7
วิธีที่จะช่วยให้เราเข้าใกล้พระเจ้าและใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น
"การใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น"เป็นวลีที่ฉันได้ยินบ่อยๆ และในฐานะผู้เชื่อ ก็เป็นไปได้ที่คุณอาจจะเคยรู้สึกว่าคุณไม่ได้ใกล้ชิดกับพระเจ้าเหมือนเมื่อก่อน
ใน ยากอบ 4:8-10 กล่าวว่า “8จงเข้ามาใกล้พระเจ้า
แล้วพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน คนบาปทั้งหลายจงล้างมือให้สะอาด
คนสองใจจงชำระใจให้บริสุทธิ์ 9จงเศร้าเสียใจ คร่ำครวญและร้องไห้
จงเปลี่ยนจากหัวเราะเป็นร้องไห้ จากชื่นชมยินดีเป็นเศร้าหมอง
10ท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์จะทรงยกชูท่านขึ้น”
ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้บอกเราว่าถ้าเราเข้าใกล้พระเจ้า
พระองค์จะเข้ามาใกล้เรา ฉันพอจะจับใจความได้ว่า เราไม่สามารถเดินในความบาปและใกล้ชิดกับพระเจ้าได้
ได้ในเวลาเดียวกัน พระองค์ทรงต้องการให้เรามีจิตใจที่บริสุทธิ์
และถ่อมตน
หากคุณกำลังรู้สึกว่า"คุณไม่ได้ใกล้ชิดกับพระเจ้าเลยในตอนนี้" ฉันอยากบอกว่า"คุณไม่ได้รู้สึกอยู่คนเดียว" เพราะฉันเองก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกนั้นเช่นกัน แต่มี "ข่าวดี" สำหรับคุณและฉัน นั่นก็คือพระคัมภีร์มีคำตอบให้เราแล้วว่า เราจะใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้นได้อย่างไร
วันนี้ฉันจะแบ่งปันวิธีที่คุณสามารถใกล้ชิดกับพระเจ้าได้มากขึ้น
การเข้าใกล้พระเจ้าหมายความว่าอย่างไร
การเข้าใกล้พระเจ้าหมายความว่าคุณต้องการมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้าและ พระเยซูเป็นหนทางเดียวที่จะไปถึงพระบิดา (ยอห์น 14:6)
พระองค์เป็นหนทางเดียวที่คุณจะเข้าใกล้พระเจ้าได้
พระเจ้าส่งพระเยซูมาเพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์
การเลือกที่จะทำให้พระเยซูเป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดส่วนบุคคลของคุณหมายความว่าคุณได้วางใจพระองค์ด้วยชีวิตสุดจิตสุดใจของคุณ
คุณต้องมีความเชื่อมั่นศรัทธาและรู้ว่าเราสามารถใกล้ชิดพระเจ้าได้มากขึ้นโดยผ่านทางพระเยซู
วิธีเข้าใกล้พระเจ้า
มีวิธีเฉพาะในการเข้าใกล้พระเจ้าได้มากขึ้น
ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ไกลจากพระเจ้าหลายครั้งระหว่างการเดินทางของชีวิตของฉัน ดังนั้นฉันจะแบ่งปันสิ่งที่ช่วยให้ฉันเข้าใกล้พระองค์ได้มากขึ้น
1. การรับพระเยซู
การรับพระเยซูเข้ามาในชีวิตของคุณเพราะนี่เป็นก้าวแรกในการเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น
หากปราศจากพระเยซู เราก็ไม่สามารถเข้าถึงพระเจ้าได้
พระคัมภีร์บอกเราว่าพระเจ้าส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาเปิดทางให้เรา
ข้อนี้หมายความว่าเพื่อจะเข้าถึงพระเจ้า คุณต้องผ่านพระเยซู
หากคุณต้องการได้รับความรอดนี้ ให้คุณผ่านทางพระเยซูคริสต์ จงวางใจในพระองค์ (กิจการ 16:31)
กลับใจจากบาปของคุณ
และวางใจอย่างเต็มที่ในการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ พระองค์เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของคุณ
พระองค์สัญญาว่าจะส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปยังผู้ที่ต้อนรับพระองค์
8เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ
ความรอดนี้ไม่ได้มาจากตัวท่านเอง แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า
9ไม่ใช่ความรอดโดยการประพฤติ เพื่อจะไม่มีใครอวดได้ (เอเฟซัส. 2:8-9) บัพติศมาเป็นขั้นตอนสำคัญในการระบุถึงการสิ้นพระชนม์
การฝัง และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์
มันแสดงให้เห็นการตายและการถูกฝังไว้กับพระคริสต์
