วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2565

ความรักเป็นของขวัญที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา

 


ความรักเป็นของขวัญที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา

รักคืออะไร?

ฉะนั้นสามสิ่งนี้ยังคงอยู่คือ ความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด1 โครินธ์ 13:13

ความรักเป็นหนึ่งในคำที่คนใช้กันมากที่สุดในโลก เป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าใจ เพลง บทกวี เรื่องราวมากมายถูกเขียนเกี่ยวกับความรัก และเป็นแก่นแท้ของการดำรงอยู่ของมนุษย์


 แล้วความรักมันคืออะไร? ผู้คนใช้เพื่อแสดงความผูกพันกับสิ่งของหรือกับคนอย่างฟุ่มเฟือย เช่น รักเพื่อน รักรถ   พจนานุกรม Merriam-Webster นิยามความรักว่าเป็น "ความรักใคร่อันแรงกล้าต่อผู้อื่นที่เกิดจากเครือญาติหรือความสัมพันธ์ส่วนตัว" และพจนานุกรมอ็อกซ์ฟอร์ดนิยามความรักว่าเป็น "ความรู้สึกรักใคร่อย่างลึกซึ้ง" .


 อย่างไรก็ตาม ความรักในพระคัมภีร์เป็นมากกว่าความรู้สึกหรืออารมณ์ ความรักในพระคัมภีร์เป็นการกระทำตามการเลือก อาจเกี่ยวข้องกับอารมณ์  แต่การ กระทำจะตามมาเสมอ


ความรักสี่แบบ และความรักของคริสเตียน

ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ซึ่งบันทึกด้วยภาษากรีก ปรากฏคำเกี่ยวกับความรักอยู่ถึง 4 คำด้วยกัน ใช้บรรยาย ความรักที่แยกย่อยได้ถึง 4 ประเภท


1. ฟิเลโอ (Phileo)

ยอห์น 16:19  "ถ้าท่านทั้งหลายเป็นของโลก โลกก็จะ รัก (Phileo) ท่านซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะท่านไม่ใช่ของโลก เพราะเราได้เลือกท่านออกจากโลก เหตุฉะนั้น โลกจึงเกลียดชังท่าน"

    เป็นความรักอย่างแรกของความรักสี่แบบที่กรีกค้นพบและได้ตั้งชื่อไว้ ฟิเลโอ เป็นรักง่ายๆ เป็นความรักกึ่งๆ ระหว่าง อีรอส และอากาเป เป็นมิตรภาพที่มีต่อเพื่อนฝูง เป็นรากฐานของความจำเป็นในสังคมมนุษย์ เราเกิดมา โดยสันดาน มนุษย์ต้องการความรักและการยอมรับ

      พระเจ้าได้สร้างสัตว์กลุ่มต่างๆ และเราก็ต้องมีสังคมเพื่อจะดำรงอยู่ได้ เพราะมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างให้อยู่คนเดียว พระเจ้าตรัสว่า "ไม่ควรที่ชายผู้นี้จะอยู่คนเดียว เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ ที่สมกับเขาขึ้น" พระเจ้าจึงทรงปั้นบรรดาสัตว์ ในท้องทุ่ง และนกในท้องฟ้า ให้เกิดขึ้นจากดิน แล้วทรงนำมายังชายนั้น เพื่อดูว่าเขาจะเรียกชื่อมันว่าอะไร...แต่ชายนั้น ยังหามีคู่อุปถัมป์ที่สมกับตนไม่ [ปฐมกาล 2:18-20]

      ครอบครัวจึงเป็นสังคมแรก และมนุษย์ต้องอยู่อาศัยด้วยกัน เพื่อมีชีวิตรอด เป็นการเอื้อเฟื้อให้แก่กันโดยพื้นฐาน ซึ่งเป็นรักชนิดหนึ่งที่พูดได้ว่า "ฉันต้องการเธอ ฉันจะเป็นเพื่อนกับเธอ เธอต้องการฉัน เธอก็จะเป็นเพื่อนกับฉัน" แต่โดยธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ยืนยาว ทุกคนต้องตาย ความรักแบบฟิเลโอ จึงเป็นรักที่เห็นแก่ตัว เช่น "ฉันชอบเธอ ถ้าเธอชอบฉัน" ฟิเลโอไม่ค่อยให้อะไรใครเพื่อความรัก แต่เป็นมิตรภาพที่ลึกซึ้ง ซึ่งพัฒนาเป็นรักที่ลึกซึ้งต่อไปได้

