ความสำคัญของการอธิษฐานเพื่อลูกหลานของเรา
ฉันมีความสุขอย่างแท้จริงที่ได้อยู่บ้านกับลูกชายของฉัน
แอนดรูว์อย่างเต็มเวลาเพื่อดูแลเขาและเลี้ยงดูเขา
ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งนั้นตลอดมา ฉันเชื่อว่าคุณแม่หลายคนต่างก็ต้องการอยู่บ้านกับลูก
ๆ เพื่อดูแลและเลี้ยงดูพวกเขาที่บ้าน แต่อย่างไรก็ตาม
ฉันรู้ว่าเมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจโลกทุกวันนี้ สิ่งนี้จึงไม่ใช่ทางเลือกสำหรับทุกคนเสมอไป
นี่คือช่วงเวลาที่เราควรคิดและอธิษฐานเกี่ยวกับการขอความคุ้มครองและขอคำแนะนำในการเลี้ยงดูบุตรหลานของเรา
เราต้องการให้บุตรหลานของเราเติบโตในศรัทธาในพระเยซูและเชื่อฟังพระองค์
และทำตามพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งเริ่มต้นได้ที่เราในฐานะพ่อแม่
โดยการสนับสนุนและอธิษฐานให้พวกเขาอย่างสม่ำเสมอ
พลังแห่งการอธิษฐานนั้นยิ่งใหญ่สำหรับเราผู้มีความเชื่อ
โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ไม่สามารถอยู่เคียงข้างลูกๆ เพื่อดูแลและสนับสนุนพวกเขาไปได้ตลอด
นี่คือช่วงเวลาที่เราต้องวางใจและมีศรัทธาในพระเจ้าในการดูแลพวกเขาเมื่อเราอาจไม่ได้อยู่ฝ่ายกายแล้ว
“จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความเข้าใจของตนเอง” (สุภาษิต
3:5) เราต้องยอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียมของเรา ผู้ปกป้องของเรา
ผู้ปลอบโยนของเรา เป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เป็นพระบิดาบนสวรรค์ของเรา
พระองค์อยู่เคียงข้างเราเสมอ
และจะทรงฟังและตอบคำอธิษฐานของเราในเวลาอันเหมาะสมของพระองค์ และ 14นี่คือความมั่นใจที่เรามีเมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า
คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเรา
15และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังเรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ
เราก็รู้ว่าจะได้รับสิ่งที่เราทูลขอจากพระองค์ (1 ยอห์น 5:14-15)
มีพระคัมภีร์หลายข้อที่เราในฐานะพ่อแม่ต้องให้ความสำคัญในการอธิษฐานเมื่อเราสวดอ้อนวอนให้ลูกๆ
ของเรา สิ่งแรกที่เราต้องการอธิษฐานเพื่อลูกๆ ของเราคือขอให้พวกเขารู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา
และพระองค์เสด็จมาในโลกนี้เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันสมบูรณ์แบบสำหรับบาปทั้งหมดของมนุษย์
และใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์จะต้องรับของประทานแห่งความรอดฟรี และมีชีวิตนิรันดร์กับพระองค์ในสวรรค์
“เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์
เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16) เราต้องการให้ลูกของเรามาหาพระเยซูและรู้จักพระองค์
เชื่อในพระองค์ และติดตามพระองค์ในชีวิตของพวกเขา “31แต่ที่บันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์
พระบุตรของพระเจ้า และโดยความเชื่อท่านจะได้มีชีวิตในพระนามของพระองค์…บัดนี้13ขอพระเจ้าแห่งความหวังทรงให้ท่านบริบูรณ์ด้วยความชื่นชมยินดีและสันติสุขทั้งปวงเมื่อท่านวางใจในพระองค์
เพื่อว่าท่านจะเปี่ยมล้นด้วยความหวังโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ยอห์น
20:31; โรม 15: 13).
