พระเจ้ารักเรามากแค่ไหน
โดย Gaby Santiago
ความรักของพระเจ้ามีพลังมากที่จะทำให้เราไม่ต้องรู้สึกจมอยู่กับปัญหารอบตัวที่เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวล
การให้อภัย ความไม่มั่นคง ความโกรธ และอื่นๆ หากคุณเริ่มสงสัยว่า
“พระเจ้ารักฉันไหม” อยากให้รู้เลยว่า “การรู้ว่าพระเจ้ารักเรามากแค่ไหน”นั้นมันมีพลังมากจริงๆ
ฉันไม่รู้ว่าการเดินทางของการรักษาความคิดจากความวิตกกังวลจะเป็นการเดินทางเพื่อทำให้ฉันได้รู้จักกับความรักของพระเจ้าอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ความวิตกกังวลและความกลัวมันทรมานฉันมาหลายปี และความคิดแบบนี้ของฉันก็เติบโตอยู่นาน และเมื่อฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะเปลี่ยนความคิดของตัวเองใหม่ด้วยความจริงของพระเจ้าแล้วยังปล่อยให้คำโกหกและความคิดเชิงลบกลับมาครอบครองจิตใจ ฉันก็กลับไปสู่ความวิตกกังวลอีกครั้ง
โดยที่ฉันไม่รู้ตัว ฉันก็ยังคงอดทนต่อความกลัว ความวิตกกังวลไปได้อีกสองสามสัปดาห์ แต่ในช่วงเวลาที่ฉันอยู่คนเดียวกับพระเยซู
พระองค์ทรงแสดงให้ฉันได้เห็นว่าฉันกำลังตัดสินใจและตอบสนองด้วยความกลัวอยู่
1 ยอห์น 2:5 กล่าวว่า “แต่ผู้ใดที่รักษาพระวจนะของพระองค์
ความรักของพระเจ้าก็บริบูรณ์ในตัวเขาอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนี้เราจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์” มันทำให้ฉันรู้ว่า ฉันไม่ได้รักษาพระวจนะของพระเจ้าเพราะฉันเลือกที่จะยึดมั่นอยู่ในความกลัว
พระองค์ทรงแสดงให้ฉันเห็นเหตุผลว่าความรักของพระองค์ยังไม่สมบูรณ์ ในตัวฉัน
ฉันเริ่มทูลขอพระเยซูทุกวันเพื่อทำให้ความรักของพระองค์สมบูรณ์ในตัวฉัน
ฉันพบว่าเมื่อความรักของพระเจ้าเต็มล้นในหัวใจ ฉันก็ไม่ต้องกลัวอะไร
ฉันไม่ได้หมกมุ่นอยู่กับคำว่า "ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ " ในใจอีกต่อไป
แต่กลับผ่อนคลายโดยรู้ว่าฉันไม่ต้องกังวลเพราะฉันรู้แล้วว่า “พระเจ้ารักฉัน”
คุณจะไม่มีอะไรที่ต้องกังวลเมื่อคุณมอบชีวิตให้กับพระเยซู พระองค์รักคุณมาก.