      ถ้าเกิดอันตรายขึ้นกับใครซักคน ฟิเลโอมักจะ "มีผลอะไรกับฉันบ้าง" รักแบบนี้จึงเอาตัวเองเป็นหลัก ให้และตอบแทนกัน เมื่อมีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง แม้จะเป็นรักแบบเพื่อน แต่ก็ไม่สามารถตายแทนกันได้ นอกจากจะใช้ อากาเปแทนความรักนี้

 

2. สตอรเจ  (Storge)

      เป็นความรักญาติพี่น้อง เกิดขึ้นในคนทุกคน สตอรเจ เป็นรักที่พัฒนาขึ้นมา ตามกระบวนการบางอย่าง ชีวิตของคนเรา มีความเกี่ยวพันกันในการเลี้ยงดู พ่อแม่ ดูแลลูกที่เกิดมา ในสัตว์ประเภทเดียวกัน เกิดมาก็รวมกลุ่มกันเพื่อความอยู่รอด คือ รักกันตามสัญชาตญาณ ไม่ต้องบอกผู้เป็นแม่ ว่าให้ปกป้องลูกน้อย เพราะมันเป็นไปโดยอัตโนมัติ แม่รักลูกตัวเอง ได้อย่างง่ายดาย เพราะนั่นเป็นลูกของแม่ แต่ความรักแบบ สตอรเจก็ยังเป็นความรักที่เห็นแก่ตัว เพราะมีเรื่องการหวัง ผลตอบแทนทางอารมณ์ มาเกี่ยวข้อง การแสดงออกแบบ สตอรเจ พ่อแม่เรียนรู้ความรักแบบนี้ได้ พอเด็กโต เด็กก็จะ เรียนรู้ความรักนี้โดยอัตโนมัติ

       ความรักในแบบฟิเลโอจะเป็นในลักษณะที่ว่า ฉันจะรักคุณ ถ้า..... แต่ในแบบ สตอรเจ คือ ฉันจะรักคุณ เพราะฉันควรรักคุณ อย่างเมื่อเด็กโตขึ้นมา มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ระหว่างเครือญาติ เป็นรักแบบมีเงื่อนไข หวังการตอบแทน จึงยังเป็นความรักแบบมนุษย์ ความรักแบบสตอรเจ เรายังคงรักกันอย่างที่เราเป็น หรืออย่างที่ทุกคนเป็น


3. อีรอส (Eros)

      อีรอส เป็นความรักที่ต้องการให้ได้มา (Acquisitive) บนพื้นฐานความเห็นแก่ตัว (Egocentric/Selfish) เป็นรักที่ไม่แน่นแฟ้นหรือถาวร เป็นความรักที่เกี่ยวข้องกับความใคร่ เกี่ยวพันกับเรื่องทางเพศ อีรอส เป็นความรัก ที่ตอบสนองความงามของวัตถุ และการใช้อีรอส ในทางที่ผิดจะนำไปสู่ความเสื่อม 

 ปฐมกาล 1:27 "พระเจ้าจึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้น ตามพระฉายาของพระองค์ ตาม พระฉายาของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน จงครอบครองฝูงปลาในทะเล และฝูงนกในอากาศ กับบรรดาสัตว์ที่เคลื่อนไหวบนแผ่นดิน"

      พระเจ้าสร้างผู้ชายและผู้หญิงเพื่อมีสเน่ห์ต่อกันและกัน พระเจ้าตั้งใจให้ผู้ชาย และผู้หญิงรวมกัน เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้กำเนิดลูกหลานบนแผ่นดิน ในสวนเอเดน พระเจ้าได้ให้อำนาจมนุษย์ในการควบคุม