ไม่จำเป็นว่าต้องรับบัพติศมาก่อนจึงจะได้รับความรอด สิ่งเดียวที่จำเป็นสำหรับความรอดคือการมีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ การรับพระองค์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ด้วยความเชื่อสุดจิต สุดวิญญาณของเรา
“จงเชื่อในพระเยซูเจ้า
แล้วเจ้าจะรอด” กิจการ 16:31
เมื่อคุณยอมรับพระเยซู คุณจะสามารถเข้าถึงพระเจ้าได้มากขึ้น
พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จะทรงนำคุณไปสู่ความจริงของพระเจ้าและลงโทษคุณในความบาปของคุณ
การกลับใจจากบาปจะทำให้คุณเดินไปกับพระเยซูและเติบโตไปพร้อมกับพระองค์
2.การศึกษาพระคัมภีร์
การศึกษาพระคัมภีร์เป็นสิ่งสำคัญหากคุณต้องการใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้น
เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้จักผู้สร้างของเราหากคุณไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพระองค์
2 ทิโมธี 3:16 กล่าวว่า
"พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสั่งสอน
การว่ากล่าวตักเตือน การแก้ไขข้อบกพร่อง และการฝึกฝนในความชอบธรรม"
พระคัมภีร์มีทุกสิ่งที่เราต้องรู้เพื่อดำเนินชีวิต
ฉันแนะนำให้คุณศึกษาพระคัมภีร์อย่างจริงจัง ตั้งใจ เพื่อให้คุณได้ศึกษาพระคัมภีร์อย่างต่อเนื่อง สมัยนี้มีแอพพระคัมภีร์และการศึกษาพระคัมภีร์ออนไลน์ฟรีมากมายที่จะช่วยให้คุณมีความรู้มากขึ้น และหากคุณต้องการศึกษาหัวข้อเฉพาะ คุณก็จะได้รับประโยชน์มากมายจากแผนการอ่าน จงทำให้การศึกษาพระคัมภีร์เป็นเรื่องสำคัญ
และคุณจะใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น
3. การอธิษฐาน
การอธิษฐานเป็นวิธีที่เราสื่อสารกับพระเจ้า
การอธิษฐานผ่านพระเยซูจะนำคุณเข้าสู่การสื่อสารกับพระเจ้า
คุณสามารถอธิษฐานได้ตลอดทั้งวันและถามคำถามได้มากเท่าที่คุณต้องการ
“เหตุฉะนั้นเราบอกท่านว่าไม่ว่าท่านอธิษฐานทูลขอสิ่งใดจงเชื่อว่าจะได้รับแล้วท่านจะได้สิ่งนั้น”
มาระโก 11:24
การอธิษฐานไม่จำเป็นต้องทำในลักษณะใดลักษณะหนึ่งโดยเฉพาะ ฉันพยายามจัดเวลาที่เฉพาะเจาะจงเพื่ออธิษฐานในที่เงียบๆ
เพราะฉันต้องการได้ยินจากพระเจ้า เพราะถ้ามีอะไรมารบกวนมากเกินไป
ฉันก็จะฟุ้งซ่านได้ง่าย
ฉันยังอธิษฐานขณะล้างจาน พับผ้า ทำงาน ทำอาหาร ทำสวน ทำความสะอาดบ้าน แบ่งปันพระวาจา ออกกำลังกาย ร้องเพลง ดูทีวี ฟังเพลงนมัสการ ไปจ่ายตลาด ขณะขับรถ วาดรูป และตอนเล่นกับลูก ฯลฯ ไม่มีวิธีที่ถูกต้องในการอธิษฐาน อย่าให้ใครมาหลอกให้คุณคิดว่าคุณต้องอธิษฐานด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งโดยเฉพาะเท่านั้น
พระเจ้าอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่ง
พระองค์อยู่กับคุณตลอดเวลาและพร้อมให้บริการทุกเมื่อที่คุณเรียกหาพระองค์ ให้เรารวมพระองค์เข้ามาไว้ในชีวิตของเรา ให้พระองค์เป็นที่หนึ่งก่อนทุกสิ่ง และคุณจะเติบโตในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น
4. การนมัสการและสรรเสริญพระองค์
เราได้รับสิทธิพิเศษในการสรรเสริญและนมัสการพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้สร้างของเราและทุกสิ่งที่เรามีมาจากพระองค์
การยอมรับว่าการมีความสัมพันธ์กับพระเยซูนั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคล มันจะทำให้เราเห็นและเข้าใจว่าพระเจ้าของเราทรงฤทธานุภาพเพียงใด
“แผ่นดินโลกและทุกสิ่งในโลกเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า
โลกและทุกชีวิตในโลกเป็นของพระองค์ ” สดุดี 24:1
เราควรบูชาและสรรเสริญพระเจ้าตลอดเวลา พระองค์ทรงดีเสมอ (สดุดี 100:5) และสมควรแก่การสรรเสริญของเรา
วิธีหนึ่งที่ฉันชื่นชอบในการนมัสการและสรรเสริญพระองค์คือผ่านทางดนตรี
ดนตรีสัมผัสจิตวิญญาณของฉันจริงๆ
และนำฉันเข้าสู่การนมัสการอย่างลึกซึ้ง ฉันยังพบว่าตัวเองท่องจำพระคัมภีร์ได้มากขึ้นเมื่อฟังเพลงนมัสการเป็นประจำ
ดนตรีจะดึงคุณเข้ามาใกล้พระเจ้า
