วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ความสุขมีแก่ผู้ที่รักษากฎเกณฑ์และแสวงหาพระองค์

 



ความสุขมีแก่ผู้ที่รักษากฎเกณฑ์และแสวงหาพระองค์

ความสุขมีแก่ผู้ที่รักษากฎเกณฑ์ของพระองค์

และแสวงหาพระองค์หมดทั้งใจ

สดุดี 119:2

 

ในสดุดี 119:2 ผู้ประพันธ์สดุดีกล่าวถึงผู้ที่แสวงหาพระเจ้า “ด้วยสิ้นสุดใจ” ตอนนี้ การติดตามบางสิ่งบางอย่าง "ด้วยทั้งหมดของหัวใจ" คือการทำอย่างสุดใจ ทำด้วยความมุ่งมันทั้งหมด  ด้วยพันธสัญญาทั้งหมด ด้วยลำดับความสำคัญทั้งหมด ด้วยพลังและความกระตือรือร้นทั้งหมด อันที่จริง ตลอดบทเพลงสดุดีนี้ ผู้ประพันธ์เพลงสดุดีพูดหกครั้งเกี่ยวกับการแสวงหาบางสิ่ง “ด้วยสุดใจ” และในห้าครั้งนั้นเขาแสดงประจักษ์พยานเกี่ยวกับหัวใจและชีวิตของเขาเอง ดังนั้น จากการอ้างอิงทั้งหกนี้ เราพบการแสวงหาสามประการที่เราควรทำตามแบบอย่างของผู้ประพันธ์เพลงสดุดีเพื่อติดตามพวกเขา “อย่างสุดใจ”

 

1. เราควรแสวงหาการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าด้วยสุดใจของเรา

 ในสดุดี 119:2 มีการประกาศพระพรว่า “ผู้ที่รักษาพระโอวาทของพระองค์และแสวงหาพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจก็เป็นสุข” อีกครั้งในสดุดี 119:10 ผู้ประพันธ์สดุดีเป็นพยานโดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าแสวงหาพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจ โอ ขออย่าให้ข้าพระองค์หลงไปจากพระบัญญัติของพระองค์” พี่น้องทั้งหลาย นี่คือแหล่งที่มาของลักษณะนิสัย ความมุ่งมั่น และความประพฤติแบบคริสเตียนของเราการสามัคคีธรรมกับองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา แท้จริงแล้ว สิ่งนี้ควรเป็นลำดับความสำคัญของหัวใจของเราและศูนย์กลางของชีวิตเรา นั่นคือสามัคคีธรรมกับองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา ด้วยสุดใจของเรา เราควรไล่ตามและยอมจ่ายเพื่อ “ความรู้อันล้ำเลิศของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (ฟิลิปปี 3:8) แท้จริงแล้ว เราควรเต็มใจสุดใจที่จะทนทุกข์กับการสูญเสียสิ่งอื่นทั้งหมด เพื่อเราจะได้ “รู้จักพระองค์ และฤทธิ์อำนาจแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ และร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพระองค์ ความตายของพระองค์” (ฟิลิปปี 3:10) “กวางกระหายหาธารน้ำฉันใด” จิตวิญญาณของเราก็กระหายกระหายหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ฉันนั้น (สดุดี 42:1-2) ความรักและความเสน่หาจากหัวใจของเราควรมุ่งตรงไปที่พระองค์ แท้จริงแล้ว เราควรรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเราอย่างสุดใจ สุดจิต สุดความคิด และสุดกำลังของเรา พระองค์ควรเป็นรักแรกของเรา รักสำคัญของเรา เราควรรักพระองค์และผูกพันกับพระองค์ และรับใช้พระองค์ด้วยสุดใจและสุดจิตของเรา การร่วมสามัคคีธรรมกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราทุกวันควรเป็นหลักการที่กระตุ้นจิตใจของเราทั้งหมดและให้หัวใจของเราถูกควบคุมไว้ด้วยสิ่งนี้

 