      อีรอส มีอารมณ์ดึงดูดทางเพศของผู้ชายกับผู้หญิง ทำให้ทั้งสองประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน (One Body) อีรอส จึงเป็นความรักของมนุษย์ ที่ไม่ใช่ "ความต้องการ" ของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน ในที่ต่างๆ นั้น ก็มักจะมีเรื่องของ Sex ปรากฎ ไม่ว่าจะเป็นแมกกาซีน หรือสื่อต่างๆ จึงบอกได้ว่า อีรอสยังคงมีอยู่อย่างปกติ แม้ว่า พระเจ้าจะไม่ได้เข้าไป ยุ่งเกี่ยวก็ตาม อีรอส คล้ายๆ กับ ฟิเลโอ คือมีตัวเองเป็นใหญ่ และเหมือนสตอรเจ ที่ต้องการสิ่งตอบแทน จริงๆ แล้ว ความรักแบบอีรอส ก็เป็นกิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง กลายเป็นเกมแห่งการ เอาชนะ เพื่อให้ได้มไม่ได้คิดถึงผู้อื่น มากกว่าตน แต่อีรอสก็เป็นมากกว่าลักษณะกายภาพอย่างเดียว มันเป็นเรื่องจิตใจด้วย มันได้รับการออกแบบจากผู้สร้าง ที่จะทำให้เราสังเกตุกันและกัน เพื่อจะตกหลุมรัก ก้าวไปสู่ความรักที่แท้จริง ที่ไม่ใช่แค่ตัณหา แต่เป็นความรักที่งดงาม มีการจีบ คบกัน และแต่งงาน ซึ่ง ความรักแบบมนุษย์ทั้ง 3 ประเภทนี้ ไม่ต้องให้พระเจ้าช่วยให้เกิดขึ้น


 4. Agape อากาเป

AGAPE (อากาเป) คือ ความรักแบบพระเจ้า มีลักษณะดังนี้คือ

รักที่บริสุทธิ์

รักที่ไม่มีเงื่อนไข

รักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน

รักที่ให้คุณค่าผู้อื่น

รักที่เห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่น

รักที่ยอมเสียสละ

ขอนำ คำว่า “AGAPE” ในภาษาอังกฤษ มาใช้เป็น หลัก 5 ประการ เพื่อการดำเนินชีวิตตามวิถีของพระเจ้า ซึ่งจะครอบคลุม ความคิด อารมณ์ และการกระทำ ที่จะช่วยทำให้ครอบครัวของเรา เป็นอิสระจากความทุกข์ เพราะความกังวลใจ และจะช่วยทำให้ชีวิตครอบครัวของเรา มีความสมดุล

A = Acknowledge คือ การรับรู้ ถึงคุณค่ายิ่งใหญ่แห่งความรักของพระเจ้าเสมอ ไม่ว่าเราจะคิด หรือทำอะไรอยู่ เราต้องรับรู้ว่า พลังแห่งความรักพระเจ้าทรงคุณค่ายิ่งใหญ่ ทรงพระชนม์อยู่ และทรงอยู่กับเราเสมอ เราควรจำนนชีวิตให้พระองค์เข้ามามีส่วนร่วมในครอบครัวทุกด้าน เพื่อเราจะดำรงชีวิตอยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้าเหมือนอย่างพระเยซู ดังที่พระองค์ทรงอธิษฐานต่อพระบิดาว่า “…ถ้าพระองค์พอพระทัย…อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด” – ลูกา 22:42 เพราะ ความรักที่เรามีต่อพระเจ้า คือ การทำตามพระทัยของพระบิดาในสวรรค์ (1 ยน.2:15-17)

“อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าใครรักโลก ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลก และโลกกับสิ่งยั่วยวนของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่คนที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์” – 1 ยอห์น 2:15-17

G = Give คือ การให้ด้วยความรัก ดังที่พระเยซูทรงให้เพราะรัก แต่ในยุคแห่งการเห็นแก่ตัว การให้เป็นสิ่งที่เห็นได้น้อยมาก โดยเฉพาะการให้โดยไม่มีเงื่อนไข หรือการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เช่นกันในครอบครัวเรา ควรให้ชีวิต และสิ่งที่ดีแก่กันเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นที่จะขาดไม่ได้เลย ฉะนั้น เมื่อพระเยซูทรงยอมตายเพื่อเราเพราะความรักแล้ว สามีก็ควรยอมตายเพื่อภรรยาเพราะความรักเช่นเดียวกัน

A = Act คือ การกระทำ บนพื้นฐานของความรักและความจริง มากกว่าความรู้สึก หากพระเยซูกระทำบนฐานของความรู้สึก พระองค์คงเดินออกไปจากสวนเกทเสมนีไปแล้ว เพราะความกดดัน และความทรมานนั้น มันเจ็บปวดสุดจะเกินทนได้ แต่ขอบพระคุณพระเจ้า พระองค์กระทำบนฐานของความรักและความจริง พระองค์ทรงรู้ว่า อะไรเป็นน้ำพระทัยของพระบิดา และอะไรเป็นประโยชน์สูงสุดแก่เรา ซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกกระทำตามนั้นเพื่อเราทุกคน ดังนั้น ขอให้เรากระทำดีต่อคนในครอบครัวของเรา โดยตั้งอยู่บนฐานของพลังแห่งความรัก และความจริงเสมอไป เหมือนกัน (1 ยน.3:18)

“ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง” – 1 ยอห์น 3:18

P = Pray คือ การอธิษฐานด้วยความรัก ไม่ใช่ด้วยหน้าที่ แม้พระเยซูทรงได้รับความทุกข์ทรมาน แต่ยังทุ่มเทในการอธิษฐานด้วยความรักโดยไม่หยุดยั้ง แม้ในเวลาที่เหล่าสาวกของพระองค์ล้มเหลวที่จะมีส่วนร่วมกับพระองค์ เราเองอาจทำไม่ได้เท่าพระเยซู แต่ การอธิษฐานอย่างทุ่มเทด้วยพลังแห่งความรัก ก็จำเป็นอย่างยิ่ง ในการดำเนินชีวิตครอบครัวของเราด้วยเช่นกัน

E = Emphatize คือ การเข้าร่วมความรู้สึก เมื่อพระเยซูทรงมองดูผู้คน พระองค์ทรงเข้าถึงจิตใจและรู้สึกสงสารพวกเขา เช่นเดียวกัน ทุกคนในครอบครัวควรมีความรู้สึกร่วมและเห็นใจซึ่งกันและกันให้มาก เหมือนกับที่พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างแก่เรา เพราะพระองค์ทรงรักและเข้าใจเรานั่นเอง


ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ เป็นความรักดั้งเดิม ตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระเจ้าทรงรักมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงเลือกรักพวกเขา ไม่ใช่รักเพราะพวกเขาได้สร้างคุณงามความดี หรือทำอย่างหนึ่งอย่างใดดีเลิศ จึงสมควรได้รับความรัก

 Agape เป็นคำที่ใช้ในยอห์น 15:13 “ความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ไม่มีใครอีกแล้ว ที่จะสละชีวิตเพื่อมิตรสหายของพระองค์” ปรากฏในข้อพระคัมภีร์อีก 115 ครั้ง เช่น มัทธิว 5:43 โรม 5:8 โรม 8:35 1 ยอห์น 3:16 และแน่นอน 1 โครินธ์ 13:13

ยอห์น 3:16 "เพราะว่าพระเจ้าทรง รัก (Agape) โลก จึงได้ประทาน พระบุตรองค์เดียว ของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจ ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์"

      รักในระดับสูงสุด รักที่ให้แก่กัน ไม่คิดถึงตัวเอง และสละได้ทุกสิ่งเพื่อสิ่งที่รัก ไม่มีเปลี่ยนแปลง และให้ได้เสมอ แม้เป็นศัตรู ความรักแบบอากาเปอาจหมายถึง การรักในชื่อเสียง รักในเงินทอง หรือรักในอะไรก็ตาม ที่คนเรายอมตายถวายชีวิตให้ การที่พระเยซูคริสต์ยอมตาย เพื่อคนอื่นเรียกได้ว่า เป็นความรักแบบอากาเป จนกระทั่งมีคำพูดเขียนไว้ว่า "Not that God is Eros or Stroge or Phileo, but Agape"

      อากาเปเป็นความรัก แบบไม่มีเงื่อนไข อาจกล่าวได้ว่า ในบรรดาความรักทั้งหมด อากาเปสำคัญที่สุด เพราะความรัก สามแบบแรก Eros, Storge และ Phileo ล้วนแต่เกิดขึ้นในใจคนเราได้ โดยไม่ต้องพยายาม เราย่อมจะรักพ่อแม่ของเรา และย่อมรักเพื่อนฝูงเพราะเขาดีกับเรา และบ้างก็คิดเหมือนเรา แต่อากาเป เป็นความรักชนิดเดียว ที่สิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล จะสร้างไว้ในใจตัวเองได้ เพราะเป็นความรัก ที่ต้องมีให้ แม้แต่คนที่เกลียดชัง

 1 ยอห์น 4:16 "พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ใดที่อยู่ในความรัก ก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตย์อยู่ในผู้นั้น"

ความรักทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของพระเจ้า เพราะพระเจ้าเป็นความรัก บริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบ แต่รักทุกแบบ ไม่ได้ต้องการพระเจ้า เว้นแต่อากาเป เป็นรักที่ต้องให้พระเจ้าเข้ามาช่วย และเป็นรักในแบบที่พระเจ้าต้องการ


