วิธีช่วยลูกๆวัยรุ่นศึกษาพระคัมภีร์
Katherine Forster
การที่ฉันมีแม่ที่จบปริญญาด้านวรรณกรรมย่อมมีประโยชน์อย่างแน่นอน
แม่แนะนำให้ฉันรู้จักกับเจน ออสเตนผ่านมินิซีรีส์ BBC Pride and Prejudice ฉันกำลังอ่านนิยายของ C.S. Lewis เมื่อฉันอายุสิบเอ็ดขวบ เมื่อฉันถามว่าแม่ว่าฉันควรอ่านหนังสือเล่มใดต่อไป แม่จะชี้ไปที่หิ้งที่เต็มไปด้วยบรอนเตและดิกเก้นส์ แม่มักจะท้าทายให้ฉันอ่านหนังสือในระดับที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
ประสบการณ์นั้นส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อวิธีที่ฉันอ่าน เขียน
และโต้ตอบกับวรรณกรรม แต่สิ่งที่ส่งผลกระทบกับฉันลึกซึ้งตั้งแต่ยังเป็นเด็กและวัยรุ่นคือวิธีที่ฉันถูกท้าทายในการอ่านพระคัมภีร์
มันดูแตกต่างไปในแต่ละช่วงอายุ แต่ทั้งพ่อและแม่ของฉันท้าทายฉันและพี่น้องของฉันให้ต่อต้านกระแส(ที่อาจนำเราออกห่างจากพระเจ้า) รับผิดชอบหน้าที่ และมีส่วนร่วมกับพระคำในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แม้ว่าบางครั้งเราจะไม่ต้องการทำก็ตาม
ลูกๆวัยรุ่นของเราต้องถูกท้าทายบ้าง เราต้องยึดมาตรฐานที่สูงกว่าและต้องให้ความคาดหวังที่สูงกว่าวัฒนธรรมที่โลกามีให้เรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชีวิตทางฝ่ายวิญญาณของเรา
เราต้องท้าทายลูกๆของเราให้รักพระคำ ใช้เวลากับพระคำ
ศึกษาให้ลึกและค้นพบความจริงที่มีอยู่ในพระคำ ต่อไปนี้คือวิธีปฏิบัติสามวิธีที่คุณสามารถทำได้สำหรับวัยรุ่นของคุณ
1. ถามคำถามเพื่อตอบ
มีอยู่ช่วงหนึ่ง แม่ของฉันแจกสมุดโน้ตให้กับฉันและพี่น้องคนละเล่ม และบอกให้เราเขียนแยกออกเป็นสามส่วน แต่ละส่วนนำโดยคำถามต่อไปนี้:
ฉันเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับพระเจ้า
ฉันเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้าง?
ฉันควรทำอย่างไรต่อไปหลังจากที่อ่านพระคำของพระเจ้า?
หลังจากที่เราอ่านพระคัมภีร์บทหนึ่งแล้ว เราจะเริ่มเขียนคำตอบของคำถามแต่ละข้อ
การถามคำถามหลังการอ่านจะช่วยบังคับให้คุณนึกถึงสิ่งที่คุณกำลังอ่าน คำถามช่วยทำให้คุณคิดช้าลงและดึงคุณเข้าสู่เนื้อเรื่องได้ดีขึ้น มันยังช่วยยกระดับของความรับผิดชอบได้ดี คือคุณไม่สามารถอ่านข้ามบทไปและบอกว่าคุณได้อ่านมันแล้ว
เมื่อเป็นเด็ก ฉันมักจะข้ามไปที่คำถามสุดท้ายเสมอ เช่นถามว่า: “แล้วฉันควรทำอย่างไรต่อ”
แต่พระคัมภีร์ไม่ได้เกี่ยวกับเราเป็นหลัก แต่เกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้ามอบให้เรา และหากคุณเริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า
“วันนี้ฉันได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับพระเจ้า” มันจะช่วยให้คุณให้ความสำคัญกับการอ่านพระคัมภีร์ได้อย่างเหมาะสม
2. วางแผนการอ่านแก่พวกเขา
เหตุผลหนึ่งที่เรามักล้มเหลวในการอ่านพระคัมภีร์คือเราไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน
ฉันจะเริ่มต้นที่จุดเริ่มต้นเลยดีไหมหรือยังไง? หรือจะข้ามไปที่บทเลวีนิติเลยได้ไหม? หรือฉันอาจจะอ่านบทสดุดีที่ฉันชอบวนไปวนมา แค่นั้นดีไหม.?.