แต่จะเป็นอย่างไรหากเราได้ละทิ้งความรักครั้งแรกที่มีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราและการสามัคคีธรรมประจำวันกับพระองค์ไปแล้ว ในกรณีเช่นนี้ เราต้องกระตือรือร้นสุดหัวใจที่จะกลับใจจากวิถีทางที่เป็นบาปของเราและหันกลับมาหาพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา เราต้องหันจากทางบาปของเราด้วยใจที่ชอกช้ำและสำนึกผิด และต้องกลับมาหาพระเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของเราด้วยความเชื่อมั่นและความมุ่งมั่นสุดหัวใจของเรา ถึงกระนั้น ยากอบ 4:8-10 ก็ประกาศว่า “8จงเข้ามาใกล้พระเจ้า แล้วพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน คนบาปทั้งหลายจงล้างมือให้สะอาด คนสองใจจงชำระใจให้บริสุทธิ์ 9จงเศร้าเสียใจ คร่ำครวญและร้องไห้ จงเปลี่ยนจากหัวเราะเป็นร้องไห้ จากชื่นชมยินดีเป็นเศร้าหมอง 10ท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระองค์จะทรงยกชูท่านขึ้น” เราต้องกลับไปหาพระเจ้าของเราด้วยสุดใจ จากนั้นพระองค์จะทรงฟื้นฟูเราฝ่ายวิญญาณอย่างแน่นอน และยกเราขึ้นสู่สถานที่ของการสามัคคีธรรมของพระองค์ และฟื้นฟูเราให้มีชีวิตที่บริบูรณ์ฝ่ายวิญญาณของการสามัคคีธรรมของพระองค์ ถึงกระนั้นก็ตาม ในเยเรมีย์ 29:12-13 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราตรัสว่า “12แล้วเจ้าจะร้องเรียกเรา และมาอธิษฐานต่อเรา และเราจะฟังเจ้า 13เจ้าจะแสวงหาเราและพบเรา เมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสุดใจของเจ้า” จากนั้นเราจะเติบโตในความรู้และประสบการณ์ของการสามัคคีธรรมที่ได้รับพรทุกวัน ถ้าเราดำเนินต่อไปด้วยสุดใจที่จะดำเนินสามัคคีธรรมกับพระองค์ในฐานะรักแรกของเรา

 

2. เราควรรักษาพระวจนะของพระเจ้าอย่างสุดใจ

ในสดุดี 119:33-34 ผู้ประพันธ์สดุดีได้ทูลขอและถวายพันธสัญญาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยกล่าวว่า “33ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสอนข้าพระองค์ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของพระองค์แล้วข้าพระองค์จะรักษาไว้จนถึงที่สุด34โปรดประทานความเข้าใจ แล้วข้าพระองค์จะรักษาบทบัญญัติของพระองค์ ”  อีกครั้งในสดุดี 119:69 เขาแสดงคำมั่นสัญญาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยกล่าวว่า “แม้คนเย่อหยิ่งใส่ร้ายป้ายสีข้าพระองค์

ข้าพระองค์ก็รักษาข้อบังคับของพระองค์ด้วยสุดใจ” เช่นเดียวกับที่เราควรแสวงหาการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าด้วยสุดใจของเรา เราก็ควรรักษาพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยสุดใจของเราเช่นกัน แท้จริงแล้ว การแสวงหาสามัคคีธรรมกับพระเจ้าของเราและการรักษาพระวจนะของพระเจ้านั้นเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด ดังนั้นเราต้องไล่ตามทั้งสองอย่างสุดใจ แท้จริงแล้วเราควรมีความมุ่งมั่นอย่างสุดหัวใจที่จะรักษาพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อที่เราจะปรารถนาและมีความสุขที่จะเรียนรู้ภูมิปัญญาและวิถีทางของพระคำมากขึ้น ยิ่งกว่านั้น เราควรมีความมุ่งมั่นอย่างสุดหัวใจที่จะรักษาพระวจนะของพระเยซู โดยเราจะยังคงเชื่อฟังอย่างซื่อสัตย์ต่อไปแม้ต้องเผชิญกับการทดลองที่ร้อนแรงและการข่มเหงที่รุนแรง เราควรมองมาที่พระวจนะของพระเจ้าทุกวัน ศึกษาพระวจนะของพระเจ้าอย่างขยันหมั่นเพียร และเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า  เราควรค้นหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน เราควรศึกษาเพื่อแสดงตนว่าเป็นที่ยอมรับต่อพระเจ้า ในฐานะคนทำงานฝ่ายวิญญาณที่ไม่จำเป็นต้องละอายต่อพระพักตร์พระองค์

 

3. เราควรวิงวอนต่อพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ

ในสดุดี 119:58 ผู้ประพันธ์สดุดีเป็นพยานโดยกล่าวว่า “ข้าพระองค์แสวงหาพระพักตร์ของพระองค์หมดทั้งใจ ขอทรงโปรดเมตตาข้าพระองค์ตามที่ทรงสัญญาไว้” อีกครั้งในสดุดี 119:145-147 เขาประกาศว่า “ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ร้องทูลหมดทั้งใจ ขอทรงตอบข้าพระองค์ และข้าพระองค์จะเชื่อฟังกฎหมายของพระองค์ ข้าพระองค์ทูลวิงวอน ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดเพื่อข้าพระองค์จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ ข้าพระองค์ตื่นขึ้นก่อนรุ่งสาง ทูลขอความช่วยเหลือข้าพระองค์ ฝากความหวังไว้ที่พระวจนะของพระองค์”  