เราสามารถมั่นใจได้ในความรักที่พระเจ้ามีต่อเราเพราะพระองค์เต็มใจที่จะสละพระเยซูเพื่อถูกตรึง พระบุตรเพียงองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์
เพื่อบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศ แต่จะอยู่กับพระองค์ชั่วนิรันดร์ (ยอห์น
3:16) เมื่อคุณรู้ว่าพระเจ้ารักคุณมากแค่ไหน
คุณจะจำได้ว่าความกลัวไม่ใช่ส่วนหนึ่งของชีวิตคุณอีกต่อไป
พระเยซูทรงรักเรามากจนพระองค์ต้องการเป็นอาภรณ์ที่ช่วยให้เรามีความรักใกล้ชิดกับพระองค์
เรากลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้าและมีสามัคคีธรรมในความรักของพระองค์เมื่อเราสวมอาภรณ์ของพระเยซู
ในพันธสัญญาเดิม
นักบวชต้องสวมอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่ประทับของพระเจ้า เลวีนิติ 16:3-4 กล่าวว่า
"ดังนั้นอาโรนจะเข้ามาในที่บริสุทธิ์ด้วยเลือดของวัวหนุ่มเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป
และแกะผู้เป็นเครื่องเผาบูชา
ให้เขาสวมเสื้อคลุมผ้าลินินบริสุทธิ์และกางเกงขายาวผ้าลินินบนตัวของเขา
เขาจะคาดเอวด้วยผ้าป่าน และสวมผ้าโพกศีรษะด้วยผ้าลินิน
เหล่านี้เป็นอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์…”
ตอนนี้เราได้เข้าสู่การประทับของพระเจ้าด้วยอาภรณ์อันศักดิ์สิทธิ์ของเราซึ่งก็คือพระเยซู พระเยซูทรงให้เราเข้าถึงพระองค์เองเมื่อพระองค์เลือกที่จะสิ้นพระชนม์และหลั่งพระโลหิตเพื่อเราบนไม้กางเขน
มันช่างสวยงามเพียงใดที่รู้ว่า "เราเข้าถึงความรักของพระเจ้าได้เมื่อเราสวมชุดพระเยซู" (โรม 13:14)
เราไม่สามารถรักพระเยซูได้หากไม่มีพระองค์ เราต้องแต่งกายด้วยพระเยซูโดยเลือกดำเนินชีวิตตามทางของพระองค์
ในการทำเช่นนั้น เรากำลังวางตำแหน่งตัวเองเพื่อให้ได้รับการเปิดเผยอย่างครบถ้วนถึงความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเราและเพื่อให้เรามีพลังอำนาจที่จะรักพระองค์ตอบ
ฉันพบว่าเมื่อฉันไม่ได้ดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า
นั่นเป็นเพราะความรักของพระองค์ไม่สมบูรณ์ในตัวฉัน เมื่อฉันแสดงความหึงหวง อิจฉา ริษยา หยิ่งยโส โมโห โกรธ ตัดสินผู้อื่น หรือวิตกกังวล นั่นเป็นเพราะใจของฉันไม่ได้เปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้า
อย่างไรก็ตาม เมื่อฉันระลึกได้ว่าฉันเป็นผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง
และพระราชกิจของพระองค์ก็ยอดเยี่ยม ฉันไม่มีที่ว่างให้อิจฉา (สดุดี 139:14) เมื่อฉันจำได้ว่าพระเจ้าประทานความเมตตาให้ฉันและพระองค์ทรงรักฉันมากเพียงใด
ฉันก็ไม่มีที่ว่างที่จะโกรธผู้อื่นหรือกังวลเกี่ยวกับชีวิตของฉัน (ยอห์น 3:16)
ปัญหา บาดแผลและบาปในใจเราหมดไปเมื่อเราเข้าใจว่าพระเจ้ารักเรามากเพียงใด
ความรักของพระเจ้ามีพลังที่จะทำให้สิ่งผิดทุกอย่างสมบูรณ์แบบในตัวเรา
ความรักของพระองค์ไม่เคยล้มเหลวแม้เมื่อเราล้มเหลว (1 โครินธ์ 13:8)
ขอให้พระเจ้าเปิดเผยความรักที่พระองค์มีต่อคุณ และต้องไม่มีคำว่า