หากไม่มีแผนงานที่จะทำตาม มันก็ง่ายที่เราจะข้ามไปอ่านยังข้อพระคัมภีร์ที่เราโปรดปรานเท่านั้น หรือไม่เราก็อาจจะทิ้งพระธรรมเล่มใดเล่มหนึ่งไปเลย
การวางแผนอ่านพระคัมภีร์สามารถช่วยให้เราหลีกเลี่ยงปัญหาทั้งสองนี้ได้ การวางแผนที่ดีจะนำลูกๆของเราอ่านพระคัมภีร์ได้จนจบทั้งเล่ม พระธรรมแต่ละเล่มจะประกอบด้วยเรื่องราวต่างๆ ทุกช่วงทุกตอนต่างมีการเชื่อมต่อกันได้ดีเกี่ยวกับเรื่องราวของการไถ่บาปได้อย่างครอบคลุม การวางแผนการอ่านพระคัมภีร์จึงสามารถช่วยให้คุณมองเห็น "ภาพรวม" ของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพระคัมภีร์ได้ดีขึ้น
มีแผนการอ่านพระคัมภีร์ดีๆ มากมายให้เราเลือก ซึ่งในแต่ละวัยก็จะแตกต่างกัน คุณต้องช่วยลูกๆวัยรุ่นของคุณหาสิ่งที่ใช่สำหรับพวกเขา
และหลีกเลี่ยงการทำให้มันเป็นกฎบังคับ การอ่านพระคำในแต่ละวันเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้พวกเขารู้ว่า
ว่าพระเจ้ารักเรามากแค่ไหน แน่นอนพระองค์รักเรา
การตีสอนเป็นส่วนสำคัญของชีวิตคริสเตียนของเรา การตีสอนควรเป็นความรู้สึกที่เรารู้ว่าเราได้รับการกระตุ้นจากความรักของพระเจ้ามากกว่าความรู้สึกผิดหรือความละอาย
ส่งเสริมให้ลูกๆวัยรุ่นของคุณอยากมีส่วนร่วมในการเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าและรักพระคำของพระเจ้ามากกว่าการทำเพียงเพราะรู้สึกผิด
คุณอาจลองเข้าไปมีส่วนร่วมเพื่อแบ่งปันเรื่องราวชีวิตของการเดินทางแห่งความเชื่อของคุณร่วมกับพวกเขาด้วยก็ได้!
3. ให้ความรับผิดชอบแก่พวกเขา
แม่ของฉันเคยบอกให้ฉันสอนแนวคิดทางคณิตศาสตร์ถึงสิ่งที่ฉันกำลังเรียนรู้ให้เธอฟัง
เมื่อมองย้อนกลับไป ณ จุดนั้น ฉันไม่แน่ใจว่าใครในพวกเรากำลังเรียนรู้มากกว่ากัน แต่ที่แน่ๆคือแม่และฉันไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ แต่ที่แน่ๆคือฉันรู้ว่าฉันเข้าใจคณิตศาสตร์ได้ดีขึ้นเมื่อฉันต้องอธิบายให้กับใครอีกคนฟัง
นักปราชญ์บางคนเคยชี้ให้เห็นว่าเมื่อคุณสามารถสอนบางสิ่งให้คนอื่นได้ คุณก็รู้ว่าคุณได้เรียนรู้สิ่งนั้นจริงๆ ในทำนองเดียวกัน การให้โอกาสลูกๆวัยรุ่นของคุณได้สอนหรือได้แบ่งปันในสิ่งที่พวกเขากำลังเรียนรู้อาจเป็นความท้าทายและแรงจูงใจที่ดีในการอ่านและศึกษาพระคัมภีร์ให้กับพวกเขา
ไม่ว่าจะเป็นการมอบหมายให้พวกเขาเป็นผู้นำในการอุทิศตนในครอบครัว หรือสอนคัมภีร์ในวันอาทิตย์ให้กับเด็กที่เล็กกว่าที่โบสถ์ของคุณ หรือช่วยเหลือเกี่ยวค่ายคำสอนฤดูร้อนสำหรับเด็กเล็ก
ท้าทายลูกๆวัยรุ่นของคุณไปร่วมกิจกรรมเพื่อสร้างผู้อื่นในพระคำของพระเจ้า
เห็นได้ชัดว่าระดับความรับผิดชอบจะแตกต่างกันไปตามระดับวุฒิภาวะของวัยรุ่น
วัยรุ่นจะเติบโตได้เมื่อเราถูกท้าทายและได้รับผิดชอบ
มันอาจจะง่ายพอๆ กับการขอให้พวกเขาแบ่งปันบางสิ่งกับครอบครัวตัวเอง แต่เราต้องให้โอกาสพวกเขาเรียนรู้พระคำได้ดีขึ้นโดยการสอนและรับใช้ผู้อื่น
ทั้งหมดนี้เป็นวิธีที่พ่อแม่ของฉันช่วยนำฉันและพี่น้องให้ปฏิสัมพันธ์ของเรากับพระคัมภีร์ที่เติบโตขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม มีบางสิ่งที่จะท้าทายวัยรุ่นของคุณมากกว่าความรักที่มีต่อพระคำ
คือการถามพวกเขาว่า "พวกเขากำลังเรียนรู้อะไรในการอ่านพระคัมภีร์และให้แบ่งปันสิ่งที่พระเจ้ากำลังสอน" บางทีพ่อแม่อาจจะเข้าไปมีร่วมในการอ่านและศึกษาพระคำและแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพระคำของพระเจ้าก็เป็นส่วนสำคัญในชีวิตของคุณเช่นกัน และทำให้เขาเห็นว่ามันสำคัญอย่างไรกับคุณด้วย"
สุดท้าย อย่าท้อแท้หากวัยรุ่นของคุณไม่ต้องการทำตาม
หากพวกเขาไม่มีความปรารถนาที่จะเผชิญกับความท้าทายนี้ มีหลายฤดูกาลเกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาวัยรุ่นของฉัน และด้วยการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านพระคัมภีร์จากพ่อแม่ซึ่งเป็นธรรมเนียมของบ้านเราตลอดหลายปีที่ผ่านมา (ถึงแม้บางครั้งฉันจะไม่เต็มใจอ่านพระคัมภีร์บ้าง) แต่พระคำของพระเจ้าก็ยังคงทำงานในชีวิตของฉัน
พระเจ้าสามารถใช้พระคำของพระองค์ในทุกหัวใจ แม้แต่คนที่ไม่แยแสหรือดื้อรั้น
อย่ายอมแพ้ แต่ให้คุณอธิษฐานเพื่อลูกๆต่อไป และท้าทายวัยรุ่นของคุณด้วยพระคำของพระเจ้า เพราะพระเจ้าสามารถใช้พระคำนั้นในแบบที่คุณคาดไม่ถึง
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ
reviveourhearts
ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น