ความรักในพระคัมภีร์คือความรักที่เสียสละ คือการเลือกทำดีต่อผู้อื่น  และคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง การรักตามพระคัมภีร์หมายถึงการรับใช้ผู้อื่น และการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

 ความรักแท้จริงเริ่มต้นจากพระบิดาทรงมอบพระบุตรของพระองค์ให้กับโลกโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนจากเรา สำหรับผู้เชื่อ ความรักคือการเลือกพระเจ้า และเชื่อฟังพระองค์ เป็นการเสียสละเพื่อผู้อื่นโดยไม่คำนึงถึงต้นทุน

 

ทำไมความรักถึงยิ่งใหญ่ที่สุด

คุณธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสามประการของคริสเตียนคือความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก อย่างไรก็ตามความรักนั้นสูงกว่าสิ่งอื่น

1. หากปราศจากความรัก ความเชื่อและความหวังก็ไร้ค่า

หากปราศจากความรัก ก็ไม่มีศรัทธาที่แท้จริง เปาโลกล่าวใน 1 โครินธ์ 13:2 “… หากข้าพเจ้ามีของประทานในการเผยพระวจนะ สามารถหยั่งถึงข้อล้ำลึกทั้งปวงและความรู้ทั้งสิ้น และถ้าข้าพเจ้ามีความเชื่อที่เคลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไร ” ศรัทธาไม่เพียง แต่ไร้ความหมายหากปราศจากความรัก แต่เราต้องเแสดงออกผ่านความรักด้วย  กาลาเทีย 5:6  พราะในพระเยซูคริสต์การเข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัตก็ไม่มีค่าอันใด สิ่งเดียวที่สำคัญคือความเชื่ออันแสดงออกด้วยความรัก

 ในทำนองเดียวกัน ไม่มีความหวังแท้จริงหากปราศจากความรัก ความหวังหมายถึงการรอคอยบางสิ่งบางอย่างอย่างมั่นใจ และเราไม่สามารถหวังในสิ่งที่เราไม่รักได้

 2. รักนิรันดร์

ความรักจะยืนยาวกว่าความเชื่อและความหวัง เมื่อพระเยซูเสด็จกลับมา ความเชื่อของเราจะปรากฎ และความหวังของเราจะสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ความรักของเราจะไม่หยุด แต่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์และสมบูรณ์แบบ

 3. ความรักเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น

ความเชื่อและความหวังเป็นคุณสมบัติที่แท้จริงสำหรับผลประโยชน์ของเรา การรักผู้อื่นยังช่วยให้คุณเปิดใจกับคนอื่น และค้นพบความสามารถภายในของคุณสำหรับความรักที่บริสุทธิ์และไม่มีเงื่อนไข และการเป็นผู้ให้ย่อมสูงกว่าการเป็นผู้รับ

 4. พระเจ้าคือความรัก

สุดท้าย ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพราะเป็นแก่นแท้แห่งธรรมชาติของพระเจ้า ยอห์น 4:8 กล่าวว่าพระเจ้าเป็นความรัก ทุกสิ่งที่พระเจ้าทำล้วนมาจากความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเราจะเป็นเหมือนพระเจ้ามากที่สุดเมื่อเรารักเหมือนพระองค์  


 พระคัมภีร์มักถูกเรียกว่าเป็นจดหมายรักจากพระเจ้าและกล่าวถึงความรักของพระองค์เป็นอย่างมาก 1 โครินธ์ 13 หรือที่เรียกว่าบทรักของพระคัมภีร์ และ 1 ยอห์นมีข้อมูลมากที่สุดเกี่ยวกับความรัก คุณลักษณะที่สำคัญบางประการ ได้แก่ 

1. ความรักมาจากพระเจ้า

7เพื่อนที่รักทั้งหลาย ให้เรารักซึ่งกันและกันเพราะความรักมาจากพระเจ้า ทุกคนที่รักก็ได้บังเกิดจากพระเจ้าและรู้จักพระเจ้า 8ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้าเพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก - 1 ยอห์น 4:7-8

2. ความรักนั้นสมบูรณ์แบบ

4ความรักย่อมอดทนนาน ความรักคือความเมตตา ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิด 6ความรักไม่ปีติยินดีในความชั่ว แต่ชื่นชมยินดีในความจริง 7ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ ไว้วางใจเสมอ มีความหวังอยู่เสมอและอดทนบากบั่นอยู่เสมอ - 1 โครินธ์ 13:4-7

