงละทิ้งเขาหรือทอดทิ้งเขาเมื่อเขาแก่แล้ว
ลักษณะที่น่าเศร้าประการหนึ่งของวัฒนธรรมของเราคือการไม่ให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ
วัฒนธรรมของเราเทิดทูนเยาวชน ความงามที่อ่อนเยาว์ ควบคู่ไปกับประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจและประโยชน์ใช้สอย
เป็นที่น่าสนใจเสมอที่จะสังเกตว่าวัฒนธรรมกำหนดมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับกิจกรรมบางอย่างเพียงใด
จากมุมมองดังกล่าว
วัฒนธรรมของเราให้คุณค่าสูงสุดกับผู้ที่ให้ความบันเทิงแก่เราและผู้นำในบริษัทขนาดใหญ่
คนเหล่านี้คือคนที่วัฒนธรรมของเราเห็นว่าคู่ควรกับรางวัลทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด
ผู้เขียนสดุดีกังวลว่าเมื่อเขาแก่และผมเริ่มหงอก — เขาไม่แข็งแรงและไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำในการต่อสู้อีกต่อไป—
เขาจะถูกโยนทิ้งไป ดังนั้นเขาจึงอธิษฐานต่อที่ลี้ภัยของเขา (พระเจ้า) เพื่อไม่ให้ละทิ้งเขา
เรารู้คำตอบของคำอธิษฐานนี้ เพราะคุณลักษณะที่สวยงามประการหนึ่งของพระลักษณะของพระเจ้าของเราคือพระองค์ทรงโปรดปรานผู้อ่อนแอ ผู้ถูกกดขี่ ผู้ถูกกดขี่ คนยากจน คนเหงา ผู้ที่ถูกลืม
คุณค่าของเราต่อหน้าพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของความอ่อนเยาว์ ความงาม
ประโยชน์ใช้สอย ผลผลิตของเรา ผลผลิตทางเศรษฐกิจของเรา แต่คุณค่าของเราอยู่เหนือสิ่งอื่นใดในหัวใจของพระเจ้าผู้ทรงสร้างเราตามพระฉายาของพระองค์
ตั้งแต่เราเป็นทารกในครรภ์จนถึงวัยผู้สูงอายุที่มีอายุเหลือเพียงไม่กี่วันบนโลกใบนี้
ล้วนเป็นภาพที่สวยงามของพระผู้สร้างของเราและมีค่าในสายพระเนตรของพระองค์อย่างไม่มีขอบเขต
ดังนั้นถ้าเราอ้างว่าเราคือผู้ติดตามพระองค์ ผู้สูงอายุก็จะต้องงดงามในสายตาของเราเช่นกัน ให้เราหันไปมองดูพวกท่านแล้วทำหน้าที่ของการเป็นลูกหลาน หน้าที่ของการเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยความรักต่อพวกเขา อย่างดีที่สุด
ดังนั้นคำอธิษฐานของฉันในวันนี้จึงมีไว้สำหรับผู้สูงอายุ
ฉันกำลังคิดและสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับคนที่ฉันรู้จัก – ในครอบครัว ละแวกเพื่อนบ้านและในเขตชุมชนวัดของเรา
ฉันกำลังสวดอ้อนวอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงวัยที่มีวันที่ยากลำบากและกำลังดิ้นรนอยู่กับความเหงาและความรู้สึกไร้ค่า
และฉันก็อธิษฐานเผื่อผู้ที่ห่วงใยพวกเขาด้วยเช่นกัน ขอให้พวกเขาพบความสุขและความหมายในงานรักและรับใช้ของพวกเขา
ขอให้เขาได้รู้ได้เข้าใจว่าทุกกิจการดีที่พวกเขาทำนั้นศักดิ์สิทธิ์ในสายพระเนตรของพระเจ้าเสมอ
ข้อคิดสำหรับวันนี้
เราสามารถวัดความเข้มแข็งของ “วิญญาณในตัวเรา” ได้โดยความก้าวหน้าในสี่ด้านหลักในชีวิตของเรา
หนึ่ง คือ: จุดประสงค์ (เหตุผลในการใช้ชีวิต) คือการมีจุดมุ่งหมายของชีวิตว่าจะดำเนินชีวิตเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
จุดประสงค์ของเราถูกกำหนดโดยของประทานและความสามารถในปัจจุบันของเรา หรือทักษะที่เรามี
ไม่ว่าจะเป็นวิธีการของเรา การเล่าเรื่อง การให้กำลังใจ การร้องเพลง
การให้คำปรึกษา การทำสวน การอธิษฐาน การช่วยเหลือของเราล้วนมีความสำคัญ เรามีชีวิตอยู่เพื่อตอบแทนสิ่งที่เราได้รับมา
ด้วยความกตัญญูต่อผู้ให้ชีวิตของเรา(พราะเจ้า) ให้เราใช้ชีวิตเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์
สอง : คือ ศรัทธา (ความไว้วางใจที่คงอยู่ ในพระเจ้า) เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
เราจะตระหนักดีว่าการทูลขอ การเชื่อ
และคาดหวังไม่ได้รับประกันผลลัพธ์ที่เราขอเสมอไป แต่เราเรียนรู้ที่จะเติบโตในศรัทธาของเราโดยการวางใจในพระเจ้า
ไม่ว่าคำตอบของพระองค์จะแตกต่างจากความคาดหวังของเราเพียงใด เรารู้ว่าเรามีหวังในพระเจ้าเสมอ
สาม : ความหวัง (ความปรารถนาของเราสำหรับสิ่งที่ดีที่จะเกิดขึ้น) โดยการเลือกที่จะยังคงคิดบวก
เราจะขจัดความรู้สึกด้านลบ ว่ามันหมดหนทางแล้วและความคิดไร้ประโยชน์ต่างๆออกไป แต่เราจะเอาตัวรอดจากหลุมพรางของภาวะซึมเศร้าและความสิ้นหวัง หรือเมื่อมีความเสียใจกับการกระทำผิดที่ผ่านมา โดยการที่เราเลือกว่าเราจะมีความยินดีอยู่เสมอ และขอบพระคุณพระเจ้าในทุกสิ่ง
สี่ : ความรัก คือการเอาใจใส่ผู้อื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง รู้จักรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง
“ยิ่งแก่ตัวลง เรายิ่งต้องเติบโตในความเชื่อ” แม้ร่างกายภายนอกทรุดโทรมตามกาลเวลา
แต่จิตใจฝ่ายวิญญาณของเราต้องเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม จงให้สิ่งนี้เป็นตัวเลือกของคุณและให้มันขับเคลื่อนคุณไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่
จากความจริงใน 2 โครินธ์ 4:16 : “เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ท้อใจ ถึงแม้กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป
แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน” จงจำไว้ว่า คุณเป็นภาพที่สวยงามของพระผู้สร้างของเราเสมอและมีค่าในสายพระเนตรของพระองค์เสมอ
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ
stjohnslutheran
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น