วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2565

การรับมือกับความขัดแย้ง

 


การรับมือกับความขัดแย้ง: โรม 12:18

ความสัมพันธ์สามารถทำให้เรามีความสุขได้อย่างมาก แต่อย่างที่พวกเราส่วนใหญ่ทราบ บางครั้งความสัมพันธ์ในชีวิตของเราก็ทำให้เกิดความเจ็บปวดได้เช่นกัน ทุกความสัมพันธ์จะต้องเผชิญกับความขัดแย้งในคราวเดียว ในท้ายที่สุด วิธีที่เราใช้จัดการกับความขัดแย้งนั้นบอกได้มากว่าเรามองความสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่นและพระเจ้าอย่างไร และความขัดแย้งสามารถทำลายความสัมพันธ์และความรู้สึกสงบของเราได้หากเรายอมให้มันเกิดขึ้น

 

ความปรารถนาสันติภาพนำเราไปสู่ ​​โรม 12:18 ถ้าเป็นได้เท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่ร่วมกับทุกคนอย่างสงบสุข” พระคัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนหลายครั้งให้ผู้เชื่อแสวงหาสันติสุข แต่ในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยบาป สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร? เพราะแค่เปิดดูข่าวก็ทำให้เห็นแล้วว่าโลกที่เราอยู่ มันไม่ได้เป็นสถานที่ที่สงบสุขเสมอไป 

 

เปาโล ผู้เขียนกล่าวว่าเราควรอยู่อย่างสงบสุข “ถ้าเป็นไปได้ เท่าที่มันขึ้นอยู่กับคุณ” เปาโลตระหนักดีว่าในโลกที่บาปจะมีบางครั้งที่สันติสุขเป็นไปไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะคริสเตียน เราต้องดำเนินชีวิตอย่างสงบสุขและส่งเสริมสันติสุขแก่คนรอบข้าง ยิ่งไปกว่านั้น พระเยซูทรงเตือนเราว่าเป็นเพราะพระองค์เราจึงสามารถมีสันติสุขได้แม้ต้องอยู่ในโลกที่มีแต่ความขัดแย้ง 

 

เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่พวกท่านเพื่อพวกท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้พวกท่านจะมีความทุกข์ยากแต่จงชื่นใจเถิด! เราได้ชนะโลกแล้ว”  (ยอห์น 16:33)”

 

ใช้เวลาในวันนี้เพื่อไตร่ตรองว่าเราจะอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคนได้อย่างไร แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ก็ตาม

 

เราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ แต่นี่คือสิ่งที่เราควบคุมได้

ใน โรม 12:18 ตระหนักดีว่าในขณะที่เราไม่สามารถควบคุมทุกสิ่งได้ เราควรพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อแสวงหาความสงบสุข ตัวอย่างเช่น คุณไม่สามารถควบคุมความโกรธของคนอื่นได้ แต่คุณควบคุมตัวเองได้ โดยการควบคุมคำพูด การกระทำ และความประพฤติของเรา เราสามารถส่งเสริมสันติภาพมากกว่าที่จะขัดแย้งกัน ตัวอย่างเช่น ในฐานะผู้เชื่อ เราควรจงใจหลีกเลี่ยงการยั่วยุให้เกิดการวิวาทหรือการทะเลาะ  เมื่อเราเจ็บปวด อาจเป็นเรื่องง่ายที่จะเกิดการยั่วยุให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นหรือตอบสนองกับช่วงอารมณ์ที่ร้อนระอุ ดังนั้นเราควรเลือกที่จะแสวงหาความสงบในความไม่ลงรอยกันแทนที่จะไปยั่วยุ

 

ปล่อยให้การพิพากษาและการแก้แค้นเป็นงานของพระเจ้า

จะมีบางครั้งที่ใครบางคนทำร้ายคุณ และปฏิกิริยาตอบสนองของคุณคือการแสวงหาการแก้แค้น สิ่งนี้ขัดกับวิธีที่พระคัมภีร์บอกให้เราตอบสนอง บัญญัติก่อนและหลังโรม 12:18 กล่าวว่า:

17อย่าทำชั่วตอบแทนคนที่ทำชั่ว จงใส่ใจที่จะทำสิ่งที่ถูกต้องในสายตาของทุกคน 18ถ้าเป็นได้เท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่ร่วมกับทุกคนอย่างสงบสุข 19เพื่อนเอ๋ย อย่าแก้แค้น แต่จงปล่อยให้พระเจ้าทรงสำแดงพระพิโรธ เพราะมีเขียนไว้ว่า “การแก้แค้นเป็นหน้าที่ของเราเอง เราจะคืนสนอง” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้  (โรม 12:17-19)”

 

ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะแก้แค้น เราต้องวางใจพระเจ้าในการพิพากษาและแก้แค้นความผิด เมื่อคุณถูกล่อลวงให้ทำร้ายใครซักคนเพราะเขาทำร้ายคุณ คุณควรหยุดและมอบความเจ็บปวดของคุณให้กับพระเจ้า

 

เมื่อเราเลือกตอบโต้ด้วยการแก้แค้น สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับการสร้างสันติภาพอย่างแน่นอน แม้การไม่โต้ตอบอาจจะดูเหมือนยากที่จะทำเมื่อคุณรู้สึกเจ็บปวด แต่มันก็ดีกว่าการที่คุณไปโต้ตอบกลับแล้วทำให้เรื่องมันบานปลาย  อันที่จริง พระเยซูบอกให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่โลกบอกให้เราทำ โลกมันแนะนำว่าเราควรตอบสนองต่อผู้ที่กระทำกับเราอย่างสาสม แต่พระองค์บอกสอนสาวกให้รักศัตรูและอธิษฐานเผื่อผู้ที่ข่มเหงพวกเขา (มัทธิว 5:44)

 

มุ่งมั่นที่จะเป็นมิตร

เราควรทำอย่างไรแทน? พูดง่ายๆ ก็คือ เราควรแสวงหาสันติสุขกับทุกคนและต่อสู้เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ (ฮีบรู 12:24) โดยทำตามแบบอย่างของความบริสุทธิ์และสันติของพระคริสต์ แล้วเราจะเป็นแบบอย่างที่ชัดเจนเกี่ยวกับความรักของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้ ลองนึกภาพว่าโลกจะแตกต่างออกไปเพียงใดและน่าอยู่เพียงใด หากคริสเตียนทุกคนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขกับทุกคน!

 

นอกจากนี้ เมื่อพูดถึงวิธีที่เราตอบสนองต่อความขัดแย้งด้วยสันติ ในพระธรรมยากอบได้ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์แก่เราว่า “ทุกคนควรไวในการฟัง ช้าในการพูด และช้าในการโกรธ (ยากอบ 1:19)” แทน​ที่​จะ​โต้ตอบ​ใน​ทันที เรา​ควร​หา​เวลา​ฟัง. เพราะการฟังทำให้เรามีที่ว่างสำหรับสันติภาพท่ามกลางความขัดแย้ง

 

ฝึกให้อภัยแล้วให้อภัยอีก

เราต้องเป็นแบบอย่างของความเชื่อของเราโดยการให้อภัยผู้อื่นให้เหมือนที่พระคริสต์ทรงให้อภัยเรา (เอเฟซัส 5:1-2) จะมีวิธีไหนที่ช่วยให้เราอยู่กับคนอื่นได้อย่างสงบสุขได้ดีไปกว่าการรู้จักให้อภัย  (มัทธิว 18:21-22) การให้อภัยไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจของเราเกี่ยวกับการเสียสละของพระคริสต์ที่มีเพื่อเราเท่านั้น แต่ยังป้องกันเราไม่ให้มารครอบงำเรา และยังช่วยให้เราไม่จมอยู่กับความขุ่นเคืองอีกด้วย แต่หากคุณเลือกที่จะไม่ให้อภัย หัวใจของคุณก็จะแข็งกระด้าง และเป็นการยากที่คุณจะรู้สึกสงบเมื่อคุณเก็บซ่อนความขมขื่นและความเกลียดชังเอาไว้ ดังนั้นราควรพยายามดำเนินชีวิตตามคำสั่งของเอเฟซัส 4:31-32

 

 31จงขจัดความขมขื่นทั้งสิ้น ความเกรี้ยวกราด และความโกรธแค้น การทะเลาะและการใส่ร้ายป้ายสี พร้อมทั้งการมุ่งร้ายทุกรูปแบบ 32จงเมตตาและสงสาร เห็นใจกันและกัน ให้อภัยต่อกันเหมือนที่พระเจ้าทรงอภัยแก่ท่านในพระคริสต์

เอเฟซัส 4:31-32

 

พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติภาพ

เปาโลหมายความว่าเราควรอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคนจริงหรือ? ใช่! เราต้องทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้หากมันขึ้นอยู่กับเรา และโชคดีสำหรับผู้เชื่อ เพราะเราสามารถไปหาพระเจ้าได้ด้วยการอธิษฐานและขอให้พระองค์ช่วยเรา และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมคนที่กำลังเผชิญกับความยากลำบากในสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นแต่กลับรู้สึกสงบ มีสันติสุขได้ นั่นก็เพราะเขารู้และเชื่อว่า มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ประทานให้ได้

 

ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสันติสุขเองประทานสันติสุขแก่ท่านทั้งหลายทุกด้านทุกเวลา ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับพวกท่านทั้งปวง

– 2 เธสะโลนิกา 3:16

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

southbaychurchli.org

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...