3. ความรักปกปิดความบาปทุกอย่างและทำให้ธรรมบัญญัติสำเร็จ

เหนือสิ่งอื่นใดจงรักกันอย่างลึกซึ้ง เพราะความรักลบความผิดบาปมากมายได้โดยการให้อภัย - 1 เปโตร 4:8

ความรักไม่ทำร้ายเพื่อนบ้านของตน ฉะนั้นการมีความรักจึงเป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติอย่างครบถ้วนแล้ว - โรม 13:10

4. สิ่งที่เราทำมันจะไม่สำคัญเลย ถ้าเราไม่ได้ทำด้วยความรัก

1แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆได้ทั้งภาษามนุษย์และภาษาทูตสวรรค์ แต่ถ้าปราศจากความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแค่ฆ้องหรือฉิ่งฉาบที่กำลังส่งเสียง 2หากข้าพเจ้ามีของประทานในการเผยพระวจนะ สามารถหยั่งถึงข้อล้ำลึกทั้งปวงและความรู้ทั้งสิ้น และถ้าข้าพเจ้ามีความเชื่อที่เคลื่อนภูเขาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไร 3แม้ข้าพเจ้ายกทรัพย์สินทั้งหมดให้คนยากไร้และยอมพลีกายให้เอาไปเผาไฟ แต่ไม่มีความรัก ก็เปล่าประโยชน์อะไร - 1 โครินธ์ 13:1-3

5. บัญญัติที่สำคัญที่สุดคือการรัก

29พระเยซูตรัสตอบว่า “ข้อที่สำคัญที่สุดคือ ‘อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นหนึ่ง 30จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านอย่างสุดใจ สุดจิต สุดความคิด และสุดกำลังของท่าน’ 31ส่วนข้อที่สองคือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ ไม่มีบทบัญญัติใดใหญ่กว่าสองข้อนี้” - มาระโก 12:29-31

6. การรักผู้อื่นแสดงว่าเราเป็นคริสเตียน

ถ้าพวกท่านรักซึ่งกันและกันคนทั้งปวงจะรู้ว่าพวกท่านเป็นสาวกของเรา”  - ยอห์น 13:35

7. เราต้องรักด้วยการกระทำของเรา

 ถ้าผู้ใดมีทรัพย์สิ่งของ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแต่ยังไม่สงสารเขา ความรักของพระเจ้าจะอยู่ในผู้นั้นได้อย่างไร?  - 1 ยอห์น 3:17

ความรักของคริสเตียน ไม่ได้หมายความว่า คนหนึ่งคนใด พยายาม ที่จะสร้างความรู้สึกรัก ขึ้นในตัวเอง แต่ต้อง แสดงความรักนั้น ต่อผู้อื่น ในรูปการกระทำด้วยใจจริง [ "แม้ว่าท่านรักผู้ที่รักท่าน จะได้บำเหน็จอะไร" - มัทธิว 5:46] เพราะความรักของพระเจ้า ได้ครอบครองชีวิตอยู่ ทำให้ปรารถนาที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ยิ่งเขาแสดงความรัก ต่อคนอื่นมากเท่าใด ความรู้สึกรักคนนั้น ก็จะมีมากขึ้นตามมา

8. ความรักบดบังความกลัว

ในความรักไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์ย่อมขจัดความกลัวออกไป เพราะความกลัวเกี่ยวข้องกับการลงโทษ ผู้ที่กลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์ - 1 ยอห์น 4:18

 

ความรักเป็นของขวัญที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา เราได้รับบัญชาให้ทำทุกอย่างด้วยความรัก (1 โครินธ์ 16:14) และแสดงความรักต่อผู้อื่น ผู้คนจะเห็นพระคริสต์โดยความรักของเรา และความรักของพระเจ้าจะดึงเอาคนที่ยังไม่รอดออกมาในที่สุด  

 ความรักของคริสเตียน เป็นความรักในแบบพระเจ้า ซึ่งเน้นในแง่การปฏิบัติ มากกว่าความรู้สึกเท่านั้น ซึ่งจะเห็นได้จากทั้งความรักของพระเจ้าและความรักของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ พระคัมภีร์จึงสั่งให้มนุษย์รักคนอื่น ไม่ว่าจะรู้สึกชอบหรือไม่ชอบก็ตาม

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

wordsoffaithhopelove.com

rnrnewlife

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ การทรยศ อ่านมัทธิว 26:3 ถึง 27:66 ยูดาสตอบรับการเรียกของพระเยซูให้ติดตามเช่นเดียวกับสาวกคนอื่นๆ เขาออ...