จริงอยู่ หัวใจของเรื่องนี้ควรจะมีรากฐานมาจากสองเรื่องก่อนก่อนหน้านี้ คือเมื่อเราแสวงหาด้วยสุดใจที่จะดำเนินในสามัคคีธรรมกับพระเจ้า เราจะเรียนรู้มากขึ้นเพื่อให้วางใจอย่างสุดหัวใจในพระเมตตาอันอ่อนโยนและความรักมั่นคงของพระองค์ที่มีต่อเรา นอกจากนี้ ในขณะที่เรารักษาความจริงแห่งพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสุดหัวใจ เราจะเรียนรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อตั้งความหวังอย่างสุดหัวใจในพระสัญญาในพระวจนะของพระองค์ที่จะดูแลผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ ถึงกระนั้น ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมด้วยศรัทธาในใจ เราควรสวดอ้อนวอนอย่างกล้าหาญต่อพระที่นั่งแห่งพระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า “เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และพบพระคุณที่จะช่วยในยามต้องการ” (ฮีบรู 4:16) เราควรวางใจในพระเจ้าอย่างสุดหัวใจตลอดเวลา และควรระบายความในใจของเราต่อพระองค์ โดยรู้ว่าพระองค์เป็น “ที่พึ่งของเรา”  (สดุดี 62:8) เราควรสงบนิ่ง รอคอย และหวังใจในพระยาห์เวห์พระเจ้าของเราเท่านั้น โดยรู้ว่าความช่วยเหลือของเรามาจากพระองค์ ด้วยสุดใจของเรา เราควรทูลขอจากพระเจ้าของเราเพื่อเราจะได้รับ แสวงหาจากพระเจ้าของเราเพื่อที่เราจะได้พบ และเคาะพระที่นั่งแห่งพระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เพื่อพระหัตถ์แห่งพระคุณของพระองค์จะเปิดให้เรา


เมื่อใดที่คุณรู้สึกใกล้ชิดกับพระเจ้ามากที่สุด?

เมื่อฉันนั่งอธิษฐานเงียบ ๆ ต่อหน้าพระพักตร์พระองค์

เมื่อฉันร่วมนมัสการพระองค์

เมื่อฉันใช้เวลาไตร่ตรองและเขียนแบ่งปันพระคำของพระองค์ 

 

คำอธิษฐาน

ข้าแต่พระเจ้า ลูกต้องการแสวงหาพระองค์สุดหัวใจ พระองค์คือทุกสิ่งทุกอย่างของลูก ดังนั้นในแต่ละวัน ขอให้การกระทำของลูกตรงกับคำพูดของลูก ขอทรงช่วยให้ลูกได้เข้าใกล้พระองค์มากขึ้น โปรดชี้แนะลูกในการตัดสินใจแต่ละครั้ง และสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกด้วยความฝันและการแสวงหาสิ่งใหม่ๆ ลูกต้องการถวายเกียรติแด่พระองค์ในทุกสิ่งที่ลูกทำ ลูกอธิษฐานในพระนามพระเยซู อาเมน

 

ความรู้เพิ่มเติม

ความหมายของคำว่า "สามัคคีธรรม" ในพันธสัญญาใหม่คือ koinonia ซึ่งหมายถึง "การเป็นหุ้นส่วน การแบ่งปันร่วมกัน หรือความเป็นหนึ่งเดียว" และสาระสำคัญของการเป็นหุ้นส่วนคือข้อตกลงหรือความเป็นเอกภาพของวัตุประสงค์ การสามัคคีธรรมกับพระเจ้าในขั้นพื้นฐานที่สุด คือความยินยอมความเห็นพ้องกับพระองค์ในทุกสิ่ง พันธสัญญาใหม่รับรองผู้เชื่อในการเป็นหุ้นส่วนนี้ เราไม่เพียงมีสามัคคีธรรมกับพระเจ้าพระบิดาเท่านั้น แต่เรายังมีสามัคคีธรรมกับพระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย (1 โครินธ์ 1:9; 2 โครินธ์ 13:14; 1 ยอห์น 1:3)  การจะมีสามัคคีธรรมกับผู้อื่นได้นั้นต้องมีใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คือ สิ่งที่เชื่อมคนสองคนเข้าด้วยกัน และการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าเป็นไปได้โดยทางพระโลหิตของพระคริสต์เท่านั้น

 

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

Shepherdingtheflock

ติดตามอ่านบทความหนุนใจอื่นๆได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ มีความเชื่อเมื่อได้ยิน หรือ ได้ยินแต่ไม่ได้เชื่อ

  พระวจนะของพระเจ้าสำหรับวันนี้ มีความเชื่อเมื่อได้ยิน หรือ ได้ยินแต่ไม่ได้เชื่อ อ่านฮีบรู 3:1 ถึง 4:13 เพราะเราทั้งหลายได้รับข่าวป...