พระองค์ทรงสร้างดนตรีและชอบฟังเสียงอันชื่นบานของมัน (สดุดี 98:4-6)
5. การวางใจพระองค์
เมื่อฉันตัดสินใจรับพระเยซูเข้ามาในชีวิต ฉันมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการไว้วางใจพระองค์ จนกระทั่งฉันได้ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น ฉันก็สามารถพักผ่อนในพระองค์ได้อย่างมั่นใจ
พระคัมภีร์สอนว่าเราต้องวางใจพระเจ้าด้วยสุดใจของเรา หากเราเชื่ออย่างแท้จริงว่าพระองค์ทรงรักเราและจะทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของเรา
เราจะสามารถวางใจพระองค์ได้
“5จงวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างหมดใจ
อย่าพึ่งความเข้าใจของตนเอง
6จงยอมรับพระองค์ในทุกวิถีทางของเจ้า
แล้วพระองค์จะทรงทำทางของเจ้าให้ราบเรียบ ” สุภาษิต 3:5-6
คุณต้องตรวจสอบหัวใจของคุณและขอให้พระเจ้าเปิดเผยความจริงว่าคุณไว้วางใจใคร(โลกนี้ ตนเอง หรือพระองค์) ฉันทำสิ่งนี้และพบว่าฉันกำลังเชื่อมั่นในตัวเองมากกว่าพระเจ้า
การวางใจในตัวเองหรือคนอื่นที่ไม่ใช่พระเยซูนับว่าเป็นปัญหา
พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำให้เส้นทางของคุณตรง แต่หากวางใจในตนเองก็จะทำให้คุณสะดุด
เรียนรู้ที่จะวางใจพระเจ้าและรู้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่าง
หากคุณใกล้ชิดกับพระเจ้า คุณจะวางใจว่าความเข้าใจของพระองค์นั้นเพียงพอสำหรับคุณ พระองค์ทรงทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของเรา (โรม 8:28)
และพระองค์ทรงรู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา
6. การมีศรัทธา
เพื่อจะมีศรัทธา เราต้องรู้ว่าพระเจ้าตรัสว่าเราเป็นใคร
พระคัมภีร์บอกเราว่าพระองค์ทรงมีแผนการ (เยเรมีย์ 29:11) พระองค์ทรงมีแผนสำหรับเราและเราต้องมีศรัทธาและเชื่อมั่นว่าแผนของพระองค์คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา
ถ้าเราไม่มีศรัทธา เราก็เสี่ยงที่จะตกอยู่ในความกลัว
การเลือกศรัทธาเหนือความกลัวต้องอาศัยวินัยในชีวิตประจำวันอย่างมาก เราต้องเลือกศรัทธา
มิเช่นนั้นเราจะมุ่งหน้าไปตามทางมืดที่ว่างเปล่า
การมีศรัทธาจะนำคุณเข้าใกล้พระเจ้าเพราะคุณเชื่อในสิ่งที่พระองค์ตรัส
การเลือกที่จะทำให้พระองค์เป็นพระเจ้าตลอดชีวิตของคุณหมายความว่าคุณต้องยอมจำนนต่อน้ำพระทัยของพระองค์ ในชีวิตฉัน
พระองค์ทรงพิสูจน์แล้วหลายครั้งว่าวิถีของพระองค์ดีกว่าวิธีของฉัน เสมอ
7. การมีส่วนร่วม
เมื่อฉันตัดสินใจรับพระคริสต์
ฉันรู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์บอกให้ฉันมีส่วนร่วม
ฉันเริ่มก้าวแรกโดยเข้าร่วมการศึกษาพระคัมภีร์ที่โบสถ์ของฉัน
ฉันได้รับพรจากกลุ่มเพื่อนผู้หญิง และนี่เป็นครั้งแรกของการศึกษาพระคัมภีร์แบบกลุ่มผู้หญิง นี่เป็นการเติบโตของฉันในพระคริสต์ ผ่านการมีสามัคคีธรรมกับสตรีคนอื่นๆ
มีหลายวิธีในการมีส่วนร่วมนอกเหนือจากกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์
มีหลายวิธีที่เราจะอวยพรผู้คนและแสดงความรักของพระคริสต์ให้พวกเขาเห็น
โดยส่วนตัวแล้วฉันชื่นชอบกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ แต่ฉันก็รู้ว่ามันอาจไม่ใช่สำหรับทุกคน วันนี้ให้คุณอธิษฐานต่อพระเจ้าว่าคุณจะมีส่วนร่วมได้อย่างไรบ้าง และพระเจ้าอาจจะมอบจุดเริ่มต้นของคำตอบไว้ให้ในบล็อกหรือเพจต่างๆของคริสเตียน
หรือแม้แต่ช่อง YouTube ของคริสเตียนไว้ในใจคุณแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นวิธีที่ดีในการแบ่งปันสิ่งที่พระเจ้าได้ทำในชีวิตของคุณ
การมีส่วนร่วมจะช่วยให้คุณใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นโดยเป็นประจักษ์พยานที่มีชีวิตถึงความสัตย์ซื่อของพระองค์
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ
Moneywisesteward
ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น