วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2565

ความสำคัญของการอธิษฐานเพื่อลูกหลานของเรา

 




ความสำคัญของการอธิษฐานเพื่อลูกหลานของเรา

 ฉันมีความสุขอย่างแท้จริงที่ได้อยู่บ้านกับลูกชายของฉัน แอนดรูว์อย่างเต็มเวลาเพื่อดูแลเขาและเลี้ยงดูเขา ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งนั้นตลอดมา ฉันเชื่อว่าคุณแม่หลายคนต่างก็ต้องการอยู่บ้านกับลูก ๆ เพื่อดูแลและเลี้ยงดูพวกเขาที่บ้าน แต่อย่างไรก็ตาม ฉันรู้ว่าเมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจโลกทุกวันนี้ สิ่งนี้จึงไม่ใช่ทางเลือกสำหรับทุกคนเสมอไป   

นี่คือช่วงเวลาที่เราควรคิดและอธิษฐานเกี่ยวกับการขอความคุ้มครองและขอคำแนะนำในการเลี้ยงดูบุตรหลานของเรา เราต้องการให้บุตรหลานของเราเติบโตในศรัทธาในพระเยซูและเชื่อฟังพระองค์ และทำตามพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งเริ่มต้นได้ที่เราในฐานะพ่อแม่ โดยการสนับสนุนและอธิษฐานให้พวกเขาอย่างสม่ำเสมอ

พลังแห่งการอธิษฐานนั้นยิ่งใหญ่สำหรับเราผู้มีความเชื่อ โดยเฉพาะพ่อแม่ที่ไม่สามารถอยู่เคียงข้างลูกๆ เพื่อดูแลและสนับสนุนพวกเขาไปได้ตลอด  นี่คือช่วงเวลาที่เราต้องวางใจและมีศรัทธาในพระเจ้าในการดูแลพวกเขาเมื่อเราอาจไม่ได้อยู่ฝ่ายกายแล้ว “จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความเข้าใจของตนเอง” (สุภาษิต 3:5) เราต้องยอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียมของเรา ผู้ปกป้องของเรา ผู้ปลอบโยนของเรา เป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เป็นพระบิดาบนสวรรค์ของเรา พระองค์อยู่เคียงข้างเราเสมอ และจะทรงฟังและตอบคำอธิษฐานของเราในเวลาอันเหมาะสมของพระองค์  และ 14นี่คือความมั่นใจที่เรามีเมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้า คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟังเรา 15และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังเรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ เราก็รู้ว่าจะได้รับสิ่งที่เราทูลขอจากพระองค์ (1 ยอห์น 5:14-15)

มีพระคัมภีร์หลายข้อที่เราในฐานะพ่อแม่ต้องให้ความสำคัญในการอธิษฐานเมื่อเราสวดอ้อนวอนให้ลูกๆ ของเรา สิ่งแรกที่เราต้องการอธิษฐานเพื่อลูกๆ ของเราคือขอให้พวกเขารู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา และพระองค์เสด็จมาในโลกนี้เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันสมบูรณ์แบบสำหรับบาปทั้งหมดของมนุษย์ และใครก็ตามที่เชื่อในพระองค์จะต้องรับของประทานแห่งความรอดฟรี และมีชีวิตนิรันดร์กับพระองค์ในสวรรค์ “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16) เราต้องการให้ลูกของเรามาหาพระเยซูและรู้จักพระองค์ เชื่อในพระองค์ และติดตามพระองค์ในชีวิตของพวกเขา “31แต่ที่บันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และโดยความเชื่อท่านจะได้มีชีวิตในพระนามของพระองค์…บัดนี้13ขอพระเจ้าแห่งความหวังทรงให้ท่านบริบูรณ์ด้วยความชื่นชมยินดีและสันติสุขทั้งปวงเมื่อท่านวางใจในพระองค์ เพื่อว่าท่านจะเปี่ยมล้นด้วยความหวังโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ยอห์น 20:31; โรม 15: 13).