"พระองค์รักฉัน หรือ พระองค์ไม่รักฉัน" กับพระเยซูอีกต่อไป เพราะพระองค์ทรงรักเราเสมอแม้เราจะไม่เชื่อฟัง ทำนิสัยไม่น่ารัก และทำร้ายพระองค์ในที่สุด ที่สำคัญคือ ความรักของพระองค์ไม่ได้มีไว้เพื่อให้เราใช้เป็นข้อแก้ตัวในการทำบาปอีก แต่ความรักของพระองค์มีไว้เพื่อติดตามเราให้กลับไปสู่ความสว่างของพระองค์
1 ยอห์น 3:9 กล่าวว่า
“ผู้ที่เกิดมาในครอบครัวของพระเจ้าไม่ได้ทำบาป เพราะชีวิตของพระเจ้าอยู่ในพวกเขา
ดังนั้นพวกเขาจึงทำบาปต่อไปไม่ได้เพราะพวกเขาเป็นลูกของพระเจ้า”
ความรักของพระองค์ทำให้ความผิดทุกอย่างในเราสมบูรณ์และเปลี่ยนเราให้เป็นพระฉายาของพระองค์
1 เปโตร 5:7 กล่าวว่า
“จงทิ้งความกังวลทั้งหมดของคุณไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ห่วงใยคุณ”
พระเจ้าห่วงใยคุณมาก
พระองค์ทรงคิดถึงคุณมากเพราะความรักอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์มีต่อคุณ
พระองค์ทรงรักคุณมากจนความคิดของพระองค์ที่มีต่อคุณมากกว่าเม็ดทราย (สดุดี
139:17-18) เราไม่ต้องกังวลอะไรเกี่ยวกับชีวิตของเราเลยเพราะไม่มีอะไรที่พระเจ้าจะมองไม่เห็นเกี่ยวกับชีวิตของเรา
ทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิตเราต่างมีความสำคัญต่อพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นลูกๆ คู่สมรส
อนาคต การงาน การเงิน ครอบครัว และอื่นๆ พระองค์ทรงห่วงใยเรามากและทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
คุณไม่ต้องแปลกใจเลยที่พระเจ้าทรงยังรักฉัน นั่นก็เพราะ"พระองค์ทรงเป็นความรัก"
คุณจะฝากความกังวลของคุณไปที่พระเยซูและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับวันนี้ วันที่พระองค์ทรงประทานให้คุณได้หรือไม่?
ความรักของพระเจ้าเป็นทางออกของปัญหาทั้งหมดของเราเพราะความรักไม่เคยล้มเหลวและพระองค์ทรงเป็นความรัก
(1 คร. 13:8)
บาป ความละอาย ความวิตกกังวล ความไม่มั่นคง และความไม่สมบูรณ์อื่นๆ
จะถูกเอาชนะและถูกลบล้างด้วยความรักของพระองค์ โปรดรู้ว่าคุณได้รับความรักและความดีงาม และพระเมตตาของพระองค์จะติดตามคุณเสมอเมื่อคุณติดตามพระคริสต์
สดุดี 23:6 กล่าวว่า “แน่ทีเดียว
ความดีและความรักของพระองค์จะติดตามข้าพระองค์ไปตลอดชีวิต…”
นี่เป็นพระสัญญาแก่บรรดาผู้ที่ให้พระเยซูเป็นผู้เลี้ยงแกะ
ในฐานะฝูงแกะของพระเยซู เราได้รับความรักและห่วงใยอย่างล้นเหลือ เราไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับส่วนใดส่วนหนึ่งของชีวิตเราเพราะพระเยซูทรงดูแลทุกส่วนในชีวิตของเราอยู่แล้ว
อย่ารอมชอมในสิ่งที่คุณรู้(ความรู้ความเข้าใจของคุณเท่านั้น) แต่จงเติบโตอย่างลึกซึ้งในความรู้ถึงความรักที่พระองค์มีต่อคุณ
ดังนั้นจงจำไว้ว่าพระเจ้ารักคุณมากแค่ไหน
คำอธิษฐาน: ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ไม่มีวันลืมว่าพระองค์ทรงรักข้าพระองค์มากแค่ไหน
ข้าพระองค์รู้ว่าความรักของพระองค์จะไม่มีวันตาย และข้าพระองค์สามารถวางใจให้พระองค์ปกป้องข้าพระองค์และดูแลข้าพระองค์
ตลอดไป อาเมน
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ
livingrevelations.com
ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น