เมื่อเรามีศรัทธาในพระเจ้า เราก็ต้องการเชื่อฟังพระองค์
และทำสิ่งที่ชอบธรรม ซึ่งล้วนเป็นที่พอพระทัยพระองค์ “แต่หากปราศจากศรัทธา [มัน]
เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ [พระองค์] พอพระทัย
เพราะผู้ที่มาหาพระเจ้าต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็น และ [ว่า]พระองค์เป็นผู้บำเหน็จแก่บรรดาผู้ที่แสวงหาพระองค์อย่างขยันขันแข็ง”
(ฮีบรู 11:6) เราต้องการเช่นเดียวกันสำหรับลูกหลานของเรา เพื่อติดตามพระองค์
และทำตามพระประสงค์ของพระองค์ เชื่อฟังพระองค์และทำให้พระองค์พอพระทัย
“จงยอมรับพระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงชี้ทางของเจ้า” (สุภาษิต 3:6)
ในฐานะพ่อแม่ เราต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกๆ ของเรา ดังนั้นเมื่อพูดถึงศรัทธาและการกระทำของเรา
มันควรสะท้อนถึงลูกๆ ของเราในทางบวก ดังนั้น เราจึงต้องอธิษฐานขอการทรงนำจากพระเจ้าอยู่เสมอ
เพื่อให้การพระทำของเรามีอิทธิพลในเชิงบวก และเพื่อกระตุ้นให้ลูกๆ ของเราแสวงหาพระเจ้าและทำตามพระประสงค์ของพระองค์
คล้ายกับที่เราแสวงหาพระองค์อยู่ทุกวันเช่นกัน “ลูกเอ๋ย จงเชื่อฟังพ่อแม่ [ของคุณ]
ในทุกสิ่ง เพราะสิ่งนี้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า… จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า
เพื่อวันเวลาของเจ้าจะยืนยาวบนแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าประทานแก่เจ้า
(โคโลสี 3:20; อพยพ 20:12).
นอกจากนี้ เราต้องอธิษฐานขอคำแนะนำและทิศทางในฐานะพ่อแม่ เพื่อว่าเราจะเลี้ยงดูลูกๆได้อย่างถูกต้อง
โดยให้พระคัมภีร์เป็นรากฐานของการดำเนินชีวิต
เราต้องการขอความช่วยเหลือเพื่อให้แน่ใจว่าลูกๆ ของเราได้เติบโตในบ้านของคริสตชนที่เข้มแข็ง
ด้วยศรัทธาในพระเยซู และการเชื่อฟังพระเจ้าอย่างเข้มแข็งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เพื่อไม่ให้พวกเขาหลงทางจากการเลี้ยงดู “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะไป
และเมื่อเขาแก่แล้ว เขาจะไม่พรากจากทางนั้น” (สุภาษิต 22:6) เมื่อเราวางใจพระเจ้าอย่างสมบูรณ์
และเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นผู้พิทักษ์และผู้จัดหา
เราจะพบการปลอบโยนและความมั่นใจว่าพระองค์จะทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกๆ ของเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เพราะมีเขียนไว้ว่าผู้ที่รอดจะไม่มีวันถูกดึงออกจากพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า “และ
28เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย
ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้” (ยอห์น 10:28)
ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ให้ความหวังและความมั่นใจแก่ฉันว่า แม้ฉันจะต้องลำบากในฐานะพ่อแม่
หรือไม่สามารถอยู่ที่นั่นเพื่อดูแลลูกๆของฉันได้ตลอดเวลา
พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปกป้องเขาและเธอและจัดหาสิ่งดีให้กับพวกเขา นี่คือสิ่งที่ต้องอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ “แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเราใครเล่าจะต่อสู้เราได้?”
(โรม 8:31).
สุดท้าย พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าเป็นความรัก
เราเป็นบุตรธิดาของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นพระบิดาบนสวรรค์ของเรา
พระองค์ทรงห่วงใยเรา เราต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อให้ลูกหลานของเรารู้สิ่งนี้
เชื่อสิ่งนี้ และพบสันติสุขในสิ่งนี้ โดยรู้ว่าพระเจ้ารักพวกเขาเช่นกัน นอกจากนี้ เราต้องการให้ลูกๆ ของเราอยู่ในบ้านที่มีความรัก
และทำทุกอย่างด้วยความรัก เพราะหากไม่มีความรัก เราก็ไม่มีอะไรเลย
ความคิดและการกระทำของบุตรหลานของเราควรอยู่บนพื้นฐานของความรัก ความรักของพระเจ้า
“และเรารู้ว่าทุกสิ่งจะเกิดผลดีร่วมกันสำหรับคนที่รักพระเจ้า
สำหรับผู้ที่ได้รับเรียกตามพระประสงค์ [ของพระองค์]” (โรม 8:28) .
โดยรวมแล้ว เราต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบุตรหลานของเรา
เราอยากให้พวกเขามีความสุข สุขภาพแข็งแรง และอยู่อย่างปลอดภัย ในฐานะผู้เชื่อ
เราสามารถยืนหยัดในศรัทธาของเรากับพระเจ้าโดยรู้ว่าความรัก พระคุณ
และพระเมตตาของพระองค์จะปลอบโยนเราและทำให้เราและลูกๆ
ของเรามั่นใจในการเป็นพ่อแม่และการอบรมเลี้ยงดูของเรา
ฉันหวังว่านี่จะเป็นกำลังใจให้คุณได้ไม่มากก็น้อย
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน.
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ
Applesofgold
ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่ kattcrewslovegod.blogspot
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น