เมื่อเรามีศรัทธาในพระเจ้า เราก็ต้องการเชื่อฟังพระองค์ และทำสิ่งที่ชอบธรรม ซึ่งล้วนเป็นที่พอพระทัยพระองค์ “แต่หากปราศจากศรัทธา [มัน] เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ [พระองค์] พอพระทัย เพราะผู้ที่มาหาพระเจ้าต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็น และ [ว่า]พระองค์เป็นผู้บำเหน็จแก่บรรดาผู้ที่แสวงหาพระองค์อย่างขยันขันแข็ง” (ฮีบรู 11:6) เราต้องการเช่นเดียวกันสำหรับลูกหลานของเรา เพื่อติดตามพระองค์ และทำตามพระประสงค์ของพระองค์ เชื่อฟังพระองค์และทำให้พระองค์พอพระทัย “จงยอมรับพระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงชี้ทางของเจ้า” (สุภาษิต 3:6) ในฐานะพ่อแม่ เราต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกๆ ของเรา ดังนั้นเมื่อพูดถึงศรัทธาและการกระทำของเรา มันควรสะท้อนถึงลูกๆ ของเราในทางบวก ดังนั้น เราจึงต้องอธิษฐานขอการทรงนำจากพระเจ้าอยู่เสมอ เพื่อให้การพระทำของเรามีอิทธิพลในเชิงบวก และเพื่อกระตุ้นให้ลูกๆ ของเราแสวงหาพระเจ้าและทำตามพระประสงค์ของพระองค์ คล้ายกับที่เราแสวงหาพระองค์อยู่ทุกวันเช่นกัน “ลูกเอ๋ย จงเชื่อฟังพ่อแม่ [ของคุณ] ในทุกสิ่ง เพราะสิ่งนี้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า… จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่อวันเวลาของเจ้าจะยืนยาวบนแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าประทานแก่เจ้า (โคโลสี 3:20; อพยพ 20:12).

นอกจากนี้ เราต้องอธิษฐานขอคำแนะนำและทิศทางในฐานะพ่อแม่ เพื่อว่าเราจะเลี้ยงดูลูกๆได้อย่างถูกต้อง โดยให้พระคัมภีร์เป็นรากฐานของการดำเนินชีวิต เราต้องการขอความช่วยเหลือเพื่อให้แน่ใจว่าลูกๆ ของเราได้เติบโตในบ้านของคริสตชนที่เข้มแข็ง ด้วยศรัทธาในพระเยซู และการเชื่อฟังพระเจ้าอย่างเข้มแข็งที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อไม่ให้พวกเขาหลงทางจากการเลี้ยงดู “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะไป และเมื่อเขาแก่แล้ว เขาจะไม่พรากจากทางนั้น” (สุภาษิต 22:6) เมื่อเราวางใจพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ และเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นผู้พิทักษ์และผู้จัดหา เราจะพบการปลอบโยนและความมั่นใจว่าพระองค์จะทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกๆ ของเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะมีเขียนไว้ว่าผู้ที่รอดจะไม่มีวันถูกดึงออกจากพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า “และ 28เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้” (ยอห์น 10:28) ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ให้ความหวังและความมั่นใจแก่ฉันว่า แม้ฉันจะต้องลำบากในฐานะพ่อแม่ หรือไม่สามารถอยู่ที่นั่นเพื่อดูแลลูกๆของฉันได้ตลอดเวลา พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปกป้องเขาและเธอและจัดหาสิ่งดีให้กับพวกเขา  นี่คือสิ่งที่ต้องอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ “แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเราใครเล่าจะต่อสู้เราได้?” (โรม 8:31).

สุดท้าย พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าเป็นความรัก เราเป็นบุตรธิดาของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นพระบิดาบนสวรรค์ของเรา พระองค์ทรงห่วงใยเรา เราต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อให้ลูกหลานของเรารู้สิ่งนี้ เชื่อสิ่งนี้ และพบสันติสุขในสิ่งนี้ โดยรู้ว่าพระเจ้ารักพวกเขาเช่นกัน นอกจากนี้ เราต้องการให้ลูกๆ ของเราอยู่ในบ้านที่มีความรัก และทำทุกอย่างด้วยความรัก เพราะหากไม่มีความรัก เราก็ไม่มีอะไรเลย ความคิดและการกระทำของบุตรหลานของเราควรอยู่บนพื้นฐานของความรัก ความรักของพระเจ้า “และเรารู้ว่าทุกสิ่งจะเกิดผลดีร่วมกันสำหรับคนที่รักพระเจ้า สำหรับผู้ที่ได้รับเรียกตามพระประสงค์ [ของพระองค์]” (โรม 8:28) .

โดยรวมแล้ว เราต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบุตรหลานของเรา เราอยากให้พวกเขามีความสุข สุขภาพแข็งแรง และอยู่อย่างปลอดภัย ในฐานะผู้เชื่อ เราสามารถยืนหยัดในศรัทธาของเรากับพระเจ้าโดยรู้ว่าความรัก พระคุณ และพระเมตตาของพระองค์จะปลอบโยนเราและทำให้เราและลูกๆ ของเรามั่นใจในการเป็นพ่อแม่และการอบรมเลี้ยงดูของเรา

ฉันหวังว่านี่จะเป็นกำลังใจให้คุณได้ไม่มากก็น้อย

ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน.

ขอขอบคุณแหล่งที่มาของบทความหนุนใจ

Applesofgold

ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้ที่  kattcrewslovegod.blogspot


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7

  ข้อพระคัมภีร์ประจำวันและการอุทิศตน – โคโลสี 2:7   จงหยั่งรากและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ จงมั่นคงในความเชื่อตามที่ได้รับการสอนมาแล้ว และ...